กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3434)

เถรี 20-07-2012 13:09

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๕
 
ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตัว ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่ที่ลมหายใจ หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลเข้าไปพร้อมกับลมหายใจ หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลออกมาพร้อมกับลมหายใจ จะเอาแค่ปลายจมูกจุดเดียวเป็นจุดที่รู้สึก หรือว่าต้องการ ๓ ฐาน จมูก อก ท้อง หรือต้องการ ๗ ฐาน หรือต้องการรู้ลมตลอดสายก็ได้ เพียงแต่อย่าให้ความรู้สึกหลุดไปจากลมหายใจเข้าออก ถ้าหลุดไปเมื่อไรให้ดึงกลับมาที่ลมหายใจเข้าออกทันที

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นการปฏิบัติธรรมวันสุดท้ายของเดือนนี้ สองวันที่แล้วมาได้กล่าวถึงความดีเบื้องต้นคือศีล ความดีเบื้องกลางคือสมาธิ สำหรับวันนี้ขอกล่าวถึงความดีเบื้องปลาย คือปัญญา

ในไตรสิกขาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวถึงปัญญาไว้ในเบื้องปลาย เป็นการกล่าวถึงตามหลักการปฏิบัติ ถ้าหากศีลของเรามั่นคงสมาธิจะทรงตัว ถ้าสมาธิทรงตัวปัญญาจึงจะเกิด เมื่อปัญญาเกิดก็จะไปคุมศีลให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น ดังนี้

ดังนั้น..ปัญญาจึงมาทีหลัง แต่ถ้าในมรรค ๘ นั้น พระองค์ท่านขึ้นด้วยปัญญาก่อน ก็คือสัมมาทิฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง อย่างเช่นการเห็นในอริยสัจ สัมมาสังกัปปะ ความดำริที่ถูกต้อง เช่น ดำริต้องการจะพ้นทุกข์ ดำริในการไม่พยาบาทเบียดเบียนผู้อื่น ดำริในการออกจากกาม เป็นต้น เมื่อเป็นดังนั้นเราจึงต้องมากล่าวถึงปัญญาในวันสุดท้าย เพราะเป็นการเรียงตามแบบของการปฏิบัติ

เมื่อทุกคนปฏิบัติในสมาธิจนทรงตัวแล้ว โดยธรรมชาติของสมาธิ เมื่อทรงตัวเต็มที่ก็จะคลายออกมาเองโดยอัตโนมัติ ตอนที่สมาธิคลายออกมา ถ้าเราไม่หาสิ่งที่เป็นคุณไว้ในการพิจารณาแล้ว กิเลสก็จะเอากำลังของสมาธินั้นไปฟุ้งซ่านอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการ เพราะมีกำลังสมาธิหนุนเสริมอยู่

การที่เราจะพิจารณาเพื่อให้เกิดปัญญานั้น มีอยู่หลายแบบด้วยกัน แบบแรก ก็คือ พิจารณาตามแบบอริยสัจ ๔ อย่างเช่น กำหนดรู้ว่านี่คือทุกข์ นี่คือสาเหตุของการเกิดทุกข์ นี่คือการดับทุกข์ นี่คือหนทางเข้าไปสู่การดับทุกข์ เป็นต้น ต้องรู้เห็นให้ชัดเจน เมื่อรู้เห็นสาเหตุของการเกิดทุกข์ชัดเจน เราก็อย่าไปสร้างสาเหตุนั้น ความทุกข์ก็จะดับลงได้

เถรี 21-07-2012 08:33

หรือว่าเราจะพิจารณาตามแนวของไตรลักษณ์ คือลักษณะสามัญ ๓ อย่างที่คน สัตว์ วัตถุธาตุต่าง ๆ จะต้องประสบพบอยู่เสมอ ก็คือ

๑. อนิจจลักษณะ
มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายตัวไปในที่สุด

๒. ทุกขลักษณะ
มีความทุกข์เป็นปกติ ระหว่างที่ดำรงอยู่ก็ต้องทนต่อสภาพกระทบทั้งภายในภายนอกทุกประการ

๓. อนัตตลักษณะ
คือความที่ไม่สามารถยึดถือเป็นตัวเป็นตนได้ เพราะสภาพร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี ประกอบขึ้นมาจากธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ให้อาศัยอยู่ตามบุญตามกรรมเพียงชั่วคราวเท่านั้น ถึงเวลาก็ต้องเสื่อมสลายตายพังไป

เมื่อเห็นชัดดังนี้ก็ไม่มีใครต้องการร่างกายที่เต็มไปด้วยความไม่เที่ยง เต็มไปด้วยความทุกข์ และไม่สามารถยึดถือเป็นตัวเป็นตนดังนี้ได้ ก็จะส่งกำลังใจไปสู่เส้นทางแห่งความหลุดพ้น คือพระนิพพาน

หรือว่าท่านทั้งหลายจะพิจารณาตามนัยของวิปัสสนาญาณ ๙ อย่าง เริ่มตั้งแต่อุทยัพพยญาณ คือ พิจารณาเห็นการเกิดดับ ทั้งของร่างกายตนเอง ของร่างกายคนอื่น ของร่างกายสัตว์อื่น เป็นต้น แม้กระทั่งลมหายใจเข้าออกของเราก็เกิดดับอยู่เป็นปกติ เริ่มต้นหายใจเข้าก็เกิดขึ้น ลมหายใจวิ่งผ่านกึ่งกลางอกไปก็ตั้งอยู่ เมื่อสุดลงที่ท้องก็ดับไป เป็นต้น หายใจออกจากท้องก็เกิดขึ้น ผ่านกึ่งกลางอกก็ตั้งอยู่ สุดที่ปลายจมูกก็ดับไป

จะพิจารณาเห็นการเกิดดับของทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่อัตภาพร่างกายของเรา เมื่อเห็นว่าหาสาระแก่นสารที่แน่นอนไม่ได้ จิตใจก็จะเบื่อหน่าย ปลดถอนออกมาจากความต้องการยึดถือในร่างกายนี้ หันไปเกาะพระนิพพานแทน

หรือภังคานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความดับ คือเน้นความเด่นชัดในความดับสูญทุกอย่าง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นร่างกายของเราก็ดี ร่างกายคนอื่นก็ดี ร่างกายสัตว์อื่นก็ดี วัตถุธาตุสิ่งของต่าง ๆ ก็ดี ล้วนแล้วแต่ต้องเสื่อมสลายตายพังไปทั้งสิ้น ในเมื่อต้องก้าวเข้าไปหาความดับสลายผุพังอยู่เป็นปกติ สภาพจิตก็จะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด หมดความต้องการยึดถือในร่างกายของเรา ในร่างกายคนอื่น ก็จะหันไปเกาะพระนิพพานแทน

เถรี 22-07-2012 16:28

ลำดับการปฏิบัติต่อ ๆ ไป ไม่ว่าจะเป็นภยตูปัฏฐานญาณ อาทีนวานุปัสสนาญาณ หรือ ปฏิสังขานุปัสสนาญาณก็ดี นิพพิทาญาณก็ดี มุญจิตุกัมยตาญาณก็ดี ไปจนถึงสังขารุเปกขาญาณและสัจจานุโลมิกญาณ ก็อยู่นัยเดียวกัน ก็คือพิจารณาไปจนกระทั่งเห็นว่าร่างกายนี้หาสาระแก่นสารไม่ได้ ร่างกายคนอื่นหาสาระแก่นสารไม่ได้

ปัญญาที่ได้รับการส่งเสริมจากสมาธิจะชัดเจนและแหลมคมเป็นพิเศษ เห็นชัดเจนไปทุกส่วน ว่าร่างกายของเราเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ ดำรงอยู่ก็ประกอบไปด้วยความทุกข์ ไม่มีอะไรยึดถือเป็นตัวเป็นตนได้แม้แต่น้อยนิด จิตใจก็จะปลดวางจากร่างกาย ไม่ปรารถนาการเกิดมามีร่างกายนี้อีก ก็จะมุ่งเข้าสู่หนทางหลุดพ้นคือพระนิพพาน การใช้ปัญญาพิจารณาให้พิจารณาอย่างนี้

หรือว่าท่านใดชอบพิจารณายาว ๆ จะดูในเรื่องของขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ หรืออินทรีย์ ๒๒ ก็ได้ ทั้งหมดก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเช่นกัน ยึดถือมั่นหมายเมื่อไรก็ประกอบไปด้วยความทุกข์ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีใครอยากได้ใคร่ดีในร่างกายนี้อีก ก็มุ่งสู่ทางหลุดพ้นคือพระนิพพาน

ท่านชอบใจตรงจุดไหน ส่วนไหน แบบไหน ให้พยายามนำมาคิดพิจารณาไว้บ่อย ๆ เพื่อที่จะได้ใช้กำลังสมาธิไปในทางที่ถูกต้อง หนุนเสริมในการที่จะห้ำหั่น ตัดละกิเลสต่าง ๆ ลง ถ้าหากว่าเราไม่นำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มาให้คิด กิเลสก็จะชักจูงให้คิดไปในทางรัก โลภ โกรธ หลง และจะตีคืนได้ยาก เพราะกิเลสเอากำลังสมาธิไปคิด จึงมีความเข้มแข็งมากเป็นพิเศษ

เถรี 24-07-2012 08:40

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายที่ทำสมาธิ เมื่อทรงตัวแล้วจะคลายจิต คลายสมาธิ ออกมาคิดพิจารณาเองก็ได้ หรือจะเฝ้ารอจนกระทั่งสมาธิทรงตัวถึงที่สุด แล้วค่อย ๆ คลายออกมา เราค่อยมาพิจารณาก็ได้

เมื่อเห็นชัดเจนแล้ว เป้าหมายสุดท้ายของเราคือ เราไม่ต้องการเกิดอีก ในเมื่อไม่ต้องการเกิดอีกก็เอาจิตสุดท้ายของเราเกาะที่พระนิพพานเอาไว้ ตั้งใจว่าถ้าเราตายลงไปเพราะหมดอายุขัย หรือว่าตายลงไปเพราะอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ก็ตาม เราขออยู่ที่พระนิพพานนี้แห่งเดียวเท่านั้น

ให้ทุกคนคิดพิจารณา แล้วประคับประคองรักษาอารมณ์ใจดังนี้เอาไว้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๕๕

(ถอดจากเสียงเป็นตัวอักษรโดยเถรีและรัตนาวุธ)

ชินเชาวน์ 21-12-2013 15:09

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2555-07-01

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 15:53


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว