กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6668)

เถรี 26-06-2019 19:35

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๒
 
ขอให้ญาติโยมทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราเอาไว้เฉพาะหน้า คืออยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ลมหายใจพร้อมกับคำภาวนาของเรา ไหลเข้าไปจนสุด หายใจออก...ให้ความรู้สึกพร้อมกับลมหายใจและคำภาวนาของเรา ไหลออกมาจนสุด คำภาวนานั้นเราจะใช้อะไรก็ได้ ที่มีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๒ ที่จะกล่าวถึงในวันนี้ก็คือว่า ในการปฏิบัติธรรมของพวกเรา ส่วนใหญ่แล้วเราทำเพราะอยาก คืออยากได้ใคร่ดี อยากมีอยากเป็น อยากเก่งกล้าสามารถเหมือนครูบาอาจารย์ท่านนั้นท่านนี้

ความจริงตัวอยาก ถ้าเราควบคุมอยู่ในกรอบได้ จะเป็นเครื่องผลักดันที่ดีมาก แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วตัวอยากมักจะนำหน้า ไม่ได้อยู่ในกรอบ สภาพจิตของเราจึงกลายเป็นฟุ้งซ่าน ถ้าหากว่าสภาพจิตฟุ้งซ่าน ใจย่อมห่างจากสมาธิเป็นธรรมดา และบางท่านเคยฝึกปฏิบัติในสายอื่น ๆ มาก่อน แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ก็บากหน้ามาเสี่ยงโชค ลองดูทางสายนี้บ้าง

อาตมาอยากจะปรับความเข้าใจกับทุกท่านเสียใหม่ว่า จริง ๆ แล้วธรรมะไม่มีสาย พระพุทธเจ้าไม่ได้กำหนดว่านี่เป็นสายพุทโธ นี่เป็นสาย สัมมา อะระหัง นี่เป็นสายนามรูป นี่เป็นสายพองยุบ นี่เป็นสายเคลื่อนไหว นี่เป็นสายมโนมยิทธิ แต่ที่เกิดเป็นสายกันขึ้นมานั้น ก็เพราะว่าครูบาอาจารย์ต้นสายท่านมีความถนัด มีความชำนาญอย่างไร ท่านก็สอนแบบนั้น เมื่อมีลูกศิษย์ลูกหาเลื่อมใสและปฏิบัติตามจนเกิดผลขึ้นมา ก็มีการยกย่องเชิดชูและปฏิบัติตามมากขึ้น ๆ จนกลายเป็นสายธรรมนั้น ๆ แต่จะว่าไปแล้วทั้งหมดก็คือสายของพระพุทธเจ้า

เถรี 26-06-2019 19:36

เมื่อเป็นเช่นนั้น ถ้าท่านเปลี่ยนสายบากหน้าเข้ามา หวังจะประสบความสำเร็จในรูปแบบนี้ ความสำเร็จนั้นก็ยังมีองค์ประกอบหลายอย่างเช่น อย่างแรกคือทำดีทำถูก ก็ดังที่ได้กล่าวไปเมื่อครู่นี้ว่า ส่วนใหญ่แล้วเราทำเพราะอยาก ถ้าอย่างนี้แสดงว่าทำไม่ถูก เราอยากได้ แต่ตอนเริ่มปฏิบัติภาวนาต้องลืมความอยากนั้นเสีย อยู่กับลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว

องค์ประกอบต่อไปก็คือความพากเพียร ส่วนใหญ่ปัจจุบันนี้สภาพสังคมและเทคโนโลยีนั้น ทำให้คนมีความอดทนน้อย ประมาณว่ากดปุ่ม ๓ นาทีอาหารต้องได้กิน กลายเป็นคนใจร้อนใจเร็ว รออะไรไม่ได้ ความเพียรก็พลอยลดน้อยถอยลง อะไรที่ปฏิบัติ ๓ วันแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ก็เป็นอันว่าจบกันแค่นั้น

เมื่อเป็นเช่นนั้น องค์ประกอบที่ ๓ ก็คือ ความที่ใจของเราปักมั่นแน่วแน่ไม่ท้อถอย ก็จะไม่เกิดขึ้น ก็แปลว่าห่างไกลความสำเร็จเข้าไปอีก องค์ประกอบสุดท้ายก็คือ เราต้องรู้จักทบทวนการปฏิบัติของเราว่า เราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ตอนนี้ทำไปถึงไหน ? มีผลลัพธ์อย่างไร ? ห่างไกลจากเป้าหมายเท่าไร ? ยังตรงต่อจุดหมายปลายทางหรือเป้าประสงค์ของเราหรือไม่ ?

เถรี 27-06-2019 08:27

ถ้าขาดองค์ประกอบทั้งหลายเหล่านี้ โอกาสของเราที่จะปฏิบัติธรรมแล้วก้าวหน้าประสบผลสำเร็จก็เป็นไปโดยยาก โดยเฉพาะท่านทั้งหลายที่เปลี่ยนสายกรรมฐานมา สภาพจิตของเรายังเคยชินกับการปฏิบัติแบบเก่า ๆ

เมื่อวานนี้ก็มีโยมท่านหนึ่งปฏิบัติสายเคลื่อนไหวตามแบบของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ซึ่งอาตมาก็เคยนำไปสอนพระนิสิตปฏิบัติธรรมของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ท่าน รศ.ดร.สุรพล สุยะพรหม รองอธิการบดีฝ่ายกิจการทั่วไป ให้คำชมเชยเป็นอย่างสูง เพราะว่าแก้เบื่อในการปฏิบัติได้ดีมาก

แต่โยมท่านนั้นบอกว่าปฏิบัติแล้วติด พอไม่เอาจิตตามดูความเคลื่อนไหวก็ฟุ้งซ่าน บังคับให้ภาวนาจับลมก็ไม่เอา อาตมาจึงได้กล่าวอยู่เสมอในการเริ่มกรรมฐานทุกครั้งว่า เคยปฏิบัติมาอย่างไร เคยใช้คำภาวนาอย่างไรให้ทำแบบเดิม เพราะว่าสภาพจิตของเราเคยชิน ยอมรับแล้ว ถ้าเปลี่ยนใหม่สภาพจิตยังไม่เคยชินกับของใหม่ ก็มักจะย้อนไปหาความเคยชินเก่า ๆ ก็จะทำให้เราหงุดหงิด ไม่ได้อย่างใจ เสียต่อผลการปฏิบัติ

เถรี 27-06-2019 08:29

ดังนั้น...จึงขอสรุปว่า ถ้าท่านทั้งหลายตั้งใจปฏิบัติธรรมแล้ว อันดับแรก...พยายามตัดความอยากออกจากใจให้ได้ เรามีหน้าที่ปฏิบัติ ผลจะเกิดขึ้นหรือไม่ก็ช่างมัน ข้อที่สอง...ศึกษาแนวทางของครูบาอาจารย์ให้ชัดเจน แม่นยำ จะได้ทำได้ถูกต้อง

ข้อที่สาม....ต้องพากเพียรชนิดมอบกายถวายชีวิต เรียกว่าถึงตายลงไปก็ยอม เพื่อแลกกับผลการปฏิบัติที่จะพึงมีพึงได้ ข้อต่อไป...กำลังใจของเราต้องปักมั่นแน่วแน่ต่อเป้าหมาย ไม่สำเร็จไม่เลิกเด็ดขาด และข้อสุดท้ายต้องหมั่นไตร่ตรองทบทวนอยู่เสมอ ๆ ว่า เราทำอะไร ? เพื่ออะไร ? ยังตรงต่อเป้าหมายหรือไม่ ? เหลือระยะทางใกล้ไกลเท่าใด ? แล้วก็แก้ไขไป

ถ้าท่านทั้งหลายสามารถทำตามองค์ประกอบทั้งหลายเหล่านี้อย่างครบถ้วน ความก้าวหน้าในการปฏิบัติจนกระทั่งถึงเป้าหมายสูงสุด คือการหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน ก็จะพึงมีพึงเกิดแก่ท่านทั้งหลาย ตามวาสนาบารมีที่สั่งสมมา

ลำดับต่อไปก็ขอให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม,ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๖๒

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้า)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 21:46


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว