กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=18)
-   -   ปฏิบัติธรรมแบบมวยวัด (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5734)

เถรี 02-08-2017 22:00

ปฏิบัติธรรมแบบมวยวัด
 
ปกติพวกเราเวลาปฏิบัติธรรมแล้วมีอยู่ ๒ ส่วน ส่วนหนึ่งก็คือมั่วเหมือนมวยวัด ประเภทปะฉะดะ เจออะไรดีกวาดไว้หมด การปฏิบัติธรรมแรก ๆ ก็เป็นอย่างนั้น ทุกคนอยากจะดีที่สุด เก่งที่สุดทุกคน แต่พอทำไป ๆ แล้วเหมือนกับการร่อนกากเหลือแต่แก่นแท้ จะเริ่มรู้แล้วว่าอะไรที่เหมาะกับเรา จากการที่ตีอวนจะเอาปลาทั้งทะเล ก็จะกลายเป็นเล็งแค่ตัวที่ดีที่สุดตัวเดียว

ฉะนั้น...ตอนนี้ใครที่ยังตีอวนจะเอาปลาทั้งทะเลอยู่ อาตมาก็ไม่ได้ตำหนิ เพราะถ้าไม่ทำก็ไม่แล้วแก่ใจ นี่ไม่ใช่สำนวนคนภาคกลาง “บ่แล่วใจ๋” ก็เอาปลาทั้งทะเลไปก่อน ดูซิว่าจะลากไหวไหม ? เราลองมานึกดูว่า ถ้าตีอวนเอาปลาตัวหนึ่ง กับตีอวนเอาปลาทั้งทะเล อย่างไหนจะลากง่ายกว่ากัน ?

อีกส่วนหนึ่งก็คือ ได้หลักแล้วแต่ยังขาดวิริยะกับปัญญาอยู่มาก บารมี ๑๐ ของพวกเราส่วนใหญ่จะพร่องอยู่ที่ ๒ ตัวนี้ อาตมาเล็งดูแล้ว ใครจะยืนยันว่าไม่พร่องช่วยยกมือให้ดูหน้าหน่อย เชื่อเถอะ...พระอาจารย์ดูไม่ผิดหรอก วิริยบารมีของเราที่ขาดก็เพราะว่าความเพียรไม่พอ ไฟลุกเป็นพัก ๆ เจอหน้าครูบาอาจารย์หรือเพื่อนฝูง คุยกันเรื่องการปฏิบัติขึ้นมา ก็ไฟลุกฮือขึ้นมาพักหนึ่ง พอห่างหายจากกัลยาณมิตรก็ไฟดับต่อไป

ทำอย่างไรที่จะให้เรามีไฟอย่างสม่ำเสมอ ? อย่างน้อยที่สุดต้องปฏิบัติให้ถึงขั้นปีติ แบบคุณอดิเทพที่รำมวยนั่น มีใครโดนเตะบ้างไหม ? วันนี้ตูก็ไม่ได้อยู่ดูการรำมวยด้วย นั่นเป็นอาการของปีติ

ถ้าถึงตรงนั้นแล้วจะไม่เบื่อไม่หน่ายในการปฏิบัติ เพราะว่าสภาพจิตเริ่มรู้แล้ว รู้รสพระธรรมแล้ว ก็คือรู้ว่าปฏิบัติแล้วเป็นอย่างไร ได้ผลจริงอย่างไร ในเมื่อเป็นลักษณะอย่างนั้นกำลังใจก็จะไม่ถอย และอาจจะทำเกินด้วย ก็คือพอปีติขึ้นมาก็ขยันปฏิบัติหัวไม่วางหางไม่เว้น บางทีควรจะพักก็ไม่พัก ทำมากจนสติแตกไปเลยก็มี เพราะว่าร่างกายทนความเครียดไม่ไหว ฉะนั้น...นักปฏิบัติที่ดีต้องมีมัชฌิมาปฏิปทา รู้จักผ่อนสั้นพักผ่อนยาว เอาที่พอเหมาะพอดีกับตัวเอง

เถรี 02-08-2017 22:03

อันดับแรก ถ้าท่านใดยังเป็นมวยวัดปะฉะดะอยู่ พยายามเล็งเป้าได้แล้วว่าเราชอบอะไร แต่ว่าก็เป็นเรื่องที่พูดยาก เหมือนอย่างกับถามเด็ก ม.๔ ม.๕ ม.๖ ว่าอยากเรียนอะไรต่อในระดับมหาวิทยาลัย ? มักจะตอบเขาไม่ได้ มีแค่ไม่กี่คนที่มั่นใจตัวเองว่าอยากเรียนอะไร

พวกเราที่เป็นมวยวัดอยู่ก็เหมือนกัน ถ้าถามว่าจะเอากรรมฐานกองไหน ? “ไม่รู้...อยากได้ทุกกองนั่นแหละ” อยากได้ก็ไม่ว่า แต่ทำให้จริง ๆ สักกองหนึ่งก่อน เอากองที่เรารักเราชอบมากที่สุดก่อน แต่จะเป็นกองไหนก็ตามห้ามทิ้งอานาปานสติ ก็คือลมหายใจเข้าออกเป็นอันขาด เพราะว่าถ้าทิ้งกำลังจะไม่พอในการตัดกิเลส กำลังจะไม่พอกดกิเลส กิเลสจะตีหงายท้องเอา

แต่ถ้าหากว่าเรามีหลักแล้ว ก็ต้องเพิ่มความขยัน ก็คือวิริยบารมีและเพิ่มปัญญาบารมี ปัญญาบารมีไม่ต้องใช้มาก แค่รู้ตัวว่าจะตาย ตายแล้วจะไปไหน หาเป้าให้เจอแค่นี้พอ ในแต่ละวันมีสติระลึกรู้อยู่เสมอว่า เราอาจจะต้องตาย ชีวิตเรามีแค่ชั่วลมหายใจเข้าออกเท่านั้น หายใจเข้าถ้าไม่หายใจออก...ตาย หายใจออกถ้าไม่หายใจเข้า...ตายอีกเหมือนกัน

ในเมื่อความตายอยู่แค่ชั่วลมหายใจเข้าออก ถ้าเรายังประมาทอยู่ เราอาจจะต้องตกสู่อบายภูมิ กลายเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เรียกว่าเสียชาติเกิด เราเกิดมาเป็นมนุษย์ด้วยต้นทุนของศีล ๕ มีความดีเพียงพอที่จะก้าวล่วงขึ้นสู่ชั้นสูงกว่านี้ แต่เราไปพลาดท่าตกลงสู่อบายภูมิ เรียกว่าเสียชาติเกิด เพราะว่าเกิดมาชาติหนึ่งกลับเอาดีไม่ได้

เถรี 02-08-2017 22:06

ในเมื่อเป็นอย่างนั้นก็ต้องตั้งเป้าเอาไว้ว่า ถ้าตายเมื่อไรเราจะไปพระนิพพาน กำลังใจที่มั่นคงอยู่ที่ตรงนี้ แล้วก็ไปกวดขันความเคารพในพระรัตนตรัยของเรา ว่าเราเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ด้วยความจริงใจ ไม่ล่วงล้ำก้ำเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ หรือเปล่า ? ถ้าหากว่ายังล่วงเกินอยู่ ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำก็ตาม ให้ตั้งใจกราบขอขมาพระไว้ทุกวันทุกครั้ง

แล้วก็ทบทวนศีลของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ถ้าหากว่ารักษาศีล ๕ ก็ทวนศีล ๕ ข้อ รักษาศีล ๘ ก็ทวนศีล ๘ ข้อ ถ้าเป็นสามเณรก็ศีล ๑๐
เป็นพระก็ศีล ๒๒๗ ระวังรักษายากขึ้นไปเรื่อย ๆ ลักษณะการทวนศีลก็คือ เราละเมิดศีลด้วยตนเองหรือเปล่า ? ถ้าไม่ได้ละเมิดแล้ว เรายุให้คนอื่นเขาทำหรือเปล่า ? ถ้าไม่ได้ยุให้คนอื่นเขาทำ เห็นคนอื่นเขาทำแล้วเรายินดีด้วยหรือเปล่า ?

เห็นคนอื่นเขาละเมิดศีลแล้วยินดีตรงไหน ? อาตมาเคยสมมติว่า เห็นมดเดินเข้าบ้านเป็นทางเลย เราเองถ้าละเมิดศีลด้วยตัวเองก็คว้ายามาฉีด...ตายราบเป็นหน้ากลอง คราวนี้นึกขึ้นมาได้ว่าเรารักษาศีล เห็นมดเดินเข้ามาก็ไม่ทำ แต่บอก “ลูก..ไปเอายามาฉีดที” นี่ก็คือยุยงส่งเสริมให้คนอื่นเขาทำ

รู้แล้วว่าทำเองก็ผิด ให้คนอื่นทำก็ผิด ปรากฏว่าอุตส่าห์อดทนเก็บปากเก็บลิ้นไว้ จนกระทั่งลูกเห็นเอง คว้ายามาฉีด “เออ...น่าทำนานแล้ว” แบบนี้คือยินดีเมื่อคนอื่นเขาทำ...ซวยพอกัน เพราะฉะนั้น...ทบทวนศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ทำความเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ รู้ตัวอยู่เสมอว่าต้องตาย ถ้าตายแล้วเราจะไปไหน นี่คือพวกที่มีหลักแล้ว ยึดเป้าหมายให้ชัดเจน และเร่งในส่วนของความเพียรและปัญญาบารมีให้มากขึ้น


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ ณ วัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๒ มกราคม ๒๕๖๐


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:27


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว