กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6808)

เถรี 21-10-2019 08:44

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๒
 
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกทั้งหมดของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๔ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๒ จากการที่วันนี้มีญาติโยมถามคำถามถึงหลักการปฏิบัติ โดยที่กล่าวว่าสามารถดับภพดับชาติได้หมดแล้ว ต่อไปต้องทำอย่างไร ? อาตมาก็ตอบไปว่า ถ้าดับภพดับชาติได้หมดแล้วก็ไม่ต้องทำอะไร เพราะว่าเข้าพระนิพพานแน่ ๆ แต่สิ่งที่ญาติโยมทำนั้นไม่ใช่การดับภพดับชาติ เป็นแค่กำลังสมาธิของเราที่เกิดขึ้น แล้วก็ไปกด รัก โลภ โกรธ หลง ทุกอย่างให้นิ่งลงไปชั่วคราว ให้ดับลงไปชั่วคราว แล้วเราก็คิดไปว่าดับภพดับชาติได้แล้ว

ซึ่งเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เราจะพบเจอมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะว่าในปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสก็ดี แม่ชีก็ดี ตลอดจนกระทั่งพระภิกษุสงฆ์ของเรา นิยมในการเปิดบ้านเพื่อสอนคนให้ปฏิบัติธรรม ซึ่งจะว่าไปแล้วตรงจุดนี้มีทั้งประโยชน์และโทษ

เถรี 21-10-2019 08:45

ประโยชน์ก็คือ บุคคลที่อาศัยสิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นบทเรียน ก็จะได้รู้ว่าสิ่งที่ทำนั้นมีประโยชน์จริงหรือไม่ แล้วขณะเดียวกัน ถ้าสอนดี สอนถูก ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในพระไตรปิฎก ต่อให้เราไม่ได้อะไรเลย บุคคลที่มีวาสนาบารมีซึ่งรับเอาคำสอนไปปฏิบัติ ก็จะเกิดผลดีแก่ตัวเอง

ส่วนข้อเสียก็คือ การไปเป็นเจ้าของบ้าน เป็นเจ้าสำนัก เท่ากับเป็นผู้ใหญ่ในสถานที่ ก็จะไม่มีใครกล้าตักเตือนว่ากล่าว กว่าที่เราจะรู้ตัว บางทีโดนกิเลสกินเกือบตายไปแล้วก็มี แล้วในส่วนของท่านทั้งหลายที่ไปเปิดบ้านสอน ก็จะเกิดปรากฏการณ์อย่างที่ญาติโยมถามมา คือ พยายามใช้คำพูดให้ดูสูงส่ง ให้ดูเหมือนได้อะไรเยอะมาก อย่างเช่นการปฏิบัติแค่ทรงสมาธิขั้นต้นได้ ก็กล่าวว่าดับภพดับชาติได้หมดแล้ว เป็นต้น ซึ่งโอกาสที่จะทำให้คนเป็นมิจฉาทิฐิ เพราะการสอนผิดพลาดก็จะมีสูงมาก

ถ้าแต่ละสำนักรู้จักสังเกต จะเห็นว่าในเบื้องต้นคนจะมากันมาก แต่พอนานไป ๆ ก็จะค่อย ๆ ลดน้อยถอยลง ยิ่งถ้าหากว่าไม่มีการที่ศึกษาเพื่อที่จะเพิ่มพูนความรู้ เพราะคิดว่าตนเองอยู่ในจุดที่สูงแล้ว เป็นครูบาอาจารย์ของเขาแล้ว โอกาสที่จะพาลูกศิษย์ออกนอกลู่นอกทางก็จะมีมาก โทษใหญ่ก็จะเกิดขึ้นแก่ตัวเราเอง เพราะว่าไปสอนคนให้เป็นมิจฉาทิฐิ

เถรี 21-10-2019 08:46

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ญาติโยมสามารถเอาไปเปรียบเทียบกับพระไตรปิฎกก็ได้ คัมภีร์วิสุทธิมรรคก็ได้ หรือแม้กระทั่งหนังสือคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุง อย่างกรรมฐาน ๔๐ หรือว่าคู่มือปฏิบัติกรรมฐานก็ได้ ถ้าสอนผิดไปจากนั้น โอกาสที่ออกนอกลู่นอกทางก็จะมีสูงมาก

นักปฏิบัติที่ดีจึงต้องกล่าวโทษโจทย์ตนเองอยู่เสมอ อย่าเผลอไปคิดว่าเราบรรลุแล้ว เราได้แล้ว ทั้ง ๆ ที่กำลังสมาธิสามารถแค่กดกิเลสได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น ไม่เช่นนั้นแล้วท่านก็จะเสียประโยชน์ใหญ่ ก็คือโอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ เพราะว่าไปหลงเข้าใจผิดคนตามบุคคลที่สอนเรา โดยที่ตัวเองก็ยังไม่รู้จริงว่าเราได้มรรคได้ผลแล้ว จึงไม่ดิ้นรนขวนขวายอะไรเพิ่มเติม ตายไปก็จะเกิดอาการที่อาตมาเรียกว่าเสียชาติเกิด..!

โอกาสดีที่สุดก็คือ การได้เกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ได้ศึกษาธรรม แล้วน้อมนำมาปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ตัวเรา แต่ว่าเมื่อมีโอกาสครบถ้วนแล้ว เราไม่สามารถที่จะทำให้ดีได้ เพราะว่าไปเจอแนวทางที่ผิด เจอคำสอนที่ผิด ก็ต้องบอกว่าแล้วแต่เวรแต่กรรมของแต่ละคน ถ้าหากว่าตามที่หลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงท่านกล่าวก็คือ บุคคลที่สร้างบารมีมาดีก็ย่อมได้รับครูบาอาจารย์ที่ดีเอง เป็นต้น

ลำดับต่อไปก็ให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านบ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๖๒

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 08:05


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว