กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3601)

เถรี 21-11-2012 14:55

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๕
 
ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตน ตั้งกายให้ตรง กำหนดความรู้สึกทั้งหมดไว้เฉพาะหน้า หายใจเข้า..เอาความรู้สึกทั้งหมดของเรา แนบชิดติดกับลมหายใจเข้าไป หายใจออก..เอาความรู้สึกทั้งหมดของเรา แนบชิดติดกับลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๕๕ เป็นการปฏิบัติกรรมฐานต้นเดือนวันแรกของพวกเรา เมื่อ ๓ - ๔ วันก่อนทางด้านสหรัฐอเมริกา เกิดวาตภัยจากพายุเฮอริเคนแซนดี้ พัดเข้าถล่มบ้านเรือนพังไปหลายรัฐ แต่มีญาติโยมมารายงานว่า ลูกชายที่อยู่บริเวณที่เกิดเหตุปลอดภัย ไม่มีอันตรายใด ๆ

อาตมาจึงอยากจะย้ำกับญาติโยมทุกท่านว่า ถ้าเรามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกจริง ๆ จะปลอดภัยจากอันตรายทุกอย่าง การที่เราจะมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกจริง ๆ นั้น เราต้องปฏิบัติตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือเป็นผู้ที่ถึงพร้อมด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา

เรื่องของวัตถุมงคลที่เป็นพุทธบารมีนั้น ถือว่าเป็นส่วนประกอบส่วนน้อย เราอาจจะภาคภูมิใจ ปลื้มใจ ดีใจ ว่าพกวัตถุมงคลวัดท่าขนุนแล้วอยู่ในเหตุการณ์หนัก ๆ ขนาดนั้นยังปลอดภัย ก็ขอให้ความปลื้มใจดีใจของเรานั้น เป็นไปในการยึดเกาะวัตถุมงคลในลักษณะของพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ

โดยเฉพาะในส่วนของเกราะกำบังที่ดีที่สุดของเรา ก็คือการเป็นผู้มีศีล ถ้าเรามีศีลครบถ้วนสมบูรณ์ เท่ากับเราใส่เกราะป้องกันตัวเอง

เถรี 21-11-2012 14:59

เนื่องจากธรรมชาติของบุคคลและสัตว์ทั่วไปนั้น ไม่มีใครอยากให้คนอื่นมาฆ่า มาทำร้ายตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็ไม่ควรจะไปฆ่า ไปทำร้ายใคร ไม่มีใครอยากให้เขามาลักขโมย หลอกลวง ฉ้อโกงทรัพย์สมบัติของตนเอง เราก็ไม่ควรที่จะไปลักขโมย ฉ้อโกง หลอกลวงทรัพย์สมบัติของคนอื่น

ไม่มีใครอยากให้คนอื่นมาแย่งชิงบุคคลที่เรารัก ข้าวของที่เรารัก เราก็อย่าไปแย่งชิงคนรัก แย่งชิงของรักของบุคคลอื่น ไม่มีใครอยากรับฟังเรื่องโกหกหลอกลวง เราก็อย่าไปโกหกหลอกลวงผู้อื่น ไม่มีใครอยากเป็นคนขาดสติสัมปชัญญะ ดูเหมือนกับบ้า ๆ บอ ๆ เราก็ไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับสุรายาเสพติด

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นความต้องการพื้นฐานในชีวิต ไม่ว่าคนหรือสัตว์ก็มีความต้องการอย่างนี้เช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่า ถ้าเรารักษาศีล ก็คือการที่เรารักษาคุณความดีขั้นพื้นฐาน ที่มนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนามให้การยอมรับนั่นเอง

เมื่อเราไม่ปรารถนาให้คนอื่นมาเบียดเบียนเรา เราก็อย่าไปเบียดเบียนคนอื่น เมื่อเราปราศจากทุกข์โทษเวรภัย การเบียดเบียนคนอื่นด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ โดยเฉพาะในส่วนของปาณาติบาต ก็คือไม่ไปเข่นฆ่าใคร ไม่ไปทำร้ายใคร ถ้าเราสามารถรักษาความดีนี้ได้ต่อเนื่องยาวนาน ความดีนี้ก็จะรักษาเรา ให้อยู่รอดปลอดภัยในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ

เถรี 22-11-2012 21:42

เรื่องของศีลนั้น ในระยะแรกเริ่มที่เรารักษาศีลต้องใช้สติ สมาธิและปัญญา ระมัดระวังไม่ให้สิกขาบทต่าง ๆ ต้องบกพร่องลงไป เมื่อรักษาไปจนกระทั่งตนเองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับศีล ก็คือขยับตัวเมื่อไรรู้ทันทีว่าศีลเราจะขาดจะพร่องหรือไม่ นั่นจัดเป็นสีลานุสติเต็มระดับ

เมื่อถึงตอนนั้น ศีลจะกลับมารักษาเรา คือรักษากาย วาจา ใจของเราให้สมบูรณ์บริบูรณ์ไปด้วยศีล ไม่บกพร่อง ถ้าถึงระดับนั้นแล้ว เราก็จะมีเกราะป้องกันชั้นดี นอกจากจะป้องกันอันตรายทางโลก อย่างเช่น ป้องกันอันตรายจากคนร้าย จากสัตว์ร้าย ป้องกันอันตรายจากภัยต่าง ๆ อย่างภัยธรรมชาติ เช่น วาตภัย คือพายุที่เกิดขึ้น เป็นต้น

ในส่วนที่ละเอียดยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การป้องกันอบายภูมิ ไม่ให้เราต้องตกลงไปอยู่ในที่ลำบาก อย่างเช่น ตกนรก ตกไปในแดนเปรต ตกไปในแดนอสุรกาย ตกลงไปในแดนของสัตว์เดรัจฉาน ก็คือไม่ไปเกิดในสถานที่นั้น ๆ ถ้าอย่างนี้ศีลจะเป็นเครื่องรักษาเราได้เป็นอย่างดี ป้องกันอันตรายให้กับเราได้เป็นอย่างดี ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ศีลจะช่วยรักษาโภคสมบัติของเรา ให้ทรงตัวเยือกเย็น ไม่สูญเสียทรัพย์สินไปด้วยประการต่าง ๆ และศีลยังเป็นบันไดให้เราก้าวล่วงจากกองทุกข์ ไปสู่พระนิพพานได้

ดังนั้นในแต่ละวัน ก่อนที่เราจะเจริญกรรมฐานในเวลาใดก็ตาม ควรจะทบทวนศีลทุกสิกขาบทของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ถ้ามีข้อใดบกพร่อง ให้ตั้งใจเดี๋ยวนั้นเลยว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ไม่บกพร่อง แล้วตั้งหน้าตั้งตารักษาศีลของเราต่อไป ถ้าท่านใดมีศีลบริบูรณ์สมบูรณ์ดีแล้ว ก็คอยระมัดระวังรักษาไว้อย่าให้บกพร่อง

เถรี 22-11-2012 21:49

ถ้าท่านใดทำได้ดังนี้แล้ว ลำดับต่อไปก็ให้ตั้งเจตนาของเราเอาไว้ว่า เรามีความตายมาถึงเป็นธรรมดา ถ้าเราตายลงไปเมื่อไร ขออานุภาพแห่งศีลนี้ ส่งผลให้เราเข้าถึงพระนิพพานที่เดียว ก็เป็นอันว่าเรามีเป้าหมายในการประพฤติปฏิบัติ เพื่อที่จะก้าวล่วงไปสู่จุดหมายปลายทาง ตามที่ได้ตั้งเป้าประสงค์เอาไว้

ขณะเดียวกัน การที่จะก้าวล่วงเข้าไปสู่จุดหมายนั้น ก็ยังต้องประกอบไปด้วยกฎกติกาข้ออื่นอีก ก็คือต้องมีความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ เป็นต้น ในเมื่อเราเป็นผู้เคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ มีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์ รู้ตัวอยู่เสมอว่าต้องตาย ถ้าตายแล้วเราตั้งความปรารถนาไว้ที่พระนิพพานแห่งเดียว ก็แปลว่าเราเป็นผู้ที่ก้าวมาถูกทางแล้ว กำลังเดินไปบนมรรค ก็คือหนทาง ๘ ประการ ที่จะนำพาเราล่วงพ้นจากกองทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ได้

พวกเราก็ต้องระมัดระวัง รักษาตัวเราให้ก้าวเดินในทางที่ถูกต้อง ไม่ผันแปรเป็นอื่น ไม่ก้าวลงไปสู่ในวิถีทางที่ผิด ประคับประคองรักษาเอาไว้ดังนี้ ถ้าสามารถทำเอาไว้ได้ตลอดชีวิต การที่เราจะก้าวล่วงพ้นจากกองทุกข์ ก็เป็นสิ่งที่ไม่เกินวิสัยที่จะพึงได้

ลำดับต่อไปให้ทุกท่านภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันศุกร์ที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๕

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยทาริกาและเถรี)

ชินเชาวน์ 21-12-2013 15:15

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2555-11-02

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:26


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว