กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4411)

เถรี 12-04-2015 14:23

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๘
 
ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติไว้ที่ลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เรามีความถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ สำหรับวันนี้จะกล่าวถึงเรื่องการปฏิบัติของเราในส่วนของความเพียร เนื่องจากว่าเป็นส่วนที่พวกเราขาดกันมากเป็นพิเศษ ความเพียรคือ วิริยบารมี เป็นบารมีหนึ่งใน ๑๐ ประการ ถ้าเราขาดความเพียรเสียแล้ว การปฏิบัติของเราย่อมไม่เกิดผล

ความเพียรนี้ต้องทำถึงระดับไหน ? ก็ต้องกล่าวกันว่า ทำถึงระดับฝนทั่งให้เป็นเข็ม สำหรับเด็กรุ่นใหม่ที่ไม่รู้จักว่าทั่งคืออะไร ? ทั่งคือแท่งเหล็กก้อนใหญ่ที่เขาเอาไว้รองเวลาตีเหล็ก เผาเหล็กชิ้นหนึ่งแดงแล้ววางไปบนทั่ง แล้วใช้ค้อนทุบตีเพื่อให้ได้รูปตามที่ต้องการ แปลว่าเราต้องฝนเหล็กทั้งก้อนใหญ่ ๆ จนกลายเป็นเข็มให้ได้ ต้องใช้ความเพียรถึงระดับนั้น ดังนั้น..ถ้าเราประกาศตนว่าเป็นนักปฏิบัติธรรมแล้วขาดความเพียร ชีวิตนี้ของเราย่อมไม่สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้

ความเพียรพยายามนั้น ถ้ากล่าวกันในภาษาบาลี ท่านว่า วายเมเถว ปุริโส แปลง่าย ๆ ว่า เกิดเป็นคนต้องมีความเพียรพยายามอยู่ร่ำไป จึงประสบความสำเร็จได้ตามที่ต้องการ ปุริโสในที่นี้ไม่ได้แปลว่าบุรุษหรือผู้ชาย แต่แปลว่าบุคคล จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็นับเป็นบุคคลทั้งสิ้น

เนื่องจากว่าภาระหน้าที่การงานเบียดบังเอาเวลาในการปฏิบัติของเราไปส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งก็อาจจะเกิดอายุกาลผ่านวัยขึ้นมา ทำให้สภาพร่างกายไม่เหมาะสมที่จะตรากตรำปฏิบัติกันชนิดหัวไม่วางหางไม่เว้น จึงมีการผ่อนรามือหรือเกิดความล้าในการปฏิบัติขึ้น ทำให้เราไม่ได้ใช้ความพากเพียรอย่างเต็มสติเต็มกำลังของเรา

ถ้าถามว่าพากเพียรถึงระดับไหน ? ก็ต้องถามว่าพวกเราที่ปฏิบัติมา มีใครเคยนั่งภาวนาจนก้นพองบ้าง ? มีใครเดินจงกรมจนเท้าแตกบ้าง ? มั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าไม่มี ขอบอกว่าครูบาอาจารย์ที่นั่งกรรมฐานจนก้นพอง เดินจงกรมจนเท้าแตก เมื่อท่านเข้าถึงธรรมในส่วนที่ต้องการแล้ว ยังกล่าวว่า "แค่นั้นยังพยายามไม่พอ" หรือที่บรรดาพระสายวัดป่าท่านใช้คำว่า "ธรรมะอยู่ฟากตาย" ก็คือต้องเพียรพยายามอย่างชนิดเอาชีวิตเข้าแลก ไม่อย่างนั้นแล้วโอกาสที่จะเห็นทุกข์ก็ยากมาก

ถ้าความเพียรพยายามไม่เพียงพอก็ไม่ขึ้นชื่อว่าเป็นบารมี เพราะว่าการจะสร้างบารมีแต่ละอย่างจะต้องทุ่มเท ต้องทำด้วยชีวิตและต้องทำมาหลายชีวิตคือหลายชาติแล้ว

เถรี 14-04-2015 17:09

วันนี้จึงอยากเตือนสติทุกท่านว่า การปฏิบัติของเราท่านทั้งหลายนั้น ยังขาดความเพียรอยู่มาก เราสามารถกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกได้ทุกเวลาที่ต้องการหรือไม่ ? เราสามารถทรงฌานได้ทุกเวลาที่ต้องการหรือไม่ ? เราใช้ปัญญาพิจารณาวิปัสสนาญาณจนรู้แจ้งแทงตลอดในทุกสถานหรือไม่ ? ถ้าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ยังมีคำตอบอยู่ว่า "ไม่" ก็แปลว่าเรายังใช้ความเพียรของเราไม่พอ

การที่เราจะเพียรพยายามในลักษณะของไฟสุมขอน คือไปเรื่อย ๆ โดยไม่ท้อถอยนั้น ต้องมีกำลังของสมาธิเป็นตัวช่วยหนุน เราจึงไม่สามารถที่จะทิ้งลมหายใจเข้าออกได้ เพราะลมหายใจเข้าออกเป็นตัวสร้างสมาธิที่ดีที่สุด ถ้าหากสมาธิของเราทรงตัว กำลังของเราก็จะเข้มแข็งทั้งกายและใจ ปฏิบัติเท่าไรก็ไม่เบื่อหน่าย

ทุกท่านจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออกของเรา ไปพร้อม ๆ กับการชำระศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ ไม่ล่วงเกินด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ แล้วตั้งเป้าเอาไว้ว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่เรากระทำ ก็เพื่อพระนิพพานเท่านั้น

ถ้าสามารถรักษากำลังใจอย่างนี้เอาไว้ได้ทุกวันโดยไม่ทิ้งลมหายใจเข้าออก ท่านทั้งหลายก็มีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงมรรคถึงผลได้ แต่ถ้าท่านทอดทิ้งความเพียรในส่วนนี้ ก็คือไม่ได้ตามดู ตามรู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ได้ชำระจิตของตนเองให้บริสุทธิ์ ไม่ได้ทำความเคารพพระรัตนตรัยอย่างจริงใจ และท้ายสุดไม่ได้ตั้งเป้าเอาไว้ว่าเมื่อตายไปแล้วจะเข้าสู่พระนิพพาน การปฏิบัติของเราก็ถือว่าทำไปแล้วสูญเปล่า

เมื่อท่านทั้งหลายรู้แล้วว่าจุดบกพร่องอยู่ตรงที่ใด จะทำอย่างไรถึงจะแก้ไขจุดบกพร่องนั้นได้ ก็ขอให้ทุกคนตั้งหน้าตั้งตาทุ่มเทในการปฏิบัติของเราไป เมื่อเลิกจากสถานที่นี้แล้วก็อย่าทิ้งการปฏิบัติ แต่ต้องประคับประคองอารมณ์ของเราเอาไว้ตลอดเวลา ให้สติอยู่กับตัวเฉพาะหน้า อยู่กับลมหายใจเข้าออกของเรา เพื่อที่จะระงับ รัก โลภ โกรธ หลง ลงไปชั่วคราว เพื่อเปิดโอกาสให้ปัญญาห้ำหั่นกิเลสนั้นให้ดับดิ้นสิ้นไป

ลำดับต่อไป ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันเสาร์ที่ ๔ เมษายน ๒๕๕๘

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้าอ่อน)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:53


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว