กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐานวันเสาร์ที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3845)

เถรี 07-08-2013 20:49

เทศน์ช่วงทำกรรมฐานวันเสาร์ที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖
 
ขอให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตน ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติเอาไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา ให้ใช้คำภาวนาที่เรามีความถนัดมาแต่ดั้งเดิม เพราะจิตมีสภาพเคยชินแล้วยอมรับได้ง่าย

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๖ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๖ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ระยะนี้..ตลอดเวลา ๑ เดือนโดยประมาณ อาตมาเองเจออาการเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ สองรอบติด ๆ กัน ความเจ็บป่วยในครั้งนี้ต้องบอกว่า ค่อนข้างจะหนัก เนื่องจากไม่เคยป่วยจนต้องอาศัยยาฉีดมานาน ตกประมาณ ๓๐ ปีได้แล้ว แต่ก็ต้องอาศัยการฉีดยาเพื่อประคับประคองธาตุขันธ์เอาไว้ จะได้นำพวกเราเจริญพระกรรมฐานกันต่อไปได้ ในขณะที่สภาพสังขารร่างกายจริง ๆ นั้นเหมือนกับไม่มีกำลัง บางเวลาก็เหมือนจะขาดใจลงไป

ที่เล่าให้ฟังนี้ไม่ได้บอกเพื่อให้พวกเราตกใจกัน แต่อยากบอกให้พวกเรารู้ว่า นี่คือสภาพความเป็นจริงของร่างกาย ซึ่งมีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น แปรปรวนไปในท่ามกลาง และสลายไปในที่สุด เมื่ออายุกาลผ่านวัยที่มากขึ้น ความแปรปรวนของธาตุขันธ์มีมากขึ้น ความเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งตามปกติธรรมดาของร่างกายต้องมีอยู่แล้ว ก็ดูเหมือนมากขึ้นไปด้วย แต่ความจริงของสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้น อย่างเช่น ความเจ็บป่วย หนาว ร้อน หิว กระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ มีเป็นปกติของอัตภาพร่างกาย แต่ว่าร่างกายนั้นเสื่อมโทรมลง สิ่งที่เกิดขึ้นตามปกติเหมือนกับทุกครั้ง จึงกลายเป็นของที่หนักขึ้น เพราะสภาพร่างกายรองรับไม่ไหว

เมื่อเป็นดังนั้นเราจะได้เห็นว่า สภาพร่างกายนี้หาความดีไม่ได้ ประกอบไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ประกอบไปด้วยความเป็นทุกข์เป็นภัย เปรียบเหมือนกับเลี้ยงเสือไว้ แล้วเสือนั้นก็กัดเราอยู่ทุกวัน ต่อให้ไม่ขบกัดทำร้ายเรามาก ก็เรียกร้องว่าอย่างน้อย ๆ ต้องหาอาหารให้วันละ ๒ หรือ ๓ มื้อ หิวต้องหาให้กิน กระหายต้องหาให้ดื่ม ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะต้องไปห้องน้ำห้องส้วม ร้อนต้องหาสิ่งของมาบรรเทาให้ หนาวต้องหาเครื่องนุ่มห่มมาเพิ่มให้ เจ็บไข้ได้ป่วยต้องเป็นภาระในการรักษาพยาบาล

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นปกติธรรมดาที่มีอยู่กับขันธ์ ๕ ทุกรูปทุกนาม ไม่ว่าจะตัวเรา ตัวเขา หรือสัตว์ทั้งหลายก็ตาม ล้วนแล้วแต่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของขันธ์ ๕ ที่จะแปรปรวนไปตามสภาพ ซึ่งเป็นเรื่องที่ประมาทไม่ได้ เพราะว่าชีวิตนี้เป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายนั้นเป็นของเที่ยง ความตายย่อมมาถึงชีวิตทุกรูปทุกนามอย่างแน่นอน

ดังนั้น..เราจึงไม่ควรประมาท จำเป็นที่จะต้องศึกษาและปฏิบัติธรรมให้มากเข้าไว้ ถึงเวลาจะได้หลีกลี้หนีจากร่างกายที่เป็นทุกข์เป็นโทษนี้ ไปให้ไกลที่สุด ถ้าสามารถหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานไปได้เลยก็ยิ่งดี

เถรี 10-08-2013 19:27

ถ้าต้องการจะหลีกหนีสิ่งเหล่านี้ พวกเราก็ต้องมาทบทวนศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ถ้าถามว่าต้องสมาทานศีลกับพระก่อนหรือไม่ ? ขอบอกว่าไม่จำเป็น การสมาทานเป็นการให้เราสอบถามจากพระว่าศีลมีอะไรบ้าง เมื่อพระให้ศีลมา เราก็รู้ว่ามีการห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามลักทรัพย์ ห้ามประพฤติผิดในกาม ห้ามโกหกมดเท็จ ห้ามดื่มสุรา เป็นต้น

ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปสมาทานศีล ให้เราตั้งกำลังใจว่าศีลทุกสิกขาบทของเราจะบริสุทธิ์บริบูรณ์ตั้งแต่บัดนี้ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาระมัดระวังรักษา ถ้ามีการเผลอสติผิดพลาดไป ก็ให้ตั้งใจใหม่ว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ แล้วก็พยายามรักษาประคับประคองสิกขาบทเอาไว้ จนกระทั่งอยู่ในลักษณะที่ว่าเราไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล

เมื่อเป็นดังนี้..ด้วยความที่เราต้องใช้สติสัมปชัญญะ จดจ่อระมัดระวังไม่ให้ศีลบกพร่อง ตัวสมาธิก็จะค่อย ๆ ก่อเกิดขึ้น ถ้าเรายิ่งใช้การภาวนาจับลมหายใจเข้าออกเสริมไปด้วย ก็ยิ่งสามารถก้าวขึ้นสู่ความเป็นอัปปนาสมาธิ คือสมาธิขั้นแนบแน่นตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไปได้โดยไม่ยาก

เมื่อสมาธิของเราทรงตัว ความผ่องใสของสภาพจิตมีมาก เพราะว่ารัก โลภ โกรธ หลง โดนอำนาจของสมาธิกดดับลงชั่วคราว เราก็จะมีปัญญารู้ว่า ต้องประคับประคองอย่างไร ศีลของเราถึงจะบริสุทธิ์บริบูรณ์ ต้องคอยระมัดระวังอย่างไร สมาธิของเราจึงจะทรงตัวไม่เสื่อมสลาย

และท้ายที่สุดก็ให้หันมาพิจารณาให้เห็นว่า สภาพร่างกายนี้เต็มไปด้วยความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปกติ มีความตายเป็นของธรรมดา ถ้าเสื่อมสลายตายพังลงไปตามอายุขัยก็ดี หรือเกิดอุบัติเหตุอันตรายใด ๆ ก็ตาม ถ้าเสียชีวิตลง เราขอไปอยู่ที่พระนิพพานแห่งเดียว

แล้วให้ทุกท่านเอากำลังใจเกาะพระนิพพานหรือเกาะภาพพระเอาไว้ ใช้คำภาวนาตามที่เราถนัดมาแต่เดิม ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ให้ดูลมหายใจคู่กับคำภาวนา ถ้าไม่มีลมหายใจ ไม่มีคำภาวนา ก็เอาจิตจดจ่อแน่วนิ่งอยู่กับพระนิพพานหรือภาพพระของเรา ให้ทำดังนี้ไปจนกว่าได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๖

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยเถรีและคะน้าอ่อน)

ชินเชาวน์ 22-02-2014 18:05

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2556-07-06

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:11


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว