กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐานวันเสาร์ที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3618)

เถรี 22-12-2012 22:23

เทศน์ช่วงทำกรรมฐานวันเสาร์ที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๕
 
ให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของตัวเองจ้ะ นั่งพับเพียบ จะขัดสมาธิชั้นเดียวหรือสองชั้นก็ได้ เพียงแต่ตั้งกายให้ตรง เพื่อให้ลมหายใจเข้าออกเดินได้สะดวก หลังจากนั้นเอาความรู้สึกทั้งหมดของเรา จดจ่ออยู่ที่ลมหายใจ หายใจเข้าให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออกให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมเดือนสุดท้ายของปีนี้ ในช่วง ๒ วันที่ผ่านมามีญาติโยมจำนวนมาก นำเอาทองคำมาถวายร่วมในการหล่อพระพุทธรูป นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีและน่าโมทนา

แต่อยากจะบอกให้ทุกท่านทราบว่า แม้ว่าทองคำเป็นของมีค่า มีราคาสูงเพียงใดก็ตาม ก็ยังจัดอยู่ในส่วนของทานเท่านั้น เป็นเพียงความดีเบื้องต้นเท่านั้น ความดีที่สูงขึ้นไปอีก ก็คือศีล และความดีสูงสุดก็คือการภาวนา

การที่เราตั้งใจถวายทองหล่อพระ ถ้าจะวางกำลังใจให้ถูกต้อง นอกจากกำลังใจในการเสียสละซึ่งสิ่งของมีค่าอย่างยิ่งของตนเองแล้ว ส่วนที่ควรจะนึกถึงก็คือ การที่เราจะนำทองคำนี้ไปหล่อหลอมเป็นองค์พระขึ้นมา ก็คือให้ไปยึดในส่วนของพุทธานุสติแทน ถ้าเรายึดในส่วนของพุทธานุสติ ก็แปลว่าเราได้อานิสงส์ของการภาวนาด้วย มิฉะนั้น..เราจะได้เฉพาะอานิสงส์ของทานเพียงอย่างเดียว

เถรี 24-12-2012 08:42

คราวนี้ในช่วงที่เราเอาทองคำมาถวายนั้น เราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ เพราะเราไม่ได้ละเมิดศีลข้อใดทั้งสิ้น ถ้ากำลังใจของเรามีการตั้งใจงดเว้น ก็ถือว่าศีลทุกสิกขาบทในช่วงนั้นบริสุทธิ์บริบูรณ์อยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้น..ในการที่เราตั้งใจถวายทองคำเพื่อหล่อพระ ก็อย่าให้ได้อานิสงส์แค่ทานเท่านั้น แต่ให้ได้อานิสงส์ของศีลซึ่งสูงกว่าทานหลายเท่า และให้ได้อานิสงส์ของการภาวนาซึ่งสูงกว่าศีลหลายเท่าเช่นกัน ถ้าเป็นดังนี้ เราก็จะสามารถได้บุญได้กุศลอย่างเต็มที่จากการถวายทองคำร่วมหล่อพระเป็นพุทธบูชา

การที่เราเป็นผู้รักษาศีลนั้น ก็แปลว่าเราเป็นผู้ไม่ละเมิดศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีลด้วย ในส่วนของการภาวนานั้น ให้เราพิจารณาเห็นอยู่เสมอว่า ตัวเราที่เป็นทายก (ผู้ให้) ก็ดี ตัวของพระที่เป็นปฏิคาหก (ผู้รับ) ก็ดี ท้ายสุดต่างคนต่างก็เสื่อมสลายตายพังไปจากโลกนี้ ไม่สามารถจะอยู่ยงดำรงขันธ์ตลอดไปได้

เมื่อเป็นเช่นนั้น เราก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าร่างกายนี้ไม่เที่ยง คือไม่สามารถที่จะทรงอยู่ได้อย่างใจ ถ้าเราไปยึดถือมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นของเรา ทั้ง ๆ ที่ร่างกายนี้เป็นสมบัติของโลก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่รวมกันขึ้นมา เป็นที่อาศัยของเราชั่วครั้งชั่วคราว แล้วเราก็ไปยึดติดว่านี่คือตัวกู นี่คือของกู ก็แปลว่าเราวางกำลังใจผิด

ถ้าเราเห็นได้ชัดเจน ว่าร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเราได้ ก็แปลว่าตัวปัญญาของเรานั้นอยู่ในระดับดีใช้ได้ เพียงพอที่จะกระทำการตัดละ เพื่อให้กิเลสหมดไปจากใจของเราได้

เถรี 26-12-2012 08:04

ในการที่เราจะทำเช่นนั้นได้ ก็ต้องมีสมาธิเป็นกำลังใหญ่ในการที่จะตัดกิเลส ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า ในเรื่องของการทำความดีในพระพุทธศาสนานั้น คำตอบเกือบทั้งหมดอยู่ที่สมาธิภาวนา ก็แปลว่าปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในการปฏิบัติ ถ้าเราเอาใจจดจ่ออยู่กับการภาวนา เราก็จะได้รับคำตอบขึ้นมาเองเมื่อกำลังใจเข้าไปถึงจุดนั้น ๆ จะมีเพียงในส่วนท้ายของการตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทปหานเพื่อเข้าสู่พระนิพพาน ที่ต้องใช้การคิด การพิจารณาด้วยปัญญา แต่ก็เป็นการคิดพิจารณาโดยใช้กำลังของสมาธิเป็นเครื่องสนับสนุนอยู่นั่นเอง

ดังนั้น..การที่ท่านทั้งหลายสละทองคำซึ่งเป็นของที่มีค่าสูง เพื่อหล่อหลอมขึ้นมาเป็นพระพุทธนิมิตแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้มหาชนได้กราบไหว้บูชา เราเองก็ตั้งใจบูชาความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จัดว่าเป็นพุทธานุสติ เราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ แปลว่าเราเป็นผู้ทรงในสีลานุสติ เมื่อถึงเวลาเราเห็นอย่างชัดเจนว่าตัวเราก็ดี ตัวผู้รับการถวายของจากเราก็ดี ท้ายที่สุดก็เสื่อมสลายตายพัง ไม่มีใครสามารถตั้งอยู่ได้ ก็แปลว่าเราเห็นทุกข์เห็นโทษของการเกิดอย่างชัดเจน ก็ให้เอาใจจดจ่อว่าถ้าตายเมื่อไร เราขอไปที่พระนิพพานแห่งเดียว

เมื่อทำดังนี้แล้วก็ให้ทุกคนนึกถึงลมหายใจเข้าออกของเรา ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ก็กำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ก็กำหนดดู กำหนดรู้คำภาวนาของเราเอาไว้ ถ้าลมหายใจเข้าออกหมดไป คำภาวนาหมดไป ก็ให้รู้ว่าลมหายใจเข้าออกในตอนนี้หมดไป คำภาวนาในตอนนี้หมดไป อย่าอยากให้เป็นเช่นนั้น และอย่าดิ้นรนให้พ้นจากสภาพอย่างนั้น ปล่อยให้สภาพจิตเข้าสู่สมาธิขั้นสูง หรือคลายออกสมาธิด้วยตัวเอง

ถ้าเราทำดังนี้ได้ กำลังใจเราจะทรงตัวได้ง่าย ทำให้เราก้าวเข้าสู่สมาธิขั้นสูงขึ้นไปตามลำดับ ลำดับต่อไปนี้ก็ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาหรือพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๕

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าและเถรี)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:42


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว