กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   อีหรอบเดียวกัน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=61)
-   -   อีหรอบเดียวกัน ตอนที่ ๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4593)

สุธรรม 03-10-2015 17:40

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1443868733
ห้องโถงใหญ่กลางมหาวิหาร (รูปจากอินเตอร์เน็ต)

"สวดยวดเจง ๆ" เลยว่ะนายไมเคิลเอ๋ย ใครจะเชื่อว่านายรังสรรค์ผลงานยอดเยี่ยมกระเทียมเจียวแบบนี้ออกมาได้ในช่วงอายุแค่เบญจเพสเท่านั้น ถ่ายรูปอย่างไรก็ดูไม่สวยเหมือนกับที่ตาเห็น ได้แต่ "ฯลฯ..แลตะลึง สวยซึ้งยิ่งกว่านางใด...ฯลฯ" พูดไม่ออกบอกไม่ถูก เป็น "ปัจจัตตัง" ที่อธิบายเป็นตัวหนังสือหรือคำพูดได้ยาก พอ ๆ กับสภาวธรรมระดับจิตในจิตหรือธรรมในธรรมเลยทีเดียวเชียว...

พวกเราเสียเวลาที่ห้องโถงกลาง อันเป็นที่ประกอบพิธีขององค์สันตะปาปามากที่สุด ด้านบนเป็นโดมใหญ่ที่งดงามด้วยภาพวาดและภาพที่ประกอบขึ้นจากโมเสก มีเพดานโค้งรับซึ่งเป็นทางเดินมาจากทั้งสี่ด้าน ด้านล่างตรงกลางเป็นซุ้มบัลลังก์ขนาดใหญ่ ประกอบด้วยเสาเกลียวรับกับหลังคาซุ้มที่ประดับด้วยไม้กางเขน ตัวซุ้มสลักเสลาลวดลายงดงามแปลกตา อาจจะเป็นบัลลังก์ของเซนต์ปีเตอร์ก็เป็นได้ แต่ใหญ่ขนาดเป็นเตียงยักษ์ได้เลย เชื่อกันว่าหลุมฝังศพนักบุญเปโตร ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่าเซนต์ปีเตอร์ ก็อยู่ภายใต้ซุ้มนี้แหละ ด้านหน้าซุ้มกั้นรั้วที่มี "ผ้าม่าน" สีแดงเลือดนกยาวเหยียด ทำให้เข้าไปถ่ายรูปใกล้ ๆ ไม่ได้เลย...

คณะของเราทั้งถ่ายรูปเอง ทั้งขอให้เพื่อนช่วยถ่าย ทั้งขอให้คุณโอ๋ คุณโอเล่ ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย และอาจารย์ตู๋ ช่วยถ่ายให้ ทั้งกล้องตัวเอง ทั้งกล้องของมัคคุเทศก์ ทั้งกล้องส่วนกลางของมหาวิทยาลัย ทั้งไอโฟน ไอแพด และกล้องอีก "ล้านเจ็ดสิบเอ็ดแสน" ของบรรดานักท่องเที่ยว ที่ไม่ว่าเราจะถ่ายเดี่ยว ถ่ายหมู่ นักท่องเที่ยวทั้งหลายเป็นต้องระดมกันถ่ายด้วย ที่ขาดไม่ได้ก็คือเสียงกำชับอยู่ตลอดเวลาว่า "ระวังกระเป๋านะครับ" ของคุณโอ๋...

สุธรรม 04-10-2015 02:53

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1443901911
รูปนี้สว่างมากเพราะได้แสงแฟล็ชจากกล้องนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ด้วย

จุดสำคัญที่สุดของมหาวิหารหลังนี้ก็คือ หลุมฝังศพนักบุญเปโตรภายใต้ซุ้มบัลลังก์ แต่ว่าพวกเราไม่สามารถฝ่าคน "อย่างกับหนอน" ที่รุมกันถ่ายรูปและยืนอธิษฐานเข้าไปถึง คุณโอ๋บอกว่าถ้าเป็นช่วงบ่ายแก่ ๆ คนจะน้อยกว่านี้ แต่ตอนนี้เลยเพลมากแล้ว จึงไม่สามารถที่จะอยู่รอได้ และไม่ได้พาไปชมทิวทัศน์บนยอดโดมของมหาวิหารหลังนี้ ตลอดจนพิพิธภัณฑ์วาติกัน (Vatican Museums) และโบสถ์น้อยซิสตีน (Sistine Chapel) ซึ่งเป็นที่คัดเลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่...

"เอาไว้ครั้งหน้าถ้าพระอาจารย์ทั้งหลายมาใช้บริการ ผมจะกำหนดตารางเวลาให้ตรงกับช่วงบ่าย จะได้เที่ยวกันให้ทั่วถึงคุ้มค่ากับรายจ่ายมากกว่านี้ สำหรับตอนนี้ขอนิมนต์ทุกท่านให้มารวมตัวกันเพื่อถ่ายรูปหมู่ตรงนี้เลยครับ เสร็จแล้วจะได้ไปฉันเพลกัน"

บริเวณที่รวมพลของพวกเราก็คือกลางห้องโถงใหญ่ ริมรั้วที่เขากั้นหน้าซุ้มบัลลังก์ของเซนต์ปีเตอร์เอาไว้นั่นแหละ ให้รถเข็นของพระครูด็อกเตอร์อยู่ตรงกลาง ที่เหลือรายล้อมกันเข้าไป บรรดานักท่องเที่ยวระดมถ่ายรูปจนแสงแฟล็ชเข้าตาแสบไปหมด กว่าที่กล้องของพวกเราจะฝากกันถ่ายได้ครบ ตากล้องไม่ได้รับเชิญก็ถ่ายไปหลายร้อยคนแล้ว...

สุธรรม 04-10-2015 17:07

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1443953158
ประหนึ่งสองแขนแห่งคริสตจักรที่โอบล้อมโลก (รูปจากอินเตอร์เน็ต)

ท่านที่ไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปมา หรือแผ่นความจำมีความจุน้อย ก็บอกกับเพื่อน ๆ ว่า "ส่งรูปให้บ้างนะ" เมื่อเห็นว่าเรียบร้อยแล้ว อิลลาเรียก็นำคณะของเราเดินออกมาทางประตูที่เป็นประตูซ้ายมือของมหาวิหาร ตรงกันข้ามกับประตูที่พวกเราเข้ามา ถ้าเป็นการจัดจราจรก็เป็นแบบ One Way นั่นเอง โผล่ออกมาก็เห็นลานกว้างหน้ามหาวิหารอยู่ตรงหน้า...

"เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ที่ ๗ ได้รับเลือกให้เป็นพระสันตะปาปา ในปี ค.ศ.๑๖๕๕ พระองค์ได้ว่าจ้างสถาปนิกนักออกแบบชื่อ จิอาน ลอเรนโซ เบอร์นินี่ (Gian Lorenzo Bernini) ให้สร้างจตุรัสอยู่ด้านหน้ามหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ เป็นลานรูปไข่ที่มีความยาว ๒๔๐ เมตร กว้าง ๑๙๖ เมตร เรียกว่า ปิแอสซ่า ซาน ปิเอโตร (Piazza San Pietro) หรือจตุรัสนักบุญเปโตรนั่นเองครับ" คุณโอ๋แปลข้อมูลจากมัคคุเทศก์สาวมาให้...

"จตุรัสเซนต์ปีเตอร์แห่งนี้ โอบล้อมด้วยระเบียงคดรูปครึ่งวงกลมสองด้าน ซึ่งเบอร์นินี่ตั้งใจออกแบบให้เสมือนกับแขนของศาสนาจักร ที่ยื่นออกไปโอบล้อมโลก ระเบียงคดแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.๑๖๖๐ ประกอบไปด้วยแนวเสาด้านละ ๒ แถว มีเสาที่เรียกว่า Doric ทั้งหมด ๒๘๔ ต้น แต่ละต้นมีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๑.๖ เมตร สูง ๒๐ เมตร บนหลังคาหัวเสามีปฏิมากรรมลอยตัว เป็นรูปของพระสันตะปาปาแต่ละพระองค์ รวมถึงนักบุญต่าง ๆ รวม ๑๔๐ ชิ้น ตรงกลางลานมีเสาโอเบลิสก์ที่นำมาจากอียิปต์ (Egyptian Obelisk) อายุเก่าแก่กว่า ๔,๐๐๐ ปี ตั้งอยู่ ในช่วงเวลาสำคัญ เช่น เมื่อมีการแต่งตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่ หรือในเทศกาลอีสเตอร์ จะมีผู้มาร่วมชุมนุมที่จตุรัสนี้มากถึง ๔๐๐,๐๐๐ คน"

สุธรรม 05-10-2015 00:59

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1443981494
ตู้โทรศัพท์สาธารณะของที่นี่

เห็นมีรถนักท่องเที่ยวประเภท "ชะโงกทัวร์" หลายคัน ซึ่งมีที่นั่งบนหลังคาเรียงเป็นตับ วิ่งวนให้นักท่องเที่ยวชมสถานที่และถ่ายรูปกันโดยไม่ต้องลงมาให้เท้าแตะพื้น อาตมาเห็นว่าดีแค่ได้มุมถ่ายรูปที่สูงกว่าและกว้างกว่า นอกจากนั้นแล้วไม่ได้สัมผัสใกล้ชิดกับสถานที่เลย มีตู้โทรศัพท์สาธารณะแบบมีที่กั้นครึ่งตัวเป็นแผ่นอะครีลิกใส ๆ อยู่ชิดตัวตึกด้านทางออก อาตมาจึงเดินออกนอกแนวรั้วกั้นในจตุรัสไปถ่ายรูปไว้ดูเล่น แล้วเลยไปถ่ายรูป "แผงลอยฝรั่ง" เอาไว้ด้วย...

"นมัสการพระอาจารย์ครับ" พระภิกษุรูปหนึ่งที่หนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวยกมือไหว้ อาตมารับไหว้แบบงง ๆ พลางนึกว่า..นี่ตูจะดังเกินเหตุแล้วมั้ง ? มายันวาติกันแล้วยังมีคนรู้จัก แถมยังเป็นพระอีกด้วย... "พระอาจารย์มากับคณะของหลวงพี่โจใช่ไหมครับ ?"

"เฮ้ย..ท่านกบ ทำไมเพิ่งมา ? พวกผมเที่ยวที่นี่กันจนเสร็จแล้ว" พระครูโจเข้ามาทักทาย อาตมาจึงได้ทราบว่าท่านกบที่ชื่อฉายาอะไรก็ไม่รู้ ? เป็นเพื่อนกับพระครูโจ มาต่อปริญญาโทที่อิตาลี อาสาจะมาเป็นมัคคุเทศก์นำเที่ยวให้กับคณะของเรา "ผมมีชั่วโมงเรียนครับ เลยมาถึงช้าไปหน่อย" ท่านกบผู้มีน้ำใจชี้แจงแถลงไข...

สุธรรม 05-10-2015 16:52

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444038716
ต้องยืนติดผนังจะได้ไม่ขวางทางรถเข้าออก

"พระครูวิลาศฯ พระครูปลัด นิมนต์ถ่ายรูปหมู่กันทางนี้ค่ะ" เสียงของ "หญิงใหญ่" ประจำคณะตะโกนเรียก แต่กว่าที่อาตมา พระครูโจและท่านกบ จะฝ่านักท่องเที่ยวเข้าไปถึง ก็ฝากกล้องให้คนอื่นถ่ายรูปหมู่หน้ามหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ไม่ทันแล้ว เหลือแต่ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ที่ยังถ่ายวีดิโออยู่พร้อมกับใส่คำบรรยายไปด้วย...

นอกจากจะหิวไส้แขวนแล้ว อิลลาเรียยังเร่งให้เดินตามไปโดยด่วน พวกเราจึงไหลตามกันไปเป็นขบวน ย้อนเส้นทางเดิมที่มุดลงใต้ดิน แล้วขึ้นบันไดสวนทางกับนักท่องเที่ยวจำนวนมากที่กำลังเดินลงมา พ้นจากทางเดินกรุโลหะที่หลายท่านเกือบจะลากสังขารขึ้นไปไม่ไหว โผล่มาที่หน้าประตูกระจกด้านนอกวังวาติกัน ก็ต้องยืนตัวลีบติดผนังหลบที่รถเข้าออกเพื่อรอรถของเรามารับ...

มีคนมาเสนอขาย "เจลดึ๋งดั๋ง" ที่เป็นก้อนเหนียวสีสันสดใส พอขว้างลงพื้นหรือผนังก็ติดหนับแบนแต๊ดแต๋ แล้วค่อย ๆ รวมตัวเป็นก้อนเด้งหลุดออกมาใหม่ แต่พวกเราไม่รู้ว่าจะซื้อไปทำอะไร อยากให้เป็นของที่กินได้มากกว่า “พระอาจารย์ทุกท่านอย่าซื้อนะครับ ของพวกนี้มักเป็นของปลอมเลียนแบบ คนขายต้องหูไวตาไว คอยวิ่งหนีตำรวจอยู่ตลอดเวลา กฎหมายลิขสิทธิ์ของยุโรปแรงมาก คนซื้อมีไว้ในครอบครองก็ผิดกฎหมายของเขาด้วยครับ..” คุณโอ๋บอกเมื่อเห็นพระครูปรีชาสนใจไปไต่ถามคนขาย...

สุธรรม 06-10-2015 03:22

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444076522
ปราสาทนักบุญแองเจโล ที่เดิมเป็นป้อมรักษาวังวาติกัน (รูปจากอินเตอร์เน็ต)

พลขับหน้าตายที่ไม่ยิ้มไม่พูดเลยตั้งแต่เจอหน้ากันมา นำรถมาจอดเทียบให้พวกเราขึ้นอย่างเร่งด่วน เพราะข้างหลังยังมีตามมารออยู่อีกหลายคัน เมื่อคุณโอ๋ขึ้นมาและประตูอัตโนมัติปิดเรียบร้อยแล้ว พ่อเสือยิ้มยากก็นำรถออกจากที่ ย้อนกลับไปทางเดิมทุกประการ วิ่งขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำไทเบอร์ ที่มีรูปปั้นเทวดาสยายปีกงาม ๆ ประดับหัวเสาสะพานเป็นระยะ เมื่อผ่านป้อมโบราณรักษาวังวาติกันที่มีรูปหล่อสัมฤทธิ์อยู่บนยอด ท่านอาจารย์คณบดีกล่าวกับอาตมาว่า...

“ของเก่าทุกประเทศล้วนแต่ประณีตงดงามกว่าของใหม่ทั้งนั้นนะครับ”

“ครับ..พระอาจารย์ ผมคิดว่าคนรุ่นเก่าสร้างสิ่งต่าง ๆ ด้วยศรัทธา มีความตั้งใจที่จะฝากฝีมือเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้กล่าวขวัญถึง โดยเฉพาะการสร้างเพื่อพระศาสนา เพื่อถวายแก่พระผู้เป็นเจ้า เขาจึงทุ่มเทแบบสุดตัว สุดฝีมือ กลายเป็นผลงานที่ยากจะหาใครมาเทียบได้..”

สุธรรม 06-10-2015 16:55

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444193165
เดินลงเนินไปยังภัตตาคาร

พระครูญาณฯ เดินมาขอไมโครโฟนจากคุณโอ๋ ซึ่งนั่งคู่กับอิลลาเรียอยู่ที่เบาะหน้า บอกว่าในฐานะที่เที่ยวต่างประเทศบ่อย ขอถวายคำแนะนำเพื่อน ๆ ทุกท่านว่า ค่าอาหารนั้นเขาคิดรวมเอาไว้ในค่าที่พักอยู่แล้ว ขอให้ทุกรูป “ใส่” ได้ไม่ต้องยั้ง ถ้ามีล็อบสเตอร์ก็ให้จ้วงก่อนเลย แต่คุณโอ๋ขอไมโครโฟนคืนแล้วแจ้งให้ทราบว่า...

“อาหารของพวกเรานั้น มีแต่มื้อเช้าที่บวกอยู่ในค่าโรงแรม เป็นบุฟเฟ่ต์ที่เลือกตักได้ตามใจชอบ แต่มื้อกลางวันเราจะเข้าภัตตาคารกันทุกวันครับ อย่างวันนี้ผมสั่งข้าวสวยและกับข้าวไว้หกอย่าง มีซีอิ๊วพริกขี้หนูและน้ำพริกนรกที่พกมาแถมให้ด้วย ถ้าไม่พอขอเติมได้ไม่อั้นครับ..” พวกเราตบมือเฮชอบใจกันใหญ่ พระครูญาณฯ เพิ่งรู้ว่ามาผิดงาน จึงเดินกลับไปยังที่นั่งแบบจ๋อง ๆ...

พลขับพาเลาะกำแพงเมืองเก่า อิลลาเรียบอกว่าทางซ้ายมือเคยเป็นที่พักของบรรดาคาร์ดินาลที่มาประชุมใหญ่ประจำปี ตอนนี้ถูกปรับปรุงเป็นสวนสาธารณะไปแล้ว รถของเราเลี้ยวขวาอ้อมกำแพงมาจอดที่หน้าสถานที่จอดรถขนาดใหญ่บึ้ม ที่มีป้ายชื่อเขียนว่า PARKING LUDOVISI แล้วปล่อยพวกเราลงเดินเลี้ยวซ้ายตามอิลลาเรีย ที่เดินชิดขวาไปตามถนนซึ่งลาดลงไปเหมือนกับเดินลงเนินเขา...

สุธรรม 07-10-2015 03:03

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444161773
ร้านกาแฟที่เล็กจนไม่พอให้แมวดิ้นตาย

สองฟากข้างถนนมีรถจอดกันแน่นขนัดยาวเหยียดจนแทบไม่มีช่องว่าง โดยมีเครื่องหยอดเหรียญให้เอาบัตรจอดรถติดไว้เป็นระยะ ตึกที่เราเดินผ่านทุกห้องมีสินค้าวางแสดงอยู่ที่หน้าต่างกระจก ประมาณ Window shopping ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า หลายร้านติดป้ายยี่ห้อเอาไว้ เห็นมียี่ห้อเบอร์นินี่ที่น่าจะเป็นทายาทของผู้ออกแบบจตุรัสนักบุญเปโตรด้วย บริเวณหน้าร้านหลายแห่ง มีกระถางต้นไม้เล็ก ๆ ปลูกดอกไม้ประเภทซูซานตาดำ บีโกเนีย ต้นสน (จิ๋ว) ต้นไทร (จิ๋ว) เอาไว้ด้วย...

ยังดีที่ทางเดินเป็นเนินที่ลาดลง หาไม่แล้วเวลาที่หิวไส้แขวนต่องแต่งแบบนี้ คงมีบางท่านลมใส่ร่วงไปก่อนเป็นแน่แท้ เดินไปได้สองช่วงตึกคุณโอ๋กับอิลลาเรียก็พาเลี้ยวขวา ผ่านร้านกาแฟเล็ก ๆ ขนาดประมาณ ๓ X ๕ ตารางเมตรสองร้าน ก็มาหยุดอยู่ที่หน้าภัตตาคารจีนชื่อเทียนสิน (TIEN TSIN) มัคคุเทศก์สาวเข้าไปสอบถามที่เคาน์เตอร์ ซึ่งมีตู้วางเหล้าฝรั่งสารพัดยี่ห้อเอาไว้เพียบ แล้วแจ้งผ่านคุณโอ๋ว่า ๓ โต๊ะแรกทางซ้ายมือเป็นของที่พวกเราจองไว้สำหรับพระ...

“เฮ้ย..พระไทย..!” มีเสียงภาษาไทยอุทานดังออกมาจากภายในร้านที่คนแน่นไปหมด อาตมามองแล้วคุ้นหน้ามาก ที่แท้เป็นคณะคนไทยที่มาเครื่องเดียวกันกับพวกเรานั่นเอง แต่ไม่มีเวลาที่จะทักทายอะไรกัน เพราะพวกเขาอยู่ด้านในสุด ส่วนพวกเราต้องนั่งที่โต๊ะนอกสุด คั่นไว้ด้วยบรรดา “เจ๊ก” และฝรั่งหลายโต๊ะ ที่บางโต๊ะน่าจะมากันทั้งครอบครัว เพราะมีลูกเล็กเด็กแดงมาด้วย...

สุธรรม 07-10-2015 15:17

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444205779
สามโต๊ะนี้เป็นของเรา หาที่นั่งกันตามอัธยาศัย

อาตมาเดินเข้าไปนั่งด้านในของโต๊ะกลาง หันหลังชนกำแพงติดกับหลวงพ่อพระครูเรือง (พระครูวชิรปัญญานุโยค) ที่เข้าไปนั่งอยู่โต๊ะในสุด ตามมาด้วยท่านไพฑูรย์ ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะกลมก็คือหลวงพ่อพระครูเลิศ พระครูปรีชา และเพื่อน ๆ ท่านอื่น เขาจัดให้โต๊ะหนึ่งต้องนั่งถึงสิบที่ด้วยกัน แต่พวกเรานั่งกันแค่โต๊ะละ ๗ รูป มีโต๊ะแรกนอกสุดของหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ที่นั่งเบียดกัน ๘ รูป...

อิลลาเรียบอกลาคุณโอ๋ หันมาโบกมือบ๊ายบายกับพวกเรา อาตมายกมือข้างเดียวรับพร้อมกับบอกว่า “See you again” มัคคุเทศก์สาวยิ้มพลางยกมือไหว้โดยก้มลงหลังแข็ง ๆ แบบ “ก้นกระดก” จากนั้นผลุบออกนอกร้านไป คงจะไปรับลูกทัวร์คณะใหม่ ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ท่านอาจารย์ ดร. วันชัย อาจารย์ตู๋และคุณโอเล่ เดินตามคุณโอ๋เข้าไปด้านใน ได้ยินว่ามีของฆราวาสอยู่ทางด้านนั้น ๑ โต๊ะ ครู่หนึ่งคุณโอ๋กับคุณโอเล่ก็เอาซีอิ๊วพริกขี้หนู กับน้ำพริกนรกที่แบ่งใส่ถ้วยเล็ก มาประเคนให้ทั้ง ๓ โต๊ะ...

บริกรในร้านยกเอากาน้ำชาพร้อมถ้วยมาทั้งถาด อาตมารีบรับแล้ววางลงตรงกลาง จะให้พวกเขาเข้าใจว่าต้องมีคนประเคนพระถึงจะฉันได้ คงต้องอธิบายกันจนเหนื่อย สู้รับไว้เลยดีกว่า แหม..ถ้วยใบเท่าไข่ไก่ เล่นเอา “อูฐ” อย่างอาตมามองตาปริบ ๆ จะยกซดทั้งกาก็เกรงใจเพื่อนร่วมโต๊ะ จึงต้องวางมาดจิบชาพร้อมกับกวาดตาดูบรรยากาศรอบร้านไปด้วย...

สุธรรม 08-10-2015 03:28

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444249658
การตกแต่งภายในร้านเป็นแบบจีนล้วน ๆ

การตกแต่งร้านเป็นแบบจีนล้วน ๆ ถัดจากประตูเข้ามาเป็นซุ้มโค้ง ที่มีหงส์ทองคู่เทิดคำมงคล กลางร้านเป็นยันต์แปดทิศ (ปากว้า) เก้าปราสาท (จิ่วกง) ที่ออกแบบอย่างแยบยลจนแทบจะดูไม่ออก มีโคมจีนแบบเหลี่ยมแขวนอยู่เพื่อกระจายพลังปราณ (ชี่) ด้วย ผนังทั้งสองด้านเป็นภาพวาดพู่กันจีน มีทั้งที่เป็นหมึกดำอย่างเดียวและภาพสี ส่วนมากเป็นภาพสิ่งมงคลประเภทดอกบัว (ร่มเย็นเป็นสุข) นกกระเรียน (อายุยืนยาว) ขุนเขา (หนักแน่นมั่นคง) ไม้ไผ่ (เจริญงอกงาม) ดอกเหมย (ฝ่าฟันอุปสรรคได้สำเร็จ)...

ปอเปี๊ยะทอดจานใหญ่พร้อมน้ำจิ้มถูกวางลงกลางโต๊ะ อาตมาตักใส่จานตัวเอง ๒ ตัว เอาช้อนตัดเป็นชิ้น ๆ ตักน้ำจิ้มราดแล้วตักใส่ปาก “รอให้มาครบทุกอย่างก่อนซิ” หลวงพ่อพระครูเลิศที่หิวจนมือสั่นยังมีแก่ใจจะให้รอ “อาหารจีนเขามาทีละจานครับ บางร้านถ้าของใหม่ออก เขาจะเก็บของเก่าไปด้วย ถ้ารอให้มาครบก่อนหลวงพ่อมีหวังอดแน่ ๆ” เมื่อได้รับคำชี้แจงเช่นนั้น ช้อนทุกคันก็พุ่งลงไปยังที่หมายเดียวกัน พรึ่บเดียวหมดเกลี้ยง..!

เวลาตอนนี้ก็คือบ่ายโมงสามสิบเจ็ดนาทีของบ้านเขา บ้านเราก็เกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว ห่างจากอาหารเช้าที่ไม่พอยาขี้ฟันเกือบสิบสองชั่วโมงเต็ม ๆ ซ้ำยังเดินกันแทบขาลาก ทุกท่านจึงก้มหน้าก้มตาจัดการกับอาหารแบบไม่มีใครสนใจอย่างอื่น “เงยหน้าดูผมบ้างซิท่าน อะไรจะเอาแต่ก้มหน้า “โซ้ย” ไม่หายใจแบบนั้น” พระครูปรีชายังมีหน้าไปแหย่ท่านไพฑูรย์ แบบนี้เขาเรียกว่าไม่ดูกาลเทศะ แสดงว่ายังไม่เคยเจอคน “โมโหหิว” ใช่ไหม ? ถึงตายเลยนะนั่น..!

สุธรรม 08-10-2015 14:15

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444288463
ตอนมาก็สมบูรณ์ดี ตอนกลับเอาไปแค่นี้..!

จากปอเปี๊ยะทอดที่เป็นออร์เดิร์ฟ ชุดอาหารหลักก็ตามมา มีแกงจืดแครอตหัวไชเท้าใส่กุ้งแห้ง ที่จีนจับมือกับฝรั่ง ผสานวัฒนธรรมเข้ากันได้แบบกลมกลืน ปลาทอดผัดพริกหวานที่อาตมาโกยพริกทั้งแดงทั้งเขียวมาคนเดียว เพราะท่านอื่นไม่ฉัน ปลาจีนนึ่งที่แต่ละท่านเกือบจะฉันจานลงไปด้วย ผัดผักรวมที่กลิ่นเนยแรงไปหน่อย ไก่ล่อนซึ่งถ้าไม่มีแกงจืดมีหวังโดนทิ่มกระเดือกตายเพราะแห้งเหลือเกิน ปิดท้ายด้วยไข่เจียวน้ำมันมะกอก ที่มีบางท่านบ่นว่าทั้งแข็งทั้งเหนียว แต่ก็หมดเกลี้ยงอยู่ดี...

น้ำพริกนรกดูเกินความจำเป็น วันนี้ส่งอะไรมาก็เหลือแต่จานเปล่าหรือเศษกระดูกกลับไป ต้องสั่งข้าวมาเพิ่มอีกโต๊ะละ ๒ โถใหญ่ เล่นเอาคุณโอ๋ยิ้มแห้ง ๆ คงคิดว่าถ้าบรรดาพระอาจารย์ฉันกันแบบนี้ทุกมื้อที่เหลือ กลับไปตัวเองอาจจะตกงานเพราะบริษัทเจ๊งก็ได้..!

บริกรหญิงยกกาน้ำชามาถึง คงเห็น “ถ้วยถังกาละมังหม้อ” เต็มโต๊ะ จึงไม่วางกาน้ำชาลง แต่ขอถ้วยจากแต่ละคนไปเทให้แทน องปลัดแทนที่จะส่งถ้วยให้ กลับย้ายหลบไปวางที่อื่น เพื่อที่จะตักอาหารได้ถนัด อาหมวยคงฉุนเลยพ่นพรวดออกมาทีเดียวสองภาษา “Give me your teacup. ลื่อจายโบ๋ย ?” อาตมาหัวเราะพร้อมกับแปลให้เพื่อนนักบวชอนัมนิกายฟังว่า “เขาชมว่าท่านน่ารัก ถามว่าแต่งงานหรือยัง ?” อีกฝ่ายยิ้มเห็นฟันหลอ “อย่ามาแหกตา ถ้าน่ารักทำไมต้องถามว่า “ลื่อจายโบ๋ย (เข้าใจไหม ?)" เราฟังแต้จิ๋วออกนะ”

“นั่นแหละ..เขาถึงได้พูดภาษาจีนกับท่านคนเดียว กับพวกผมเขายอมใช้ภาษาจีนซะที่ไหน”

สุธรรม 09-10-2015 02:16

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444331711
Window shopping ขนานแท้..ดูอย่างเดียว

เห็นอาตมาทำท่าขึงขังจริงจัง ประกอบกับอาหมวยมองไม่วางตา ที่ไม่ยอมส่งถ้วยชาให้เสียที เล่นเอาอีกฝ่ายทำหน้าไม่แน่ใจ อาตมาจึงคว้าถ้วยชาของท่านส่งไปให้ อาหมวยยิ้มหวานพร้อมกับรินน้ำชาแล้วส่งคืนมา องปลัดทำท่าคึกคักเหมือนกับมีพญานาคโผล่ขึ้นที่หัว...

“ชมเขาว่าน่ารักหน่อยสิ”

“ท่านพูดเองเลยว่า You are very ugly.

“พอเถอะ..หลอกกันหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? เรากลัวโดนน้ำชาร้อน ๆ สาดหน้าว่ะ”

ตั้งแต่เรียนปริญญาเอกมานี่ชักจะทำบาปไม่ขึ้น เพื่อนแต่ละท่าน “ฉลาดเป็นกรด” หลอกต้มไม่เคยสำเร็จเลย จึงขอตัวไปห้องน้ำแทน ต้องเดินลึกเข้าไปในร้าน คุณโอ๋เห็นก็ชี้มือไปทางขวาที่มีประตูกระจกอยู่ แต่พอเปิดเข้าไปกลับไม่ใช่ห้องน้ำ ต้องเดินขึ้นบันไดไปสามขั้นถึงเจอห้องน้ำสามห้อง แต่ปิดสนิทไปสองห้อง อาตมาจึงแวบเข้าห้องที่ติดรูปผู้หญิงไปเลย ปัสสาวะแล้วออกมาล้างหน้าที่อ่างด้านนอก ถอดอังสะกันหนาวออก เพราะรู้สึกว่าเริ่มจะร้อนแล้ว แต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ เอาอังสะกันหนาวที่เป็นไหมพรม ม้วนใส่กระเป๋าอังสะตัวบางแล้วกลับออกมานั่งที่เดิม...

เพื่อน ๆ ผลัดกันไปห้องน้ำ บริกรเพิ่งจะยกส้มมาตอนนี้เอง บรรดา “น้องผู้หิวโหย” กวาดเรียบตามเคย เห็นว่าคงต้องรอทางโต๊ะท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐอิ่มก่อน อาตมาจึงขอตัวเดินออกมานอกภัตตาคาร เห็นอะไรก็ถ่ายรูปเอาไว้ ทั้งร้านกาแฟจิ๋ว รถเก๋งคันจิ๋ว ห้องแสดงภาพ โบสถ์คริสต์ กระถางต้นไม้ เพราะทุกอย่างสำหรับอาตมาแล้วเป็นของใหม่หมด จากนั้นเดินย้อนกลับไปทางที่จอดรถพร้อมกับ Window shopping ไปเรื่อย ๆ...

สุธรรม 09-10-2015 15:43

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444380145
ตึกเก่าสวย ๆ ทั้งนั้น

เพื่อน ๆ หลายท่านเดินตามมา เมื่ออิ่มแล้วคงเบื่อที่จะนั่งรอเช่นกัน อาตมาเดินชิดซ้ายจนเลยที่จอดรถไป มีกำแพงสูงใหญ่ที่น่าจะเป็นคฤหาสน์ของผู้ดีสมัยก่อน เสียดายว่าประตูปิดอยู่ จึงถ่ายรูปปั้นสิงโตสองตัวที่เฝ้าหน้าประตูซึ่งท่าทางน่าจะดุมาก เพราะเขาทำกรงขังเอาไว้ด้วย แล้วเดินถ่ายรูปต้นไม้ใบหญ้าไปเรื่อย เพิ่งจะสังเกตว่าต้นไม้ที่เขาปลูกเป็นแถวเป็นแนวข้างถนน มีใบใหญ่เหมือนใบจำปีนั้น ออกลูกเป็นส้ม..! น่าจะเป็นส้มคนละตระกูลกับบ้านของเรา...

ตรงสามแยกเป็นตึกเก่าดูสวยงามทีเดียว ตัวตึกเกือบจะเป็นรูปสามเหลี่ยมตามสามแยกเลย เดินเลยไปอีกหนึ่งช่วงตึก หันกลับมา อ้าว..พรรคพวกหายไปไหนหมดวะ ? สงสัยจะไปขึ้นรถกันหมดแล้ว อาตมารีบจ้ำอ้าวกลับมาถึงที่จอดรถ ก็ไม่เห็นรถบัสของเราเลย มองดูซ้ายขวาหน้าหลังก็ไม่มีเพื่อนเหลืออยู่สักคน ดูท่าจะโดนตัดหางปล่อยกรุงโรมซะแล้วมั้ง ?

โบราณท่านว่า “หนทางอยู่ที่ปาก” อาตมาจึงตรงเข้าไปหาหญิงกลางคนรายหนึ่ง ที่ยืนอาบแดดหรือยืนรอรถอยู่กลางแดดก็ไม่รู้ ? ถามว่า "Do you see some Buddhist monk like me ?" คุณป้าชี้มือไปทางที่ลงเนินไปหาภัตตาคารบอกเสียงแหลม ๆ ว่า “They go to that way” อ้าว..ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? บอกขอบคุณแล้วรีบจ้ำลงเนินไปเป็นการด่วน พอเลี้ยวขวาไปก็เห็นอาจารย์ตู๋กำลังถ่ายรูปให้หลวงพ่อพระครูสันติฯ ที่หน้าภัตตาคาร ส่วนพรรคพวกและคุณโอ๋ไปรวมตัวกันอีกฝั่งของถนนแล้ว อาตมาจึงจ้ำเข้าไปสมทบเป็นการด่วน...

สุธรรม 10-10-2015 02:47

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444420003
เดินตามคุณโอ๋พร้อมกับฟังคำบรรยายไปด้วย

“ได้รูปเยอะไหม ?” องปลัดถามขึ้น “ทำไมไม่มีใครเรียกผมเลยวะ ?” อาตมาตอบด้วยคำถาม “ก็ไปซะไกลลิบขนาดนั้น ใครจะไปตะโกนถึง เราจะไปตามก็ขี้เกียจเดิน คิดว่าเดี๋ยวก็คงถามคนแถวนั้นแล้วตามมาทันเองแหละ” เออ..ขอบคุณเป็นอันขาดที่ไว้วางใจตูขนาดนั้น ถ้าไม่ได้ภาษาเขานี่มีหวังถูกลอยแพให้กินมักกะโรนีหรือพิซซ่าอยู่แถวนี้แหละ..!

“จากตรงนี้เราจะเดินไปที่น้ำพุเทรวี่ (Trevi Fountain) ซึ่งภาษาอิตาเลียนเรียกว่า Fontana di Trevi กันนะครับ คำว่า Trevi หมายถึง ถนน ๓ สาย เพราะน้ำพุแห่งนี้สร้างอยู่ตรงจุดเชื่อมต่อของถนน ๓ สาย และเป็นปลายทางของท่อส่งน้ำ (Aqueduct) ที่มีชื่อว่า “Aqua Virgo” ซึ่งเป็นท่อส่งน้ำที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงโรม เล่ากันว่า ทหารโรมันได้รับคำสั่งให้มาหาแหล่งน้ำ เด็กหญิงคนหนึ่งได้ชี้ให้มาพบแหล่งน้ำนี้ ซึ่งเป็นน้ำบริสุทธิ์มีรสชาติดีมาก จึงตั้งชื่อว่า “น้ำแห่งผู้บริสุทธิ์” หรือ Aqua Virgo ที่มีความหมายว่า Virgin Water นั่นเองครับ...

จากจุดนี้ น้ำได้ถูกส่งไปใช้ในกรุงโรมไกลถึง ๑๓ กิโลเมตร ท่อส่งน้ำนี้ใช้งานมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมันรุ่งเรือง จนถูกพวกโกธ (Goth) ที่เข้าปล้นกรุงโรมทำลายไปในปี ค.ศ. ๕๓๗ – ๕๓๘ น้ำพุเทรวี่เป็นน้ำพุที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก แถวนั้นคนจะแน่นมาก พระอาจารย์ทุกท่านต้องระวังกระเป๋าให้ดีนะครับ ครั้งก่อนที่ผมพาคณะมาก็โดนที่ตรงนี้แหละ ลูกทัวร์กอดกระเป๋าถือไว้ แต่โดนล้วงกระเป๋ากางเกงแทน หมดเงินไปหลายพันยูโรเลยครับ...” มัคคุเทศก์รูปหล่อบรรยายพลางเดินนำหน้าไปพลาง มาจนสุดตึกแถวก็เลี้ยวขวามือ ตรงนี้เป็นสี่แยก รถรามากทีเดียว...

สุธรรม 10-10-2015 20:30

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444483802
ขึ้นจากอุโมงค์แล้วเดินเข้าไปในซอยนี้

นึกว่าคุณโอ๋จะพาข้ามถนนตรงนี้เลย ที่ไหนได้..พ่อรูปหล่อพาเลี้ยวซ้ายเข้าหารั้วเหล็กที่กั้นขอบถนน ซึ่งมีช่องเปิดกว้างเมตรเศษ ๆ เดินดุ่มลงบันไดไปในช่องนั้นเลย พวกเราจึงต้องเดินลงอุโมงค์ข้ามสี่แยกตามกันไปเป็นพรวน ในอุโมงค์มีสารพัดป้ายโฆษณาติดอยู่เต็มไปหมด มีตู้ขายน้ำแบบหยอดเหรียญด้วย...

“น้ำพุเทรวี่สร้างขึ้นด้วยศิลปะแบบบารอค (Baroque) ปราสาทด้านหลังของน้ำพุ ชื่อเต็มว่า Palazzo Conti Duca di Poli เป็นปราสาทประจำตระกูล Conti มีตำแหน่งเป็นท่าน Duke ที่คนไทยเราอ่านว่า “ดยุค” นั่นแหละครับ...”

“แล้วไอ้ดยุคที่ว่านี่ เทียบกับของไทยแล้วเป็นอะไร ถึงได้มีปราสาทด้วย” พระครูกุ้ยไฮ้ เจ้าพ่อถ้ำสิงห์โตทอง (สิงห์ของท่านมี ห์ ด้วย) ถามขึ้น...

“ผมก็ไม่ค่อยชัดเจนนัก ประมาณเชื้อพระวงศ์อะไรของเขานี่แหละครับ ขอติดพระอาจารย์เอาไว้ก่อน แล้วจะไปค้นคว้ามาให้นะครับ” มัคคุเทศก์รูปหล่อว่าพลางนำขึ้นจากอุโมงค์ มาโผล่ที่อีกฝั่งหนึ่งของสี่แยก แล้วพาเลี้ยวขวาเข้าไปในซอกตึกแคบ ๆ ยาว ๆ เดินกันต่อไป...

สุธรรม 11-10-2015 02:51

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444506533
กินไปอาบแดดไปอย่างมีความสุข

“เปรียบได้กับเจ้าต่างกรมที่มีศักดินาครอบครองพื้นที่ของไทยครับ” อูย..ตกใจขนหัวลุก อยู่ ๆ “ท่านผู้นำ” ก็โผล่มาอธิบายให้ฟัง แล้วตูต้องอธิบายอย่างไรเพื่อน ๆ ถึงจะเชื่อว่าเป็นข้อมูลที่ถูกต้องวะนี่ ? ตั้งแต่เรียนปริญญาเอกมานี่ พวกเล่นจะเอาเอกสารอ้างอิงยันเตเลย...

“น้ำพุเทรวี่นี้มีตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมา ๓ ตำนานดังนี้ครับ เรื่องแรกเล่ากันว่า ผู้ที่โยนเหรียญ ๑ เหรียญลงไปในน้ำพุเทรวี่ จะได้กลับมากรุงโรมอีกครั้ง ถ้าโยน ๒ เหรียญจะได้พบคู่ครองและได้แต่งงาน แต่ถ้าใครอยากจะหย่าร้าง ให้โยน ๓ เหรียญ พูดง่าย ๆ ก็คือ ใครอยากจะหย่ากับแฟนก็ต้องลงทุนมากหน่อยครับ...

เรื่องที่สองเล่าว่า ผู้ที่โยนเหรียญ ๑ เหรียญลงไปในน้ำพุ จะได้กลับมากรุงโรมอีกครั้ง ส่วนผู้ที่ปรารถนาจะได้โชคลาภ ต้องโยนเหรียญ ๓ เหรียญด้วยมือขวา ผ่านไหล่ซ้ายของตนลงไป เรื่องที่สามเป็นตำนานอยู่ในหลักสูตรและในตำราเรียนของเด็กอิตาเลียน กล่าวว่า ผู้ใดปรารถนาจะพบกับรักแท้ ให้โยน ๑ เหรียญ ผู้ใดปรารถนาจะได้โชคลาภ ให้โยน ๒ เหรียญ เพราะเลข ๒ มีความหมายเท่ากับทวีคูณ ส่วนผู้ใดปรารถนาจะกลับมาที่กรุงโรมอีกครั้ง ก็ให้โยน ๓ เหรียญครับ”

พ้นจากซอกตึกแคบ ๆ ออกมา เป็น “ซอย” ใหญ่ มีร้านกาแฟ ร้านเหล้า ร้านขายของที่ระลึก ร้านขายพิซซ่า เรียงรายเต็มไปหมด บรรดานักท่องเที่ยวนั่งกินกาแฟกลางแดดเปรี้ยง ๆ อย่างมีความสุข อาตมาเห็นร้านขายผลไม้ก็รี่เข้าไปถ่ายรูปตามประสาคนที่เกิดเป็นลิงบ่อย เห็นมีทั้งกล้วยหอม สับปะรด แตงโม แตงญี่ปุ่น สตอเบอรี่ กีวีฟรุต ลูกแพร์ ส้ม มะนาว มะเขือเทศ ฯลฯ ราคาน่าจะแพงหูดับ เพราะบ้านเขาอากาศหนาว ปลูกอะไรไม่ค่อยขึ้น ส่วนมากต้องนำเข้าทั้งนั้น...

สุธรรม 11-10-2015 17:11

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444558245
ผู้คนอย่างกับหนอน (ภาพจากอินเตอร์เน็ต)

“ประมาณกันว่าในแต่ละวัน มีผู้โยนเหรียญลงในน้ำพุประมาณ ๓,๐๐๐ ยูโร ซึ่งจะถูกเก็บไปโดยเจ้าหน้าที่เทศบาล แล้วนำเงินทั้งหมดนี้ไปสมทบกองทุนช่วยเหลือคนยากจน..” คุณโอ๋ยังคงถ่ายเทข้อมูลมาเรื่อย ๆ พวกเราเดินมาจนถึงหัวมุมของซอย ก็เห็นคนประมาณ "ล้านเจ็ด" แน่นขนัดไปหมด แทบไม่มีทางให้เบียดเข้าไปได้เลย ทุกสายตามองมาที่คณะของเราเป็นจุดเดียว กล้องอีกเป็นร้อยที่หันมาถ่ายรูปเป็นการใหญ่...

"May I take you some photo ?" แหม่มสาวในชุดสีดำหน้าตาถูกแว่นดำอันโตบังไปเกือบหมดรี่เข้ามาถาม "ได้..แต่คุณห้ามแตะต้องตัวฉันนะจ๊ะ ฉันเป็นพระในพระพุทธศาสนา มีข้อห้ามสัมผัสถูกต้องผู้หญิง" อาตมาตอบ เธอหันไปส่งกล้องให้เพื่อนด้วยความดีใจ แล้ววิ่งมายืนด้านขวามือ เอียงหน้าเข้ามาใกล้ทีเดียว "พระอาจารย์ระวังกระเป๋าด้วยนะครับ" เฮ้อ..ถ้าห่างกันแบบนี้แล้วยังล้วงได้ อาตมาก็ตั้งใจว่าให้เธอไปเถอะ เป็นการสนับสนุนคนเก่งไปในตัว..!

เป็นของแปลกนี่ก็ได้รับสิทธิพิเศษเหมือนกัน เมื่อพวกเราทั้งกลุ่มเดินตรงเข้าไปที่น้ำพุ บรรดานักท่องเที่ยวก็แหวกหลบให้เป็นทาง ยกเว้นพวกที่นั่งอยู่ตามขั้นบันไดหน้าน้ำพุ ซึ่งอาตมาอยากจะเรียกว่าน้ำตกมากกว่า ภาพรวมที่เห็นคือตึก (ปราสาท) ทรงบารอคสูงสามชั้น ที่ด้านบนมีลายปูนปั้นเทพกาเบรียล (เดาว่าน่าจะใช่เพราะถือแตรฝรั่ง) สององค์ เทิดสิ่งที่น่าจะเป็นตราประจำตระกูลของท่าน "เสด็จในกรม" ต่ำลงมาเป็นรูปปั้นเทวดานางฟ้าประจำหัว "เสาหลัก" ๔ องค์ แล้วตัวปราสาทขยายออกด้านข้างฝั่งละ ๓ ช่วง ช่วงละ ๓ ชั้น...

สุธรรม 12-10-2015 03:35

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444595628
น้ำพุ (น้ำตก) เทรวี่ มุมตรงหน้าปราสาท Conti

ตัวปราสาทตรงกลางเสาหลักแบ่งออกเป็นสามช่วง ตรงกลางเป็น "เสาโรมันหัวหลุยส์" ๔ ต้น รองรับซุ้มโค้งที่ดูสวยโดดเด่น สองข้างซุ้มช่วงบนซึ่งเป็นชั้นสามของปราสาท เป็นรูปปั้นนูนต่ำ ช่วงล่างที่เป็นชั้นที่สองเป็นรูปปั้นลอยองค์เทวดาและนางฟ้า ตรงกลางซุ้มเป็นรูปปั้นเทพสมุทรโพไซดอน (Poseidon) ที่พระหัตถ์ขวาถือพระวรสาส์น ยืนอยู่บนรถศึกรูปเปลือกหอย...

ต่ำลงมาเป็นเนินหินสูง ๆ ต่ำ ๆ ที่มีน้ำตกไหลลงมาในแอ่ง มีต้นไม้และเถาไม้ซึ่งปั้นได้เหมือนจริงมากอยู่ด้วย ด้านในของแอ่งน้ำตกทั้งสองด้านเป็นรูปเทพบุตรไทรทัน (Triton) ที่ตามตำราเทพเจ้ากรีกบอกว่าเป็นยักษ์ประเภทหนึ่ง กำลังจับ “ม้าน้ำ” ที่มีปีกเป็นนกหางเป็นปลา ซึ่งเทียมรถศึกของพระบิดา ตัวขวาสงบเสงี่ยม ยอมให้เทพบุตรไทรทัน ที่เป่าหอยจูงไปแต่โดยดี ส่วนตัวซ้ายพยศดื้อดึง เล่นเอาต้องออกแรงปล้ำจับกันชนิดใครดีใครอยู่ เปรียบเหมือนท้องทะเลที่บางครั้งก็สงบราบเรียบ บางครั้งก็พิโรธครืนครั่น อวดกายวิภาคทั้งคนทั้งม้าที่งดงามสมจริงเป็นอย่างยิ่ง...

“รวมพลถ่ายรูปหมู่หน่อยครับ” ท่านประธานรุ่นเจ้าของเสียง “เหน่อเพชรบุรี” อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตนประกาศขึ้น พวกเราที่หามุมถ่ายรูปกันตามอัธยาศัยรีบมารวมพลเป็นการด่วน เพราะเกือบทุกท่านโดน “ฝรั่งมุง” รุมถ่ายรูปจนชักจะเกะกะคนอื่น “ขยับไปทางซ้ายหน่อยค่ะ” คุณโอเล่ร้องบอก เนื่องจากมุมขวานี้มี “รถเข็น” ขายของที่ระลึกซึ่งมาได้อย่างไรก็ไม่รู้อยู่คันเดียว เล่นมาจอดขายจนติดหน้าน้ำตกเลย ท่าทางจะเส้นใหญ่น่าดู...

สุธรรม 12-10-2015 15:49

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444639695
ทางซ้ายของภาพทำฝรั่งหล่นหายไปสี่คน..!

พระครูด็อกเตอร์ถูกพวกเราล้อมไว้เป็นไข่แดงเช่นเคย แต่บรรดา “ฝรั่งไม่ได้รับเชิญ” นอกจากจะถ่ายรูปแล้ว หลายรายยังโดดเข้ามา “แจม” ด้วย จนคุณโอ๋ต้องร้องบอกว่าให้เข้ามาได้แต่ผู้ชาย ส่วนผู้หญิงให้อยู่ห่างออกไปหน่อย “พระอาจารย์ทุกท่านโปรดระวังกระเป๋า และระวังจะถูกฝรั่งจับหัวด้วยนะครับ..” ไม่เป็นไร..ฝรั่งไม่ใช่ “ผี” ถึงจับไปก็ไม่มีอะไรมากหรอก..!

ทั้งกล้องถ่ายรูป ทั้งกล้องวีดิโอ ทั้งไอโฟน ไอแพด สารพัด ทั้งของเราและของนักท่องเที่ยว ระดมถ่ายกันเป็นการใหญ่ ฝรั่งบางรายกอดเอวพระ บางรายก็โอบไหล่แบบสนิทสนม ทำเอามัคคุเทศก์ของเราต้องกลายเป็น “แผ่นเสียงตกร่อง” ร้องบอกให้ระวังกระเป๋าเป็นระยะไป กว่าจะถ่ายรูปกันเสร็จก็ทำเอาพ่อรูปหล่อของพวกเราเสียงแหบไปทีเดียว...

เมื่อพวกเราสลายตัวมายืนพิงตึกแถวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับน้ำตก เพื่อเปิดโอกาสให้บรรดานักท่องเที่ยวอื่น ๆ ได้ถ่ายรูปกับน้ำตกกันบ้าง คุณโอ๋ก็ประกาศว่า “ให้เวลาพระอาจารย์ทุกท่านชมสถานที่และถ่ายรูปแถวนี้ตามสบาย แล้วมาพบกันตรงนี้ตอนบ่ายสามโมงนะครับ”

สุธรรม 13-10-2015 02:10

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444676971
ถ่ายรูปตอนโยนเหรียญไม่ทัน ได้มาแค่นี้แหละ..!

อาตมาเดินแทรกกลุ่มคนเข้าไปที่หน้าน้ำตก ล้วงเอาเหรียญ ๑ ยูโรออกมา กลับหลังหันดีดข้ามไหล่ลงน้ำไป ไม่ได้อธิษฐานอะไรหรอก นอกจากตั้งใจบริจาคช่วยคนจนที่นี่ “ว้า..บอกกันก่อนซิครับ ผมจะได้ช่วยถ่ายรูปให้ โยนใหม่อีกทีครับ” สมุห์สุมิตรที่ยืนถ่ายรูปอยู่ไม่ห่างนักร้องบอกขึ้น ไม่เอาแล้วครับ เหรียญละตั้ง ๔๐ บาท ขืนโยนบ่อย ๆ ก็จนกันพอดี ไม่มีรูปก็ช่างมันเถอะ...

“พระครูวิลาศฯ ยังมีเหรียญเหลืออีกไหม ? ขอผมโยนบ้างสิ” ท่านประธานรุ่นถามขึ้น นั่นแน่..ยังไม่ทันจะกลับเลยหลวงพ่อก็จะขอมาใหม่เสียแล้ว “เฮ่ย..ผมขอแค่ขากลับอย่าให้เครื่องบินตกเท่านั้นแหละ” อาตมาล้วงกระเป๋าแล้วเจอแต่เหรียญละ ๒ ยูโรอีกเหรียญเดียว ต้องยื่นให้ท่านแต่โดยดี “ขอผมบ้างสิ” พระครูกล้ายื่นมือมาบ้าง “หมดแล้วครับ มีที่ญาติโยมถวายมาแค่ ๒ เหรียญเท่านั้น ที่เหลือเป็นแบงค์เหมือนกับของพวกท่านนั่นแหละ ใช้ใบละยูโรพับเอาแทนได้มั้ย ?" ท่านรองเจ้าคณะอำเภอตีหน้ายู่ยี่ “เขาว่าต้องเป็นเหรียญเท่านั้น โยนแบงค์ลงไปก็คงจะเปื่อยหมด”...

“Are you Shaolin monk ?” ฝรั่งตัวใหญ่ล่ำบึ้กเหมือนกินควายเป็นอาหารมาตั้งแต่เด็กเดินเข้ามาถาม ออกเสียงว่า “เชาลิน” ที่ไม่คุ้นหูเอาเสียเลย “เขาถามว่าเป็นพระเส้าหลินหรือเปล่า ?” อาตมาแปลแล้วยังไม่ทันจะตอบ พระครูญาณฯ ก็รีบพยักหน้า “Yes..yes..Shaolin kungfu, yakkkkkkkkkkk..!” พ่อเจ้าประคุณแผดเสียงออกวิทยายุทธ์ไปสองสามท่า ดูอย่างไรก็ไม่ใช่เพลงหมัดอรหันต์วัดเส้าหลิน แต่เป็นคาราเต้เสียมากกว่า..!

สุธรรม 13-10-2015 15:57

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444726592
พระครูวิสุทธฯ จะซื้อเสื้อนักฟุตบอล

อาตมาห้ามไม่ทันจึงรีบเดินห่างออกไป เพราะฝรั่งจำนวนมากมักจะชอบลองของ ถ้านายกระทิงโทนแกเหวี่ยงกำปั้นมา ถึงกันทันก็คงจะปลิวไปทั้งตัว ปล่อยให้ครูบาญาณฯ รับผลการกระทำของตัวเองไปเถอะ แต่กลับเดาผิด เพราะอีกฝ่ายขอถ่ายรูปด้วยซะนี่ เสร็จแล้วจับไม้จับมือเขย่ากันแบบรักแรงแข็งขอบอีกต่างหาก...

“Yeeeeeeeeeeaaaaaa..! Robber, help me...help me..!” เสียงกรี๊ดของอนงค์นางหนึ่งดังแสบแก้วหูขึ้นมาใกล้ ๆ อาตมาหันขวับไปทันเห็นชายร่างใหญ่คนหนึ่ง ใส่เสื้อคลุมสีน้ำตาล กระชากกระเป๋าถือจากแหม่มสาวที่เผลอยืนกินไอศกรีมแบบสบายใจ แล้ววิ่งอ้าวไปทางซอยที่พวกเราเดินเข้ามาในตอนแรก มีบางคนช่วยคว้าตัวแต่จับไม่ติด พริบตาเดียวก็หายวับไปกับตา ปล่อยให้น้องแหม่มเต้นเร่า ๆ โวยวายอยู่พักหนึ่ง ก็ถูกฝรั่งมุงล้อมจนมิด เออเว้ย..ของเขาแรงจริงว่ะ ดีที่ไม่ใช่พวกเราโดน เพราะส่วนใหญ่ถือแต่กล้องหรือไอแพด ที่ต้องเสียเวลาไปเปลี่ยนเป็นเงินสด...

“คุณโอ๋...แถวนี้พอจะหาซื้อเสื้อนักฟุตบอลอิตาลีดัง ๆ ได้บ้างไหม ?” พระครูวิสุทธฯ ถามขึ้น “พอจะมีอยู่ทางด้านโน้น พระอาจารย์ต้องเดินไกลหน่อยนะครับ” พอได้ยินว่ามีให้ “ช็อปฯ” องปลัด มหานพพล ก็เดินตามไปทันที หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ยืนเก้ ๆ กัง ๆ ท้ายสุดก็หันมาชวน “ท่านพระครู..ไปดูกับเขาหน่อยมั้ย ?” ได้ครับ...หลวงพ่อ...

สุธรรม 14-10-2015 02:36

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444764905
แต่งตัวแบบนี้จะไปไล่ขโมยทันหรือวะ ?

มัคคุเทศก์รูปหล่อพาเดินฝ่าฝูงชนอ้อมไปทางซ้ายของน้ำตก เลี้ยวซ้ายเข้าซอยแล้วเดินตรงไป เห็นมีเจ้าหน้าที่สองนายแต่งตัวหล่อมาก คล้าย “นายร้อยห้อยกระบี่” ของบ้านเรา เดินเกร่อยู่ทางด้านนี้ แต่ขโมยมันคงจะรู้ดีกว่า กระชากกระเป๋าแล้วเลยวิ่งไปอีกทางหนึ่ง...

“Are you Taiwan ?”
“No, I’m Thailandea. I come from Bangkok”
“Bangkok, I see”

เฮ้อ..เห็นตูเป็นไต้หวันไปได้ คาดว่าคงมีอีกมากที่คิดแบบเดียวกับคุณ “ตำมะหรวด” สองนายนี้ หลวงพ่อเจ้าคุณเดินห่างไปโน่นแล้ว “Hey, Buddha...Buddha” ฮ่วย..เรียกอีกแล้ว นายบึ้กรายนี้กวักมือเรียกแบบยิ้มแย้มแจ่มใส ควักสร้อยที่คอออกมาโชว์วัตถุมงคลในกรอบสเตนเลส อาตมาจับดูแล้วเห็นเป็นพระบรมรูปสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช...

สุธรรม 14-10-2015 14:51

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444809060
เหรียญพระบรมรูปรัชกาลที่ ๑ ที่นายบึ้กแกภูมิใจนักหนา..!

“This is King Rama the first of Chakri dynasty” อาตมาบอกว่าเป็นในหลวงรัชกาลที่ ๑ แห่งราชวงศ์จักรี พ่อบึ้กเล่าว่าบูชามาจาก Pho monastery แสดงว่าต้องมีใครแถววัดโพธิ์ “แหกตา” นายนี่ว่าเป็นพระ แล้วขายให้โดยแถมกรอบแถมสร้อยมาด้วย ถึงรู้ความจริงแล้วนายบึ้กแกก็ยังหันไปคุยอวดเพื่อนด้วยความภูมิใจ บอกว่ามีโอกาสแล้วจะไปบางกอกอีก ยินดีต้อนรับว่ะ..แต่ตอนนี้พรรคพวกตูหายไปหมดแล้ว..!

อาตมาโบกมือลานายบึ้กกับเพื่อน แล้วเดินจ้ำไปตามซอยข้างหน้า เผลอหน่อยเดียวพรรคพวกหายไปไหนกันหมด ? หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ ก็อายุตั้งเจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ทำไมเดินเร็วแท้วุ้ย ? เหลียวซ้ายแลขวาก็หาคนให้ถามไม่ได้ จะเหมือนกับในเรื่อง Left Behind หรือเปล่า ที่อยู่ ๆ ผู้คนก็หายวับไปเฉย ๆ เฮ้ย..อย่าฟุ้งซ่านไปขนาดนั้นได้ไหม..!

“ท่านผู้นำ” โผล่มาชี้ไปในซอยเล็กขวามือ “ทางโน้นครับท่าน เดินไปจนสุดซอยแล้วเลี้ยวไปทางขวาครับ” ขอบคุณจริง ๆ พ่อคุณเอ๋ย...รีบรุดไปตามทางที่ “เจ้าถิ่น” ชี้โดยไว เลี้ยวขวาไปก็เห็นหลังหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ กำลังเดินลับเข้าไปในร้านขายของที่ระลึกพอดี พอไปถึงก็เห็น พระครูวิสุทธฯ องปลัดกับมหานพพล กำลังดูของที่นอกจากเป็นเสื้อและกางเกงนักกีฬาแล้ว ยังมีกระเป๋าเป้ กระเป๋าเดินทาง และของอื่น ๆ อยู่ด้วย...

สุธรรม 15-10-2015 03:09

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444853338
เสื้อยืดราคาตัวละสี่พันบาท..!

พระครูวิสุทธฯ เลือกเสื้อเบอร์ ๘ ที่มีตัวหนังสือ TOTTI ที่กลางหลัง แต่เสื้อแบบนี้มีแค่สามตัว เป็นสีแดง ๒ ตัว สีน้ำเงิน ๑ ตัว “ถามเขาหน่อยสิ..ว่ามีปลอมหรือเปล่า ?” มัคคุเทศก์รูปหล่อยิ้มแหะ ๆ “ถ้าถามแบบนั้นผมต้องเตรียมให้เขาชกหน้าเลยครับพระอาจารย์ ของในยุโรปถ้าเป็นร้านค้าแบบนี้ไม่มีของปลอมหรอกครับ ถ้าไปถามเขาแบบนั้นจะถือว่าดูถูกกันอย่างแรง”

“ท่านซื้อไปทำอะไรวะ ? ใส่เองเหรอ ?” องปลัดถามได้ตรงใจมาก “ลูกศิษย์มันอยากได้ บอกว่าช่วยซื้อให้สักตัว เอาเฉพาะ “ไอ้ต๊อตติ” นี่ด้วยนะ เบอร์อื่นมันก็ไม่เอา” พออาตมาถามราคาแล้วถึงกับสะดุ้ง “One hundred, Sir” เฮ้ย..จะซื้อจริง ๆ หรือ ? ตัวหนึ่งตั้งสี่พันเชียวนะ..! อีกฝ่ายยิ้มแบบจนใจ “นาน ๆ ทีให้มันเถอะ” เออ..ช่างรักลูกศิษย์บังเกิดเกล้าเสียจริง ถึงเป็นเงินคุณผมก็เสียดายแทนว่ะ..!

หลังจากคุณโอ๋ช่วยต่อรองอยู่พักใหญ่พระครูวิสุทธฯ ก็เลือกเอาตัวสีน้ำเงินมา จ่ายไป ๙๗ ยูโร หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ แค่ได้ยินราคาก็บรรลุแล้ว “กลับไปรอเพื่อน ๆ กันเถอะ..ท่านพระครู” อาตมาเดินนำกลับไปทางเดิม เกือบจะชนกับ “ท่านผู้นำ” ที่โผล่มายืนขวางหน้า “ทางโน้นใกล้กว่าครับ เดินไปถึงซอยแรกแล้วเลี้ยวขวา ก็จะกลับไปที่น้ำพุแล้ว” พอกลับตัวหลวงพ่อเจ้าคุณก็ดึงแขนเอาไว้ “ทางนี้ถูกแล้วครับ..ท่านพระครู” แฮ่..แฮ่..เจอคนแก่จำแม่นนี่ลำบากใจเว้ย.. “ผมว่าลองไปทางนี้ดูเถอะครับ ผมเห็นนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นเดินตามกันไปทางด้านนี้” หลอกคนแก่นี่บาปมากหรือเปล่าหว่า ?

สุธรรม 15-10-2015 17:47

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444905953
โดนพระครูปรีชาถ่ายรูปเสียได้

พอเลี้ยวขวาเข้าซอยก็มั่นใจว่าไม่ผิดแน่ เพราะทางด้านนี้มีแต่นักท่องเที่ยวล้นหลามไปหมด อาตมาต้องลดฝีเท้าลง ให้หลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ เกาะหลังมา มีฝรั่งที่แต่งตัวเป็นนักสู้แกลดิเอเตอร์ ยืนให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป มีคนยืนเสนอขายของที่ระลึกอยู่ข้างทาง มีกระทั่งคนขาพิการที่นั่งแผ่นกระดานติดล้อ ไสไปขอเงินท่ามกลางนักท่องเที่ยวแน่นขนัด กว่าจะเบียดกลับมาที่น้ำพุ แล้วเดินอ้อมมาถึงหน้าตึกที่นัดหมายก็แทบจะเป็นลม...

“หลวงพ่อเจ้าคุณได้อะไรมาบ้างล่ะ ?” ท่านประธานรุ่นถาม “ซื้อไม่ไหวครับ แพงเหลือเกิน เลยชวนท่านพระครูวิลาศฯ เดินกลับมาก่อน” อาตมานั่งยอง ๆ พิงกำแพงตึก ควักสมุดบันทึกออกมาจดบันทึกในช่วงนี้ ขณะที่พรรคพวกยืนกันเกะกะไปหมด พระครูปรีชานาน ๆ จะเห็นพระอาจารย์ออกท่า “ซำเหมา” เลยควักกล้องออกมาถ่ายรูปเอาไว้ อย่าเอาตูไปประจานนะเว้ย..!

“เฮ้ย..ขี้นก..!” เจ้านกพิราบสองตัวคงจะเล็งพระครูญาณฯ เอาไว้นานแล้ว เลยปล่อยอึลงมาเฉียดไปนิดเดียว เล่นเอาพระทั้งขบวนต้องขยับห่างจากจุดทิ้งระเบิดโดยด่วน พระครูโจหอบข้าวของพะรุงพะรังกลับมา พรรคพวกเข้าไปรุมล้อมขอดู พอเห็นเป็นรองเท้ากีฬายี่ห้อดังและราคาไม่เกินรับได้ พระครูกล้าก็คว้าแขนพระครูโจ ดึงให้กลับไปอีกรอบ เพื่อที่จะได้ซื้อบ้าง พระครูโจเสียเพื่อนไม่ได้ ต้องยอมย้อนกลับไปแต่โดยดี...

สุธรรม 16-10-2015 04:06

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444943095
ออกจากซอยด้านหลังมาก็จะเจอเสาต้นนี้ (รูปจากอินเตอร์เน็ต)

คุณโอ๋กับท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ และท่านอาจารย์ ดร.วันชัยกลับมาแล้ว พวกเราจึงต้องยืนบ้างนั่งยอง ๆ บ้าง รอจนกว่าพรรคพวกที่เหลือจะกลับมา มีแหม่มมาขอถ่ายรูป พระครูญาณฯ รีบแล่นออกหน้าไปทันที อีหนูส่งกล้องให้ชายหนุ่มที่มาด้วย แล้วโอบหลังพระครูญาณฯ อย่างสนิทสนม อีกฝ่ายยักคิ้วให้เพื่อน ๆ ด้วยท่าทีไม่สะทกสะท้าน “พวกเรามีใครถ่ายไว้บ้างไหม ? ช่วยส่งไปให้หลวงพ่อวัดหนองจอกหน่อยเถอะ..” พระครูด็อกเตอร์ถามขึ้นมา...

“จะส่งเจ้าคณะจังหวัดไปทำไม้ ? ก็ผมนี่แหละเจ้านายโดยตรงของมัน เห็นอยู่เต็มสองตา รอแค่คนฟ้องและเป็นพยานเท่านั้น” หลวงพ่อพระครูชุบเอ่ยขึ้นเหมือนกับพูดเล่น แต่หน้าตาของท่านประธานรุ่นไม่ยิ้มเอาซะเลย พอดีพระครูกล้ากับพระครูโจกลับมาพร้อม “สินค้า” มัคคุเทศก์ของเราตรวจสอบว่ามากันครบจริง ๆ แล้ว จึงพาคณะเดินย้อนกลับทางเมื่อขามา...

ไปได้สองช่วงตึกก็เลี้ยวซ้ายเข้าซอย เดินตรงไปไม่ไกลก็โผล่มาบนถนนใหญ่ ที่พื้นเป็นหินรูปสี่เหลี่ยมลูกเต๋า น่าจะเป็นถนนโบราณที่ไม่ได้ให้รถวิ่ง ผู้คนเยอะแยะพลุกพล่าน มีทั้งรถยนต์และรถม้าวิ่งช้า ๆ ปะปนกัน ตรงหน้าของพวกเราที่เห็นเด่นตั้งแต่ยังอยู่ในซอย เป็นต้นเสาหินอ่อนสวย ๆ ต้นหนึ่ง....

สุธรรม 16-10-2015 13:48

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1444978090
รูปหล่อสัมฤทธิ์บนยอดเสาหินอ่อน (รูปจากอินเตอร์เน็ต)

ต้นเสาหินอ่อนสูงลิบนี้คงจะเป็นอนุสาวรีย์ เพราะด้านบนสุดเป็นรูปหล่อสัมฤทธิ์ ของผู้หญิงที่น่าจะเป็นพระแม่มาเรีย มีวงแสงรูปดาวอยู่บนหัว ยืนอยู่บนฐานสัมฤทธิ์ทรงกลม ที่มีรูปเทวดาน้อย ๆ มีปีกนั่งอยู่ข้างทรงกลม ขนาบด้วยสิงโตและวัวมีปีกที่หมอบโผล่มาแค่ขาหน้า ต่ำลงมานิดหนึ่งที่รองรับรูปปั้นอยู่ เป็นปลอกหัวเสากับคานสั้น ๆ ที่เป็นลวดลาย "หลุยส์" ต่ำลงมาอีกช่วงใหญ่เป็นต้นเสาเกลี้ยง ๆ แล้วจึงมีปลอกสัมฤทธิ์เป็นลวดลายเครือเถาล้อมต้นเสา แล้วขยายกว้างออกเป็นหลายเหลี่ยม ลักษณะ "ย่อมุมไม้สิบสอง" จากนั้นค่อยเป็นโคนเสารูปแปดเหลี่ยม...

สี่เหลี่ยมช่วงบนที่เล็กกว่า ติดตราสัญลักษณ์หล่อด้วยสัมฤทธิ์ สลับกับอักษรจารึกที่เป็นภาษาโรมัน ช่วงล่างที่ขยายกว้างออกมาสี่ทิศเป็นรูปกากบาท แต่ละขาของกากบาทรองรับรูปสลักหินอ่อนที่สวยงามระดับ "เทพ" มีทั้งรูปกษัตริย์ทรงพิณ นักบวชหรือนักปราชญ์ก็ไม่รู้ มีทั้งที่กำลังจดบันทึก กำลังบรรยายเนื้อความ และแสดงหลักฐานที่บันทึกเอาไว้...

"แถวนี้เป็นย่านช็อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมครับ มีทั้งร้านของ Louis Vuitton, Gucci, Prada, Valentino และยี่ห้ออื่น ๆ อีกเยอะแยะ แต่พระอาจารย์ทั้งหลายอย่าซื้อเลยครับ เพราะราคาแพงมาก ยกเว้นว่าท่านใดเป็นคอกาแฟขนานแท้ ก็น่าลองชิมกาแฟของร้าน Caffe Greco ที่เป็นร้านเก่าแก่มาตั้งแต่ ค.ศ. ๑๗๖๐ มีชื่อเสียงมากครับ" คุณโอ๋บรรยายโดยไม่กล่าวถึงเสาหินอ่อนสุดสวยต้นที่โลกลืมนั้นเลย..!

สุธรรม 17-10-2015 03:13

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1445026355
บันไดสเปนแต่อยู่ในอิตาลี (รูปจากอินเตอร์เน็ต)

“บริเวณนี้ทั้งหมดเรียกง่าย ๆ ว่าจตุรัสสเปน (Piazza di Spagna) สิ่งสำคัญอยู่ทางขวามือของพระอาจารย์ทุกท่านครับ ที่เห็นคนเต็มไปหมดนั่นคือบันไดสเปน (Spanish Steps) เป็นบันไดที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป บางคนก็ว่ามี ๑๓๕ ขั้น บางคนก็ว่ามี ๑๓๘ ขั้น ผมเองก็ยังไม่ได้ลองนับดูเหมือนกัน บันไดนี้สร้างเพื่อขึ้นไปยังโบสถ์ Trinita dei Monti บนยอดเนิน ผู้ออกแบบคือ Francesco de Sanctis...

จากการสร้างเพื่อให้ผู้คนขึ้นไปที่โบสถ์ ในปัจจุบันมีแต่คนใช้ผิดวัตถุประสงค์ คือใช้เป็นที่นั่งเล่น ใช้เป็นที่อาบแดด ใช้เป็นที่นั่งกินอาหาร ทำให้เลอะเทอะเปรอะเปื้อนมาก จนเทศบาลกรุงโรมต้องออกเทศบัญญัติห้ามกินอาหารบนบันไดนี้ แต่ก็มีคนละเมิดอยู่ทุกวัน ที่เรียกว่าบันไดสเปนเพราะตึกแถวที่อยู่ข้างหน้าซ้ายมือของทุกท่าน ซึ่งมีธงชาติสเปนโบกสะบัดอยู่ที่เห็น นั่นคือสถานทูตสเปนครับ...

ช่วงบนของบันไดพระอาจารย์ทุกท่านจะเห็นเสาโอเบลิสก์ (Obelisk) ที่นำมาจากอียิปต์ เหมือนกับต้นที่อยู่กลางจตุรัสเซนต์ปีเตอร์ เป็น ๑ ใน ๑๓ ต้นของเสาโอเบลิสก์ในกรุงโรม โดย ๘ ต้นขนมาจากอียิปต์เมื่อตอนโรมันชนะสงคราม และ ๕ ต้น สร้างขึ้นเองในสมัยนั้น ตรงกลางจตุรัสจะมีน้ำพุชื่อ Barcaccia Fountain เป็นรูปเรือโบราณ สร้างโดย Pietro Bernini ซึ่งเป็นพ่อของ Gian Lorenzo Bernini ที่ออกแบบและสร้างจตุรัสเซนต์ปีเตอร์ แสดงว่าเก่งทั้งพ่อและลูก แต่ว่าคนลูกได้สร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่กว่า คนพ่อได้แค่ตกแต่งน้ำพุเทรวี่และสร้างน้ำพุเรือโบราณนี้เท่านั้นครับ”

สุธรรม 17-10-2015 15:51

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1445071798
ถ้าเขาไม่ให้ลงไปมีหวังดังแน่..!

อาตมาถ่ายรูปบันไดสเปนแล้ว ก็เดินหลบหลีกบรรดา “น้องแหม่ม” ทั้งหลายเพื่อเข้าไปถ่ายรูปน้ำพุ ซึ่งเมื่อเห็นใกล้ ๆ แล้ว อาตมาอยากจะเรียกว่า “น้ำพุเรือรั่ว” มากกว่า “ท่านผู้นำ” ช่วยบรรยายแทนมัคคุเทศก์ว่า “ประมาณปี ค.ศ. ๑๕๙๘ แม่น้ำไทเบอร์ท่วมมาถึงบริเวณนี้ น้ำขึ้นสูงหลายเมตร พอน้ำลดแล้วมีเรือถูกทิ้งจมอยู่แถวนี้ลำหนึ่ง จึงเป็นแรงบันดาลใจให้นาย Bernini ผู้เป็นพ่อ ออกแบบสร้างเป็นน้ำพุนี้ขึ้นมา ปกติสามารถใช้ดื่มได้ แต่คนมักจะมาล้างหน้ามากกว่า บางทีก็มีพวก “ไม่แคร์สื่อ” มาแก้ผ้าอาบน้ำไปเลย..” เสียดายที่วันนี้ไม่มี..ฮ่า...ฮ่า..!

ท่านกบที่เดินเกาะขบวนมากับกลุ่มพระครูโจ พระครูญาณฯ แต่โดนเพื่อนทอดทิ้ง จึงเดินมาแนะนำอาตมาว่าต้องถ่ายรูปมุมไหนถึงจะสวย ท้ายสุดคงจะขัดใจที่อาตมามัวแต่เล็งอยู่นั่นแหละ (รอให้คนผ่านไปก่อน) จึงขอกล้องไปถ่ายแทน โดยบอกให้อาตมาเหยียบลงไปบนหินที่ยื่นลงไปในอ่างน้ำนั่นเลย “เฮ้ย..ถ้าเขาไม่ให้ลงแล้วดันลงไป มีหวังโดนประจานออกอินเตอร์เน็ตไปทั่วโลกเชียวนะ..” ท่านสะเทินน้ำสะเทินบกบอกว่า ใคร ๆ เขาก็ลงกัน เพียงแต่รอตัวอย่างเท่านั้น อ้าว..แล้วตูจะซวยไหมนี่ ?

มีคนรอตัวอย่างอยู่จริง ๆ ด้วย ทันทีที่อาตมาเดินขึ้นมาหลังจากท่านกบถ่ายรูปให้ ฝรั่งหนุ่มผอมกะหร่องรายหนึ่งก็โดดลงไปโพสต์ท่าแทน พอนายผอมขึ้นมา น้องแหม่มอีกคนก็ลงไป อาตมารีบถอนทัพออกจากพื้นที่แบบด่วนจี๋ ขืนรอจนเจ้าหน้าที่เข้ามาต่อว่า แล้วพวกนั้นดันชี้มาที่พระไทย อาตมาคงจะได้ดังแบบไม่ได้ตั้งใจจริง ๆ...

สุธรรม 18-10-2015 03:26

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1445113557
โดนท่านอาจารย์ ดร.วันชัยถ่ายรูปหมู่แบบไม่รู้ตัว ?

เดินไปที่ “ตึกแถว” ซึ่งเป็นที่ตั้งสถานทูตสเปน เพราะแถวนั้นมีแต่จีวรเหลืองอร่ามไปหมด มาถึงก็เห็นพระครูด็อกเตอร์ “ถูกทิ้ง” อยู่บนรถเข็น มีหลวงพ่อพระครูสันติฯ ยืนเป็นเพื่อน ห่างออกไปเป็นหลวงพ่อพระครูญา หลวงพ่อพระครูเลิศ สมุห์สุมิตร ยืนจับกลุ่มฟังพระครูญาณฯ บรรยายสรุปวิชากายวิภาคของสาว ๆ แถวนี้ ได้ความว่า “พวกแหม่มนี่น่าดูเฉพาะตอนวัยรุ่นเท่านั้นแหละ พอใกล้สามสิบก็เป็น “พะโล้” ทุกราย”...

อาตมาถามพระครูด็อกเตอร์ว่าจะไปที่น้ำพุหรือบันไดไหม ? จะได้ช่วยเข็นไปให้ ท่านว่าไม่อยากเบียดคนมาก ๆ ขอนั่งดูอยู่แค่นี้แหละ สักครู่พระครูกุ้ยไฮ้ก็เข้ามาสมทบ พร้อมกับท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐ ท่านอาจารย์ ดร.วันชัย และท่านอาจารย์ตู๋ ซึ่ง “หญิงใหญ่” ของเราหอบข้าวของที่พระซื้อพะรุงพะรังหลายถุง กลายเป็นรถเข็นจ่ายตลาดไปตอนไหนก็ไม่รู้ ?

อาตมาจับรถเข็นของพระครูด็อกเตอร์หมุนหันหลังให้น้ำพุเรือรั่ว หันหน้าไปให้ท่านอาจารย์ ดร.วันชัยเก็บภาพ ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐจึงขอมาทำท่าเข็นให้ถ่ายรูปบ้าง อาตมาถอยออกไปให้ท่านเข้ามาแทน แต่ด้วยความที่ไม่ทันระวัง จึงไปโดนน้องแหม่มที่เดินมากับเพื่อนผู้หญิงอีกสองคน กระแทกเข้าอย่างจัง เจ็บสะโพกแปลบขึ้นมาจนใจคอไม่ค่อยดี ถ้าอาการกำเริบจนเดินไม่ได้ตอนนี้ คงต้องหารถเข็นมาเพิ่มอีกคันหนึ่งเป็นแน่แท้..!

สุธรรม 18-10-2015 16:50

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1445161776
ท่านกบ (เสื้อกันหนาวสีดำ) ผู้มีน้ำใจ ตามมาส่งและลากันตรงนี้

มัคคุเทศก์รูปหล่อเดินมาอย่างกระฉับกระเฉง น่าจะเติมคาเฟอีนในเลือดมาอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว เมื่อเห็นทุกคนในคณะอยู่กันครบถ้วนก็ทำท่าประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้นครับนี่ ?”

“ ๑. คนเยอะ “อิ๊บอ๋าย” จนเดินดูอะไรไม่สะดวก
๒. ข้าวของราคาแพงเกินกว่าที่จะซื้อไหว
๓. พวกเราตรากตรำกันจนหมดสภาพแล้วว่ะ..!”

อาตมาสรุปสถานการณ์ย่อให้ฟัง คุณโอ๋ยังหันไปซาวด์เสียงทุกคนอีกรอบ เมื่อได้รับการยืนยันมาเหมือนกันทุกประการ จึงควักโทรศัพท์มือถือออกมาโทรไปหาพลขับ แจ้งให้ไปยังจุดนัดพบในอีก ๒๐ นาทีข้างหน้า แล้วนำพวกเราเดินย้อนกลับมายังเสาสวยที่โลกลืม ซึ่งยังคงถูกลืมต่อไป เพราะทุกคนทำท่าไร้แรงบิน มัคคุเทศก์รูปหล่อจึงงดการบรรยาย เดินลิ่วนำไปอย่างเดียว...

แม้ว่าจะบ่ายสี่โมงแล้ว แต่แดดยังจัดเหมือนกับบ่ายโมงของบ้านเรา ทุกคนจึงเดินเบียดกันอยู่ในร่มเงาของตัวตึก ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐถ่ายวีดิโอไปก็หัวเราะไป “ฝรั่งเขาเดินหาแดด แต่พวกเราคนไทยเดินหาร่มกัน” ก็จริงของท่านอาจารย์ แต่ถ้าบ้านเขาแดดจัดทุกวันเหมือนกับบ้านเรา เชื่อว่าพวกเขาก็คงเดินหาร่มเหมือนกันแหละครับ...

เลี้ยวซ้ายเมื่อโผล่มาที่ตรอกก่อนที่จะเดินต่อมาจนถึงสี่แยก มุดตามกันลงอุโมงค์มาโผล่ในซอยใกล้ภัตตาคารเทียนสิน แล้วเดินขาลากกลับขึ้นเนินไปยังลานจอดรถ ล่ำลาและขอบคุณท่านกบผู้มีน้ำใจเสร็จรถก็โผล่มาพอดี กลายเป็นคนละคันกับขามา แต่พลขับหน้าตายคนเดิมยังคงทำหน้าที่อยู่ พวกเรารีบขึ้นประจำที่ คุณโอ๋กับคุณโอเล่นำน้ำดื่มมาถวายคนละขวด ขณะที่พลขับนำรถตรงไปตามถนน ดูจากแสงแดดที่ส่องเข้ามาทางซ้ายมือเต็ม ๆ แปลว่าพวกเรากำลังเดินทางขึ้นเหนือ...

สุธรรม 19-10-2015 02:39

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1445197057
ขนาดลัมโบร์กินี่บ้านเรายังเอามาเผาเล่นเลย..! (รูปจากอินเตอร์เน็ต)

“ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายสี่ครึ่ง ก็ประมาณสามทุ่มครึ่งของบ้านเรา ไม่แปลกหรอกครับที่พระอาจารย์ทุกท่านจะเหนื่อยจนหมดสภาพ เรากำลังวิ่งออกจากกรุงโรมซึ่งอยู่ในแคว้นลาติอุม (Latium) มุ่งขึ้นเหนือไปยังแคว้นทัสคานี (Tuscany) เป้าหมายของเราก็คือโรงแรมที่พักในคืนนี้ ซึ่งอยู่ที่เมืองเชียนชิอาโน (Chianciano) ห่างจากที่นี่ประมาณ ๑๗๐ กิโลเมตรครับ”

อาตมาจดข้อมูลยิก ๆ แต่เมื่อเหลือบดูเพื่อนฝูง เห็นส่วนมากหลับตาทรงสมาธิระดับลึกกันแทบทั้งนั้น รถของเรามาติดไฟแดงอยู่หน้าโชว์รูมรถเฟอรารี่พอดี อาตมาชี้ให้ท่านที่ยังไม่เข้าสมาธิดู “ของแพงครับ ดูเอาไว้เป็นขวัญตา” ท่านประธานรุ่นเหลือบมองแวบเดียวก็สรุปว่า “ไม่เห็นจะน่าสนใจ ขนาดลัมโบร์กินี่บ้านเรายังเอามาเผาเล่นเลย” อาตมาปล่อยหัวเราะพรืด แหม..หลวงพ่อเล่นมุขนี้ พวกรถหรูดัดแปลงใช้แก๊สปลอม ๆ เพื่อเลี่ยงภาษีจนเกิดไฟไหม้ ถ้ามาได้ยินเข้าคงเจ็บจี๊ดเข้าไปถึงกระดองใจ...

“พระอาจารย์ทุกท่านสังเกตไหมครับ ? บ้านเขาไม่ได้มีร้านอาหารมากมายเหมือนกับบ้านเรา มิหนำซ้ำยังเปิดตามเวลาอีกด้วย แม้แต่น้ำดื่มก็ยังหาซื้อยาก แต่น้ำประปาบ้านเขาสะอาด ดื่มได้สนิทใจ ถังขยะก็หายาก ส้วมก็หายาก ผมเคยถามคนของเขาหลายครั้ง ได้คำตอบตรงกันว่า ถ้าไม่มีถังขยะและไม่มีส้วม ก็ไม่มีคนทำสกปรก ส้วมจะหาได้จากร้านอาหาร ร้านกาแฟใหญ่ ๆ หรือตามโรงแรม ส่วนที่เป็นส้วมสาธารณะก็ต้องหยอดเหรียญ ๒ – ๓ ยูโร ส่วนบ้านเราที่ไหนมีปั๊มน้ำมัน ที่นั่นต้องมีส้วม ร้านอาหารเล็ก ๆ ใหญ่ ๆ มีทุกซอกทุกมุม หากินได้ทุกเวลา พวกฝรั่งชอบมากครับ แห่กันไปเที่ยวจนเมืองไทยติดอันดับ ๗ ของโลก ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยว ๒๗ ล้านคนต่อปี..”

สุธรรม 19-10-2015 20:03

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1445259761
เอ..เสียงอะไรหว่า..?

ท่านอาจารย์ ดร.พิเชฐขอไมโครโฟนจากคุณโอ๋ แล้วประกาศแก่พวกเราทุกรูปว่า “เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบของมหาวิทยาลัย ซึ่งให้วันที่พวกเรามาดูงานเป็นวันปฏิบัติธรรมไปด้วย ดังนั้น..ขอให้ทุกท่านใช้เวลาในการเดินทางช่วงนี้ ทำวัตรเย็นกันก่อนครับ” ภารกิจจึงไปตกที่หลวงพ่อพระครูชุบ เพราะหลวงพ่อเจ้าคุณสมุทรฯ บอกว่า ให้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันนำ รถมาติดไฟแดงขณะที่เสียงสวดมนต์กระหึ่มขึ้นพอดี ทำเอา “แมงกะไซค์” หลายคันเหลียวหน้าเหลียวหลังเลิ่กลั่ก คงสงสัยว่าหูฝาดไปหรือเปล่า..?

อาตมาสวดมนต์ไปด้วย กำหนดจิตดู “ท่านผู้นำ” และบรรดาท่านที่โมทนาอยู่สองข้างทางไปด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพลียจนหมดสภาพ หรือว่าสมาธิลึกเกินไป มารู้สึกตัวอีกทีเสียงสวดมนต์จบไปตอนไหนก็ไม่รู้ ? ลืมตาขึ้นมาเห็นนาฬิกาติดรถเหนือหัวพลขับบอกเวลา ๑๘.๐๐ น. พอดีเป๊ะเลย แฮ่..เพลินไปหน่อย รถวิ่งผ่านทุ่งกว้างที่เป็นเนินสูง ๆ ต่ำ ๆ บางแห่งก็มีบ้านหลังไม่ใหญ่นัก บางแห่งก็เป็นเหมือนโรงนาหรือโรงงาน อากาศข้างนอกมืดครึ้มชอบกล ไม่ใช่ใกล้ค่ำ แต่เหมือนกับฝนจะตกมากกว่า เพราะเมฆลอยต่ำเหลือเกิน...

“อีกสักครู่จะจอดให้พระอาจารย์ทุกท่านเข้าห้องน้ำกันที่ Auto Grill ซึ่งเป็นทั้งที่พักรถ ศูนย์ซ่อมรถยนต์ และร้านสะดวกซื้อ บางแห่งต้องซื้อกาแฟของเขา ๒ ยูโร ถึงจะยอมให้เข้าห้องน้ำ แต่ร้านที่เราจะเข้านี่ไม่ต้องซื้อครับ ส่วนพระอาจารย์รูปใดจะซื้อกาแฟหรือของใช้อะไร ก็สุดแท้แต่จะพิจารณากันเอาเองนะครับ..” ดีเหลือเกินพ่อคุณเอ๋ย เพราะว่าอาตมากรอกน้ำลงไปหมดขวดทันทีที่รับมาจากคุณโอเล่ ทำให้ตอนนี้ปวดปัสสาวะเต็มทีแล้ว...

สุธรรม 20-10-2015 03:27

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1445286418
ใครบอกได้บ้างว่านี่เป็นต้นอะไร ?

พลขับหน้าตายตีไฟเลี้ยว แล้วค่อย ๆ พารถเบียดมาทางเลนซ้าย วิ่งตรงไปอีกไม่ไกลถนนก็เป็นทางแยกใหญ่ นำเข้าไปยังพื้นที่กว้างขวาง มีรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์แบบ “หัวลาก” ของบ้านเรา จอดพักอยู่ในเส้นกรอบสีขาวหลายคัน เมื่อรถของเราจอดสนิท คุณโอ๋ก็บอกให้ทุกรูปลงไปเพื่อเข้าห้องน้ำ...

อาตมาอาศัยที่นั่งเกือบจะหน้าสุด จึงไหลลงประตูไปทันทีที่เขาเปิดให้ ท่ามกลางท้องฟ้ามืดมัวด้วยเมฆฝน และสายฝนที่เริ่มพรำ ๆ ลงมา มีสวนหย่อมเล็ก ๆ กระจายอยู่หลายจุด บางจุดมีต้นดอนญ่าควีนสิริกิติ์ขึ้นอยู่งามสะพรั่ง บางจุดเป็นต้นอะไรก็ไม่รู้ที่มีใบเหมือนต้นโพธิ์ แต่ต้นและใบค่อนข้างเล็ก ซ้ำยังเป็นสีม่วงแดงอมดำเสียอีก....

มัคคุเทศก์รูปหล่อวิ่งหลบฝนตรงไปยังอาคารกระจกเตี้ย ๆ ที่มองเห็นชั้นวางของกินของใช้เรียงเป็นตับ แต่พระภิกษุเป็นหนึ่งใน ๔ สิ่งที่วิ่งแล้วไม่งาม ได้แก่ พระมหากษัตริย์ในเครื่องทรงขัตติยราชภูสิตาภรณ์ หญิงอันเป็นเบญจกัลยาณี ช้างทรงประดับคชาภรณ์ และนักบวช จึงต้องเดินก้าวยาว ๆ ไม่ให้เสียกิริยา ผ่านโครงโลหะที่ตั้งใจออกแบบเพื่อให้แสงแดดเข้าได้มากที่สุด จึงกันฝนไม่ได้เลย มาถึงประตูกระจกที่มีเครื่องกั้นแบบนับจำนวนคน เบียดแท่งเหล็กผลุบเข้าไปในร้าน...

สุธรรม 20-10-2015 15:59

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1445331524
ภายในร้านค้าที่พวกเราไปอาศัยห้องน้ำ

ภายในสว่างไสวไปด้วยโคมไฟสป็อตไลท์หลายดวง น่าจะเอาไว้เพิ่มความอบอุ่นด้วย ตรงหน้าเป็นเคาน์เตอร์บริการลูกค้า ที่มีสินค้ากระจุกกระจิกประเภทหมากฝรั่งและลูกอมหลายอย่างวางเอาไว้จำหน่ายด้วย ฝรั่งหนุ่มรูปร่างสูงโย่งท่าทางคล่องแคล่ว กำลังคิดราคาสินค้าให้กับลูกค้า ๒ คน กลิ่นกาแฟหอมตลบไปทั้งร้าน ด้านซ้ายมือเป็นชั้นวางสินค้าตรง ๓ แถว ขวาง ๒ แถว ด้านขวามือมีชั้นวางสินค้ายักย้ายลดหลั่นกันไปหลายชั้น อาตมาเหลือบเห็นป้ายห้องน้ำก็ตรงเข้าไปทันที...

โอ้โฮเฮะ..ห้องน้ำเป็นสิบห้องเลย สะอาดดีเสียด้วย เพิ่งผลุบเข้าไปก็มีเสียงฝีเท้ากรูกันตามหลังมา เสียงองปลัดถามเพื่อนว่า “พระครูวิลาศฯ รู้ได้อย่างไรวะว่าห้องน้ำอยู่ด้านนี้ ? เห็นตรงดิ่งมาอย่างกับเคยมาแล้วอย่างนั้นแหละ” เสียงพระครูวิสุทธฯ ตอบว่า “ถ้าเวลาเรียนท่านให้ความสนใจมากกว่านี้หน่อย ก็ต้องรู้ว่า ไอ้ป้าย W.C. เล็ก ๆ นั่นหมายถึงห้องน้ำ”...

ปล่อยให้เพื่อนวิพากษ์วิจารณ์ไป อาตมาก็ปลดทุกข์เบาไป ใครว่าเบาวะ ? ถ้าไม่ได้ปลดนี่ก็ทุกข์หนักเลยแหละ เสร็จแล้วจึงเดินสวนทางออกมา เห็นพระครูโจซื้อกาแฟมาชิมอยู่รูปเดียว เดินวนดูข้าวของรอบร้านแล้ว ก็คล้ายกับร้าน 7 – Eleven แถวบ้านเรา เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรน่าสนใจ อาตมาจึงเดินออกจากร้านไป ฝนเพิ่งขาดเม็ดพื้นคอนกรีตเปียกไปทั่ว ต้องเดินแบบระมัดระวังไปถ่ายรูปต้นไม้ใบหญ้าในสวนหย่อม เพราะเกรงว่าจะลงไปวัดพื้นให้ขายหน้าไปทั่วโลก...

สุธรรม 21-10-2015 03:15

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1445372109
"ป่าเขาลำเนาไพร" สองข้างทางที่ผ่านไป

เดินกลับมาที่รถ พลขับหน้าตายของเรานั่งเอ้เต้ประจำที่ พอเห็นพระเดินมาใกล้ก็กดปุ่มเปิดประตูให้ อาตมาเพิ่งมีโอกาสทักทายกันตอนนี้เอง...

“Good evening. What’s your name ?” อาตมาถามชื่อเสียงเรียงนามเอาไว้ก่อน

“Evening. Marco” อ๋อ..น่าจะเป็นญาติกับมาร์โคโปโล

“Are you Italiano ?” “Yah”

ตอบเสร็จพ่อเจ้าประคุณก็นั่งอมลิ้นเงียบ ชวนคุยเรื่องอื่นก็ไม่ตอบ สรุปว่าถามไปตั้งเยอะได้คืนมา ๕ คำเท่านั้น ท่าทางจะรักสันโดษน่าดู เมื่อทุกคนกลับมาครบ นายสันโดษก็นำรถออก วิ่งเข้าถนนสายหลักไปได้ไม่นาน ก็มีป้ายระบุให้เลี้ยวขวาไปเมืองเชียนชิอาโน วิ่งผ่าน “ป่าเขาลำเนาไพร” ซึ่งถือเป็นสำนวนเฉย ๆ เพราะส่วนมากแล้วเป็นทุ่งหญ้าและท้องนา สูง ๆ ต่ำ ๆ ไปตามลักษณะของเนินเขามากกว่า อากาศแบบ “ฟ้าหลังฝน” ดูชื่นฉ่ำทีเดียว...

สุธรรม 21-10-2015 17:53

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1445424711
กว่าจะมาถึงต้องหลงซะก่อน..!

อาคารบ้านเรือนเริ่มหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ประมาณหนึ่งชั่วโมงต่อมารถก็วิ่งเข้าเขตเมือง นายมาร์โคนำพาหนะลดเลี้ยวไปตามไหล่เขาที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ เห็นมีป้ายโรงแรมและรีสอร์ทหลายแห่ง มาเลี้ยวซ้ายขึ้นเนินไปยังโรงแรมแห่งหนึ่ง ที่ตลอดทางขึ้นเนินเป็นต้นไม้เขียวขจี พอพลขับจอดและเปิดประตูรถ พวกเราก็กรูกันลงมา นายมาร์โคกำลังจะเปิดห้องเก็บกระเป๋าด้านข้างรถ คุณโอ๋กับที่เข้าไปติดต่อในล็อบบี้ก็เดินกลับออกมา บอกว่า “ไม่ต้องเอากระเป๋าลงครับ เรามาผิดที่..!”

เมื่อรู้ว่าทิ่มผิด นายมาร์โคก็เกาหัวเกรียน ๆ แบบว่า “ตูมาผิดที่หรือวะ ?” แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร สงสัยว่าแถวอิตาลีจะไม่มีเขียด พ่อแม่ไม่ได้เอาตบปากตอนหัดพูด ถึงได้เป็นคนปากหนักพูดน้อยขนาดนี้ พอพวกเรากลับขึ้นรถเรียบร้อย แกก็กลับรถลงเนิน แล้วพาพวกเราวิ่งไปตามเส้นทางที่คุณโอ๋ชี้บอก ไม่กี่นาทีต่อมาก็ถึงโรงแรม Hotel Ambasciatori ที่มี ๕ ชั้น กว้างขวางโอ่อ่าทีเดียว พวกเราไหลพรูลงจากรถไปทันที เพราะมีป้ายบอกชัดเจนว่ามาไม่ผิดที่แล้วแน่ ๆ...

"พระอาจารย์ทุกท่านไม่ต้องห่วงกระเป๋านะครับ เดี๋ยวทางโรงแรมจะมีคนมาขนไปไว้ให้ที่หน้าห้องของทุกท่านเอง" มัคคุเทศก์รูปหล่อบอกแล้วสาวเท้าเข้าประตูกระจก อาตมาสะพายกระเป๋าโน้ตบุ๊กตามเข้าไป ภายในล็อบบี้กว้างขวางโปร่งตา ช่วงที่นั่งกั้นไว้ด้วยกระถางที่เป็นไม้รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ปลูกพวกกระบองเพชร ใบหูเสือ และว่านประเภทไม้ในร่มไว้หลายชนิด ชุดโซฟาสีดำเดินลายขาววางอยู่หลายชุด แต่พวกเรามากันมากเกินไป จึงนั่งเบียดเสียดเยียดยัดแบบรักกันมาก บริษัททำโซฟามาเห็นน่าจะถ่ายรูปไปทำโฆษณา ว่าของเขาสร้างได้แข็งแรงจริง ๆ..!

สุธรรม 22-10-2015 04:28

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1445462812
หนุ่มอิตาเลียนจะหุ่นมาตรฐานนี้หรือเปล่า ?

ด้านข้างที่นั่งของพวกเรานี่สิ..บาร์เหล้าครับ..! หน้าตาคล้ายกับหัวเรือโบราณ ในตู้กระจกชั้นบนมีขวดเหล้าสารพัดยี่ห้อเรียงเป็นตับ แก้วสะอาดที่คว่ำไว้อีกเป็นร้อยใบ น่าจะให้แขกเรียกดื่มได้ตอนที่นั่งพักผ่อนในล็อบบี้ แต่แขกคณะนี้โดนจำกัดสิทธิ์ ถึงมีคนอยากลองก็ไม่สามารถที่จะทำได้ ช่วงล่างเป็นเคาน์เตอร์ไม้เลี่ยมสเตนเลส บนเคาน์เตอร์มีชามโคมบรรจุมะกอกดองที่น่าจะเอาไว้ให้แกล้มเหล้า อีกด้านเป็นเครื่องชงกาแฟที่ยังไม่ได้เสียบปลั๊ก...

อาตมาวางกระเป๋าโน้ตบุ๊กลงบนโต๊ะกลางของชุดโซฟา แล้วเดินดูการตกแต่งภายในของเขา มาเจอคุณโอ๋ที่เคาน์เตอร์รีเซฟชั่นอีกด้านหนึ่ง พนักงานต้อนรับทั้งรูปร่างและหน้าตาเหมือนนายสันโดษของเราอย่างกับแกะ สงสัยว่าผู้ชายอิตาเลียนรูปร่างหน้าตาจะเป็นมาตรฐานนี้ทั้งหมด เมื่อรับกุญแจห้องมาแล้ว มัคคุเทศก์รูปหล่อเดินมายังที่นั่งพัก กางโพยที่ระบุว่าใครพักกับใครที่ห้องไหน แล้วจ่ายกุญแจแบบบัตรเสียบ (Key Card) ให้ทีละห้อง อาตมาได้ห้องหมายเลข ๓๒๒ พักกับหลวงพ่อพระครูเรือง บนกระดาษที่เสียบกุญแจเขียนว่า Grand Hotel Ambasciatori ตกลงว่าใช่โรงแรมเดียวกันหรือเปล่านี่ ?

"พระอาจารย์ท่านใดต้องการยาแก้แพ้บ้างคะ ?" คุณโอเล่เดินเร่ขายยาที่หอบหิ้วมาจากเมืองไทย อาตมาที่รู้สึกไม่ค่อยจะดีเพราะนอกจากปวดหัวตุบ ๆ ส่อแววว่าอาการมาลาเรียเรื้อรังกำลังกำเริบแล้ว ยังปวดสะโพกที่หลุดอีกด้วย จึงแบมือรับยามา ๑ เม็ด โยนเข้าปากกลืนเอื๊อกลงไปเลย ทำเอาองปลัดมองตาค้าง...

"เฮ้ย..กินยาแบบนี้เลยหรือ ? ไม่ต้องใช้น้ำด้วย..!"
"ยาเม็ดนิดเดียว กระดูกก็ไม่มี ทำไมต้องใช้น้ำด้วยวะ ?"

สุธรรม 22-10-2015 21:18

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1445523465
นิมนต์พระคุณท่าน "เม้าท์" กันไปเถอะ..ผมขอไปนอนแล้วครับ

ปล่อยท่านอ้าปากหวออัศจรรย์ใจต่อไป อาตมาชวนหลวงพ่อพระครูเรืองเข้าลิฟท์ มีท่านไพฑูรย์กับพระครูปรีชาที่ได้กุญแจแล้วตามมาด้วย นอกนั้นยังนั่ง "เม้าท์กระจาย" กันไม่เลิก อาตมาจึงกดให้ลิฟท์เลื่อนขึ้นไปเลย อึดใจเดียวก็เปิดออกที่ชั้นสามให้พวกเราออกมาบนทางเดินที่ปูพรมสีเทา ยาวเหยียดออกไปทั้งซ้ายขวา ห้องตรงหน้าคือ ๓๒๐ อาตมาจึงพาหลวงพ่อพระครูเรืองเลี้ยวขวา ขณะที่พระครูปรีชาพาท่านไพฑูรย์เลี้ยวซ้ายไปหาห้อง ๓๑๗ ของท่าน...

เมื่อเสียบบัตรเข้าในช่อง มีเสียงออดแสดงการทำงาน เมื่อผลักประตูโลหะหนาหนักเข้าไป ข้างซ้ายเป็นห้องน้ำ ขวามือเป็นตู้เสื้อผ้า ถัดเข้าไปเป็นโต๊ะแคบ ๆ ยาว ๆ มีเก้าอี้อยู่ตัวเดียว พอเดินพ้นมุมห้องน้ำก็เป็นเตียงคู่ อาตมาเอากระเป๋าโน้ตบุ๊กโยนลงบนเตียงที่ติดกับห้องน้ำ เปิดเอาสบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟันส่วนตัวออกมา ทั้งที่โรงแรมไหน ๆ เขาก็มีของพวกนี้ให้ แต่ด้วยความที่เป็นคนหน้าหนาแต่หนังบาง มักจะแพ้สบู่ทั่วไป จึงต้องพกสบู่เด็กไปด้วยเสมอ...

มองหารีโมตเปิดเครื่องปรับอากาศ แต่ทั่วทั้งห้องก็ไม่มี เมื่อเดินเข้าไปบริเวณผนังใต้เครื่อง เห็นมีกล่องสวิทช์สี่เหลี่ยมเล็ก ๆ มีปุ่มหลายปุ่มให้กด แต่ลองกดดูแล้วทุกอย่างก็เงียบฉี่ จึงเดินไปเปิดหน้าต่าง อ้าว..หน้าต่างที่นี่เขาเปิดแบบพิสดารดีแท้ ต้องเปิดทางด้านบน มิหนำซ้ำยังดึงเอนเข้ามาข้างในอีกด้วย อากาศเย็นฉ่ำชื่นใจไหลพรูเข้ามาทันที...

สุธรรม 23-10-2015 03:27

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1445545594
ห้องน้ำหน้าตาเป็นแบบนี้

หลวงพ่อพระครูเรืองทิ้งตัวแผ่หลาบนเตียง "หลวงพ่อเอนหลังสักพักนะครับ ผมขอสรงน้ำครู่เดียวเท่านั้น" ท่านหลับตาโบกมือให้ อาตมาจึงเดินเข้าห้องน้ำไปก่อน จัดการ "ฉี่รด" เอาไว้เป็นเครื่องหมาย แล้วหยิบฝักบัวมารอไว้ที่หน้าแข้ง เปิดน้ำเย็นเจี๊ยบลงไปให้ร่างกาย "รู้ตัว" ก่อน จนแน่ใจว่าร่างกายปรับได้ทันแล้ว จึงจัดการสรงน้ำเสร็จภายในสองนาที เพราะน้ำเย็นมาก ขืนโดนนาน ๆ มีหวังมาลาเรียโดดใส่อย่างแน่นอน...

แต่งตัวเสร็จออกจากห้องน้ำมา รวมเวลาทั้งหมดยังอยู่ใน ๓ นาทีตามที่ได้รับการฝึกมาสมัยยังเรียนวิชาทหารอยู่ที่กองโรงเรียน บอกให้หลวงพ่อพระครูเรืองเข้าห้องน้ำต่อ อาตมาเปิดกระเป๋าหยิบเอาโน้ตบุ๊กออกมาติดตั้ง แต่ปลั๊กของเครื่องเสียบกับที่นี่ไม่ได้ ยูนิเวอร์แซลปลั๊กก็อยู่ในกระเป๋าอีกใบหนึ่ง เปิดประตูชะโงกออกไปดูก็ยังไม่เห็นกระเป๋ามาวางให้เลย ตัดสินใจหยิบจีวรมาห่ม แล้วลงลิฟท์ไปยังชั้นหนึ่ง พอออกจากลิฟท์มาก็เห็นกระเป๋าวางเรียงอยู่แน่นขนัด...

คว้าเอากระเป๋าของตัวเองกับของหลวงพ่อพระครูเรืองเดินเข้าลิฟท์ พรรคพวกหลายคนยังคุยกันไม่เลิก อาตมากลับไปถึงห้องแล้ว หลวงพ่อพระครูเรืองยังไม่ได้เริ่มสรงน้ำเลย จัดการต่อสายเครื่องโน้ตบุ๊ก แล้วถอดเอาแผ่นความจำ (Memory Card) ของกล้องออกมาเสียบกับช่องรับของโน้ตบุ๊ก จัดการดึงภาพออกมา แล้วลดขนาดให้เหลือแค่ ๘๐๐ X ๖๐๐ เพื่อไม่ให้เปลืองเนื้อที่เก็บภาพ...


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 13:25


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว