กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๙ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5232)

เถรี 23-10-2016 18:41

พระอาจารย์กล่าวกับโยมที่ช่างถามว่า "เอ็งรู้ไหมว่าที่ปฏิบัติมาไม่ได้เรื่องสักทีเพราะว่าขี้สงสัยจนเกินไป เลิกสงสัยแล้วไปตั้งหน้าตั้งตาทำ ก็จะได้เร็วกว่านี้ มัวแต่สงสัยอยู่กำลังใจก็ไม่รวมตัวสักที แล้วก็ยังจะสงสัยไม่เลิก"

เถรี 23-10-2016 18:43

ถาม : คำว่า ปีติ ได้แค่ปีติอย่างเดียว หรือต้องได้ฌานด้วย ?
ตอบ : ปีติเป็นส่วนหนึ่งของฌาน เลยไปนิดเดียวก็เป็นฌานแล้ว

เถรี 23-10-2016 19:20

พระอาจารย์กล่าวว่า “ข้างนอกฝนตก อากาศกำลังสบาย พวกเราภาวนาแล้วหลับไปเลยก็ได้นะ อย่างน้อย ๆ ตอนหลับสมาธิก็เป็นปฐมฌานหยาบ

ความจริงคนและสัตว์ทั้งหมดสามารถเข้าถึงปฐมฌานหยาบได้ทั้งหมด เพียงแต่ว่าเป็นฤทธิ์โดยวิบากกรรม เพราะถ้าเข้าไม่ถึงก็หลับไม่ได้ พักผ่อนไม่ได้แต่เป็นการทรงฌานที่ไม่มีอานิสงส์ จะเกิดอานิสงส์ก็ต่อเมื่อเราตั้งใจภาวนาแล้วเข้าถึงฌาน เราก็ตั้งใจภาวนาก่อนนอนทุกวัน”

เถรี 24-10-2016 13:45

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีญาติโยมอยู่จำนวนหนึ่ง ท่านทั้งหลายเหล่านี้ในสายตาของอาตมาถือว่าน่าสงสารมาก เพราะมาที่นี่ตั้งใจจะมาดูว่าพระอาจารย์เล็กเก่งจริงหรือเปล่า ? หลายรายถึงขนาดอธิษฐานมาจากบ้านเลย "ถ้าพระอาจารย์เล็กเก่งจริง ต้องบอกได้ว่าเราคิดอะไรอยู่ในใจ"

นั่นเป็นการตั้งกำลังใจที่ผิด เราไปดูเศรษฐีว่ามีสมบัติเท่าไรจะมีประโยชน์อะไร ? มีอยู่อย่างเดียวคือต้องทำตัวเราให้เป็นเศรษฐี จึงจะเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่เอาแต่มานั่งนินทาอาตมาว่า ไม่เห็นเก่งจริงอย่างที่เขาลือกัน แม้แต่คนที่อาตมารับรองว่าสามารถรู้ใจคนอื่นได้ ก็ยังไปนั่งนินทาอยู่ข้าง ๆ เขา ว่าอาตมาไม่เห็นจะเก่งจริงอย่างที่คนว่ากัน แล้วก็ปล่อยให้คนที่รู้ความคิดของเรานั่งสมเพชเวทนากันต่อไป


โดยปกติการรู้ใจคนอื่นแทบจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย การระมัดระวังใจตนเองไม่ให้กิเลสกินต่างหากที่สำคัญที่สุด"

เถรี 24-10-2016 13:47

"ถ้าท่านทั้งหลายมุ่งลัดตัดตรงเข้าหาการรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ตั้งใจทำความเคารพใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้แน่นแฟ้น ไม่ล่วงเกินด้วย กาย วาจา ใจ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ตั้งใจว่าตายแล้วเราจะไปพระนิพพาน

ทำกำลังใจได้แค่นี้ท่านก็เป็นพระโสดาบัน พ้นจากอบายภูมิทั้งปวงแล้ว ไม่มีกติกาว่าจะต้องรู้ใจคนอื่น ไม่มีกติกาว่าจะต้องระลึกชาติได้ ไม่มีกติกาว่าจะต้องรู้อดีต รู้ปัจจุบัน รู้อนาคต ไม่มีกติกาว่าจะต้องได้ทิพจักขุญาณ ไม่มีกติกาว่าต้องรู้ว่าก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วไปไหน

ดังนั้น...การที่ท่านทั้งหลายตั้งกำลังใจลักษณะอย่างนั้น เป็นการตั้งกำลังใจที่ผิดมาก
การที่เราไปหาพระ หาครูบาอาจารย์ ควรจะตั้งกำลังใจว่า ท่านมีคำสอนอะไรที่จะช่วยเหลือกำลังใจของเราให้ดียิ่งขึ้นไปกว่านี้ เราขอน้อมรับมาและจะรีบปฏิบัติตาม ไม่ใช่ไปดูว่าท่านเก่งจริงอย่างที่เขาลือกันหรือเปล่า"

เถรี 24-10-2016 13:53

"เรื่องพวกนี้อาตมาเองไม่ได้ใส่ใจ แต่บางทีก็รำคาญเพราะว่าบางทีมากระทุ้งอยู่ทุกวัน วันดีคืนดีก็ด่าไปซึ่ง ๆ หน้าสักที...! เพราะว่าในสิ่งที่เราเห็นว่าไม่เป็นเรื่อง แต่เขาเองเห็นว่าเป็นแก่นสารของชีวิต เป็นการยึดถือในทางที่ผิด เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนเราต้องการแก่นไม้ แต่พอถากได้เปลือกไม้ก็ยึดว่าเป็นแก่นไม้ไปแล้ว บางรายก็ได้แค่กิ่ง แค่ใบก็ยึดว่าเป็นแก่นไม้ บางรายได้กระพี้ไปก็ยึดว่าเป็นแก่นไม้ ไม่ได้สนใจที่จะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อให้ตนเองเข้าถึงซึ่งแก่นสารของธรรมอย่างแท้จริง

บุคคลประเภทนี้ ถ้าเขาลือว่าที่ไหนดีก็จะแห่กันไปที่นั่น ซึ่งเป็นลักษณะของการถือมงคลตื่นข่าว เพราะว่ากำลังใจของตนเองยังไม่หนักแน่นมั่นคงพอ ก็จะไหลตามกระแสของคนอื่นไปเรื่อย เท่ากับว่าเราหาหลักยึดหลักเกาะไม่ได้ กลายเป็นจอกแหนลอยไปตามกระแสน้ำขึ้นน้ำลง แล้วเมื่อไรเราจะอาศัยตนเองได้เสียที ? เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วว่า อัตตนา โจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทย์ตนเองอยู่เสมอ อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ท่านไม่ได้บอกว่าให้พึ่งคนอื่น

หลายคนในที่นี้อยู่ทันมาตั้งแต่สมัยหลวงพ่อวัดท่าซุง แต่ยึดท่านเป็นที่พึ่งในลักษณะที่ผิด คือไม่ได้ยึดคุณธรรมความดีในความเป็นพระของท่าน ไม่ได้ยึดในหลักธรรมคำสอนของท่านแล้วนำมาปฏิบัติ แต่ไปยึดในกายสังขารของท่าน ซึ่งท้ายสุดท่านก็มรณภาพไป ๒๐ กว่าปีแล้ว หลังจากนั้นก็มายึดอาตมาต่อ ซึ่งก็ไม่รู้จะตายวันตายพรุ่งเมื่อไร

ถ้าเรายังยึดผิด ยังเกาะผิด หาแก่นสารที่แท้จริงของหลักธรรมไม่ได้ หาแก่นสารที่แท้จริงของชีวิตไม่ได้ ถ้าเราตายเสียก่อน จะเสียชาติเกิดไปเปล่า ๆ อีกชาติหนึ่ง ดังนั้น...อาตมาเบื่อเต็มทีแล้วถึงได้เตือนให้ทราบ โปรดอย่าเสียเวลาอธิษฐานมาจากบ้าน โปรดอย่าเสียเวลามาอธิษฐานตรงหน้า เสียดายว่าตรงนี้ใส่รองเท้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเวลาอธิษฐาน อาตมาจะขว้างด้วยรองเท้า...!"

เถรี 24-10-2016 13:53

"จำไว้แม่น ๆ ว่า การไปดูสมบัติเศรษฐีจะก่อให้เกิดประโยชน์ ก็ต่อเมื่อเราพยายามทำตนให้เป็นเศรษฐีบ้าง แต่ถ้าไปดูให้รู้ว่าเขามีเท่าไร แต่เราไม่คิดที่จะขวนขวายอะไรเลย ก็ไร้ประโยชน์สำหรับเรา"

เถรี 24-10-2016 13:56

"ส่วนใหญ่แล้วพวกเราไปไขว่คว้าเกินหลักธรรม สมัยก่อนอาตมาใช้คำว่า "เอื้อมมือไปเกินหัว" เนื่องจากว่าการก้าวเข้าไปหาความเป็นพระอริยเจ้าตรง ๆ นั้น ไม่จำเป็นต้องมีฤทธิ์มีเดชอะไรแม้แต่อย่างเดียว และอาตมาก็ยืนยันว่า คำว่าอภิญญานั้น มาจากคำว่า อภิ ที่แปลว่า ยิ่งกว่า และ อัญญา ที่แปลว่าความรู้ ดังนั้น...ความรู้ในความคิดของอาตมานั้น ความรู้ในการตัดกิเลสนั่นแหละเป็นสุดยอดของอภิญญาแล้ว

ญาติโยมจะเห็นว่าครูบาอาจารย์ส่วนหนึ่ง หลังจากฝึกฤทธิ์ฝึกอภิญญาได้ ก็อยู่ในลักษณะที่หายคัน หมดสนุก เลยวัยที่จะไปเล่นแล้ว ก็ทิ้งกันจนหมด ถ้าไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินจำเป็นจริง ๆ ก็จะไม่ได้แตะต้องเลย เพราะรู้ว่าส่วนใหญ่แล้วจะเป็นการฝืนกฎของกรรมมากกว่า อาตมาถึงอยากให้ทุกคนรวบรัดเข้าหาอารมณ์พระโสดาบันโดยเร็ว

อย่าทำตัวเป็นคนมีเวลามาก เราจะตายวันตายพรุ่งเมื่อไรก็ไม่รู้ แต่ว่ามาปฏิบัติธรรมเหมือนกับแก้บน คือทำเล่น ๆ ถ้าตายแล้วได้ขึ้นข้างบนก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าตายแล้วลงข้างล่างไม่ใช่แค่เสียชาติเกิดเฉย ๆ ยังเสียเวลาเกิดไปอีกนานแสนนาน แล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะหลุดขึ้นมา ได้เมื่อไรด้วย

ดังนั้น...อะไรที่ไขว่คว้าแล้วเลยธรรมะมากเกินไป ก็พยายาม ลด ละ เลิก หันมาจับหลักธรรมที่แท้จริงได้แล้ว อย่าให้ต้องเตือนกันบ่อย ๆ อาตมาเองก็ไม่ได้มีอารมณ์ที่จะไปยุ่งกับอะไรของใครมากนักหรอก ญาติโยมก็จะเห็นว่าบางทีรำคาญมาก อาตมาก็จะนั่งอ่านหนังสือเฉยไปเลยนั่นแหละ"

เถรี 25-10-2016 14:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครเอาเหรียญมาจะให้อาตมาหล่อพระ รีบรับคืนไปเลยนะ ทำลายพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวง เดี๋ยวได้ติดคุกหัวโต แสดงว่าไม่รู้จักมาตรา ๑๑๒ ใช่ไหม ? ไปคิดว่าเป็นเหรียญเก่า หาเรื่องติดคุกชัด ๆ..! คราวหน้าเจ้าหน้าที่รับเงินถ้าใครให้มาไม่ต้องไปรับนะ ที่รับมาแล้วก็คืนเขาไปด้วย"

เถรี 25-10-2016 21:02

มีโยมเอาขอสับช้างมาถวาย "โห...ขอสับช้าง อาตมามีกระทั่งของหลวงพ่อรุ่ง หลวงพ่อเดิม จะไปสนใจอะไรกับรุ่นหลัง ๆ ขนาดนั้นยังเอาไปหลอมทำมวลสารเสียอันหนึ่งเลย

สมัยก่อนหลวงพ่อเดิมท่านสำเร็จวิชาคชศาสตร์ สามารถคุมช้างได้ วิธีที่ท่านทำง่ายที่สุดก็คือแผ่เมตตาให้กับผีหรือเทวดาที่รักษาช้าง ซึ่งไปตรงกับที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเล่าให้ฟัง ที่ท่านบอกว่าช้างรู้ภาษาทุกตัวเพราะว่ามีผีคุมอยู่ ฉะนั้น...ไม่ว่าอะไรใกล้ไกลเขาก็รู้

หลวงพ่อเดิมเลี้ยงช้างเอาไว้มากเพื่อช่วยในการชักลากไม้มาสร้างวัดวาอาราม ท่านไปช่วยสร้างวัดสร้างโบสถ์ที่ไหนก็ไม่ต้องลำบาก เพราะมีช้างของตัวเอง ท่านทำมีดหมอขึ้นมา มีมีดหมอส่วนหนึ่งที่เป็นมีดขนาดใหญ่เรียกว่า มีดหมอควาญช้าง ก็คือส่วนใหญ่เอาไว้ให้ควาญช้างไว้บังคับช้างได้ แต่ก็มีหลายคนที่อยากได้เป็นขอสับช้าง ท่านก็ทำให้ แต่จริง ๆ แล้วโหดมากเลย เราลองนึกดูว่าหัวกะโหลกมีหนังหุ้มอยู่หน่อยเดียว แล้วมีเหล็กแหลม ๆ สับโป๊กลงไป ถ้าเราเป็นช้างก็คงเจ็บน่าดูเลย"


ถาม : แต่มีคนบอกว่าจริง ๆ แล้วช้างไม่เจ็บ ?
ตอบ : เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่เจ็บ เพียงแต่ว่าจะเจ็บมากหรือเจ็บน้อยเท่านั้นแหละ ลองสับหัวตัวเองดูก็ได้..!

เถรี 26-10-2016 17:31

มีโยมเอาผักผลไม้มาถวาย "ถ้าตามตำราหมอจีน ปัจจุบันนี้พวกเราทำผิดกัน ตำราจีนให้เรากินผักผลไม้ไม่เกินรัศมี ๓๐ ลี้จากบ้านตนเอง เพราะพวกธาตุดินน้ำลมไฟจะเหมาะสมกับสภาพร่างกายของเราซึ่งเกิดที่นั่น แต่สมัยนี้พวกเรากินผักผลไม้รอบโลก จึงมีที่เหมาะสมบ้างไม่เหมาะสมบ้าง"

เถรี 26-10-2016 17:41

ถาม : ที่มาของกษัตริย์ ที่เขาบอกว่าเป็นองค์อวตารของพระนารายณ์ ?
ตอบ : เขาเชื่อกันมาอย่างนั้น

ถาม : อวตารมีจริงไหมครับ ?
ตอบ : อวตารไม่มี ถ้าเกิดก็คือดวงจิตนั้นมาเกิดเลย อวตารเป็นการแบ่งส่วนหนึ่งลงมา ซึ่งเป็นไปไม่ได้

เถรี 26-10-2016 17:43

ถาม : การยืมอาวุธทิพย์ของเทวดามาใช้มีจริงไหม ?
ตอบ : มี

ถาม : แล้วถ้าผมยืมจะได้ไหมครับ ?
ตอบ : ก็อยู่ที่ว่าท่านจะยอมไหม ?

ถาม : ถ้าเราเจอเหตุ ระหว่างใช้คาถากับใช้อาวุธ ข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความสามารถของคุณนั่นแหละ ถ้าความสามารถไม่ถึง ใช้อะไรก็ไม่ต่างกันหรอก ท้ายสุดก็โดนเขาเหยียบแบนอยู่ดี..!

เถรี 26-10-2016 17:46

ถาม : ถ้าเกิดมีเหตุร้ายที่กรุงเทพฯ มีที่ปลอดภัยหลบซ่อนไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าสร้างกรรมไว้ก็ไม่มีที่ไหนปลอดภัยหรอก คุณจะหนีไปซ่อนที่ไหนกรรมก็ส่งผลถึง

เถรี 26-10-2016 17:50

ถาม : เพื่อนผมแม่เขาเพิ่งเสีย เขาฝากถามว่าคุณแม่เขาไปสบายไหม เขาควรทำอะไรให้แม่บ้าง เขาอยากเจอคุณแม่ควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ไปถามคุณแม่..!

ถาม : ถ้าเราคิดถึงคุณแม่ที่ตายไป แล้วเราทำสมาธิ จะมีโอกาสเจอคุณแม่มากขึ้นหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : มี

ถาม : ดีกว่าการที่คิดถึงโดยไม่ได้ทำสมาธิใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ต้องดูด้วยว่า...ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ในที่ซึ่งไม่สามารถจะติดต่อกับเราได้ คิดให้ตาย ทำสมาธิให้ตายก็ไม่ได้เจอหรอก

เถรี 26-10-2016 17:52

มีโยมเอาซีดีคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุงมาถวายจำนวนหนึ่ง "ซีดีนี้คุณเอามาจากไหน ? ของทางวัดหรือว่าคุณทำขึ้นเอง ถ้าทำขึ้นเองระวังไว้เถอะ เขากำลังฟ้องร้องกันอยู่ ๓-๔ คดี มีบางคดีเขาคำนวณค่าเสียหายมาเป็นหมื่นล้านเลย แต่เรียกค่าเสียหาย ๕๐๐ ล้านบาท

เรามาคำนวณดูว่าการที่เขาพิมพ์ภาพวัตถุมงคลของวัดท่าซุง ทำให้วัดเสียหายเป็นหมื่นล้านได้อย่างไร ? อาตมาก็คิดไม่ออก อาจจะเป็นเพราะปัญญาไม่ถึงก็ได้...! รู้สึกว่าศาลจะนัดพิจารณาคดีเดือนนี้ ๓ คดี อีก ๒ คดียังรอเวลานัดอยู่ เพราะฉะนั้น...อะไรที่เป็นของวัดท่าซุงอย่าไปแตะ เดี๋ยวจะซวยไม่รู้ตัว..!"

เถรี 26-10-2016 17:52

:4672615:เก็บตกเดือนตุลาคม ปี ๕๙ หมดแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า คะน้าอ่อน เถรี รัตนาวุธ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:05


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว