ใต้ฟ้าอิระวดี ตอนที่ ๗
1 Attachment(s)
ทูนขิ่น ควบรถกระบะเก่างั่กสนิมร่วงกราวมารับ มันจะเอาไอ้ที่ใหม่หน่อยไม่ได้หรืออย่างไรวะ..? อาตมา ท่านนาวิน ท่านพร กับโปไล ขึ้นไปเบียดกันอยู่บนไอ้เฒ่า เข้าไปถึงตลาดก็ต้องตกใจ แม่เจ้าโว้ย..! ทูนขิ่นมันขนคนมาจากไหนขนาดนี้ หนึ่ง สอง สาม สี่
สิบสามคน รวมทั้งคนขับที่ชื่อ โกนี ด้วยก็สิบเก้าคน..!
คราวนี้จัดระเบียบเข้าไปเถอะ คนสิบเก้าคนมันก็ต้องขี่คอกันไปอยู่แล้ว นี่ยังของอีกตั้งเท่าไรอยู่นั่น ในที่สุดท่านพรต้องระเห็จขึ้นไปประดิษฐานบนหลังคารถเป็นพระประธานชั่วคราว อาตมากับท่านนาวินนั่งงอก่องอขิงอยู่หน้ารถ เพราะตรงที่วางเท้าเขายัดโทรทัศน์เข้าอีกเครื่อง เต็มพอดีเลย..! ค่าโดยสารคนละ ๕๐๐ บาทไทย ส่งถึงวัดหนองบัว ฆราวาสต้องจ่ายค่าผ่านทางเพิ่มอีกคนละ ๒๐๐ บาท ทูนขิ่นซื้อรถคันนี้มาราคา ๗๐๐,๐๐๐ จั๊ต มันกะถอนทุนเที่ยวเดียวเลยมั้ง ? ถามดูถึงรู้ว่าแพงตรงป้ายอนุญาตวิ่งโดยสารนี่แหละ ลำพังตัวรถรุ่นนี้แล้ว ยกให้คนไทยปลูกสะระแหน่ยังไม่มีใครเอาเลย..! โกเต็งเอาเงินที่ไปแลกมาให้ ได้ดีกว่าท่านพรหน่อย บาทละ ๖.๑๐ จั๊ต รวมแล้วอาตมามีเงินตั้ง ๕๔,๙๐๐ จั๊ตแน่ะ น่ารวยเนอะ...แล้วนี่แลกเป็นเงินพม่าหมด ทูนขิ่นมันจะรับหรือเปล่า? รับครับ..ขอสามพันจั๊ต.. เจ้าของรถตาเอกยิ้มกว้างขวาง ก่อนที่จะไล่เก็บเงินผู้โดยสารอื่น ๆ จนครบ ไม่เปิดโอกาสให้ใครเปลี่ยนใจเลยนะเอ็ง..! http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1263745213 วันเดินทางมีแม่ออกกงซุ่ยกับลูกแมวมาส่ง โกนีเป็นคนขับ ฝีมือร้ายกาจไม่เบา แค่ออกตัวก็เกือบเหยียบหมาแบนซะแล้ว เจ้าหมานั่นกระโจนสุดตัวลงป่าข้างทางแบบใจหายใจคว่ำ โกนีแปลว่าพี่แดง นี่อาตมาหนีคนขับชื่อแดงไม่พ้นซีน่า...ไปได้ประมาณ ๒ ไมล์ ถนนกลายเป็นฝุ่นตลบอบอวล โกนีเลี้ยวเข้าไปในขนส่งซึ่งตรวจทั้งรถและคนที่เข้าออก... มาเป็นคันแรกตอนเก้าโมงเช้า แต่เจ้าหน้าที่ท่านยังไม่มีอารมณ์ทำงาน ต้องรอจนกว่าพระคุณท่านจะมีอารมณ์ก็เพลพอดี ทูนขิ่นบ่นพึมพำว่า นึกว่าจะไปให้ถึงวันนี้ สงสัยต้องค้างคืนกลางทางซะแล้ว...ระหว่างที่รออยู่นั้น บรรดารถโดยสารที่ไปยังเส้นทางต่าง ๆ พากันมาต่อคิวยาวเหยียด แต่ละคันไม่มีใครคนน้อยกว่าคันของเราเลย มากกว่าทั้งนั้น..! เจ้าหน้าที่เรียกทุกคนลงไปสัมภาษณ์ ว่าจะไปไหน? ไปกี่คน? ไปทำไม? ฯลฯ อาตมาตั้งจิตระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พรหม เทวดา มีหลวงพ่อฤๅษีลิงดำเป็นที่สุด เห็นหลวงปู่ปาน วัดบางนมโค มาในลักษณะพระสงฆ์ หนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวทีเดียวเชียว กราบเรียนถามท่านว่า หลวงปู่มาทำไมครับ? อ้าว ก็บ้านข้านี่หว่า..! เกือบไล่เจ้าของบ้านซะแล้วไหมล่ะ..! หลวงปู่เกิดที่นี่ด้วยหรือครับ? นับไม่ถ้วนเชียวลูก.. พระโพธิสัตว์ต้องขยันเกิดเป็นธรรมดา ยิ่งประเทศพม่าเป็นเขตพระพุทธศาสนา ยิ่งต้องเกิดมาก.. สบายอาตมาไปซิ มากับเจ้าของบ้านจะไปกลัวใคร กราบขอบารมีหลวงปู่ช่วยสงเคราะห์ ให้ผ่านด่านทหารทุกด่านโดยสะดวกด้วยเถิด... เจ้าหน้าที่เป่านกหวีดเรียกผู้โดยสารทุกคนมาขึ้นรถ ตรวจเช็กอีกรอบว่ามีใครเกินมาหรือเปล่า ? อาตมานั่งหัวโด่อยู่มันไม่ถามอะไรซักคำ พอตรวจเสร็จสั่งให้ออกรถ โกนีซิ่งพรวดทันทีเพราะเสียเวลามามากแล้ว ไปได้ไม่ไกลก็เลี้ยวขวาเข้าปั๊มน้ำมันยี่ห้อคุ้น ๆ ตาพิกล เฮ้ย...ยังไม่ถูกก๊อดซิลล่ากินหมดอีกหรือนี่ ? ข้ามมาลงทุนถึงฝั่งนี้เชียวนะ นึกว่าแค่ซื้อแก๊สจากยานาดากับเยตะกุนเท่านั้นซะอีก... ออกจากปั๊มนิดเดียวก็เจอด่านทหาร ทูนขิ่นวิ่งเอาใบผ่านไปให้ประทับตรา แล้วเขาเปิดด่านให้ไปง่าย ๆ จนท่านนาวินเอ่ยด้วยความประหลาดใจว่า ปกติมันจะให้ทุกคนลงจากรถ เรียกบัตรประจำตัวและใบสุทธิพระไปตรวจบันทึกไว้หมด ถามด้วยว่าจะไปไหน คราวนี้ไม่ยักตรวจและถาม..? ขืนตรวจผมก็เสร็จซิครับ ปล่อยให้เป็นภาระของหลวงปู่ท่านเถอะ ผ่านได้ง่ายเท่าไรก็สบายเราเท่านั้น... ถนนเป็นทางฝุ่นหนาเกือบคืบ รถวิ่งไปเลื้อยไปอย่างกับงู แต่โกนีซะอย่าง ผ่านตลอดทุกภูมิประเทศ ซ้ำยังบอกอย่างครึกครื้นในอารมณ์เป็นที่ยิ่งว่า ม่ายปินร่าย ม่ายปินร่าย จายยิน ยิ้น ผ่านบ้านยูวาติ๊ด บ้านจงกุย บ้านจอปุลุ จนมาถึงหมู่บ้านโทรม ๆ ทำด้วยไม้ไผ่มุงแฝกเป็น แถวยาวเหยียด เข้าไปให้ทหารมอญตรวจบ้าง... |
2 Attachment(s)
ด่านบ้านชองโส่ง (สบห้วย) มีน้ำตกข้างทางด้วย ต้องจ่ายค่าผ่านทางต่างหาก คันละ ๑๕๐ บาท ถนนเละเป็นโลกพระจันทร์แบบนี้ ยังมีหน้ามาเก็บค่าผ่านทางอีกแน่ะ บางตอนลงไปวิ่งในห้วยยาวเป็นกิโลก็มี ทูนขิ่นทำถูกแล้วที่เอารถเก่ามาวิ่ง ขืนเอาของใหม่มาก็คงเก่าลงในการวิ่งเที่ยวแรกเท่านั้น และคงจะวิ่งไปร้องไห้ไปด้วยความสงสารรถแบบน้องอุ๋ย (ปภาดา สุวรรณธรรมา) ตอนที่วิ่งไปน้ำตกห้วยแม่ขมิ้นแน่ ๆ...
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1263785667 สภาพเส้นทางมีหลายช่วงที่รถต้องกลายเป็นเรือ รถของเราออกเป็นคันแรก จึงไม่มีใครแซงไปซักคัน นอกจากนาน ๆ มีรถเก่า ๆ ทั้งสี่ล้อ หกล้อ สวนมาซะที ที่เห็นมากคือโรลสรอยซ์รุ่นสองแรงวัว มากันทีสามเล่ม ห้าเล่ม อย่างน้อยก็สองเล่ม มีอยู่ครั้งเดียว ที่เจอมาเล่มเดียวเดี่ยวโดด ซ้ำยังเป็นตอนผ่านบ้านร้างอาปะลงซะด้วย นับว่านายแน่มาก..! รถกระแทกไปจนฝุ่นตลบ คนบนรถอาบฝุ่นเหลือแต่ตาขาวล่อกแล่ก ระวังอุบัติเหตุ..! อาตมาพูดตามที่หลวงปู่บอก ท่านนาวินยังไม่ทันถามอะไร โกนีก็เบรกจนตัวโก่ง ฝุ่นที่ตามท้ายรถมาตลบท่วมทั้งคัน ไอค็อกไอแค็กไปตาม ๆ กัน..! ข้างหน้านั่นเอง..สะพานไม้มันเอียงกระเท่เร่อยู่ ถ้ามาด้วยความเร็วเท่าเดิมคงได้เผากันบ้าง..! http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1263785673 รถติดทั้งขุดทั้งเข็นกว่าจะไปได้ ทูนขิ่นลงไปกระทืบไม้ให้ตรง แล้วช่วยเล็งล้อให้โกนีค่อย ๆ พาไอ้เฒ่าคลานผ่านไปแบบใจหายใจคว่ำ จากนั้นนั่งหัวสั่นหัวคลอนกันต่อไป กินฝุ่นจนไม่มีอารมณ์จะกินข้าวกินปลากันอีกแล้ว กว่าจะถึงบ้านตองซุน (สุดเขา) ก็ถูกด่านตรวจอีกหลายรอบ เห็นชาวบ้านที่ถูกอพยพมาจากบ้านอาปะลง กำลังสร้างบ้านแปลงเมืองเป็นการใหญ่... |
2 Attachment(s)
บ่ายสองโมงถึงด่านอะนังกวีน (ทุ่งกันเกรา) รถต้องลงไปจอดรอการตรวจสอบใหญ่อีกที อาตมาถ่ายรูปที่ด่านไปสองรูป เจ้าหน้าที่ข้องใจมากว่าถ่ายไปทำไม ? ท่านนาวินบอกว่า “พระไทยไม่เคยเห็นการทำงานที่เข้มแข็ง เอาจริงเอาจังแบบนี้มาก่อน เลยถ่ายเอาไว้ดูเป็นที่ระลึก...” ทหารบ้ายอได้ยินเข้าเลยยอมปล่อยผ่านแต่โดยดี..!
ท่านนาวินว่าพ้นจากอะนังกวีนแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องทหารกะเหรี่ยงกันอีกต่อไป เพราะพ้นเขตอิทธิพลของพวกเขาแล้ว อาทิตย์ก่อนทหารกะเหรี่ยงเพิ่งจะเผารถโดยสารไปคันหนึ่ง ญาติโยมกำลังเป็นกังวลว่าพวกเราจะเจอบ้างหรือไม่ ? ผ่านป่าทึบไปได้ไม่นาน โกนีก็ต้องเบรกหัวทิ่มอีกครั้ง เพราะทหารในชุดพรางถือเอ็ม.๑๖ ยืนจังก้าขวางทางอยู่..! http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1263829854 ด่านอะนังกวีน (ทุ่งกันเกรา) ด่านใหญ่ของรัฐกะเหรี่ยง “ทหารกะเหรี่ยง…” ท่านนาวินกระซิบ ขนาดพ้นเขตแล้วนะนี่..! ทูนขิ่นลงไปเจรจากับทหาร ขณะที่ผู้โดยสารลุ้นระทึกว่าจะออกหัวหรือออกก้อย อาตมาเห็นไอ้ลูกทหารตัวน้อยในชุดพราง ที่พยายามเต๊ะท่าให้ดูเหี้ยมหาญเป็นของน่ารักแทน ถามพลางชูกล้องให้ดูว่า “ขอถ่ายรูปได้หรือไม่ ?” ผลคือหัวหน้าชุดปฏิเสธอย่างเฉียบขาด..! “พวกนี้ปกติทำตัวเหมือนชาวบ้านทั่ว ๆ ไป พอจะตั้งด่านเถื่อนหารายได้ ก็จะเอาชุดทหารมาใส่ และขุดปืนที่ฝังไว้ขึ้นมา ถ้าเราถ่ายรูปไป เขากลัวทหารพม่าจะจำหน้าได้…” ท่านนาวินอธิบาย “เขาไม่ตั้งด่านนานหรอกครับ เอาทีห้าคันสิบคันแล้วก็หลบเข้าป่าไป จะได้ไม่ต้องรบกับทหารพม่า แล้วไปหาที่ตั้งด่านจุดใหม่ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ใครไม่จ่ายมันเผารถทิ้งเลย ใครแจ้งทหาร ถ้ามันรู้เข้ามันตามฆ่าหมดทั้งบ้าน..!” โหดกว่าที่คิดแฮะ ทูนขิ่นยอมจ่ายตามที่พวกเขาเรียกร้อง (เล่นเก็บจากผู้โดยสารล่วงหน้ามาแล้วนี่หว่า..!) ผ่านจากด่านกะเหรี่ยงนิดเดียวเป็นบ้านเต็งเง นี่มันเล่นตามตำราพิชัยสงคราม “ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด” ทหารพม่าไม่มีโอกาสรู้เลยว่า ข้างที่นอนของตัวเองแท้ ๆ ทหารกะเหรี่ยงตั้งด่านเก็บค่าก๊อกไปแล้ว..! ลุยไปตามท้องนาได้ไม่นานเจอทหารอีกแล้ว ไอ้ตัวน้อยถามว่ามีน้ำหวานมาบ้างหรือไม่ ? ไอ้หนูเอ๋ย..ถ้าข้ารู้ว่าพวกเอ็งอดอยากยากแค้นปานนี้ คงขนมาให้เป็นคันรถแล้วว่ะ..! เจ้าลูกทหารกลืนน้ำลายด้วยความผิดหวัง เห็นแล้วน่าเวทนาแท้ ๆ อายุถึงสิบขวบหรือยังก็ไม่รู้ ? ต้องมาแบกปืนยาวท่วมหัวเป็นรั้วของชาติ เฮ้อ..! จากด่านทหารเป็นด่านพระ จากด่านพระเป็นด่านทหาร กว่าจะมาถึงด่านเยตะกุน ก็ตกบ่ายสี่ครึ่ง ด่านนี้ทุกคนต้องลงเดินแถวเรียงหนึ่งไป อาตมาสามรูปหน้ามอมพอกันกับมอญพม่าแล้ว ถึงนั่งเฉยอยู่บนรถ ทหารก็ไม่ว่าอะไร ตรวจสอบเรียบร้อยก็ปล่อยพวกเรานั่งขดงอก่องอขิงกันต่อไปบนเส้นทางมหาวิบาก... ด่านเยตะกุน บังคับให้ทุกคนต้องลงเดิน พ้นด่านแล้วจึงให้ขึ้นรถได้ แปลกอยู่อย่างหนึ่งก็คือ กำลังใจของอาตมาทรงตัวแนบแน่นโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องภาวนาเลยแม้แต่น้อย ตลอดระยะทางที่ผ่านมาจนถึงบัดนี้ ยังไม่คลายตัวสักนิดเดียว รถติดให้เข็นกันอีกครั้งก็พ้นทางฝุ่น มาขึ้นทางลาดยางที่แคบพอวิ่งได้คันเดียว สภาพเหมือนกับวิ่งไปบนเตาขนมครกขนาดยักษ์ มองเห็นทะเลอันดามันลิบลิ่วอยู่แต่ไกล... “เหยียบ..เหยียบ..เหยียบ..” เสียงเชียร์จากข้างหลังดังประสานกันมา โกนีของเราก็บ้าจี้พอ พาไอ้เฒ่าวิ่งเอี๊ยดอ๊าดไปราวกับเหาะ ถึงบ้านแวกะลิมีทางแยกไปบ้านปะงา ทูนขิ่นให้ผู้โดยสารที่จะไปบ้านปะงาลงตรงนี้ จ่ายค่ารถไปปะงาให้เสร็จสรรพ บอกว่าไปส่งไม่ทัน มันจะค่ำแล้ว ให้หารถเมล์ไปกันเองก็แล้วกัน... ข้างทางมีบ่อน้ำแบบใช้เชือกโพงอยู่ อาตมาลงไปตักน้ำล้างหน้าตาเนื้อตัวให้หายมอมหน่อย สั่งขี้มูกพรืดออกมา โอ้โฮ...ดำเป็นขี้โคลนเลยเว้ย..! จากบ้านแวกะลิ ข้ามทางรถไฟไปนิดเดียว เจอด่านจราจรมาตรวจสอบการเข้าเมืองว่าถูกต้องหรือไม่ ? รู้สึกว่าการแต่งตัวของจราจรพม่าจะหล่อเหลาเป็นหลักเป็นฐานที่สุด... |
1 Attachment(s)
ห้าโมงเย็นเศษมาถึงตัวอำเภอตันบวยเซียท มีหอนาฬิกากลางเมืองบอกเวลาตรงเป๊ะเลย เลี้ยวซ้ายจะลงทะเล พวกเรามาทางขวา มุ่งตรงไปอำเภอมุด่ง ข้ามสะพานเหล็กเก่า ๆ สมัยเดียวกับสะพานข้ามแม่น้ำแคว สองข้างทางเป็นค่ายทหารขนาบข้างยาวเหยียด พ้นจากค่ายทหารก็เป็นดงยางพาราไกลสุดลูกหูลูกตา จนมาถึงตัวอำเภอมุด่ง... เวลาโพล้เพล้เข้าไต้เข้าไฟพอดี ทั้งผู้คน รถม้า รถสามล้อถีบ รถจักรยาน เกวียน มากมายนัวเนียไปหมด รถเมล์คันโคร่งเคร่งสมัยคุณปู่วิ่งกันควันโขมง สองแถวแต่ละคันถ้าคนไม่ล้นขึ้นบนหลังคาแบบคันของเรา ก็บรรทุกของมาเต็มพิกัด ทุกรุ่นทุกยี่ห้อปลดระวางไปจากเมืองไทยไม่ต่ำกว่า ๒๐ ปีทั้งนั้น..! โกนีเบรกจนไถลเป็นวา เมื่อสามล้อถีบตัดหน้ากระชั้นชิด เกือบประเดิมเมืองพม่าซะแล้ว..! จอดให้คนลงอีกสามคน จากนั้นปรึกษากันว่า ค่ำแล้วด่านทหารเขาห้ามผ่าน คงต้องไปพักกันที่วัดเจ้าไว (หินล้อม) ก่อน โกนีเสนอว่าลองไปขอที่ด่านดู ถ้าเขายอมให้ผ่านจะได้ไปถึงวัดหนองบัวคืนนี้ ถ้าไม่ยอมแล้วค่อยว่ากันใหม่... ลังเลกันอยู่นั่นแหละ เสียงข้างมากไม่อยากให้ไป กลัวทหารจับเอาไว้เลย อาตมาสงสัยว่าเถียงอะไรกันนานนัก สอบถามรู้เหตุแล้วจึงกราบเรียนถามหลวงปู่ ไปได้.. หลวงปู่ว่าไปได้ พวกเราจะไปมั้ย ? ทุกคนอึ้งเว้นแต่โกนี บอกว่าถ้าพระไปเขาก็ไปด้วย อาตมาตัดบทบอกให้เลี้ยวขวาไปด่านเลยให้รู้แล้วรู้รอดไป..! เจอด่านทหารรวดเดียว ๓ ด่าน..! ทหารข้องใจมากว่า ค่ำมืดแบบนี้จะรีบไปไหน เรียกตัวทูนขิ่นกับโกนีลงไปสอบสวน แล้วขอใบสุทธิพระด้วย แฮ่..แฮ่..หลวงปู่ครับ..! ไม่ต้องให้มันหรอกลูก.. ถึงต้องให้แล้วผมจะเอามาจากไหนละครับ ? เหลือเชื่อว่าทหารมันกลับหลังหันเดินหนีไปดื้อ ๆ เหมือนกับไม่เคยขออะไรเลยอย่างนั้นแหละ..! ผ่านตลอดทั้งสามด่าน โกนีลงไปเอาน้ำมันสำรองมาเติม อาตมาควักไฟฉายมาช่วยส่อง เห็นความสว่างของมันแล้วทุกคนทึ่งจัด ขอไปลูบ ๆ คลำ ๆ เป็นขวัญมือ ถามราคาอาตมาก็ตอบไม่ได้ เพราะน้องเก๋ (กมลา สุวรรณธรรมา) เขาถวายมา บิดขี้เกียจให้หายระบม สะบัดแข้งสะบัดขาให้เข้าที่แล้วไปกันต่อ เก็บไฟฉายซะลูก มันสะดุดตาเขา อาตมาเก็บตามคำสั่ง ท่านนาวินถามว่าเก็บทำไม..? อาตมาอธิบายไม่ทันจบก็เจอด่านตำรวจ ท่านนาวินถึงกับออกปากว่า หลวงปู่ท่านแม่นขนาดนี้เชียวหรือ ? ยิ่งกว่านี้อีก คุณคอยดูไปก็แล้วกัน ตำรวจแค่จดทะเบียนรถกับจำนวนคนไว้ แล้วปล่อยผ่านสบาย ทุกคนบนรถถอนหายใจโล่งอก... จะไม่ให้โล่งได้อย่างไรเล่า ? วันนี้มาจากด่านเจดีย์สามองค์ ทั้งที่มีข่าวว่าทหารกะเหรี่ยงเพิ่งเผารถโดยสารไปหยก ๆ ฝ่ามาสารพัดด่าน ก็ไม่หนักใจเท่าด่านตอนกลางคืนอย่างนี้ เพราะเท่าที่ทราบมา เขาไม่เคยปล่อยให้ใครวิ่งกลางคืน เนื่องจากกลางคืนเป็นเวลาของการเคลื่อนย้ายสิ่งผิดกฏหมาย ที่ไม่ต้องการให้ชาวบ้านรับรู้..! เข้าเขตอำเภอไจ๊มะยอ เจอกับรถบรรทุกไม้ที่ปิดไฟวิ่งทั้งมืด ๆ...นี่แหละ...ไอ้ตัวทำให้วิ่งกลางคืนไม่ได้ มันคงสงสัยคิดว่าเราเป็นรถทหาร ถึงขนาดหยุดให้ผ่านไปก่อน ฮิ ฮิ... โกนีฉลองศรัทธาด้วยการควบไอ้เฒ่าไปตามทางแคบ ๆ ขรุขระราวกับแข่งพายุ ผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ ที่ดับไฟนอนกันหมดแล้ว เนื่องจากไม่มีไฟฟ้าใช้... ก่อนเข้าบ้านชองนาคัวะ โกนีเกือบลุยเหยียบเข้าไปกลางหมู่ชาวบ้าน ที่ปูเสื่อดูวีดิโอจอยักษ์กันบนถนน เล่นเอาหอบเสื่อหอบหมอนเผ่นกันกระเจิดกระเจิง..! พวกฉายหนังเก็บเงินครับ วีดิโอม้วนหนึ่งฉายแล้วฉายอีก ลายจนดูแทบไม่รู้เรื่องก็มี.. ท่านนาวินอรรถาธิบาย เล่นขึ้นมาฉายกันบนถนนแบบนี้มันอันตรายเกินไป..! สุดทางที่ริมแม่น้ำอัตทราน เวลาสองทุ่มครึ่งพอดี เรือจ้างมันโก่งราคาซะแพงลิบ จากกลางวันคิด ๕๐๐ จั๊ต มันจะเอาสองพัน..! ขอต่อราคาลงมาหน่อย มันขึ้นเป็นสามพัน..! ท่านนาวินต้องลงเรือพายไปหาเรือหางยาวที่ฝั่งตรงข้าม พอมาถึงมันเห็นของมากคนมาก ขอขึ้นราคาจากหนึ่งพันที่ตกลงกันไว้เป็นพันสองทันที..! อาตมาต้องตัดบทว่าจะจ่ายค่าเรือเอง ญาติโยมที่มาด้วยก็ออกปากว่าจะช่วย ไม่อย่างนั้นคงได้เห็นท่านนาวินออกงิ้วแน่..! เรือล่องไปตามน้ำที่กำลังลง เพราะห่างจากอ่าวเมาะตะมะแค่ ๓๐ ไมล์ พระจันทร์ดวงโตโผล่เหนือยอดไม้ด้านซ้ายมือ แสดงว่าเรากำลังล่องมาทางใต้ ลมแม่น้ำเย็นสะท้านกาย อากาศคงใกล้เคียงกับที่เกาะพระฤๅษี เพราะติดน้ำเหมือนกัน... ยี่สิบนาทีก็มาเทียบท่าน้ำวัดหนองบัว ท่านนาวินตะโกนเรียกพระเณรมาช่วยกันขนของ เสียงติดเครื่องปั่นไฟดังกระหึ่ม ครู่เดียวแสงไฟฟ้าก็สว่างจ้าไปทั้งวัด เครื่องปั่นไฟเครื่องนี้ อาตมาซื้อถวายมาเองแหละ เหนื่อยจนไม่มีอารมณ์จะคุยกับเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลาย แค่ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ มุดขึ้นที่นอนได้ก็ฟิวส์ขาดไปแล้ว..! คลิกเพื่ออ่านตอนต่อไป |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:33 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.