กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ประวัติและปฏิปทาของพระสุปฏิปันโน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=21)
-   -   ประวัติเจ้าคุณนรฯ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ) (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=978)

ป้านุช 19-10-2009 14:59

๓. สบายใจ

:4672615:คำว่า ไม่สบายใจ อย่าใช้ และอย่าให้มีขึ้นในใจต่อไป

"Let it go,and get it out!"

ก่อนจะเกิด Let it go! ปล่อยผ่านไปอย่ารับเอาความไม่สบายใจไว้ ถ้าเผลอไป มันแอบเข้ามาอยู่ในใจได้
พอมีสติรู้สึกตัวว่าไม่สบายใจไว้ในใจ ต้อง Get it out! ขับมันออกไปทันที อย่าเลี้ยงเอาความไม่สบายใจไว้ในใจ
จะเคยตัว ทีหลังจะเป็นคนอ่อนแอ ออดแอด ทำอะไรผิดพลาด นิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่สบายใจเคยตัว

:4672615:เพราะความไม่สบายใจนี้แหละเป็นศัตรู เป็นมาร ทำให้ใจไม่สงบ ประสาทสมองไม่ปกติเป็นเหตุให้ร่างกายผิดปกติ
พลอยไม่สงบไม่สบายด้วย ทำให้สมองทึบไม่ปลอดโปร่งเป็น habit ความเคยชินที่ไม่ดี
เป็นอุปสรรคกีดกั้นขัดขวางสติปัญญาไม่ให้ปลอดโปร่งแจ่มใส ต้องฝึกหัดแก้ไขปรับปรุงจิตใจใหม่

:4672615:ทั้งก่อนที่จะทำอะไรหรือกำลังกระทำอยู่ และเมื่อเวลากระทำเสร็จแล้วต้องหัดจิตใจแช่มชื่น รื่นเริง เกิดปีติปราโมทย์เป็นสุขสบายอยู่เสมอ
เป็นเหตุให้เกิดกำลังกาย กำลังใจ Enjoy living มีชีวิตอยู่ด้วยความเบิกบาน สมองจึงเบิกบาน
จะศึกษาเล่าเรียนก็เข้าใจ จำได้ง่าย เหมือนดอกไม้ที่แย้มเบิกบานต้อนรับหยาดน้ำค้างและอากาศอันบริสุทธิ์ฉะนั้น


:875328cc::875328cc::875328cc:

ป้านุช 24-10-2009 11:13

๔. สันติสุข

พระพุทธเจ้าสอนว่า "นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ" สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี
:4672615:หมายความว่า ความสุขอื่นมี เช่น ความสุขในการดูละคร ดูหนัง การเข้าสังคม Social ในการมีคู่รักคู่ครอง
หรือในการมีลาภยศ ได้รับความสุข สรรเสริญ และได้รับความสุขจากสิ่งเหล่านี้ก็สุขจริง
แต่ว่าสุขเหล่านี้มีทุกข์ซ้อนอยู่ ทุกอย่างต้องคอยแก้ไขปรับปรุงกันอยู่เสมอ ไม่เหมือนกับความสุขที่เกิดจากสันติความสงบ
ซึ่งเป็นความสุขที่เยือกเย็นและไม่ซ้อนด้วยความทุกข์ และไม่ต้องแก้ไขปรับปรุงตกแต่งมาก เป็นความสุขที่ทำได้ง่าย
เกิดกับกายใจของคนเรานี่เอง อยู่ในที่เงียบ ๆ คนเดียวก็ทำได้ หรืออยู่ในสิ่งแวดล้อมสังคมก็ทำได้
:4672615:ถ้าเรารู้จักแยกใจหาสันติสุข กายนี้ก็เพียงสักแต่ว่าอยู่ในที่ระคนด้วยความยุ่ง สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นไม่ยุ่งมาถึงใจ
แม้เวลาเจ็บหนักมีทุกขเวทนาปวดร้าวไปทั่วกาย แต่เรารู้จักทำใจให้เป็นสันติสุขได้
ความเจ็บนั้นก็ไม่สามารถจะทำให้ใจเดือดร้อนตามไปด้วย เมื่อใจสงบแล้ว กลับทำให้กายนั้นสงบหายทุกขเวทนาได้ด้วย
และประสบสันติสุขซึ่งไม่มีสุขอื่นยิ่งกว่าสันติสุขนั้น พระพุทธเจ้าสอนให้ฝึกเป็น ๓ ทางคือ

:4672615:๑. สอนให้สงบกายวาจาด้วยศีล
ไม่ทำโทษทุจริตอย่างหยาบที่เกิดทางกาย วาจา เป็นต้นเหตุสันติสุขทางกายวาจาเป็นประการต้น

:4672615:๒. สอนให้ฝึกหัดให้เกิดสันติสุขทางใจด้วยสมาธิ
หัดใจไม่ให้คิดถึงเรื่อง
ความกำหนัด
ความโกรธ
ความโลภ
ความหลง
ความกลัว
ความฟุ้งซ่านรำคาญ
ความลังเลใจ ทำให้ใจไม่เด็ดเดี่ยว ไม่เด็ดขาด
เมื่อฝึกหัดให้เกิดสันติสุขทางใจด้วยสมาธิในสิ่งเหล่านี้ได้ เป็นเหตุให้ใจสงบ เป็นสันติสุขทางจิตใจอีกประการหนึ่ง

:4672615:๓. ทรงสอนให้ฝึกหัดให้เกิดสันติสุขทางทิฏฐิ
ปัญญาพิจารณาให้เห็นว่า สรรพสิ่งทั้งหลายไม่แน่นอน เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงคงทนอยู่ไม่ได้
คือเสื่อมสิ้น แปรปรวน ดับไป เรียกว่าเป็นทุกข์
ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา อ้อนวอน ขอร้อง เร่งรัด ให้เป็นไปตามความประสงค์เรียกว่า อนัตตา

เมื่อเรารู้เห็นความเป็นจริงเช่นนี้ จะทำให้จิตใจของเราเข้มแข็งมั่นคง เด็ดเดี่ยว ไม่หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์ทั้งหลาย
:4672615:เพราะรู้เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญาว่าสิ่งเหล่านั้นไม่แน่นอน มันคงอยู่ไม่ได้ ต้องเปลี่ยนแปลง
เสื่อมสิ้นดับไป ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของเรา อย่าไปเร่งรัดให้เสียกำลังใจ คงรักษาใจให้เป็นอิสระมั่นคงอยู่เสมอ
ไม่หวั่นไหวไปตามเหตุการณ์เหล่านั้น เป็นเหตุให้ใจตั้งอยู่ใน สันติสุข
เป็นอิสระที่เกิดอำนาจทางจิตใจ Mind power ที่จะใช้ทำกิจกรณียะอันเป็นหน้าที่ของตนได้สำเร็จสมประสงค์

"นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ" สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี

:4672615:It needs a Peaceful Mind to support a Peaceful Body,
and it needs a Peaceful Body to support a Peaceful Mind,
and it needs Both Peaceful and Mind to attain all success that which you wish.



:875328cc::875328cc::875328cc:

ป้านุช 27-10-2009 13:32

๕. ทำอะไรไม่ผิดเลย ก็คือไม่ทำอะไรเลย ‘Do no wrong is do nothing’

:4672615:จงระลึกถึงคติพจน์ว่า ‘Do No wrong is do nothing’ ทำอะไรไม่ผิดเลย ก็คือไม่ทำอะไรเลย

:4672615:ความผิดนี้แหละเป็นครูอย่างดี ควรจะรู้สึกบุญคุณของตัวเองที่ทำอะไรผิดพลาด
และควรสบายใจที่ได้พบกับอาจารย์ผู้วิเศษ คือความผิด จะได้ตรงกับคำว่า เจ็บแล้วต้องจำ !
ตัวเองทำผิดเองนี่แหละ เป็นอาจารย์ผู้วิเศษเป็น Good example ตัวอย่างที่ดี เพื่อจะได้จดจำไว้ สังวรระวังไม่ให้ผิดต่อไป

:4672615:แล้วตั้งต้นใหม่ด้วยความไม่เลินเล่อเผลอประมาท อดีตที่ผิดไปแล้วก็ผ่านพ้นล่วงเลยไปแล้ว
แต่อาจารย์ผู้วิเศษยังคงอยู่ คอยกระซิบเตือนใจอยู่เสมอทุกขณะว่า

ระวัง ! อย่าประมาทนะ! อย่าให้ผิดพลาดเช่นนั้นอีกนะ

ผิดหนึ่งพึงจดไว้ ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกที่ห้า หกซ้ำอภัยไฉน !


:4672615:จงสังเกตพิจารณาดูให้ดีเถิด จะเห็นได้ว่านักค้นคว้าวิทยาศาสตร์ทางโลกก็ดี
และท่านผู้วิเศษที่เป็นศาสดาอาจารย์ในทางธรรมทั้งหลายก็ดี
ล้วนแต่ผ่านพ้นอุปสรรคความผิดพลาดนับครั้งไม่ถ้วนด้วยกันมาแล้วด้วยกันทุกส่วน



:875328cc::875328cc::875328cc:

ป้านุช 28-10-2009 17:01

๖. สติสัมปชัญญะ (ความระลึกได้ และความรู้ตัว)

:4672615:ที่จะทำอะไรไม่ผิดนั้น ข้อสำคัญอยู่ที่สติ ถ้ามีสติคุ้มครองกายวาจาใจอยู่ทุกขณะ จะทำอะไรไม่ผิดพลาดเลย
ที่ผิดพลาดเพราะขาดสติ คือ เผลอเหม่อ เลินเล่อ ประมาท ระเริง หลงลืม จึงผิดพลาด จงนึกถึงคติพจน์ว่า

กุมสติต่างโล่ป้อง อาจแกล้วกลางสนาม

:4672615:ธรรมดาชีวิตทุกชนิด ทั้งมนุษย์และสัตว์ตลอดทั้งพืชพันธุ์พฤกษชาติเป็นอยู่ได้ ด้วยการต่อสู้ ตรงกับคำว่า ‘Life is fighting’
ชีวิตคือการต่อสู้ เมื่อต่อสู้ไม่ไหวขณะใด ก็ต้องที่สุดแห่งชีวิต คือ death ความตาย

:4672615:เพราะฉะนั้น ยังมีสติอยู่ตราบใดถึงตายก็ตายแต่กาย เช่นกับชีวิตพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ท่านมีสติไพบูลย์อยู่ทุกขณะจิต
ท่านจึงทำอะไรไม่ผิดและถึงซึ่งอมตธรรม คือ ธรรมที่ไม่ตาย ตรงกับคำว่า Immortal

จึงเรียกว่าปรินิพพาน คือนามรูป สังขาร ร่างกาย ที่เรียกว่าเบญจขันธ์ ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แตกดับไปเท่านั้น

:4672615:เพราะฉะนั้น ควรฝึกฝนสติ (ความระลึกรู้ก่อนทำ ก่อนพูด ก่อนคิด) สัมปชัญญะ (รู้ตัวอยู่ทุกขณะที่กำลังทำอยู่ พูดอยู่ คิดอยู่)
เมื่อทำเสร็จแล้ว ก็มีสติตรวจตราพิจารณาดูว่าบกพร่องอย่างไร หรือเรียบร้อยบริบูรณ์ดี
ถ้าบกพร่องก็รีบแก้ไขเพื่อให้สมบูรณ์ต่อไป ถ้าเรียบร้อยดีอยู่แล้วก็พยายามให้เรียบร้อยดียิ่ง ๆ ขึ้นไปจนถึงที่สุด



:875328cc::875328cc::875328cc:

ป้านุช 29-10-2009 12:04

๗. อานุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา

:4672615:ด้วยอานุภาพของไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้แล จึงชนะข้าศึกคือ กิเลสอย่างละเอียดได้ !

๑. ชนะความหยาบคาย ซึ่งเป็นกิเลสอย่างหยาบที่ล่วงทางกายวาจาได้ด้วยศีล
ชนะความยินดียินร้าย หลงรัก หลงชังซึ่งเป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดในใจได้ด้วยสมาธิ
ชนะความเข้าใจรู้ผิดเห็นผิดจากความเป็นจริงของสังขาร ซึ่งเป็นกิเลสอย่างกลางที่เกิดในใจได้ด้วยปัญญา

๒. ผู้ใดศึกษาและปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้โดยพร้อมมูล บริบูรณ์ สมบูรณ์แล้ว
ผู้นั้นจึงเป็นผู้จากทุกข์ทั้งปวงได้เป็นแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย!

เพราะฉะนั้น จึงควรสนใจเอาใจใส่ ตั้งใจศึกษา และปฏิบัติตามไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้ทุกเมื่อเทอญ



:875328cc::875328cc::875328cc:

ป้านุช 30-10-2009 11:25

๘. ดอกมะลิ

:4672615:ดอกมะลิ เป็นดอกไม้ที่ถูกรับรองแล้วว่าเป็นดอกไม้ที่หอมเย็นชื่นใจที่สุด
และขาวบริสุทธิ์ที่สุดในบรรดาดอกไม้ทั้งหลาย
ชีวิตของมนุษย์ที่เป็นอยู่ก็เช่นเดียวกับการละคร
ขอให้เป็นตัวเอกที่มีชื่อเสียงที่สุด
เช่นเดียวหรือลักษณะเดียวกับดอกมะลิ
อย่าเป็นตัวผู้ร้ายที่เลวที่สุด
และให้เห็นว่าดอกมะลินี้จะบานเต็มที่เพียง ๒-๓ วันก็จะเหี่ยวเฉาไป
ฉะนั้นขอให้ทำตัวให้ดีที่สุด เมื่อยังมีชีวิตอยู่ให้หอมที่สุดเหมือนดอกมะลิที่เริ่มแย้มบาน

ฉะนั้น... จงเลือกทำแต่กรรมที่ดี ๆ


:875328cc::875328cc::875328cc:

กาแฟ 30-10-2009 11:39

กาแฟ
 
ครบเมื่อไหร่ ผมขออนุญาต นำไปเผยแพร่เป็นธรรมทานนะครับ

ป้านุช 30-10-2009 12:06

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ กาแฟ (โพสต์ 23912)
ครบเมื่อไหร่ ผมขออนุญาต นำไปเผยแพร่เป็นธรรมทานนะครับ

ยินดีและโมทนาค่ะ:cebollita_onion-17:

ป้านุช 05-11-2009 14:37

๙. "ทำดี ดีกว่าขอพร"

:4672615:"จงเลือกทำแต่กรรมที่ดี ๆ นะ !"
เตือนให้เตรียมตัวไว้ดำเนินชีวิตต่อไป เป็นตัวแทนคำอวยพรอย่างสูงสุด ประกอบด้วยเหตุผล
เมื่อทำกรรมดีแล้ว ไม่ให้พรก็ต้องดี เมื่อทำกรรมชั่วแล้ว จะมาเสกสรรปั้นแต่งอวยพรอย่างไรก็ดีไม่ได้
ทำชั่วเหมือนโยนหินลงน้ำจะต้องจมทันที ไม่มีผู้วิเศษใด ๆ จะมาเสกเป่าอวยพรอ้อนวอนขอร้องให้หินขึ้นมาได้
ทำกรรมชั่วจะต้องล่มจมป่นปี้เสียราศี เกียรติคุณ ชื่อเสียง
เหมือนก้อนหินหนักจมลงไปอยู่กับโคลนใต้น้ำ
ทำดีเหมือนน้ำมันเบา เมื่อเทลงน้ำ ย่อมลอยเป็นประกายมันปลาบอยู่เหนือน้ำ

:4672615:ทำกรรมดี ย่อมมีสง่าราศี มีเกียรติคุณชื่อเสียง มีแต่คนเคารพนับถือยกย่องบูชาเฟื่องฟุ้งฟูลอยเหมือนน้ำมันลอย
ถึงจะมีศัตรูหมู่ร้ายจงใจเกลียดชังมุ่งร้าย อิจฉาริษยาแช่งด่าให้จม ก็ไม่สามารถจะเป็นไปได้ กลับจะแพ้เป็นภัยแก่ตัวเอง
ขอให้จงตั้งใจกล้าหาญ พยายามทำแต่กรรมดี ๆ โดยไม่มีความเกรงกลัวหวั่นไหวต่ออุปสรรคใด ๆ ทั้งสิ้น
ผู้ที่มีความเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย ผู้ที่มีโชคดี ผู้ที่มีความสุข และผู้ที่มีความเจริญประสงค์ใดสำเร็จสมประสงค์
ก็คือผู้ประกอบกรรมทำแต่ความดีอย่างเดียวนั่นเอง

:4672615:นอกจากนี้ ยังมีโอวาทที่น่าสนใจ อีกบางข้อเช่น

"คนเราเมื่อมีลาภก็มีเสื่อมลาภ เมื่อมียศก็มีเสื่อมยศ
เมื่อมีสุขก็มีทุกข์ เมื่อมีสรรเสริญก็มีนินทา
" เป็นของคู่กันมาเช่นนี้

:4672615:จะไปถือสาอะไรกับปากมนุษย์ ถึงจะดีแสนดีมันก็ติ ถึงจะชั่วแสนชั่วมันก็ชม นับประสาอะไร
พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐเลิศยิ่งกว่ามนุษย์และเทวดายังมีมารผจญ ยังมีนินทาติเตียน
ปุถุชนอย่างเรา จะรอดพ้นจากโลกธรรมดังกล่าวแล้วไม่ได้ ต้องคิดเสียว่าเขาจะติก็ช่าง ชมก็ช่าง
เราไม่ได้ทำอะไรให้เขาเดือดเนื้อร้อนใจ ก่อนที่เราจะทำอะไรเราคิดแล้วว่า ไม่เดือดร้อนแก่ตัวเราแลคนอื่น
เราจึงทำ เขาจะนินทาว่าใส่ร้ายอย่างไรก็ช่างเขา บุญเราทำกรรมเราไม่สร้าง
พยายามสงบกาย สงบวาจา สงบใจ จะต้องไปกังวลกลัวใคร ติเตียนทำไม ไม่เห็นมีประโยชน์ เปลืองความคิดเปล่า ๆ "

:4672615:ท่านธมฺมวิตกฺโก ได้ชักชวนให้สาธุชนจดจำพระคาถาในหนังสือสันติวรบทความว่า
" บุคคลประพฤติสุจริตธรรม ในเวลาใด เวลานั้น ย่อมเป็นฤกษ์ดี มงคลดี แสงสว่างดี การตั้งมั่นดี เป็นขณะดี
เป็นยามดี การบูชาที่ดีในท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ทั้งหลาย การกระทำทางกาย วาจา ใจ เป็นประทักษิณ
ควรทำให้อยู่เบื้องขวา คือ ควรเชิดชูคุณธรรมที่ควรเชิดชู เป็นอันตั้งไว้แล้ว บุคคลที่ทำการเชิดชูทั้งหลายแล้ว
ย่อมได้รับประโยชน์อันควรเชิดชูเช่นกัน "



:875328cc::875328cc::875328cc:

ป้านุช 10-11-2009 19:31

ท่านธมฺมวิตกฺโก ได้ถึงแก่มรณภาพด้วยโรคมะเร็ง
เมื่อวันที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๑๔ เมื่อท่านอายุได้ ๗๔ ปี
ครองสมณเพศเป็นเวลา ๔๖ ปี


นับแต่นี้ต่อไป แม้จะไม่มีสังขารของท่าน ธมฺมวิตกฺโก
แต่คุณงามความดีของท่านก็จะยังคงอยู่ตลอดไปไม่เสื่อมสลาย
ท่านเคยบอกว่านามฉายาของท่านคือ ธมฺมวิตกฺโก นั้น
มีความหมายถึงการระลึกถึงธรรม หรือการตรึกถึงธรรม
อันเป็นนามเดิมของท่าน เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่

ท่านเคยบอกเสมอว่า
"ถ้าคิดถึงอาตมาก็ให้คิดถึง ธมฺมวิตกฺโก เพราะ ธมฺมวิตกฺโก คือการระลึกถึงธรรม
เมื่อคิดถึงเช่นนี้แล้ว ธมฺมวิตกฺโก ก็จะอยู่ข้าง ๆ เสมอ
ไม่จำเป็นจะต้องมาหาอาตมา
เพราะเมื่อมาหาก็มาเห็นแต่สังขาร ซึ่งวันหนึ่งก็จะเน่าเปื่อยและเสื่อมสิ้นไป
จงระลึกถึงธรรมดีกว่า จะมีคุณค่าต่อชีวิตยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด
ศีลและธรรมเป็นหลักของมนุษย์
มนุษย์จะอยู่ได้สงบเยือกเย็นเป็นสุขก็โดยศีลและธรรม
หากขาดสิ่งเหล่านี้แล้วมนุษย์ก็จะมีค่าเสมอกันกับสัตว์"


:875328cc::875328cc::875328cc:


จบประวัติเจ้าคุณนรฯ พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโก ภิกขุ) แต่เพียงเท่านี้


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:43


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว