กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ซัวสะเดย..เนียงลออ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=59)
-   -   ซัวสะเดย..เนียงลออ ตอนที่ ๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4017)

สุธรรม 27-03-2014 02:54

ซัวสะเดย..เนียงลออ ตอนที่ ๔
 
1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1395864433
มารับ "มัดจำ" ไว้ก่อน ช่วงบ่ายค่อยมาเที่ยวกัน

คุณราญนำรถวิ่งผ่านป่าที่สมบูรณ์มีต้นไม้สูงสล้างไปไม่นาน ก็จอดชิดขวาข้างทางที่มีร้านขายของที่ระลึกเป็นเพิงมุงหญ้าคาเป็นแถวยาว พวกเราลงมาได้ก็โฉบเข้าไปดูของกันตามสัญชาตญาณ...

คุณแสงชี้มือไปยังซุ้มโกปุระขนาดใหญ่มหึมา ที่อยู่ห่างออกไปเกือบครึ่งกิโลเมตร มีคูเมืองล้อมรอบ บนสะพานหินที่ข้ามคูเมืองนั้น เป็นรูปสลัก “ยักษ์ยุดนาค” ตอนกวนเกษียรสมุทร ถึงจะเก่าคร่ำคร่าก็ยังดูออกว่าสวยงามเพียงไร พลางบรรยายว่า...

“นั่นคือปราสาทบายอน (Bayon Temple) (คุณแสงออกเสียงแบบนี้จริงๆ พวกเราชินกับคำว่า “บายน” มากกว่า) ที่ยิ่งใหญ่และสวยงามไม่แพ้ปราสาทนครวัด แต่ตอนนี้เลยเพลแล้ว ให้ทุกท่านถ่ายรูปเป็น “มัดจำ” ตรงนี้กันก่อน ตอนบ่ายเราค่อยมาชมกันนะครับ..”

สุธรรม 28-03-2014 03:19

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1395999980
วางมัดจำไม่ครบคน

อาตมาเดินหลบรถที่วิ่งไปมาออกไปถึงกลางถนน ถ่ายรูปยักษ์ยุดนาคเต็มสะพานทั้งสองฝั่งเอาไว้ก่อน เมื่อเดินเข้าไปถ่ายรูประยะใกล้ จึงเห็นว่ายักษ์ที่ว่านั้นน่าจะเป็นเทวดา แต่เนื่องจากมายืนฉุดอยู่ด้านเศียรนาค อาตมาจึงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นยักษ์ ซ้ำยังฉุดนาคแบบพิสดาร คือหันหน้ามาทางเดียวกับเศียรนาคอีกด้วย ประหลาดดีเว้ย..?

“ลองนึกถึง “ความงาม” โดยปล่อยวาง “ความจริง” แล้วท่านจะเข้าใจว่าทำไมช่างถึงได้แกะสลักแบบนี้..” มัคคุเทศก์กิตติมศักดิ์ตรัสขึ้น อือม์..ถ้าเอาสวยอย่างเดียวก็ใช่ แต่นี่พระองค์ท่านมาแย่งอาชีพคุณแสง ไม่กลัวโดนจับข้อหา “ไกด์เถื่อน” หรืออย่างไร ? จอมคนสรวล หึ..หึ.. ไม่สนพระทัยกับการ “กวนพระบาท” อาตมาจึงเรียกให้ทุกคนมาถ่ายรูปหมู่กันก่อน...

สุธรรม 29-03-2014 03:28

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1396039298
รับมัดจำแบบไม่กลัวรถชนตาย..!

พี่วิไลมัวแต่เดินดูของที่ระลึก จึงมีแต่ป้ามอย แม่ป๋อม พี่มุกดา น้องเล็ก กับลูกปุ๊กเท่านั้นที่มาถ่ายรูปด้วย อาตมาเห็นในคูน้ำด้านซ้ายมีเรือสวย ๆ อยู่หลายลำ เมื่อเดินอ้อมลงไปหามุมถ่ายรูป จึงเห็นว่าเป็นเรือสำหรับรับนักท่องเที่ยวไปล่องรอบคูเมือง มีเรือหงส์ที่ดูเหมือนไก่ ๒ ลำ เรือที่ดูแล้วน่าจะเป็นเหรา แต่ดันมีงายาวเฟื้อย แถมยังมีโขนเรือเป็นรูปพระนารายณ์แผลงฤทธิ์อยู่ในพังพานพญานาคอีกด้วย...

ที่ห่างไปไม่ไกลมีเรือหงส์ ๓ ลำกำลังพานักท่องเที่ยวล่องคูเมืองอยู่ อาตมาถ่ายรูปแล้วกลับขึ้นมา ส่งกล้องให้แม่ป๋อมช่วยถ่ายรูปอาตมาที่กลางถนน เพื่อให้ติดภาพด้านหน้าปราสาท “บายอน” ด้วย จากนั้นแม่ป๋อมกับลูกปุ๊กก็ไปยืนเย้ยฟ้าท้าดินอยู่กลางถนนบ้าง อาตมาถ่ายรูปไปพลางสังเกตว่า รถยนต์สามารถวิ่งตรงเข้าโกปุระไปเลย แบบนี้สักวันหนึ่งแรงสั่นสะเทือนอาจจะทำให้ซุ้มโกปุระพังถล่มลงมาก็ได้...

สุธรรม 30-03-2014 02:54

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1396123696
"บันแชว" หรือขนมเบื้องญวน หน้าตาเหมือนไข่ยัดไส้

“ขึ้นรถได้แล้วหลวงพี่..เดี๋ยวเลยเพลนะ..” พี่วิไลตะโกนมาจากบนรถ พวกเราจึงกลับขึ้นรถแต่โดยดี จอมคนแห่งกัมโพชไม่ยักขึ้นรถด้วย “หายพระเศียร” ไปไหนก็ไม่รู้ ? คุณราญพาวิ่งย้อนกลับมาทางปราสาทนครวัด เลี้ยวซ้ายย้อนทางเดิมเลียบคูเมือง พอเลยตัวปราสาทไปไม่ไกลก็ชะลอความเร็ว แล้วเลี้ยวซ้ายอีกทีลงทางดินแคบ ๆ มีขอบทางเป็นรั้วไม้สูงจากดินประมาณ ๑ ศอก ตรงเข้าไปด้านในที่มีสภาพเป็นป่า แต่ได้รับการปัดกวาดสะอาดสะอ้าน จากนั้นเสียบหัวรถเข้าไปทางขวา ที่เห็นมีกระต๊อบเปิดโล่งอยู่ริมห้วย ๓ – ๔ หลัง...

คุณปัญญาที่นอนเล่นอยู่ในเปลสนามหน้ากระต๊อบ รีบวิ่งมาเปิดประตูรถให้ คุณอารีนิมนต์ “โลกไทย” ให้เข้าไปนั่งในกระต๊อบหลังที่สอง แล้วตะโกนเรียกให้ทางร้านยกอาหารมาได้ “เนียง (หญิงสาว)” สองคนในชุดพื้นเมือง ยกอาหารเดินตามกันมาจากตัวอาคารอีกด้านหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นโรงครัว จานแรกที่มาถึงอาตมาอยากจะเรียกว่า “ถาด” มากกว่า เพราะจานใหญ่มาก เป็นขนมเบื้องญวนที่เรียกว่า “บันแชว” พร้อมน้ำจิ้มและผักสดอีกถาดเบ้อเริ่ม...

สุธรรม 31-03-2014 15:03

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1396253605
สามหนุ่มสามมุม "ซีบาย (กินข้าว)" เป็นการใหญ่

คุณปัญญารับมาประเคนให้อาตมา ตามมาด้วยข้าวสวย ผัดเผ็ดหมูป่า ปลาช่อนเผาเกลือ เฮ้ย..ชักจะมากเกินไปแล้ว “เผื่อลูกศิษย์ด้วยค่ะหลวงพี่ ไม่ได้บังคับว่าต้องฉันให้หมด” ถึงพี่วิไลจะชี้แจงจุดประสงค์แล้วก็ตาม อาตมาก็ยังมองอาหารกองโตแบบไม่ทันฉันก็จะอิ่มแล้วอยู่ดี...

พี่มุกดาเอาฝักบัวที่ซื้อมาตอนไหนก็ไม่รู้มาประเคนด้วย มีไก่ปิ้งทาเกลือพริกไทยลอยตามมาอีกชุด อาตมาตัก “บันแชว” มาสองแผ่น ราดน้ำจิ้มแล้วส่งที่เหลือให้คุณปัญญา หยิบผักในถาดมากำมือหนึ่ง ส่งที่เหลือตามไป คุณปัญญา คุณราญ คุณแสง ตั้งวงข้าง ๆ อาตมานั่นแหละ รับข้าวสวย ไก่ปิ้ง ปลาเผาและผัดเผ็ดหมูป่า ที่อาตมาตักมาอย่างละเล็กน้อยไปได้ ก็ลงมือเปิบกันอุตลุด...

สุธรรม 01-04-2014 02:45

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1396295956
ระหัดวิดน้ำที่บ้านเราหาดูได้ยากมาก

พี่วิไล พี่มุกดา ป้ามอย แม่ป๋อม น้องเล็ก ลูกปุ๊กและคุณอารี ไปตั้งวงอยู่กระต๊อบติดกัน รับอาหารที่ทางร้านส่งมาให้ไม่ขาดสาย ตั้งวงเปิบเป็นการใหญ่เหมือนกัน เยื้องจากกระต๊อบไปไม่ไกลมีระหัดวิดน้ำขนาดใหญ่ กำลังหมุนวิดน้ำในห้วยมาใส่ราง แล้วไหลไปลงถังซีเมนต์ แสดงว่าน้ำใช้แถวนี้ก็คือน้ำห้วยนั่นเอง มีเด็ก ๆ ๓ – ๔ คน กระโดดน้ำเล่นกันอยู่ในห้วย...

ใช้เวลาไม่กี่นาทีอาตมาก็กวาดอาหารลงท้องเรียบร้อย ไม่ “อมตึ๊ก (ดื่มน้ำ)” อีกด้วย เพราะชินกับการโดนฝึกมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นทหารอยู่ หยิบกล้องถ่ายรูปเดินหลีกสามหนุ่มที่กำลัง “ชงัล (อร่อย)” กับอาหารตรงหน้า เพื่อออกไปถ่ายรูประหัดวิดน้ำ แล้วไปถ่ายรูปป้ายตรงทางเข้า เห็นภาษาขอมที่อ่านออกไม่หมดมีคำว่า “รุกขะ กัมพุชา” อยู่ด้วย อ๋อ..ที่แท้เป็นหน่วยป่าไม้นี่เอง...

สุธรรม 02-04-2014 02:39

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1396382045
มะม่วงกระล่อนของบ้านเรา เป็นของหวานของที่นี่

ได้รูปแล้วเดินกลับมาที่กระต๊อบ พอดีสาวน้อยสองนางเดินออกมาจากครัวของป่าไม้ ยกเอาไข่เจียวกับต้มยำปลาช่อนตามมาด้วย ไม่ทันแล้ว “เนียง” เอ๋ย..ยกเอาไปให้วงโน้นเถอะ แต่ “ตุม สวาย (มะม่วงสุก)” นั่นส่งมาได้เลย...

มะม่วงขแมร์ที่ปอกมาเรียบร้อย ก็คือมะม่วงกระล่อนของบ้านเรานั่นเอง ซึ่งปกติของมะม่วงป่าประเภทนี้ก็คือ เมล็ดใหญ่ มีเนื้อนิดเดียว แต่ดันสี กลิ่น รส ดีเสียอีก จึงถือว่าคบไม่ได้ เพราะเหมือนกับไม่ตั้งใจจะให้กิน ใครที่มีนิสัย “กระล่อน” โปรดทราบว่าด้วยว่าเป็นแบบนี้ คือ หาความจริงใจกับใครไม่ได้ ขนาดเรื่องกินที่สำคัญเท่าชีวิตยังไม่ตั้งใจจะให้กินเลย..!

สุธรรม 03-04-2014 02:35

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1396529047
หมดปัญญาที่จะกินแล้ว

ถึงไม่ตั้งใจจะให้กินแต่อาตมากลับตั้งใจกินจริง ๆ เกือบจะกลืนเปลือกที่รองจานลงไปด้วย เสร็จแล้วไปถ่ายรูปวงข้าวของสาว ๆ ทั้งเจ็ด ซึ่งพยายามจนหน้ามืดแล้วก็ยังไม่สามารถที่จะกำจัดอาหารได้หมด โดยเฉพาะไข่เจียวที่แทบจะไม่มีใครแตะเลย เพราะมีคนจมูกดีได้กลิ่นว่าเขาหยอดน้ำปลาร้ามาด้วย น่าเสียดาย..ต้องบอกว่าไม่รู้จักของดี สาวอีสานที่สวยบาดใจทุกวันนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นเพราะกินปลาร้านี่แหละ..!

ในที่สุดสโนว์ไวท์ทั้ง ๗ ก็ต้องยอมแพ้แต่โดยดี เรียกให้ทางร้านมาคิดเงิน พร้อมกับดอลลาร์บินออกจากกระเป๋าพี่วิไลไป ๗๘.๔๐ ดอลลาร์ เพราะเขาคิดเป็นเงินขแมร์มาสามแสนกว่าเรียล แต่พี่วิไลจ่ายให้เป็นเงินดอลลาร์ ซึ่งกลายเป็นจ่ายถูกกว่าเงินเขมร ขนาดนั้นเฉลี่ยแล้ว ๑๑ คนรวมทั้งอาตมาด้วย เจอไปคนละเกือบ ๒๒๐ บาท ถือว่าอาหารมื้อนี้แพงทีเดียว...

สุธรรม 04-04-2014 02:11

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1396553160
กินอิ่มนอนผึ่งพุงกันแล้วก็เดินทางต่อ

ไหน ๆ ก็จ่ายแพงแล้ว คุณอารีจึงให้เขาตักอาหารที่เหลือใส่ถุงกลับไปด้วย อาตมาท้วงว่าทำไมไม่ให้เด็ก ๆ ที่เล่นน้ำไปเลย “อ๋อ..อารีกับคณะเอาไว้กินตอนเย็นกันค่ะ” เกือบไปแล้ว..พวกเราเคยชินกับการไม่กินข้าวเย็น ลืมไปว่าคนอื่นเขากินกัน มิหนำซ้ำถ้าเหนื่อยมากก็กินมากกว่าปกติอีกด้วย ขืนให้อดข้าวเย็นตามพวกเรา ก็คงยอมมาด้วยกันครั้งนี้ครั้งเดียวแหละ..!

เห็นสามหนุ่มนอนเขลงหลังอาหารอาตมาก็รู้ท่า จึงนอนแผ่แต่แอบภาวนาในใจบ้าง พ่อเจ้าประคุณ “เจ้าของที่” ไม่รู้ไป “มุดพระเศียร” อยู่ที่ไหน ? จึงภาวนาฟังเสียงวงโน้น “โม้กระจาย” ส่งเสียงหัวเราะกันคิกคักอย่างกับเมากัญชา จนพอสมควรแก่เวลาอาตมาก็ลุกขึ้น เรียกทุกคนให้ขึ้นรถ บรรดาสาว (แก่) พากันขึ้นรถแบบกระฉับกระเฉง ขณะที่สามหนุ่มทำท่ายืดยาดแบบยังไม่อยากจะลุก คุณปัญญาบิดขี้เกียจจนพุงปลิ้น ก่อนที่จะเดินตามคุณแสงไปขึ้นรถตู้...

สุธรรม 05-04-2014 03:24

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1396643913
ปลัก..เอ๊ย..สระสรง เป็นสระน้ำสมัยโบราณ

คุณราญนำรถออกวิ่งยาวขึ้นไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ข้ามแม่น้ำเล็ก ๆ สายหนึ่ง คุณแสงบอกว่าชื่อแม่น้ำสตรึงเสียมเรียบ (Strung Siemreap) ไปตามถนนสาย ๑๐๕ ผ่านปราสาทหินซึ่งไม่ใหญ่นักหลายหลัง ที่พอมีชื่อเสียงคุ้นหูพวกเราก็คือปราสาทบั้นท้ายกะเทย เอ๊ย..บันทายกะเดย (Banteay Kdei) แต่พวกเราวิ่งเลยไป พอเลี้ยวขวาไปทิศตะวันออกเต็ม ๆ ได้ไม่ไกล ทางขวามือก็เป็นสระน้ำขนาดใหญ่โตมโหฬารชื่อ “สระสรง” (Srah srang) คุณแสงบรรยายว่าเป็น “บาราย (Baray สระเก็บน้ำ)” สมัยโบราณ มีความกว้าง ๓๕๐ เมตร ยาวตั้ง ๗๐๐ เมตร...

ที่ชื่อว่าสระสรงเพราะว่าสมัยก่อนเป็นที่อาบน้ำของบรรดานางสนมกำนัล ๗๐๐ นางของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ฮ่า..ฮ่า.. “หาความสำรวมไม่ได้เลย..” ท่านผู้ถูกพาดพิง “โผล่พระเศียร” มาถึง ก็เอ่ยโอษฐ์ตำหนิอาตมาเข้าเต็ม ๆ ก็มันขำนี่หว่า..ให้สาว ๆ ๗๐๐ คนลงไปขัดขี้ไคล น้ำคงขุ่นคลั่กเป็นปลักควายไปเลย ดูท่าว่าไม่อาบจะดีกว่ามั้ง ? มิน่าล่ะ..ที่พระองค์ท่านหนีเข้าวัดทรงปฏิบัติธรรมบ่อย ๆ คงเป็นเพราะเห็นสาว ๆ ลงปลัก เอ๊ย..ลงสรงนี่เอง...

สุธรรม 06-04-2014 03:20

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1396730136
ปราสาทแปรรูป (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

เลยไปอีกนิดเดียว คุณแสงชี้ให้ดูปราสาทหลังใหญ่โตทางซ้ายมือ บอกว่าเป็นที่ปลงพระบรมศพของพระมหากษัตริย์ จึงได้ชื่อว่า “ปราสาทแปรรูป (Pre Roup)” พอคุณราญเลี้ยวซ้ายไปตามถนน ก็เห็นภาพมุมกว้างขององค์ปราสาทขนาดใหญ่ มีรถทัศนาจรจอดอยู่หลายคัน บรรดานักท่องเที่ยวกำลังปีนขึ้นบันไดไปชมองค์ปราสาทกันอยู่ มัคคุเทศก์ถามว่าพวกเราจะหยุดถ่ายรูปกันก่อนไหม ? อาตมาตัดสินใจว่า ถ้าหยุดเพื่อถ่ายรูปอย่างเดียวก็ไม่ต้องหรอก ไปเลยดีกว่า...

มีรถโมบายยูนิตคันหนึ่ง ดูท่าว่าเป็นของสถานีโทรทัศน์ที่ไหนสักแห่ง ที่มาถ่ายทอดการประชุม “อาเสียน” วิ่งนำหน้าพวกเรามาตลอด แสดงว่ามาเที่ยวหลังงานเป็นกำไรชีวิต พวกเขาเลี้ยวเข้าไปยังปราสาทแปรรูป ส่วนพวกเราวิ่งต่อไปข้างหน้า...

สุธรรม 07-04-2014 02:31

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1396813562
เสาหลักสัญลักษณ์มรดกโลก ตัวปราสาทอยู่ทางขวามือ

เส้นทางตรงขึ้นเหนือไปไม่ไกล ก็มีร้านขายของที่ระลึกตั้งเป็นแถวยาวเหยียด เมื่อมาถึงสามแยก พลขับพารถเลี้ยวขวามุ่งตะวันออกตรง ๆ ทางช่วงนี้ค่อนข้างแคบ วิ่งผ่านหมู่บ้านที่มีของที่ระลึกแขวนขายไว้แทบทุกบ้าน ไปได้อีกไม่กี่กิโลเมตรก็เลี้ยวซ้ายขึ้นเหนือ ช่วงนี้เป็นป่าที่มีต้นไม้ที่ไม่ค่อยใหญ่นัก แต่ขึ้นเบียดเสียดกันค่อนข้างทึบ มีบ้านโผล่มาสลับฉากเป็นระยะไป...

ระยะทางนับว่าไกลไม่น้อยเลย เพราะวิ่งออกจากร้านอาหารมาได้ ๔๕ นาทีแล้ว ทางช่วงนี้เปลี่ยนจากลาดยางมาเป็นลูกรังบดอัด ทางซ้ายมือมีป้ายบอกระยะทางว่า ไปรเวง ๑๐๘ ก.ม. คุณราญพารถวิ่งผ่านเสาหินที่มีเครื่องหมายมรดกโลก จอดบริเวณใกล้ต้นยางขนาดใหญ่ คุณแสงบอกว่า “ถึงแล้วครับ ขอเชิญทุกท่านลงไปชมปราสาทบันทายศรี หรือปราสาทบันทายสตรี ที่สวยที่สุดในบรรดาปราสาทหินทั้งหมด” นั่นแน่..ราคาคุยหรือเปล่า..?

สุธรรม 08-04-2014 00:32

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1396892850
สองข้างทางเข้าตัวปราสาทเป็นสระน้ำ

ปราสาทบั้นท้ายสตรี เอ๊ย..บันทายศรี (Banteay Srey) หรือที่ภาษาเขมรออกเสียงว่า “บันเทียสะเรย” เป็นปราสาทหินเล็ก ๆ มีรั้วเตี้ย ๆ ทางเดินเข้าปราสาทเป็นดินลูกรังมีศิลาแลงปูอยู่ตรงกลาง ทั้งสองข้างทางเป็นสระน้ำขนาดไม่ใหญ่นัก คงเป็นแหล่งน้ำดื่มน้ำใช้ในสมัยก่อน แต่ตอนนี้มีน้ำอยู่หน่อยเดียว นักท่องเที่ยวทั้งฝรั่งและเอเชียกำลังถ่ายรูปและเดินเข้าไปชมปราสาทกันเป็นกลุ่ม ๆ...

ริมสระน้ำด้านซ้ายเป็นดงต้นยางสูงใหญ่ เมื่อกลุ่มฝรั่งช่างเที่ยวเดินลับประตูรั้วเข้าไป อาตมาก็แยกตัวไปถ่ายรูปมุมกว้างของปราสาทเอาไว้ก่อน แล้วค่อยเดินตามพวกเราเข้าไป คุณแสงบรรยายว่า “ปราสาทบันทายศรีได้ชื่อนี้เพราะว่าเป็นปราสาทขนาดเล็ก แต่มีความสวยงามมาก เปรียบเหมือนกับหญิงงาม จนได้ชื่ออีกอย่างหนึ่งว่าปราสาทบันทายสตรี...

ปราสาทแห่งนี้สร้างโดยพราหมณ์ปุโรหิต ผู้สำเร็จราชการในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๕ เนื่องจากผู้สร้างเป็นเพียงปุโรหิต ปราสาทแห่งนี้จึงไม่มีฐานสูงใหญ่เหมือนกับหลังอื่นๆ ต้องทำแบบ “ต่ำเตี้ยติดดิน” จะได้ไม่เป็นการแข่งบารมีกับองค์กษัตริย์ แต่ก็ชดเชยด้วยการสร้างจากหินทรายสีชมพูซึ่งหายาก และฝีมือแกะสลักที่สวยงามละเอียดยิบ...”

สุธรรม 09-04-2014 10:39

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1397015716
ภาพถ่ายมุมกว้างของปราสาทบันทายศรี

“ยุคนั้นมีการ “คาน” กันระหว่างศาสนา ถ้าพระมหากษัตริย์นับถือศาสนาพราหมณ์ จะต้องตั้งปุโรหิตที่ปรึกษาราชการซึ่งนับถือศาสนาพุทธ ถ้าพระมหากษัตริย์นับถือศาสนาพุทธ จะต้องตั้งปุโรหิตที่ปรึกษาราชการซึ่งนับถือศาสนาพราหมณ์ “ยัชญวราหะพราหมณ์” นับถือศาสนาพราหมณ์ลัทธิไศวนิกาย จึงสร้างปราสาทหลังนี้ขึ้นมาเพื่อบูชาพระศิวะ...” อือม์..รู้สึกว่าข้อมูลของ “มัคคุเทศก์เถื่อน” จะลงลึกมากกว่ามัคคุเทศก์ตัวจริงตั้งเยอะ...

สุธรรม 10-04-2014 02:22

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1397072265
ทวารบาลคู่นี้เพิ่งเพิ่มเติมเข้าไปแบบสด ๆ ร้อน ๆ

เมื่อถึงด้านหน้าซุ้มประตูซึ่งเสาทางซ้ายมือมีไม้ดามเอาไว้ อาตมาถ่ายรูปป้ามอยกับลูกปุ๊กที่ยืนเป็นรูปปั้นประดับซุ้ม แล้วเดินตามนักท่องเที่ยวอื่น ๆ เข้าไปหากลุ่มของพวกเราด้านใน เมื่อผ่านซุ้มประตูเข้าไป ทางเดินยังคงเป็นลูกรังปูด้วยศิลาแลง สองฟากมีเสามากมายที่น่าจะเคยเป็นโครงสร้างของหลังคาคลุมทางเดิน ที่ติดทางเดินเป็นเสาหินหน้าตาเหมือนศิวลึงค์เรียงเป็นแถว ...

“เสาพวกนี้เหมือนกับผู้หญิงยืนเรียงเป็นแถว จึงเรียกว่า “เสานางเรียง” แต่ว่าการใช้ประโยชน์จริง ๆ คือใช้เป็นที่ผูกม้าครับ” มัคคุเทศก์ทำหน้าที่ต่อไปอย่างแข็งขัน แต่ค่อนข้างจะน่าสงสารเพราะลูกค้าสนใจแต่จะถ่ายรูปเท่านั้น...

สุธรรม 11-04-2014 02:51

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1397160403
หน้าบันที่สลักเสลาดุจมีชีวิตชีวา (ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เน็ต)

เดินไปตามทางน่าจะประมาณ ๓๐ เมตร สองข้างทางเป็นสนามหญ้าที่ตัดเรียบสะอาดตา มีแนวสิ่งก่อสร้างจากศิลาแลงที่ปรักหักพังไปแล้ว ตัวปราสาทบันทายศรีอยู่บนฐานต่ำ ๆ ในรั้วเตี้ย ๆ ตรงกลาง เป็นลักษณะแบบ “ปรางค์สามพี่น้อง” สร้างจากหินทรายสีชมพูที่แกะสลักละเอียดยิบ จนแทบไม่น่าเชื่อว่าสลักมาจากหิน ลวดลายทั้งที่ซุ้มหน้าบันและทับหลัง ในส่วนที่เป็นลายก้านขดแทบจะพลิ้วสะบัดไปตามลม..!

ฯลฯ...เพ่งภาพตลอดตละผนัง ก็มะลังมะเลืองสี
ยิ่งดูก็เด่นประดุจะมี ชิวะแม้นกมลครอง
ภาพเทพพนมวิจิตระยิ่ง นรสิงหะลำพอง
ครุฑยุดภุชงค์วิยะผยอง และเผยอขยับผัน
ลวดลายระบายระบุกระหนาบ กระแหนะภาพกระหนกพัน
แผ่เกี่ยวผกาบุษปะวัล ลิและวางระหว่างเนือง
..ฯลฯ

ดูท่ามีแต่วสันตดิลกฉันท์ของมหากวี “ชิต บุรทัต” ที่บรรยายถึงลักษณะลวดลายปราสาทของพระเจ้าอชาตศัตรูแห่งนครราชคฤห์ ซึ่งงดงามทั้งฉันทลักษณ์และถ้อยคำเท่านั้น ที่พอจะบรรยายถึงความงามของปราสาทบันทายศรีแห่งนี้ได้ เรียกว่าสวยสมราคาคุยจริง ๆ...

สุธรรม 12-04-2014 01:56

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1397243497
ภาพปราสาทบันทายศรีในระยะใกล้

เนื่องจากมีเสาไม้ปักเป็นหลักและขึงเชือกกั้นเอาไว้ ทำให้พวกเราไม่สามารถที่จะเข้าไปถ่ายรูปองค์ปราสาทอย่างใกล้ชิดได้ อาตมาจึงใช้ซูมจากกล้องดึงภาพเข้ามาใกล้ แล้วถ่ายแต่ละรูปตามที่คุณแสงชี้ให้ ไม่ว่าจะเป็นพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ โคนนทิ ศิวนาฏราช ตลอดจนบานประตู เสา ลูกกรง ฯลฯ ที่ลวดลายละเอียดงดงามยิ่งนัก แต่คุณภาพของรูปคงออกมาไม่ดี เพราะมีหลายจังหวะที่โฟกัสของกล้องไม่ยอมทำงาน โดยขึ้นเป็นตารางสีฟ้าแทนที่จะเป็นสีเขียว...

เมื่อถ่ายรูปจนเป็นที่พอใจแล้ว ก็เดินตามกันออกไปทางซุ้มประตูด้านหลัง ที่มีเสียงดนตรีดังมาเหมือนกับ “ฯลฯ..มโหรีปี่กลองจะก้องกึก จะโครมครึกเซ็งแซ่ด้วยแตรสังข์..ฯลฯ” อย่างที่สุนทรภู่ว่าเอาไว้ในนิราศพระบาท พอพ้นกำแพงศิลาแลงออกไปก็เห็นที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มีแคร่ไม้จริงปูด้วยผ้าพลาสติกสีเขียว มีวงดนตรีกำลังบรรเลงอยู่...

สุธรรม 13-04-2014 09:58

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1397358817
วงดนตรีคนตาบอด แต่บอดไม่หมดทุกคน

พอเข้าไปใกล้จึงเห็นว่า ในบรรดานักดนตรีที่ใส่เสื้อสีแดงเหมือนเสื้อพระราชทานของเราทั้งหกคนนั้น มีคนตาบอดที่คอยตีกลองโทนกับตีฉิ่งอยู่ด้วย ที่เหลือมีดีดจะเข้ สีซออู้ และตีขิม ที่สุดยอดคือคนตรงกลาง เพราะเป่าใบไม้เป็นเสียงดนตรีได้ไพเราะเพราะพริ้งทีเดียว ตรงหน้ามีพานสำหรับให้คนบริจาคเงิน และมีแผ่นซีดีเสียงดนตรีจำหน่ายด้วย...

อาตมาควักเงิน ๕,๐๐๐ เรียลหย่อนใส่พานให้ คนเป่าใบไม้หยุดเป่าพลางบอกว่า “เพลงต่อไปนี้เล่นถวาย “โลกไทย” ด้วยความเคารพ” นั่น..รู้ว่าตูเป็นพระไทยอีกด้วย “บ้านท่านมีสำนวนว่า "ตาบอดสอดตาเห็น" มิใช่หรือ ?" โผล่พระเศียรมาก็เอาเลย เขาเรียกว่า “ไม่ดูตาม้าตาเรือ” ต่างหาก เพราะคนเป่าใบไม้เขาตาดีเว้ย..!

สุธรรม 14-04-2014 10:09

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1397445942
ถ้าติดคุกเขมรก็เพราะรูปนี้แหละ..!

มัวแต่ทะเลาะกับ “ผี” เขาเล่นเพลงกันไปเกือบจบแล้ว ขาดทุนเลยตู..! พอเพลงจบอาตมาก็บอกลา เดินขึ้นไปกำแพงศิลาแลง เพื่อหามุมถ่ายรูปตัวปราสาท เมื่อมาอยู่บนกำแพงจึงเห็นว่า รอบรั้วทั้งชั้นนอกชั้นในที่เป็นสระน้ำนั้น ที่แท้เขาตั้งใจทำให้เป็น “มหานทีสีทันดร” ที่รายล้อมรอบจักรวาล มีองค์ปราสาทที่เปรียบเหมือนเขาพระสุเมรุอยู่ตรงกลางนั่นเอง...

เดินหามุมถ่ายรูปบนกำแพงอยู่ ๒ – ๓ รอบ ลงมาถึงได้รู้ว่าโดนแม่ป๋อมถ่ายภาพ “เบื้องหลัง” ไปเรียบร้อยแล้ว ถ้าถูกเขาจับติดคุกข้อหาทำลายมรดกโลก ก็เพราะหลักฐานที่กล้องของคุณแม่นี่แหละ เห็นคนอื่น ๆ ทยอยกันเดินย้อนกลับ อาตมาจึงตามไปบ้าง...

สุธรรม 15-04-2014 02:53

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1397506166
รูปหมู่ที่ระลึกซึ่งบางคนต้องย่อตัวเพื่อให้เตี้ยลง

มีเสียงเรียกร้องให้ถ่ายรูปหมู่กับองค์ปราสาท อาตมาจึงเป็นตากล้องให้ เพิ่งสังเกตว่า พี่วิไล แม่ป๋อม กับคุณอารี มีความสูงใกล้เคียงกัน ส่วนป้ามอย พี่มุกดา น้องเล็ก กับลูกปุ๊ก ล้วนแต่ “เกิดหน้าน้ำน้อย” กันทั้งนั้น ขนาดนั้นพี่วิไลยังต้องย่อเข่าลงไปหน่อย ถึงได้ไม่สูงจนผิดพวก เมื่อได้รูปที่ต้องการแล้ว ก็เดินอ้อมปรางค์สามพี่น้อง ย้อนกลับออกจากปราสาทในทางเดิม...

มาถึงด้านนอก เมื่อผ่านร่องน้ำข้างทาง อาตมาสงสัยว่าฝูงปลาตอดอะไรกันอยู่หนุบหนับ พยายามเล็งอยู่เป็นนานถึงเห็นว่าเป็นเนื้อปลา ซึ่งน่าจะเป็นปลาหลดปิ้งท่อนหนึ่ง ไม่รู้ว่านักท่องเที่ยวคนไหนแทะจนเบื่อเลยทิ้งลงไปในน้ำ จึงได้เห็น “ปลากินปลา” แบบชัด ๆ ตอนนี้เอง...


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:50


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว