กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1065)

เถรี 15-09-2009 08:55

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๒
 
ทุกท่านตั้งกายให้ตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า กำหนดความรู้สึกทั้งหมดตามลมหายใจเข้าออกของเรา หายใจเข้าความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออกความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา

หายใจเข้าพร้อมกับคำภาวนาที่เราถนัด หายใจออกพร้อมกับคำภาวนาที่เราถนัด การกำหนดลมหายใจเข้าออกนั้นเพื่อสร้างสมาธิที่มั่นคงให้เกิดแก่เราก่อนในเบื้องต้น แล้วหลังจากนั้นเราจะได้ใช้กำลังสมาธิไปในการพิจารณาข้อธรรมต่าง ๆ ตามที่เราต้องการในภายหลัง

เมื่อกำหนดลมหายใจเข้าออก จนกำลังใจทรงตัวดีแล้ว ก็ให้กำหนดใจแผ่เมตตาไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพทุกภูมิ ทุกหมู่ทุกเหล่า ขอให้เขามีความสุข ขอให้เขาทั้งหลายพ้นจากความทุกข์ ขออย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย การกำหนดใจแผ่เมตตานั้น เมื่อกำหนดออกไปจนสุดประมาณแล้ว ก็ให้ดึงกลับมาอยู่กับตัวของเราแล้ว หลังจากนั้นก็แผ่ขยายกว้างออกไปอีก แล้วดึงกลับเข้ามาอีก ซ้อมทำอย่างนี้ทุกวันจนคล่อง สามารถที่จะทรงกำลังใจในเมตตาบารมีก็ดี ในส่วนของพรหมวิหารทั้ง ๔ ก็ดี ได้อย่างฉับพลันทันทีที่ต้องการ จึงจะถือว่าเราสามารถกระทำกรรมฐานในส่วนของพรหมวิหาร ๔ ได้


เมื่อกำลังใจของเราเปี่ยมไปด้วยเมตตา เราก็มาทบทวนศีลของเราทุกข้อ ดูว่าศีลของเราในช่วงที่ผ่านมา ถือว่าในวันนี้ก็แล้วกัน ศีลข้อใดข้อหนึ่งได้บกพร่องหรือไม่ เรามีโอกาสที่จะฆ่าสัตว์หรือทำร้ายสัตว์ให้ลำบาก เราได้งดเว้นหรือไม่
เรามีโอกาสขโมย หยิบฉวยสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ เราได้ตั้งใจละเว้นหรือไม่
คนที่เขารัก ของที่เขารัก เรามีโอกาสล่วงละเมิด เราได้งดเว้นหรือไม่
เรามีโอกาสที่จะพูดในสิ่งที่ไม่เป็นจริง เราได้งดเว้นหรือไม่
เรามีโอกาสที่จะเสพสุรา ยาเสพติดใด ๆ ก็ตาม เราได้งดเว้นหรือไม่

ถ้าหากว่าสิกขาบทข้อใดข้อหนึ่งของเราบกพร่อง ให้ตั้งใจว่าตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ แล้วตั้งหน้าตั้งตารักษาสิกขาบทต่อไป แรก ๆ ก็จะลำบากเพราะเราต้องรักษาศีล แต่เมื่อระมัดระวังรักษาไปนาน ๆ ความเคยชินบังเกิดขึ้น คราวนี้ศีลทั้งหลายจะย้อนกลับมารักษาตัวเราอีกวาระหนึ่ง

เถรี 15-09-2009 08:58

เมื่อกำหนดใจแผ่เมตตา ทบทวนศีลทุกอย่างดีแล้ว สมบูรณ์แล้ว เราก็มากำหนดนึกว่าในขณะนี้เราลืมความตายแล้วหรือไม่ ความตายนี้จริง ๆ แล้วอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าไปก็ตายเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้เราจักประมาทไม่ได้ เพราะว่าความตายสามารถมาถึงเราได้ทุกเวลา เมื่อเป็นดังนั้นก็ให้ตั้งเป้าว่า ถ้าตายไปแล้วเราจะไปไหน ? กำหนดใจให้แน่วแน่มั่นคงอยู่ในเป้าหมายของเรา แล้วลองทบทวนดูว่าขณะนี้ คนที่เรารักมีอยู่หรือไม่ ? จะได้คำตอบที่ชัดเจนและเด็ดขาดเลยว่ามีหรือไม่มี ขณะนี้ของที่เรารักมีอยู่หรือไม่ ? ขณะนี้ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ของเรามีอยู่หรือไม่ ? คำตอบแน่นอนจะต้องออกมาว่ามีกันทุกคน เพียงแต่เราต้องกำหนดใจต่อไปเลยว่าถ้าตายตอนนี้ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้สามารถช่วยป้องกันไม่ให้เราตายได้หรือไม่ ? เราก็จะเห็นว่าจริง ๆ แล้ว ทรัพย์สมบัติต่าง ๆ ก็ดี คนที่เรารักก็ดี ของที่เรารักก็ดี ไม่สามารถจะป้องกันการพรากจากของเราได้

ดังนั้น..ท่านทั้งหลายต้องยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ด้วยการพยายามรักษาอารมณ์ของการเป็นพระอริยเจ้าเบื้องต้น คือพระโสดาบันให้ได้ โดยการทำเคารพในพระพุทธเจ้าจริง ๆ ทำความเคารพในพระธรรมจริง ๆ ทำความเคารพในพระสงฆ์จริง ๆ คำว่าจริงในที่นี้ก็คือไม่ล่วงละเมิดด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจ ถ้าหากว่าเป็นดังนี้ เราก็จะได้คุณสมบัติข้อที่ ๑ ของความเป็นโสดาบันเอาไว้ในมือ

หลังจากนั้นให้ทุกท่านตั้งใจปฏิบัติสมาธิ พร้อมกับประคับประคองรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ถ้ารู้สึกว่าศีลแปดหรือกรรมบถ ๑๐ หนักเกินไป ก็ให้รักษาแค่ศีล ๕ ก็ได้ เราเคยรำลึกบ้างหรือไม่ ว่าตัวของเราเมื่อนอนลงแล้วก็เหมือนกับคนตาย ถ้าเราไม่เคยระลึกถึงความตายเลยก็แปลว่าเราเป็นผู้ประมาทมาก

เถรี 15-09-2009 19:11

เมื่อเราทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแน่นแฟ้นแล้ว ตั้งใจทบทวนศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ รำลึกอยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ถ้าหากตายแล้วเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว ถ้ากำหนดความรู้สึกของเรามั่นคงแน่นแฟ้นอย่างนี้ ทบทวนอยู่เสมอ ๆ ทุกวัน ๆ ถ้าท่านตายลงไปเมื่อไร ความเป็นพระอริยเจ้าขั้นต้น คือ พระโสดาบันจะเป็นของท่านอย่างแน่นอน

เมื่อเราดำรงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเป็นปรกติ แต่ว่าการยึดถือมั่นหมายในร่างกายและโลกนี้ยังมีอยู่ เราก็ต้องมองให้เห็น ดูให้เห็นว่าสภาพที่แท้จริงของโลกนี้เป็นอย่างไร ถ้าหากว่ามองตนเองแล้วเห็นยาก มองออกไปภายนอกก็ได้ เห็นเด็กเล็ก ๆ ก็จะรู้ว่าไม่นานเขาก็จะโตเป็นหนุ่มเป็นสาว ก้าวเข้าไปสู่วัยกลางคน ก้าวไปสู่วัยชรา ท้ายสุดก็ต้องตาย เห็นต้นไม้ใบหญ้าต่าง ๆ เราก็ต้องรู้ว่ามันเริ่มงอกมาจากเมล็ดเล็ก ๆ เท่านั้น แล้วก็ค่อย ๆ เติบโต เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย โตขึ้นไปเรื่อย ระหว่างที่เติบโตอยู่ ก็ต้องหาแร่ธาตุและน้ำเพื่อเป็นอาหารของตน ก็แสดงว่าประกอบไปด้วยความทุกข์เป็นปรกติ โดนหนอนโดนแมลงทำลายลำต้น ทำลายกิ่งใบ เหมือนกับร่างกายนี้ที่เจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปรกติ ท้ายที่สุดเมื่อโดนทำลายมาก ๆ ก็หักโค่นล้มจมดินไป เหมือนกับสภาพร่างกายของเราและผู้อื่นที่จะต้องพบกับความตายเป็นปรกติ เมื่อเห็นตึกรามบ้านช่อง ไม่ว่าจะสร้างเสร็จใหม่ขนาดไหนก็ตาม เราก็ต้องเห็นไปว่า มันค่อย ๆ ก้าวไปสู่ความเก่า ท้ายสุดก็จะเสื่อมสลายพังลงไปจนได้ ไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง เช่นเดียวกับร่างกายของเรา ซึ่งตอนนี้ยังแข็งแรงปกติอยู่ แต่ท้ายสุดก็สลาย ตาย พังไปเช่นกัน

ถ้าเราสามารถเห็นดังนี้ได้โดยตลอด แล้วก็รู้ด้วยว่าถ้าตายในขณะที่ไม่ได้ทรงความดี อบายภูมิจะเป็นที่ไปของเรา แต่ถ้าทรงความดี เกาะในศีล สมาธิ ปัญญาของเราไว้ได้ เบื้องต้นเราก็เกิดเป็นเทวดาเป็นนางฟ้า ทำได้เบื้องกลางก็เกิดเป็นพรหม ถ้าทำได้สูงสุดก็หลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน ดังนั้น..ในทุกวันไม่ว่าท่านจะพบเห็นสิ่งใดก็ตาม ให้ดึงเข้ามาหาไตรลักษณ์ คือเห็นความเปลี่ยนแปลงของมัน เป็นอนิจจังอยู่ตลอด เห็นความต้องทนของมันเป็นความทุกข์อยู่เสมอ และท้ายสุดก็ไม่มีอะไรทรงตัวให้ยึดถือมั่นหมายได้ต้องเสื่อมสลายตายพังไปหมด เมื่อเห็นดังนี้ก็ให้ถอนกำลังใจออกจากการยึดเกาะ เพราะว่าไม่มีอะไรให้เรายึดเกาะได้อย่างแท้จริง เมื่อกำลังใจคลายจากการยึดเกาะเหล่านั้นได้ ความเป็นพระอริยเจ้าก็จะเป็นของเรา

ทุกวันให้ทบทวนอย่างนี้ เบื่อไม่ได้ หน่ายไม่ได้ ถ้ารู้สึกว่ายาก ให้กำหนดภาพพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งไว้กับเราก็ได้ จะให้ไหลตามลมหายใจเข้า ไหลตามลมหายใจออกก็ได้ เมื่อกำหนดชัดเจนแจ่มใสแล้วก็ให้ตั้งความรู้สึกไว้ว่าพระพุทธเจ้าไม่อยู่ที่ใดเลย นอกจากพระนิพพาน เราเห็นท่านคือเราอยู่กับท่าน เราอยู่กับท่านคือเราอยู่บนพระนิพพาน แล้วให้กำหนดจิตจดจ่อตั้งมั่นอยู่ตรงนั้น

ถ้าทำอย่างนี้ได้ทุกวันความชัดเจนแจ่มใสของมโนมยิทธิก็ดี ของทิพจักขุญาณก็ดีก็จะมีมากขึ้นไปเรื่อยตามลำดับ ยิ่งซักซ้อมก็ยิ่งมีความคล่องตัวมาก ถ้าสามารถเอาจิตจดจ่ออยู่กับพระนิพพานได้นานเท่านานตามที่ต้องการ ท้ายสุดความหมดสิ้นกิเลสก็จะปรากฏขึ้นแก่เราเอง

สำหรับตอนนี้ก็ให้ทุกคน ถ้ามีลมหายใจเข้าออกอยู่ก็รับรู้ลมหายใจเข้าออก ถ้ามีคำภาวนาอยู่ก็รับรู้ซึ่งคำภาวนา ถ้าไม่มีลมหายใจเข้าออกไม่มีคำภาวนาก็ให้รับรู้ไว้เฉย ๆ ว่ามันเป็นอย่างนั้น ถ้ามีภาพพระก็เอาจิตจดจ่ออยู่กับภาพพระ ถ้าไม่มีภาพพระก็เอาใจจดจ่ออยู่กับความนิ่งสงบเย็นว่าเป็นเขตของพระนิพพานก็ได้ ให้กำหนดใจให้นิ่งสงบอยู่อย่างนี้จนกว่าจะหมดเวลาการปฏิบัติของเรา

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันอาทิตย์ที่ ๖ กันยายน ๒๕๕๒


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:03


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว