กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2447)

เถรี 07-02-2011 11:37

เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
 
ถาม : เวลาปล่อยวัว จะอธิษฐานว่าอย่างไรดีคะ ?
ตอบ : อธิษฐานว่า กรรมอะไรที่เราเคยล่วงเกินต่อเจ้ากรรมนายเวรมา ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน ขอชดใช้ด้วยชีวิตของวัวตัวนี้ ขอให้เขาโมทนาและอโหสิกรรมให้กับเราด้วย

เถรี 07-02-2011 11:40

ถาม : ตอนที่พิจารณาตัดร่างกาย ว่าร่างกายนี้เป็นธาตุสี่ เราพอเข้าใจ ทีนี้ก็จะเหลือตัวอทิสมานกาย ต้องตัดว่าไม่เป็นของเรา ?
ตอบ : ให้ดูว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่อทิสมานกายนี้ไม่ใช่ของเรา เมื่อเห็นว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเราแล้ว ถ้าจิตปล่อยวางได้จริง ๆ ความยึดถือว่าจิต (อทิสมานกาย) นี้ไม่ใช่ของเราก็จะพลอยหมดไปด้วย

เถรี 07-02-2011 12:18

ถาม : อาโลกกสิณดีอย่างไร ?
ตอบ : สร้างทิพจักขุญาณให้เกิด

ถาม : การมองพระที่เป็นแก้ว เป็นอาโลกกสิณหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : เป็นโดยตรงเลยจ้ะ

เขาอ่านว่า อา-โล-กะ-กสิณ อาโลกะ คือ แสงสว่าง , กสิณ คือ การเพ่ง , อาโลกกสิณ คือ เพ่งกำหนดแสงสว่าง แต่เวลาพวกเราอ่าน ก.ไก่หายไปหนึ่งตัว

ถาม : ระหว่างมาทำอาโลกกสิณแบบนับหนึ่งใหม่ กับใช้อภิญญารวม อย่างไหนดีกว่า ?
ตอบ : อยู่ที่ความขยันของเรา ถ้าขี้เกียจก็ใช้คาถาอภิญญารวม ถ้าขยันก็เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่

เถรี 07-02-2011 12:48

ถาม : ในตำราเขาบอกว่านรกมี ๔๕๖ ขุม แต่ทำไมบางท่านที่ไปมา อย่างพระโพธิสัตว์ตี่จั๊งอ้วง ท่องนรกแปดหมื่นกว่าขุม ?
ตอบ : คุณอย่าสับสน..! พระโพธิสัตว์ตี่จั๊งอ้วงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ของมหายาน ส่วนนรก ๔๕๖ ขุม เป็นของเถรวาท

ถาม : นรกมีต่างกันด้วยหรือครับ ?
ตอบ : อยู่ที่ความหยาบละเอียดของคน ขณะเดียวกันบางอย่างก็ขึ้นอยู่กับอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น ความเชื่อเก่า ๆ ของตนเองด้วย อย่างเช่น จีนมีพระยายม ๑๐ ท่าน แต่ของไทยเรามีพระยายมท่านเดียว

ถาม : ขึ้นอยู่กับการยึดหรือครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อถือ และสิ่งที่รู้เห็นมา ความหยาบละเอียดของจิตทำให้รู้เห็นได้ชัดเจนไม่เท่ากัน

แม้แต่หลวงพ่อวัดท่าซุงก็เคยบอกว่า สมัยท่านขึ้นไปสวรรค์ครั้งแรก ท่านเห็นพระจุฬามณีเป็นเจดีย์ปูนเก่า ๆ เพราะขาดการพิจารณาตัดร่างกายก่อน พอท่านพิจารณาตัดร่างกายได้ดี ขึ้นไปใหม่ คราวนี้เห็นเจดีย์เป็นแก้วสว่างไสวแพรวพราว

เพราะฉะนั้น..เราต้องรู้ด้วยว่า ท่านเห็นอะไรมาท่านก็ว่าไปตามนั้น และได้โปรดอย่าเอามหายานมาปนกับเถรวาท ปัจจุบันนี้ปนกันมั่วไปหมด แม้แต่หลวงตามหาบัวก็กลายเป็นมหายานไปเรียบร้อยแล้ว กลายเป็นมหายานตอนไหน ?

เพราะเขายึดถือตัวบุคคลเป็นลักษณะเทพเจ้า ไม่ได้ยึดถือคำสอนของหลวงตาเป็นหลัก ถ้ายึดถือคำสอนของหลวงตาเป็นหลัก ถึงเวลาหลวงตาจะสิ้นก็สิ้นไป แต่คำสอนของท่านยังอยู่ ความดีของท่านยังอยู่ ความเป็นพระสงฆ์อันเป็นสังฆคุณที่แท้จริงของท่านยังอยู่ในใจของเรา

ในเมื่อเรายังทำไปยังไม่ถึงตรงนั้น กลายเป็นว่าเราไปยึดตัวบุคคล เหมือนกับลักษณะของมหายานหรือฮินดู ก็คือไปยึดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ยึดเป็นเทพเจ้าของเรา ขึ้นอยู่กับว่าเราวางกำลังใจถูกหรือผิด ? ถ้าวางกำลังใจถูกก็ดีไป ถ้าวางกำลังใจผิดก็ตัวใครตัวมัน..!

เถรี 07-02-2011 13:11

ส่วนใหญ่พวกเรามักจะยึดติดในตัวบุคคลเสียมาก ต้องระมัดระวังตรงจุดนี้ให้หนัก ๆ ไว้ อย่าลืมว่าแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังปรินิพพาน พระสาวกของพระองค์ท่านก็มรณภาพ หรือไปนิพพานกันนับไม่ถ้วนแล้ว ปัจจุบันตัวตนบุคคลที่เรายึดถืออยู่ อย่าได้ยึดในลักษณะที่เกาะท่าน แต่ให้ยึดในลักษณะที่เอาท่านเป็นอนุสติ

ให้ยึดในความดีของพระสงฆ์ สุปฏิปันโน..ท่านเป็นพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดีอย่างไร อุชุปฏิปันโน..ท่านปฏิบัติตรงตามที่พระพุทธเจ้าสอนอย่างไร ญายะปฏิปันโน..ปฏิบัติตามหลักธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนมาว่าอย่างไร สามีจิปฏิปันโน..ปฏิบัติแล้วโดยชอบอย่างไร

ท่านเป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ เราก็เกาะความดีตรงนั้น ไม่ใช่ไปเกาะองค์ท่าน ถ้าเกาะองค์ท่านแล้ว ท่านมรณภาพไปเราก็จะเคว้งไปเลย อาตมาเคยเห็นภาพตลกที่หัวเราะไม่ออก

ตอนนั้นปี ๒๕๓๐ มีการเผาศพจำลองของหลวงพ่อวัดท่าซุง พวกเราแห่โลงศพของท่าน ซึ่งตั้งอยู่ที่ตึกอำนวยการทางด้านฝั่งจุฬามณีนำไปไว้ที่ศาลาสี่ไร่ ในระหว่างที่เดินแห่จากจุฬามณีมาที่ศาลาสี่ไร่ มีคนนั่งเรียงแถวข้างทางเต็มไปหมด บางคนร้องไห้โฮว่า "ไม่ได้มาวัดเดือนเดียว หลวงพ่อตายตอนไหนก็ไม่รู้ ?!" ไม่ได้ดูเลยว่าหลวงพ่อนั่งรถเข็นตามโลงมา นั่นแหละ..คือการยึดตัวบุคคลจนเกินไป

เถรี 07-02-2011 13:17

พอทำการสวดอภิธรรมเสร็จ ต้องเคลื่อนโลงศพของหลวงพ่อท่านไปเผาที่ศาลา ๑๒ ไร่ แค่ข้ามฝั่งถนนเท่านั้น มีคนร้องไห้นับไม่ถ้วน

เราจะเห็นว่า ถ้าเป็นนักปฏิบัติที่แท้จริง จะมีเพียงธรรมสังเวช คือ เกิดสลดใจว่า แม้บุคคลที่ทรงความดีขนาดพระพุทธเจ้าก็ดี หรือหลวงพ่อก็ดี ไปนิพพานกันหมดแล้ว เราเองก็ต้องตายอย่างนั้นด้วยเช่นกัน จะเกิดความไม่ประมาท ตั้งใจปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อความหลุดพ้นของเรา

แต่นี่เราไปยึดในตัวบุคคล ในเมื่อยึดในตัวบุคคล แทนที่จะยึดในความดีของหลวงพ่อ พอเห็นโลงศพ ไม่ได้สนใจว่าโลงจริงหรือโลงปลอม หลวงพ่อถือสายสิญจน์นำโลงมาแท้ ๆ เขาก็ร้องไห้ไว้ก่อนแล้ว แสดงว่าไม่ได้ลืมตามาดูเลย ว่าใครเดินมาข้างหน้า

งานนั้นคนแน่นไปหมด จนอาตมาเดินไม่ได้ อาตมาที่เดินจูงสายสิญจน์อยู่ก็ต้องหยุด เพื่อรอคนเปิดทางให้ อยู่ ๆ ก็มีคนเตะก้น "ป้าบ..!" ก็หันไปดูว่าใครเตะกูวะ ? หันไปเจอหลวงพ่อ ท่านพยักหน้าบอกว่า "เดินสิโว้ย..หยุดทำไม ?" อ๋อ..หลวงพ่อเตะนี่เอง ก็คือถ้าอาตมาไม่เดินต่อ โยมเขาก็ไม่เปิดทางให้ อาตมาก็มัวแต่หยุดรอให้เขาเปิดทาง เลยไม่ต้องไปกันเสียที

เถรี 07-02-2011 17:16

ถาม : มีคณะจากเมืองจีน สาว ๆ แสดงเป็นเจ้าแม่กวนอิมพันมือ มีการร่ายรำกัน บางท่าของการรำเหมือนกับเต้นระบำ
ตอบ : ถ้าคุณได้ยินพระจีนสวดมนต์ คุณจะคิดว่าเขาร้องเพลงด้วย ฉะนั้น..แค่เต้นระบำ ถือว่าเรื่องเล็ก

มหายานเขาถือหลักธรรมเป็นใหญ่ ไม่ได้ถือพระวินัยเป็นใหญ่ อย่างที่ภาษากำลังภายในเขาว่า "สุราผ่านลำไส้ พระพุทธองค์ประดับอยู่ที่ใจ" คนจะกินเสียอย่าง ก็หาข้ออ้างไปเรื่อย

ในเมื่อไม่มีพระวินัยที่เป็นรากแก้วของพระศาสนา จะเอาแต่แก่นธรรมอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะเมื่อต้นไม้แห่งธรรมไม่มีราก ก็ตายก่อนเสียแล้ว ดังนั้น..ในส่วนของมหายานที่มีการปรับเปลี่ยน ถ้าไม่ใช่บุคคลที่ปฏิบัติไปจนถึงจุดที่เข้าใจว่าธรรมะแท้จริงเป็นอย่างไร ก็จะหลงผิดทางไปเลย

แต่ท่านที่ปฏิบัติถึงระดับหนึ่ง จนเข้าใจว่าธรรมะแท้จริงเป็นอย่างไร ก็มีอยู่จำนวนน้อย แต่มีจำนวนน้อยไม่พอ ลูกศิษย์ดันไปยึดว่าท่านเป็นผู้วิเศษอีก ก็เจริญไปกันใหญ่..! ปัจจุบันนี้พวกเราเอาทั้งฮินดู ทั้งพุทธมหายาน ปนกันในเถรวาทให้มั่วไปหมด จนแยกกันไม่ออกแล้ว

เรายกหลวงปู่ หลวงพ่อ เป็นครูบาอาจารย์ เราให้ความเคารพท่านตามปกติ โดยที่เราเองไม่รู้หรอกว่า กลายเป็นการยึดตัวบุคคลไปแล้ว

เป็นนักปฏิบัติที่ดี ต้องระมัดระวัง อย่าเผลอ..! "ยึดผิดที่ เกาะผิดที่ แปลว่าหลุดพ้นไม่ได้ เพราะยังยึดยังเกาะอยู่"

เถรี 07-02-2011 17:47

ถาม : กรณีที่เขาสร้างภาพยนตร์ แล้วล้อเลียนพระ เพื่อทำให้ตลก เป็นการปรามาสพระไหมคะ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับสภาพจิต ถ้าจิตหยาบก็จะไม่รู้ว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัย แต่จะรู้หรือไม่รู้ โทษก็เกิดขึ้นแล้ว ถ้าคนที่จิตละเอียดก็จะรู้ว่าสมควรที่จะทำหรือไม่ นี่ยังดี..สมัยก่อนภาพยนตร์ประเภทปอบหยิบ พระในเรื่องวิ่งหนีกันกระเจิดกระเจิงก็มีมาแล้ว

เถรี 07-02-2011 18:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อวานนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จเปิดงานตรุษจีนที่เยาวราช น่าชื่นชมสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นสถาบันหลักสถาบันหนึ่งของประเทศไทยเรา ที่ยังมีองค์ในหลวง มีพระราชินี มีเชื้อพระวงศ์ต่าง ๆ ที่ทุ่มเทให้กับประชาชน อย่างชนิดที่ว่า ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากของพระองค์เอง

ถ้าใครได้เห็นพระองค์ท่านใกล้ ๆ มองแล้วอยากจะบรรลุ พระพักตร์ดูเหนื่อยมาก เหนื่อยประเภทให้นอนเดี๋ยวนั้นก็หลับเดี๋ยวนั้นเลย แต่ก็หลับไม่ได้ เพราะต้องทรงงาน

ลองดูข่าวในพระราชสำนัก แล้วนับดูซิว่า แต่ละวันพระองค์ท่านต้องออกงานกี่ครั้ง"

เถรี 07-02-2011 18:10

พระอาจารย์กล่าวว่า "พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนเราจะตั้งครรภ์ได้ก็ต่อเมื่อ ๑. บิดามารดาอยู่ร่วมกัน ๒. มารดามีระดู (อยู่ในวัยเจริญพันธุ์) ๓. สัตว์ที่จะเกิดนั้นมีอยู่

สำคัญตรงข้อแรก..บิดามารดาอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่ว่าต้องมีเพศสัมพันธ์ถึงจะท้องได้นะ..ขอยืนยัน เพราะว่าพ่อแม่ของสุวรรณสามเป็นฤๅษี ถือศีลแปดทั้งคู่ ไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กัน แต่ก็คลอดสุวรรณสามออกมา"

เถรี 08-02-2011 09:06

ถาม : จะเปิดร้านใหม่ ?
ตอบ : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกเอาไว้ เปิดร้านใหม่อย่าใช้ฤกษ์วันศุกร์เป็นอันขาด ฤกษ์ดีแค่ไหนก็เจ๊ง จำให้แม่น ๆ ไม่ใช่เห็นว่าวันศุกร์เป็นฤกษ์ดีแล้วไปเปิดร้าน วันศุกร์ทำได้ทุกเรื่อง ยกเว้นการเปิดร้านใหม่หรือเปิดบริษัทใหม่ ให้ไปเปิดวันอื่นแทน

เถรี 08-02-2011 09:09

ถาม : ถ้ามีแมวหรือหมามาคลอดลูกในบ้าน ดีหรือไม่คะ ?
ตอบ : ดีแน่ ๆ จ้ะ โบราณบอกว่า แมวมาหา หมามาสู่ ถือเป็นมงคลใหญ่ ถ้าไม่ใช่สถานที่ซึ่งร่มเย็นพอ เขาจะไม่อยู่นะจ๊ะ พวกสัตว์เขามีสัญชาตญาณดีกว่าเราเยอะเลย เขารู้ว่าจะต้องเป็นที่ซึ่งเขาอยู่แล้วปลอดภัย เขาถึงมา

หมาที่ตึกของหลวงพ่อวัดท่าซุง ตอนแรก ๆ ก็มีพ่อนิลกับแม่นาก ๒ ตัวเท่านั้น หลังจากนั้นผ่านไป ๗-๘ ปี มีสองร้อยกว่าตัว เกิดจากพ่อแม่คู่เดียวนั่นแหละ พอโตก็มีลูกกันต่อ ๆ ไป พอเราหิ้วของสังฆทานจากบ้านสายลมเพื่อที่จะเอาเข้าไปเก็บ หมาเขาจะมาล้อมกรอบเราเลย ต้องบอกกับเขาว่า "หิ้วมาเก็บจ้ะ ไม่ได้หิ้วออกไปหรอก" เขาถึงจะเปิดทางให้

เถรี 08-02-2011 09:53

พระอาจารย์กล่าวว่า "สัตว์เขาจะทำร้ายเราด้วยสองสาเหตุ สาเหตุแรก คือ เรากลัวเขา ถ้าเรากลัวเขา เขาจะไล่เราให้พ้นจากเขตหากินของเขา เพราะว่าถ้าเราอยู่ในเขตนั้น เราอาจจะไปแย่งอาหารเขา ทำให้เขาไม่มีกิน แล้วเขาอาจจะอดตาย

อย่างที่สอง คือ เขากลัวเรา เขาจะกัดหรือทำร้ายเราเพื่อป้องกันตัวเอง ถ้าเราเข้าไปหาโดยที่ไม่คิดกลัวเขา และไม่คิดที่จะทำอันตรายเขา เขาจะทำอะไรไม่ถูกเลย

อย่างงูจงอาง ตอนแรกเขาชูหัวขึ้นมาสูงเท่าหน้าเลย พอเขาเห็นเราไม่ถอย เขาก็ลดหัวลง เลื้อยหนีไปเอง พอเขาลดหัวลงเลื้อย เราก็จับกลางตัวเขาหิ้วไปได้เลย"

ถาม : งูไม่ตกใจแว้งมากัดหรือคะ ?
ตอบ : ยังไม่เคยโดน..ถ้าโดนเมื่อไรแล้วจะมาบอก..!

เถรี 08-02-2011 10:09

ถาม : ฤกษ์ออกรถ ก็คือ ออกวันพฤหัส ใช้วันอาทิตย์หรือคะ ?
ตอบ : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกไว้ว่า การออกรถหรือออกเรือใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเป็นรถหรือเรือที่ใช้ทำมาหากิน ให้ออกวันพฤหัสบดี แล้วเอาไปประเดิมวันอาทิตย์ หรือจะออกวันอาทิตย์แล้วเอาไปประเดิมใช้วันพฤหัสบดีก็ได้

แต่ส่วนใหญ่ที่อาตมาแนะนำให้ออกวันพฤหัสบดีแล้วเอาไปประเดิมใช้วันอาทิตย์ เพราะเว้นแค่สองวัน คือ เว้นวันศุกร์กับวันเสาร์เท่านั้น ถ้าออกวันอาทิตย์ไปใช้วันพฤหัสบดี เว้นตั้ง ๔-๕ วัน นานไปหน่อย

เถรี 08-02-2011 10:12

ถาม : ทำกรรมอะไรจึงทำให้สายตาสั้น ?
ตอบ : อาตมาก็สายตาสั้น กำลังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไร ความจริงก็คือ สายตาพอใช้ไปนาน ๆ ก็ชำรุด

โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ เกิดจากกรรมนอนเปิดไฟ สายตาจึงสั้น เพราะประสาทตาของเรารับแสงสว่างเร็วมาก เมื่อเรานอนเปิดไฟ ม่านตาของเราจะเปิด ขยายตัวอยู่ตลอดเวลา เท่ากับว่าทำงานตลอด ๒๔ ชั่วโมงไม่มีเวลาพัก เพราะฉะนั้น..ลูกคนไหนที่พ่อแม่เปิดไฟให้นอน ก็ถือว่าเป็นความซวยของตัวเองไปก็แล้วกัน

ถาม : เกี่ยวกับโกหกไว้เยอะไหมครับ ?
ตอบ : ไม่เกี่ยวกัน ถ้าโกหกเขา เราก็จะโดนโกหกบ้าง

ถาม : แล้วคนโบราณมีไหมครับที่สายตาสั้น ?
ตอบ : น้อยคน..เพราะสมัยโบราณไม่ค่อยมีไฟใช้ มีแต่แก่แล้วสายตายาวมากกว่า

เถรี 08-02-2011 10:19

ถาม : ทุกวันนี้มีปัญหาถกเถียงกันว่า นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา?
ตอบ : ไปห่าง ๆ เขาซะ..จะได้ไม่ต้องไปเถียงกับเขา

ถาม : ถ้าเขาไม่ได้มโนมยิทธิ เขาก็จะไม่รู้ ?
ตอบ : ต่อให้ได้แล้ว เขายังคิดว่าเป็นอัตตาเลย ก็เพราะว่าเขาไปเจอได้ด้วยตัวเอง

ถาม : เถียงไปก็ไม่ได้อะไร ?
ตอบ : นอกจากไม่ได้อะไรแล้ว ยังจะเกิดโทษกับตัวเสียด้วยซ้ำ คุณไปอ่านเก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ในเว็บวัดท่าขนุนของเดือนที่แล้ว มีพูดเรื่องนี้ไว้ชัดเจนแล้ว

เถรี 08-02-2011 10:27

ถาม : ตอนถวายสังฆทาน ท่านให้พรเป็นภาษาบาลี แปลว่าอะไรครับ ?
ตอบ : บอกมาว่าบทไหน จะแปลให้ฟัง อาตมาสวดตั้งหลายบท

ถาม : ยกตัวอย่างให้ฟังก็ได้ครับ
ตอบ : ชะยะสิทธิ ธะนัง ลาภัง ขอให้ประสบความสำเร็จ มีชัยชนะ มีลาภผลเงินทอง โสตถิ ภาคยัง พึงมีส่วนของความสุขสวัสดี สุขัง พะลัง ประกอบไปด้วยความสุขและกำลัง สิริ อายุ จะ วัณโณ จะ โภคัง ประกอบไปด้วยมิ่งขวัญ อายุ ชาติตระกูลและโภคสมบัติทั้งปวง วุฑฒี จะ ยะสะวา ขอให้เป็นผู้เจริญด้วยยศศักดิ์ สะตะวัสสา จะ อายู และมีอายุยืนนานประมาณหนึ่งร้อยปี จะ ชีวะสิทธี ภะวันตุ เต ฯ และขอให้ความสำเร็จเหล่านี้จงมีแก่ชีวิตนี้ของเธอ..รับไปเถอะ..คุณอยากรู้ อาตมาก็แปลให้ฟัง ฟังแล้วก็ไม่เอาอีก

ถาม : เอาครับ..แต่ร้อยปีไม่เอานะครับ..นานไป
ตอบ : บอกแล้ว..แปลให้ฟัง..คุณก็ไม่เอา..!

เถรี 08-02-2011 10:44

ถาม : ตั้งแต่หลวงตามหาบัวมรณภาพ ท่านได้ไปกราบหลวงตาหรือยังครับ ?
ตอบ : ยังเลย..เคยแต่ร่วมถวายทองช่วยชาติกับท่านไป พอท่านมรณภาพแล้วยังไม่ได้มีโอกาสไปถึงวัด ได้แต่ส่งใจไปอย่างเดียวจริง ๆ

อาตมารู้จักหลวงตาตั้งแต่สมัยที่ท่านยังไม่โด่งดัง ที่น่าขำที่สุด ก็คือ ขอหวยแล้วท่านให้ ปกติสมัยนี้ใครไปถามท่านก็คงหัวแตกแทน..!

สมัยนั้นอาตมาเป็นเด็กวัยรุ่นและซน อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับอภิญญาสมาบัติ อยากรู้ว่าพระที่ปฏิบัติมาสายวิสุทธิมรรคตรง ๆ แล้ว จะมีความรู้เรื่องพวกนี้หรือไม่ ? ท่านก็บอกเลขให้ตรง ๆ เลย เพราะท่านรู้ว่าเราไม่ซื้อ และเลขนั้นก็ออกมาตรง ๆ เสียด้วย

สมัยนั้นมีโอกาสวิ่งรับใช้หลวงปู่หลวงพ่อสายหลวงปู่มั่นมากต่อมากด้วยกัน จนกระทั่งคนเขาเอารูปเก่า ๆ มา อาตมาบอกได้เลยว่า องค์ไหนเป็นองค์ไหน ตอนไปที่วัดห้วยน้ำขาว เขาติดรูปพระสายหลวงปู่มั่นไว้เต็ม บอกเขาเลยว่า องค์นี้คือใคร ไล่ไปเรื่อย ท่านมหาจรูญโรจน์บอกว่า "นี่หลวงพ่อรู้จักทุกองค์เลยหรือ ?" อาตมาจึงบอกว่า ส่วนใหญ่เคยวิ่งรับใช้ท่านมาก่อน

ตอนนั้นยังเด็ก อายุสิบกว่า ๆ โยมแม่ไปเป็นกรรมการวัดธรรมมงคล ช่วยหลวงพ่อวิริยังค์สร้างพระเจดีย์ ต้องไปบวชปีละ ๑๐ วัน จริง ๆ แล้วอาตมาก็ไปอยู่เป็นเพื่อนแม่นั่นแหละ พอหลวงปู่หลวงตาท่านเห็นเด็ก ๆ วิ่งคล่อง ท่านก็เรียกใช้ตลอด

คนอื่นเขาไปใส่บาตรท่าน ส่วนอาตมากลับไปขอข้าวท่านกิน ถือจานไปใบหนึ่ง "หลวงปู่ครับขอหน่อยครับ หลวงพ่อครับขอหน่อยครับ" โดยเฉพาะท่านพระอาจารย์วัน อุตฺตโม วัดถ้ำภูผาเหล็ก ช้อนท่านเกือบเท่าทัพพี..! จ้วงข้าวให้แต่ละทีเกือบค่อนจาน สรุปแล้วคนอื่นเขาไปใส่บาตรพระกรรมฐาน ส่วนอาตมาไปขอข้าวท่านกิน..!

เถรี 08-02-2011 15:00

ถาม : ฆราวาสอย่างเรา ถ้าจิตก่อนตายเกาะพระนิพพานได้ จะได้ไปนิพพานไหมครับ ?
ตอบ : เกาะพระนิพพานได้ก็ไม่ไปที่อื่นแล้ว

ถาม : แล้วคนที่ไปนิพพานได้ บารมีต้องพอไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่พอจะไปได้อย่างไร ? จำไว้ว่า เกาะดีหรือเกาะชั่วก็ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น วาระสุดท้ายจริง ๆ แล้วจะไม่เกาะอะไรเลย แต่พระนิพพานเต็มอยู่ในใจของตัวเอง เคยบอกว่า เป็นนกอยู่บนฟ้าแล้วอธิบายให้ปลาในน้ำฟัง ว่านกบินข้างบนเป็นอย่างไร ปลาก็คงไม่รู้เรื่องหรอก..!

ให้รู้ไว้ว่า อันดับแรกให้เกาะความดีก่อน เพราะว่าความดีจะเป็นกำลังส่งให้เราหลุดพ้นไปพระนิพพานได้ แต่พอทำไป ๆ ท้ายสุดแม้แต่ดีก็ไม่เกาะ

ถามว่าในเมื่อไม่เกาะแล้วจะไปนิพพานได้อย่างไร ? ก็เพราะว่าเวลานั้น วาระนั้น คำว่าพระนิพพานจะเต็มอยู่ในใจของเราเอง ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงจุดไหนก็รู้ว่านี่คือพระนิพพาน ก้าวไปถึงตรงไหนก็รู้ว่าพระนิพพานอยู่ตรงนั้น

ถาม : คนประเภทนี้ผมเจอเยอะ คนที่ได้มโนมยิทธิ...
ตอบ : อาตมาก็เจอมาเยอะ ๙๙ เปอร์เซ็นต์เพี้ยนหมด..!

ถาม : ผมเลยไปถามหลวงปู่ท่อนว่า มโนมยิทธิเป็นอย่างไรครับ ? หลวงปู่ท่อนบอกว่า ให้จิตอยู่กับตัวเรา อย่าไปสนใจใคร เดี๋ยวจะเป็นนิมิตหลอกเสียเปล่า ๆ
ตอบ : ส่วนใหญ่จะโดนหลอกไปสัก ๙๙ เปอร์เซ็นต์..!

ถาม : จุดประสงค์จริง ๆ ก็คือให้เกาะพระนิพพานใช่ไหมครับ ?
ตอบ : ทำอะไรก็ได้ให้กิเลสกินใจเราไม่ได้ ในเมื่ออยู่กับความปราศจากกิเลสของพระนิพพานไปนาน ๆ ท้ายสุดสภาพจิตที่ชินกับการหมดกิเลส ก็จะรับอารมณ์ชินนั้นมาเป็นของตนเอง

เถรี 08-02-2011 15:05

ถาม : ถ้าเราเกิดไปปรามาสพระอรหันต์ที่ล่วงลับไปแล้ว จะบาปไหมครับ ?
ตอบ : ปรามาสพระรัตนตรัย ไม่ว่าจะล่วงลับหรือไม่ล่วงลับก็บาปสาหัสพอกัน

ถาม : แต่ถ้าปรามาสพระที่ปาราชิกไปแล้ว ยังใส่ผ้าเหลืองอยู่ และมรณภาพไปแล้ว ก็ถือว่าบาปน้อยกว่าปรามาสพระที่เป็นอรหันต์ไหมครับ ?
ตอบ : สำคัญตรงที่ว่า ตอนนั้นสภาพจิตของเราประกอบไปด้วยกิเลสมากน้อยแค่ไหนด้วย ถ้าเราใส่อารมณ์โกรธไปเต็ม ๆ กับการที่เราทำไปด้วยความไม่รู้ โทษก็ต่างกัน

แต่ส่วนใหญ่แล้ว ระหว่างการปรามาสผู้ที่บริสุทธิ์จริง ๆ กับผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ ปรามาสผู้ที่บริสุทธิ์โทษจะหนักกว่า มีเรื่องของโยมคนหนึ่งที่ไปด่าพระ พระรูปนั้นท่านทำผิดจริง ๆ แต่ไม่ใช่หน้าที่ของฆราวาสที่จะไปด่าพระ โยมก็เลยไปเกิดเป็นเปรต เสวยทุกข์โทษจนนับเวลาไม่ถ้วน

โยมท่านนั้น (ที่เป็นเปรตอยู่) สรุปว่า กรรมของคนอื่นแท้ ๆ แต่ไปรับมาเป็นของตนเอง เขาทำผิดก็เรื่องของเขา เราไปด่าเขา จิตของเราประกอบไปด้วยโทสะ จิตมีแต่ความเศร้าหมอง ตายไปก็เลยซวยไปด้วย

ถาม : แต่ถ้าเกิดพระรูปนั้นมรณภาพไปแล้ว หรือว่าพระรูปนั้นอยู่ที่นรก ?
ตอบ : ตามไปขอขมาท่านในนั้นก็แล้วกัน..!


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:10


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว