กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เรื่องธรรมะ และการปฏิบัติ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=20)
-   -   เล่าสู่กันฟัง ภาค ๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=481)

เถรี 21-05-2009 20:05

เล่าสู่กันฟัง ภาค ๒
 
วันก่อนนางมารร้ายถามปัญหาพระอาจารย์ว่า "ระหว่างความมั่นใจในอานุภาพพระรัตนตรัย กับความประมาท อารมณ์พอดีอยู่ที่ตรงไหน ?"

พระอาจารย์เมตตาตอบว่า "เราต้องมั่นใจในพระรัตนตรัยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ต้องไม่ประมาท คืออย่าไปลองเล่น อันนี้ไม่ค่อยดี แล้วถ้ารู้สึกว่ากำลังใจตกวูบ (เหมือนใจหาย..เหมือนตกจากที่สูง) นั่นไม่ต้องลองเลย แย่แน่ ๆ ให้หาทางหลบมาดีกว่า กำลังใจวูบนี่อาจจะเป็นเพราะกฎของกรรมก็ได้"

อย่างของท่านตอนที่โดนงูกัดเข้าชีพจรนี่ กำลังใจท่านก็เป็นปกติ พอเกิดเรื่องก็ยังสงสัยอยู่ว่าจะต้องมีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับตัวเองแน่ ๆ ไม่ใช่ที่ยันต์เกราะเพชร ก็ไปค้นดูถึงรู้ว่าเป็นวันมรณะท่านพอดี ( แต่จะอย่างไรก็แค่เอาทิงเจอร์ราด เอาพลาสเตอร์แปะเท่านั้นเอง..!)

เถรี 21-05-2009 20:11

มีอยู่ครั้งหนึ่ง นางมารร้ายสงสัยเรื่องปัญญาว่า "สมาธิทำให้เกิดปัญญา ถ้าเช่นนั้นคนที่ได้ฌานสูงกว่า ก็ต้องมีปัญญามากกว่าคนที่ได้ฌานระดับต่ำกว่าเสมอไปหรือไม่ ?"

ท่านอาจารย์เมตตาอธิบายว่า "ปัญญามีอยู่ ๓ ชนิด หนึ่งคือสหชาติกปัญญา เป็นปัญญาที่สั่งสมมาแต่ปางก่อน (พวกที่มีพรสวรรค์ในเรื่องต่าง ๆ) สองคือปาริหาริกปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการเรียนรู้เพิ่มเติมภายหลัง ถ้าไม่มีของเก่ามา คนเรียนก็ย่อมรู้มากกว่าคนไม่เรียน สามคือเนปักกปัญญา ปัญญาในการตัดกิเลส ถ้าอย่างนี้ละก็ ปัญญาของพระโสดาบันที่ได้ฌานหนึ่ง ย่อมเหนือกว่าปัญญาของฌานสี่ที่เป็นฌานโลกีย์อย่างไม่เห็นฝุ่นอยู่แล้ว"

เถรี 21-05-2009 20:14

อีกคำถามหนึ่งที่ถามไปคือ เห็นคนนิยมนั่งสมาธิกันมากขึ้น แม้แต่คนศาสนาอื่นก็เจริญภาวนาสวดมนต์กันมาก เลยถามท่านว่า "ถ้าทำสมาธิ แต่ปราศจากศีลจะมีผลอย่างไร ?"

ท่านบอกว่า "สมาธิจะไม่ทรงตัว เพราะไม่มีศีลเป็นพื้นฐานมารองรับ แต่อย่าลืมว่าพวกทำไสยศาสตร์นี่ ขณะที่กำลังทำ เขาก็ไม่ได้ทำผิดศีลนะ"

นางมารร้ายเลยถึงบางอ้อ มิน่า..พวกได้ฌานโลกีย์ถึงเสื่อมกันได้ เพราะไม่มีพื้นฐานศีลที่มั่นคงมารองรับนี่เอง เมื่อสมาธิไม่คงตัว ปัญญาก็มีบ้างไม่มีบ้างเป็นธรรมดา

เถรี 21-05-2009 20:17

พระอาจารย์มีความเชื่อว่า สถิติมีไว้ทำลาย ดังนั้น..หลักการหรือทฤษฎีไม่ว่าจะทางวิทยาศาสตร์หรือพุทธศาสตร์ ก็ต้องมีไว้ทำลาย
ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าท่านคงไม่สามารถที่จะก้าวล่วงไปได้้
พระอรหันต์มากต่อมากคงไม่สามารถที่จะก้าวล่วงไปได้เช่นกัน

ถึงโลกจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปขนาดไหนก็ตาม
กิเลสของคน คือ รัก โลภ โกรธ หลง ก็ยังเหมือนเดิม ในเมื่อเหมือนเดิม เราก็สามารถที่จะแก้ไขได้ด้วยวิธีเดิม ๆ ซึ่งครูบาอาจารย์ทั้งหลายต่างก้าวพ้นไปแล้วก็ด้วยวิธีนี้...

ตัวแสบจำเป็น 22-05-2009 09:26

ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เล่าบ้างก็ได้
เมื่อเช้าได้ยินมาแว่ว ๆ ว่า หลวงพี่เอกบอกว่า
เมตตาคือบ้ากาม** บ้ากามมาก ๆ เขาเรียกว่าหื่น

ตอนนั้นท่านกำลังสอนลูกน้อง (ก็ท่านไม่มีลูกศิษย์) ทโมน ๆ
ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ท่าน เห็นคุย ๆ กันว่า ที่ไปจีบสาว เพราะว่ามีเมตตา

เฮ้อ.. คนเรา อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องให้ท่านด่า :onion_eiei:

หมายเหตุ ตรงข้อความที่ว่า "เมตตาคือบ้ากาม" นั้น เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล
โปรดอย่าจำไปใช้ ถ้าท่านไม่ได้เป็น!! เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

เถรี 22-05-2009 12:07

พระอาจารย์ปรารภว่า พระรัตนตรัยมีคุณอนันต์ก็มีโทษมหันต์ ขึ้นอยู่กับเราว่าจะสัมผัสถูกต้องไปในทางไหน อย่าใช้ความเป็นกันเองกับพระรัตนตรัย เช่น นางขุตชุตรา ใช้เพื่อนที่เป็นพระอรหันต์หยิบของให้ เลยต้องเกิดเป็นคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ

มีคนมาปรึกษาเรื่องสร้างพระ ท่านบอกว่าคนเราชอบคิดเอาแต่ได้ หารู้ไม่การสร้างพระ ถ้าไม่ขออนุญาต ก็มีโทษเหมือนกัน
ตัวอย่างสมัยท่านสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านบวงสรวงขออนุญาตอย่างเป็นทางการ ว่าจะสร้างแบบไหน ขนาดหน้าตักเท่าไร แต่มีคนหนึ่งอยากได้หน้าตักใหญ่กว่านั้น ก็ไปบอกช่างให้สร้างองค์ใหญ่ให้ด้วย...ปรากฏว่าเททองเท่าไรก็ไม่สำเร็จ ร้อนถึงพระอาจารย์ต้องทำการขอขมาและขออนุญาตให้ จึงเททองครั้งเดียวสำเร็จ

พระอาจารย์ว่า ตัวท่านเองยังไม่เคยคิดจะสร้างสมเด็จองค์ปฐมเลย ทำไมบางคนชอบสร้างกันนัก เช่น อัดรูปสมเด็จองค์ปฐมมาเข้าพิธีให้แจก ท่านเคยถามพวกนั้นว่า "สมเด็จองค์ปฐมเป็นเพื่อนคุณหรือ ? ถึงนึกอยากจะทำก็ทำ เคยขออนุญาตท่านไหม ?"

แล้วเรื่องเกี่ยวกับสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าองค์อื่น ท่านยังไม่บังอาจเลย ต้องเป็นท่านเองมาปลุกเสกเองเท่านั้น พวกนั้นก็เท่ากับว่ามีโทษใช้สมเด็จองค์ปฐม เคยคิดถึงโทษตรงนี้ไหมว่ามหาศาลขนาดไหน..?

เถรี 22-05-2009 12:07

เคยได้ยินพระอาจารย์บอกว่า พระอรหันต์เหมือนกับไฟฟ้าแรงสูง แตะต้องไม่เป็นก็อันตรายเมื่อนั้น

เถรี 22-05-2009 12:08

พระอาจารย์ท่านว่า "..คำว่าบังเอิญ ไม่มีในพระพุทธศาสนานี้ ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม.."

เถรี 22-05-2009 12:13

พระอาจารย์เคยอธิบายความหมายของคำว่า "พรหมจรรย์" ดังนี้

พรหม = ผู้ประเสริฐ , ผู้เป็นใหญ่ ในที่นี้หมายถึง พรหมที่เป็นเทวดาจำพวกหนึ่ง(อุปัตติเทพ)

จรรย์ = ความประพฤติ , แบบอย่าง

พรหมจรรย์ ในความหมายตามศัพท์ คือ ประพฤติอย่างพรหม พรหมอยู่เป็นสุขด้วยอำนาจของฌานสมาบัติ

การประพฤติอย่างพรหม คือ การอยู่กับตนเองในสมาธิ

การอยู่กับสมาธิคือ การอยู่คนเดียว

พรหมจรรย์จึงมีความหมายว่า อยู่คนเดียว อยู่เป็นโสด ไร้คู่ครอง ฯลฯ

เถรี 22-05-2009 12:26

ในเรื่องของรูปครูบาอาจารย์ต่าง ๆ บางทีมีการตกแต่งเพิ่มเติม เพราะเขาคิดว่าจะทำให้ท่านแลดูน่าเชื่อถือ อย่างของหลวงปู่ปานก็มีการเติมหนวดให้

พระอาจารย์ท่านบอกว่า รูปหลวงปู่ปานบางรูปผ่านการตกแต่งฟิล์มโดยช่างในยุคนั้น ซึ่งเขาแต่งตามที่เขาชอบใจ บางรูปนอกจากมีหนวดมีเคราแล้ว ยังมีป้ายชื่อแขวนคอด้วย..!

พระอาจารย์ท่านบอกว่า หลวงปู่ฤๅษีเคยปรารภว่า รูปครูบาอาจารย์นั้น ควรจะเป็นรูปที่ดูดีที่สุด เพื่อที่ศิษย์จะได้จับเป็นอนุสติ ไม่ใช่รูปอีเหละเขละขละอะไรก็ได้

พระอาจารย์ท่านว่า " แม้แต่รูปหลวงพ่อ(หลวงปู่ฤๅษี)นั่งเก้าอี้ ที่เขานิยมกันนัก เพราะเป็นรูปสุดท้ายที่ถ่ายตอนท่านยังมีชีวิตอยู่ อาตมาเห็นแล้วยังไม่สบายใจเลย เพราะท่านกำลังป่วยหนักมาก ขนาดบวมไปทั้งองค์ "

ไม่ใช่แต่หลวงปู่ปาน ยังมีหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก หลวงปู่จาด วัดบางกระเบา หลวงปู่ดิ่ง วัดบางวัว หลวงปู่โด่ วัดนามะตูม ฯลฯ ก็ถูกช่างคนนี้ตกแต่งตามใจชอบ ใส่หนวดใส่เคราให้ทุกองค์ไป

" เขาคงเห็นขลังว่าพระปฏิบัติต้องไม่มีเวลาดูแลตัวเอง หลวงพ่อบอกว่า ตั้งแต่อยู่กับหลวงปู่ปานมา ยังไม่เคยเห็นหลวงปู่ไว้หนวดเลยสักครั้ง "

เถรี 22-05-2009 12:42

เรื่องแก้วจักรพรรดินั้น พระอาจารย์เคยพูดย้ำเสมอ ๆ ว่า พระเณรควรจะมีติดตัวไว้ เมื่อถึงเวลาจะได้เป็นที่พึ่งแก่คนเขาได้

แก้วจักรพรรดิองค์ต้นที่รับมาจากหลวงปู่ชุ่ม โพธิโก วัดวังมุยนั้น เป็นของพระเจ้าจักรพรรดิ เลี้ยงคนได้ ๔ โลก คือ อุตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป ชมพูทวีป ปุพพวิเทหทวีป แล้วแก้วจักรพรรดิของหลวงพ่อมีอานุภาพ ๙๐ % ขององค์เดิม ถึงแม้ว่าจะเลี้ยงคนไม่ถึง ๔ โลกก็ตามแต่ก็ใกล้เคียง

เรียนถามพระอาจารย์ว่าเวลาท่านอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลท่านทำอย่างไร พระอาจารย์ท่านบอกว่า "ขอพระท่านว่า ขอให้มีอานุภาพเหมือนของหลวงพ่อวัดท่าซุงทุกประการ"

เถรี 22-05-2009 12:48

พระอาจารย์เคยบอกว่า ท่านอาราธนายันต์ทำน้ำมนต์เผื่อพวกเราทุกวัน ใครที่ป่วยก็ตั้งใจระลึกถึงท่านให้ดี มีเครื่องส่งดีแล้วแต่ก็ต้องเปิดเครื่องรับด้วยค่ะ ถึงจะได้รับผล

เถรี 22-05-2009 12:51

พี่นางมารร้ายเคยถามพระอาจารย์ว่า "พระอาจารย์สมปองเป็นเป้าของใครต่อใครหลายคน ทำไมพระอาจารย์ต้องเอาตัวเข้าไปเป็นเป้าร่วมด้วย "

พระอาจารย์ตอบว่า "..คนอย่างข้า ใจคิดอะไรก็ทำอย่างนั้น ใครสนใจจริยาคนอื่น ไม่ปรับปรุงใจตัวเองก็ช่างศีรษะมารดามันซิ..! ดูเพื่อนต้องดูยามมีภัย ร่วมสุขไม่ร่วมทุกข์ถือเป็นว่าคนที่ใช้ไม่ได้..!"

เถรี 22-05-2009 12:54

การเป็นร่างทรงนั้นพระอาจารย์ท่านว่าต้องเคยมีกรรมเก่าเนื่องกันมา ไม่อย่างนั้นเขาจะทรงไม่ได้เลย แต่ถึงมีกรรมเก่าเนื่องกันมา
ถ้าเราไม่ยอมจริง ๆ เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้ นอกจากกลั่นแกล้งให้ลำบากเดือดร้อนเท่านั้น ให้ต่อรองกับเขาด้วยหัวข้อดังนี้

๑. ถ้าต้องการใช้เราจนไม่มีเวลาทำมาหากิน ต้องทำให้เรารวยก่อน
๒. อย่าให้ต้องแสดงอาการอะไรแปลก ๆ จนเราหรือญาติพี่น้องต้องอายคนอื่นเขา
๓. ถ้ารับปากช่วยเหลือใครไป ต้องมีผลตามที่รับปากทุกอย่าง

ถ้านอกเหนือจากนี้อย่ายอม ยิ่งมากันมาก ๆ มั่วไปหมด เดี๋ยวจะเพี้ยนเข้ารกเข้าพงกันไปใหญ่

การเป่ายันต์เกราะเพชรช่วยไล่ได้เฉพาะพวกผีที่เกาะมาเท่านั้น บรรดาร่างทรงถ้าตอนนั้นไม่ได้ทรงอยู่ก็ไล่เขาไม่ได้ ขอให้ทำใจให้เข้มแข็ง พยายามทรงสมาธิให้ได้ ถ้าสมาธิทรงตัว เราจะมีกำลังเท่ากับพรหมชั้นที่ ๑ เป็นอย่างน้อย ถ้าอย่างนั้นพวกที่มาต่ำกว่านั้นเขาจะกวนเราไม่ได้อีกเลยค่ะ

เถรี 22-05-2009 13:13

ในงานสมโภชพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่วัดเขาวง
หลวงตาพอเจอหน้าพระอาจารย์ท่านดีใจยิ่งกว่าได้แก้ว โดดกอดพระอาจารย์เลย ประโยคแรกที่หลวงตาทักก็คือ "เฮ้ย..เล็ก..ค่าตัวแพงมากหรือวะ ? ถึงไม่มีใครเอาตัวไปงานเขาได้ ขอบใจจริง ๆ ว่ะที่มา..คิดถึงฉิ..หา..เลย..!"

ส่วนใครที่ไปงานวันนั้นจะเห็นได้ว่า พระอาจารย์มีเครดิตในสายตาของหลวงตาขนาดไหน พี่ ๆ มากันเป็นกระตั้ก หลวงตากราบเท้าขอหลวงพ่อสมเด็จจุดเทียนชัย และกำหนดให้พระอาจารย์จุดเทียนสัตตบริภัณฑ์ในพิธีพุทธาภิเษก เขาเรียกว่าพี่น้องย่อมรู้มือกันดีว่าใครมีความสามารถแค่ไหน..!

เถรี 22-05-2009 14:44

ในเรื่องการรับยันต์เกราะเพชร มีคนถามพระอาจารย์หลายรายว่า "รับยันต์เกราะเพชรแล้ว ทำอย่างไรจะมั่นใจว่าได้แน่ ๆ"

พระอาจารย์บอกว่า "ทดสอบได้ ๒ วิธี วิธีแรกเอางูจงอางมา ๑ ตัว ให้งูกัดแล้วนั่งรอสักชั่วโมง ถ้าไม่ตายแปลว่าได้รับยันต์แล้วแน่ ๆ วิธีที่ ๒ โดดให้สิบแปดล้อทับ ถ้ารอดก็แปลว่าได้รับยันต์แล้ว"

เถรี 22-05-2009 15:00

หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า เวลาแกะซองแล้วนับเงินกัน เงินนั้นก็เก็บใส่กองไป ส่วนซองก็ฉีกใส่ถังขยะไป มีบางทีที่คนนับเผลอคุยกัน คุยไปคุยมาดันเอาเงินใส่ในถังขยะแทน

แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่า ตอนสมัยที่ยังอยู่รับใช้หลวงพ่อวัดท่าซุงที่บ้านสายลม พอกลับมาถึงวัด หลวงพ่อก็จะหอบซองทำบุญที่เขาแกะแล้วมาเป็นกองใหญ่ ๆ แล้วบอกให้เอาซองไปตรวจสอบใหม่ หลวงพ่อเล็กเราก็ตรวจซองนั้น ปรากฏว่าแต่ละงวดได้เงิน ๗,๐๐๐-๘,๐๐๐ บาท ท่านก็เลยรู้ว่าทำไมหลวงพ่อท่านถึงได้ให้ตรวจซองอีกครั้งหนึ่ง

ตัวแสบจำเป็น 22-05-2009 15:52

มีอยู่วันหนึ่ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ (ประมาณต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๒)
เมื่อพวกเรานั่งเฝ้าหลวงพี่เอกกันที่บ้านมิ่ง (อันที่จริง น่าจะบอกว่า
เรานั่งฟังเทศน์ แต่บังเอิญว่า ตอนนั้นท่านยังไม่ได้เทศน์ :154218d4:)

จู่ ๆ หลวงพี่เอกก็บอกว่า "มีคนว่าเราปล้นว่ะ"

ญาติโยมก็หูผึ่ง ถามหลวงพี่ว่า "จริงหรือเจ้าคะ? "

หลวงพี่ก็อธิบายว่า "ก็ในกระเป๋ามีเงินอยู่ ๓,๐๐๐ บาท
ถวายเงินทำบุญแค่ ๒๐๐ บาท หนี้ก็ไม่มี อะไรก็ไม่ต้องใช้
จะเก็บเงินไปซื้อเครื่องสำอาง เราก็ปล้นมันนะสิ"

นั่น.. เท่ได้อีก หลวงพี่ขา... :baa60776:

หมายเหตุ วิธีปล้นของหลวงพี่เอกมีอย่างไรบ้าง กรุณาไปถามมิ่งได้ อิอิ
(ล่อให้มิ่งโพสต์ เผื่อจะได้ใบเหลือง ๆ แดง ๆ เพิ่มยอดอีกสักใบ ๒ ใบ)

เถรี 22-05-2009 15:55

หลวงพ่อเล็กบอกว่า อ่านข่าวเจอที่เขาบอกว่า มส. (มหาเถรสมาคม) พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ดึงคนตกงานมาบวช สงสัยคราวนี้พระเต็มวัดแน่เลย

หลวงพ่อบอกว่า "อันที่จริงแล้ว ไม่ต้องดึง ถ้าเขามีศรัทธาเขามาเอง อย่างที่หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศบอกว่า ที่ไหนที่ชาวบ้านเขาพึ่งรัฐบาลไม่ได้ เขาก็จะมาพึ่งพระ"

เถรี 22-05-2009 16:00

ปัจจุบันนี้มีคำพูดที่ว่า "อยากรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ให้ไปถามพระ อยากรู้เรื่องธรรมะให้ไปถามโยม" ก็คือให้ไปถามฆราวาสแทนที่จะไปถามพระ แสดงให้เห็นว่าแม้กระทั่งศาสนาก็เปลี่ยนไปเยอะ

ทีนี้พี่ท้ายแถวเลยถามเกี่ยวกับเรื่องดังตฤณ หลวงพ่อก็บอกว่า "ของเขามีข้อดีตรงที่ว่า เขาทำของยากให้ง่ายลงได้ในระดับหนึ่ง ทำให้คนสนใจได้ในระดับหนึ่ง หนุ่ม ๆ แทนที่จะไปหัวหกก้นขวิดกับทางโลก แต่กลับมายืนต้านกระแสโลก ก็เรียกศรัทธาได้ในระดับหนึ่งแล้ว"

เถรีจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีคนเอาหนังสือของดังตฤณมาถวายหลวงพ่อเล็ก แล้วเขาก็ชมว่าดังตฤณเก่ง หลวงพ่อเล็กหันมาบอกกับเถรีว่า "กุ๋ย..จำเอาไว้นะ ฆราวาสที่เก่งจริงอยู่ได้ไม่เกิน ๗ วันก็ตายแล้ว..!"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:19


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว