กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๙ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5162)

เถรี 19-08-2016 19:34

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๙
 
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เราถนัดและเคยชินมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๕ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๙ ในวันนี้พระครูสมุห์ธรรพ์ณธร ธมฺมทินฺโน เจ้าอาวาสวัดหนองบ้านเก่า ท่านนำคลิปวิดีโอมาให้อาตมาดู เป็นภาพของเด็กวัยก่อนเกณฑ์ เรียกง่าย ๆ ว่าเด็กอนุบาล เถียงกับผู้ใหญ่ซึ่งอายุมาก และโดยเฉพาะเป็นแม่ค้าในตลาด ซึ่งถ้าโดยทั่วไปพวกเราก็คงเข้าใจคำว่า "แม่ค้าปากตลาด" เป็นอย่างไร

แต่ปรากฏว่าเด็กคนนี้กล้าเถียงผู้ใหญ่ และเถียงแบบมีเหตุมีผล ท่านพระครูสมุห์ธรรพ์ณธรถามว่า "หลวงพ่อครับ...เด็กเขาเอากำลังใจอย่างนี้มาจากไหน?" นั่นคือประเด็นว่าเด็กเอากำลังใจแบบนี้มาจากไหน? ต้องมีความเข้มแข็งของจิตมากเท่าไร ? ถึงจะกล้าเถียงผู้ใหญ่กลางที่ชุมชน

โดยเฉพาะอายุห่างกันไม่หนี ๔๐-๕๐ ปี เรื่องแบบนี้ถ้าใครฝึกปฏิบัติสมาธิภาวนาจนอารมณ์ใจทรงตัว ก็จะทราบว่าเป็นเรื่องปกติ บุคคลที่สมาธิทรงตัวจะไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใด ๆ รอบข้าง โดยเฉพาะเรื่องของกิเลสต่าง ๆ ที่ชวนให้เรา รัก โลภ โกรธ หลง แต่ถ้าหลุดออกจากสมาธิภาวนาเมื่อไร ถ้ารักษาอารมณ์ไว้ไม่เป็น รัก โลภ โกรธ หลง ก็จะกินใจเราได้ทันที กำลังใจของเราที่ฝึกต่อต้านกิเลสนี่แหละ ที่จะเข้มแข็งขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามลำดับของสมาธิที่เราทำได้

เถรี 19-08-2016 19:35

เมื่อกำลังใจของเราเข้มแข็ง ถึงเวลาก็ย่อมกล้าที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่าง ๆ โดยไม่หวั่นไหว แล้วถ้าหากมีคำถามว่าเด็กตัวแค่นั้นเอง ขุดกำลังใจมาได้อย่างไร ? ก็ต้องบอกว่าเป็นของที่ติดตัวข้ามชาติข้ามภพมา

การทำบุญทำบาปของเราทั้งหลายไม่ได้สูญหายไปไหน ถึงเวลาสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ย่อมกลายเป็นวิบาก ก็คือการส่งผลต่อเราในภายภาคหน้า ฉะนั้น...การที่ท่านทั้งหลายมาฝึกปฏิบัติภาวนา ก็ให้ดูตัวอย่างเด็กเล็ก ๆ เอาไว้ว่า เรามีความกล้าหาญ มีความมุ่งมั่น กล้าพูดกล้าทำอย่างเขาหรือไม่ ? ถ้ายังไม่มี...แปลว่ากำลังใจของเรายังใช้ไม่ได้ จำเป็นที่เราจะต้องมาฝึกซ้อมในเรื่องของสมาธิภาวนาให้มากยิ่งกว่านี้

โดยเฉพาะอานาปานสติ หรือการตามดูตามลมหายใจเข้าออก ซึ่งจะสร้างสมาธิของเราให้ทรงตัวมั่นคงได้ มีกำลังในการต่อต้านกระแสกิเลส ถ้าท่านทั้งหลายที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมจะทิ้งเรื่องของสมาธิภาวนา โดยเฉพาะลมหายใจเข้าออกไม่ได้เลย

เถรี 20-08-2016 18:23

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลที่ทรงฌานสมาบัติมารจะมองไม่เห็น ที่มารจะมองไม่เห็นเพราะบุคคลที่ทรงฌานตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป สภาพจิตสะอาดปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง ชั่วคราว เสนามารต่าง ๆ รบกวนไม่ได้ ในเมื่อไม่มีอะไรรบกวนได้ ต้นตำรับก็คือพญามาร ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าบุคคลผู้นี้ทำอะไรอยู่ที่ไหน พระองค์ท่านถึงได้ตรัสว่ามารจะมองไม่เห็น

ฉะนั้น...ในการที่เราปฏิบัติสมาธิภาวนา หรือปฏิบัติพระกรรมฐานของเรา ก็ควรจะตั้งเป้าไว้ให้ชัดเจนว่า อย่างน้อยในชีวิตนี้เราต้องเข้าถึงปฐมฌานให้ได้ ถ้าได้ฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ ยิ่งดี เราจะเกิดความมั่นคงยิ่ง ๆ ขึ้นไป ทำให้มารทั้งหลายไม่สามารถที่จะหาเราพบ ไม่สามารถที่จะส่งเสนามารมารบกวนเราได้

แม้ว่าจะเป็นแค่ฌานโลกีย์ก็ตาม ก็มีอำนาจในการกดกิเลสให้ดับลงชั่วคราว บุคคลที่ทรงฌานได้จะมีความสุขอย่างยิ่ง เพราะ รัก โลภ โกรธ หลง ที่เป็นไฟ ๔ กองคอยเผาสัตว์โลกอยู่ตลอดเวลา โดนดับลงชั่วคราวด้วยอำนาจของฌานสมาบัติ เราจะมีแต่ความสงบความเยือกเย็นทั้งกายและใจ ถ้าหากว่าใครสามารถรักษาเอาไว้ยาวนานเท่าไร ก็จะได้รับความสุขความสงบได้นานเท่านั้น

เถรี 20-08-2016 18:24

แต่ขอให้อย่าได้ยินดีเพียงแค่นั้น ให้ทุกคนมุ่งลัดตัดตรงเข้าหาการละกิเลสตามสังโยชน์ โดยเฉพาะทำความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้แน่นแฟ้นจริงจัง ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้เคยล่วงเกินไปแล้ว ก็ให้หมั่นกราบขอขมาพระรัตนตรัยเอาไว้เสมอ

พยายามรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล เห็นผู้อื่นละเมิดศีลเราก็ไม่ยินดีด้วย และท้ายที่สุดให้ทำความรู้สึกตัวไว้เสมอว่า เราจะต้องตายแน่นอน ถ้าขึ้นชื่อว่าตายแล้วการเกิดมามีความทุกข์เช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก สถานที่เดียวที่พ้นจากความทุกข์ทั้งปวงที่รอเราอยู่นั่นคือพระนิพพาน ให้ทุกคนวางกำลังใจสุดท้ายเอาไว้ที่พระนิพพาน

ลำดับต่อไปให้ทุกท่านตั้งใจกำหนดภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๕๙

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกา)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:36


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว