กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เรื่องธรรมะ และการปฏิบัติ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=20)
-   -   กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์พร้อมทั้งตัวของมันเอง (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1235)

วาโยรัตนะ 28-10-2009 20:59

กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์พร้อมทั้งตัวของมันเอง
 
เรื่องราวที่จะเล่าสู่กันฟัง ให้พอเป็นประสบการณ์ในการปฏิบัติธรรม อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน เขียนแบบไม่ได้ใช้สคริปต์,ไม่มีสแตนด์อิน,ไม่ได้ใช้สลิงก์,มีแต่คอยจะระวังว่า "จะสะกดคำผิดหรือไม่":onion_no: ส่วน"พระพุทธศาสนสุภาษิต" ที่ยกมานั้น เป็นข้อสอบตอนสอบ "นักธรรมตรี" วิชาแต่งกระทู้ธรรม ประจำปี ๒๕๕๒ รู้สึกประทับใจ และ อยากประกาศแจ้งบอกให้ทุกท่านทราบว่า

"กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา"
กาลเวลาย่อมกลืนกินสรรพสัตว์พร้อมทั้งตัวของมันเอง


กาลเวลามันกินทั้งตัวกระผมเอง (โปรดจำเอาไว้ว่า ข้าพเจ้า"สึก"แล้ว) และ กินทุก ๆ ท่านในที่นี้ด้วย "เวลาคือชีวิต ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ก็จงปฏิบัติกันต่อไปจนตราบเข้าพระนิพพาน"

เพราะคำว่า “ ไม่มีเวลา-เวลาไม่พอ” มักเป็นคำกล่าวอ้างของคนที่มีภารกิจการงานหลากหลายสาขาอาชีพพูดกันบ่อย ๆ และคิดกล่าวว่า เวลาไม่พอกับงานที่ตนเองทำ” พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา แปลความหมายว่า กาลเวลาย่อมกลืนกินชีวิตของสรรพสัตว์โลกพร้อมด้วยตัวของมันเอง ไม่มีสัตว์ในโลกนี้แม้ผู้ใดเลยเรียกร้องเวลาที่หมดไปให้กลับคืนมาได้อีกทั้งที่เวลาจริง ๆ เลยมีเพียงแค่กลางวันและกลางคืนเท่านั้น

หวังอย่างยิ่งว่า เรื่องราวทั้งหมดนับจากนี้ไป คงจะเป็นประโยชน์ในลักษณะของการให้ใน "ธรรมทาน" แก่ท่านทั้งหลายไม่มากก็น้อย

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ (ป.ล. จาก ๑๙ มิ.ย. ถึง ๒๗ ต.ค. ๒๕๕๒):msn_smileys-15:

ใต้ร่มไม้ใหญ่ 28-10-2009 22:26

ผมขออนุโมทนาในกุศลที่ท่านได้ตั้งใจบวชด้วยนะครับ
เเต่สึกมาเเล้วก็ดี จะได้คุยกันง่าย ๆ หน่อย
ไม่ต้องใช้คำศัพท์ที่พูดกับพระ เเวะมารออ่านเรื่องของท่านด้วยใจจดจ่ออย่างยิ่ง

ลูกเจ้าคุณนรฯ 29-10-2009 06:43

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ วาโยรัตนะ (โพสต์ 23716)
เรื่องราวที่จะเล่าสู่กันฟัง ให้พอเป็นประสบการณ์ ในการปฏิบัติธรรม อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน เขียนแบบไม่ได้ใช้สคริปต์,ไม่มีสแตนด์อิน,ไม่ได้ใช้สลิง,มีแต่คอยจะระวังว่า "จะสะกดคำผิดหรือไม่":onion_no: ส่วน"พระพุทธศาสนสุภาษิต"ที่ยกมานั้น เป็นข้อสอบตอนสอบ "นักธรรมตรี" วิชาแต่งกระทู้ธรรม ประจำปี ๒๕๕๒ รู้สึกประทับใจ และ อยากประกาศแจ้งบอกให้ทุกท่านทราบว่า

"กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา"
กาลเวลา ย่อมกินสรรพสัตว์พร้อมทั้งตัวมันเอง


กาลเวลามันกินทั้งตัวกระผมเอง (โปรดจำเอาไว้ว่า ข้าพเจ้า"สึก"แล้ว) และ กินทุก ๆ ท่านในที่นี้ด้วย "เวลาคือชีวิต ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ก็จงปฏิบัติกันต่อไปจนตราบเข้าพระนิพพาน"

เพราะ คำว่า “ ไม่มีเวลา-เวลาไม่พอ” มักเป็นคำกล่าวอ้างของคนที่มีภาระกิจการงานหลากหลายสาขาอาชีพพูดกันบ่อย ๆ และคิดกล่าวว่า เวลาไม่พอกับงานที่ตนเองทำ” พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า กาโล ฆสติ ภูตานิ สพฺพาเนว สหตฺตนา แปลความหมายว่า กาลเวลาย่อมกลืนกินชีวิตของสรรพสัตว์โลกพร้อมด้วยตัวของมันเอง ไม่มีสัตว์ในโลกนี้แม้ผู้ใดเลยเรียกร้องเวลาที่หมดไปให้กลับคืนมาได้อีกทั้งที่เวลาจริง ๆ เลยมีเพียงแค่กลางวันและกลางคืนเท่านั้น

หวังอย่างยิ่งว่า เรื่องราวทั้งหมดนับจากนี้ไป คงจะเป็นประโยชน์ในลักษณะของการให้ใน "ธรรมทาน" แก่ท่านทั้งหลายไม่มากก็น้อย

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ (ป.ล. จาก ๑๙ มิ.ย. ถึง ๒๗ ต.ค. ๒๕๕๒):msn_smileys-15:

ขอเชิญท่านพี่เล่าเรื่องเป็นแบบกลอนได้ไหมครับ

มีคนเรียกร้องมาก และจะได้อารมณ์กว่าเยอะ

แหะ ๆ ๆ

:onion_emoticons-18::onion_emoticons-18::onion_emoticons-18:

วาโยรัตนะ 29-10-2009 11:21

เอาละครับทุกท่านที่ตีตั๋ว "รออ่าน" บัดนี้ได้เวลาอันเป็นมงคลฤกษ์แล้ว ขอประเดิมตอนแรกด้วย

๑."เมื่อข้าพเจ้าลาบวช"


๔ เดือนก่อนวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๒ หลังจากเริ่มทำงานกับบริษัทฝรั่ง ชนิดที่เรียกว่าทำแบบถวายชีวิต มีหลาย ๆ ปัจจัย ที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน อาทิเช่น พระขรรค์โสฬสวัดท่าขนุน ร่วมบุญกฐินประจำปี ๒๕๕๒ ที่กระผมและคณะน้อง ๆ (คุณซัน,คุณนรินทร์,คุณต้อม,และ สมาชิกคนสุดท้าย คุณหม่อม ตลอดจนทีมที่ปรึกษา ทิดตู่,คุณอาคนเก่า,เถรี และอีกหลาย ๆ ท่าน) ร่วมแรงร่วมใจจัดสร้างถวายพระอาจารย์ ก็เป็นไปได้ด้วยดีจนต้องบอกว่า "เราทำอะไรทำด้วยใจบริสุทธิ์โดยขอบารมีพระรัตนตรัยและพระอาจารย์ท่านสงเคราะห์ อะไรก็สำเร็จ"

ลูกสาวคนเล็กก็คลอดได้เดือนเดียว เห็นว่าปลอดภัยแข็งแรง หากจะบวชทดแทนพระคุณพ่อ-แม่ ช่วงนี้เหมาะสมที่สุด หากลูกสาวโตขึ้นคงจะหาโอกาสบวชได้ยาก คนเรามันก็ห่วงกันไปตามเรื่องตามประสา
จึงปรึกษาคุณแม่และภรรยา ว่าจะขอลาบวช ๑ พรรษา เรื่องงานนั้นไม่ได้ลาบวช "ลาออกเลย" เพราะคิดว่าเราไม่เหมาะกับบริษัทนั้นเล่นเอาฝรั่ง "งง" (สะใจวัยรุ่นดีเหมือนกัน "ตูจะไปพระนิพพาน" ฝรั่งคงไม่ค่อยจะเข้าใจ เลยให้ออกแบบ "งง ๆ")

เมื่อทางสว่างแล้วเดินสะดวกเช่นนี้จึงตัดสินใจบวชในวันที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๒ ที่วัดไชยธาราราม (วัดฉลอง,หลวงปู่แช่ม) เพราะต้องการสงเคราะห์โยมแม่ ให้ท่านได้ทำบุญตักบาตรในช่วงเจ็ดวันก่อนเดินทางไปวัดท่าขนุน (เพราะเรื่องการเดินทางไกล ท่านชราภาพแล้วคงไม่สะดวกเท่าไหร่) เพื่อขอร่วมอยู่จำพรรษา ก่อนหน้านั้นได้โทรเรียนปรึกษาพระอาจารย์ดังนี้

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : กราบนมัสการพระอาจารย์ขอรับ กระผม "รัตน์" จากภูเก็ตขอรับ กระผมจะบวชที่ภูเก็ตแล้วขอไปจำพรรษากับพระอาจารย์ที่วัดท่าขนุนได้หรือไม่ขอรับพระอาจารย์

(เวลาโทรไปขอเรียนปรึกษาท่าน บรรยากาศมันช่างกดดันจริง ๆ ที่ต้องรายงานตัวก่อนนั้น เพราะกลัวท่านจำไม่ได้และเพื่อเป็นการไม่เสียเวลา กราบเรียนแจ้งท่านไปให้ชัดเจนเลยว่า อะไร,อย่างไร เพราะทุกวินาทีมีคุณค่า)

พระอาจารย์ : บวชเมื่อไหร่ ?

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : วันที่ ๑๙ มิถุนายนนี้ครับ ที่วัดฉลอง

พระอาจารย์ : บวชเข้ามาวันไหนก็ได้ แต่สำคัญวันสึกโน่น แล้วจะมาร่วมจำพรรษากี่รูปล่ะ เกิน ๕ รูป ไม่รับนะ...เลี้ยงไม่ไหว

(พระอาจารย์ท่านสอนว่า บวชเข้าวันไหนก็ได้ พระอาจารย์ท่านเคยสอนว่า เราจะหนีจากร้อนเข้ามาหาที่เย็นเข้ามาให้เร็วที่สุด ส่วนการจะออกจากที่เย็น คือสึกจากความเป็นพระนั้น ต้องถือฤกษ์ยามเป็นสำคัญ)

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : รูปเดียวครับ

พระอาจารย์ : เอาได้ ๆ ตั้งใจบวชล่ะ

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ขอรับ กราบขอบพระคุณขอรับพระอาจารย์

วาโยรัตนะ 29-10-2009 20:34

๒."แปลกที่-ผีไม่ดุ"

เมื่อมาถึงวัดท่าขนุน (วันที่ ๒๖ มิถุนายน) เห็นหลวงพ่อกำลังวุ่น ๆ เกี่ยวกับงานรับยันต์เกราะเพชร เข้าไปรายงานตัว พร้อมส่งเอกสารที่ทางวัดฉลองออกรับรองมาให้ งานนี้รู้ตัวก่อนหน้าแล้วว่าหลวงพ่อท่านให้อยู่ที่ "กุฏิแดง" (พวก รัก-ยม ส่งข้อความมาบอก ก๊ากกกกก ๆ )

แต่ยังโชคดีที่มีเพื่อนร่วมห้องคือ ท่านเก้า และ ท่านบอย (ตอนนั้นทั้งสองคนยังไม่บวชจะเรียกว่า "นาค" ก็ได้) งานนี้ก็ไม่ทราบว่าใครจะเป็นที่พึ่งให้ใคร พระพึ่งโยมหรือโยมพึ่งพระกันแน่? เพราะเรื่องของกุฏิแดงนั้นได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างมานานแล้ว ว่า "ผีดุ"

ตอนหลวงพ่อท่านนำเดินขึ้นกุฏิ ท่านก็ก้มกราบลงกับพื้น พอถึงหน้าพระท่านก็กราบพระ เคยถามท่านว่า หลวงพ่อที่กุฏิแดงชั้นสองหลวงพ่อกราบอะไรครับ หลวงพ่อท่านก็ตอบว่า "ผมกราบไปตามเรื่องตามราว" เพื่อความไม่ประมาท เราทั้งสามท่านจึงพากันกราบแทบทุกครั้งไม่ว่าจะขึ้นหรือจะลง "ความนอบน้อมเป็นสมบัติของคนกลัวผี แต่จะทำให้ผีกลัวหรือไม่นั้น..ผมไม่รู้" เซ็งอารมณ์ตรงที่ห้องน้ำมันอยู่ชั้นล่างนอกตัวกุฏิออกไปอีก ตกกลางคืนเล่นต้อง "ทนและทน" สุดท้ายทนอั้นไม่ไหว โรคนิ่วจะรับประทานเสียก่อน งานนี้มันต้องวัดดวงว่าจะเจอ "ท่านผี" ประจำกุฏิแดงไหม หากจะเรียก "นาค" ทั้งสองท่านให้ไปเป็นเพื่อน มันก็เสียภาพพจน์พระใหม่ไฟแรงหมด

จะลุกจะนั่งภาวนากันเอาไว้ก่อน คำภาวนามีเท่าไหร่เอามาใช้หมดแถมพระเครื่องหลวงพ่อก็พกกันชนิดที่ว่า ห่างตัวไม่ได้ เดินขึ้นเดินลงที่ไรมันเสียวสันหลังวูบ ๆ แต่เหตุการณ์ก็ผ่านไปได้ด้วยดีจนได้ย้ายไปอยู่ "กุฏิเตชะไพบูลย์" ช่วงก่อนเข้าพรรษาเล็กน้อยนั้น พระใหม่ต่างคนก็ต่างยังกลัว ๆ อยู่ แถม "ทิดเอ" ผู้ชำนาญการเพราะบวชมาตั้งแต่สมัยก่อนมาเล่าเรื่องผีให้ฟังกันอีก

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : โยมเมื่อก่อนวัดท่าขนุนผีดุจริง ๆ หรือ โยมเคยเจอบ้างไหมตอนบวช

ทิดเอ : หลวงพี่..ยิ่งกว่าเจออีกครับ ขนาดผมนอนอ่านหนังสือในห้อง คิดว่าเณรที่ไหน มันไม่หลับไม่นอนเที่ยวเดินหน้ากุฏิสองคน แถมเดินคุยกันด้วย พอเลิกสนใจมัน อยู่ ๆ มันเข้ามาในกุฏิผมเลย ทั้ง ๆ ที่ประตูปิดอยู่ กลายเป็นผีผู้หญิงสองตน ผมต้องกระโดดถีบประตูกุฏิออกมา

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ ::3070242c:(หน้าซีดเล็กน้อย) แล้วแบบอื่น ๆ มีไหม

ทิดเอ : เจอกันบ่อยครับหลวงพี่สมัยนั้น ผมออกมานั่งนอกชานเพลิน ๆ พวกเล่นโผล่มา ตาจะหลุดซะข้างหนึ่ง พระสมัยนั้นก่อนเข้ากุฏิจะต้องท่องคาถาหว่านทรายทุกองค์ใครไม่ท่องมีโดน

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : แล้วตอนนั้นโยมพักกุฏิห้องไหนละ (จะได้ไม่แวะเวียนเดินผ่านไป)

ทิดเอ : ห้องที่หลวงพี่อยู่ตอนนี้นั้นแหละ

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :(หน้าที่ว่าซีด ตอนนี้มันยิ่งกว่าตอนนั้นอีก และแล้วความเงียบก็ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา ขนาดเสียงจิ้งจกร้องทักยังดังเข้าไปสู่ขั้วหัวใจเลย:3070242c:).........จริงหรือทิด? ขอตัว หลวงพี่ขอเข้าห้องก่อนนะ.... หลังจากนั้นไม่นานการเจรจาก็เริ่มขึ้น.....

" คุณผีทั้งหลายครับ หลวงพี่มาบวชหวังตั้งใจจะทดแทนคุณ "พ่อ-แม่" ก่อนบวชก็ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาเยอะ บุญก็ทำมาเยอะ ยินดีให้ทุกท่าน แต่ขอร้องอย่ามารบกวนกันหรือถ้าจะมาจริง ๆ ก็มาในฝันนะ มาแบบสวย ๆ ด้วยนะ หลวงพี่จะอุทิศบุญให้เต็มที่ บุญสร้างพระขรรค์โสฬสก็มีนะ บุญใหญ่ด้วยนะ ใครมารังแกหรือมาหยอก งานนี้อย่าหวังว่าหลวงพี่จะอุทิศบุญให้นะ ถ้าหลวงพี่เป็นอะไรไป รับรองจะตามล้างตามเช็ดให้ถึงที่สุด:baa60776::fea27916: ขอทุกท่านกรุณารับทราบและสงเคราะห์กันตามนี้นะ"............(บรรยากาศมันน่าขนลุกมาก)

หลวงตาชาติ อยู่อีกห้องหนึ่งข้าง ๆ ถึงกับตะโกนมาแถมหัวเราะว่า "เอาแบบนี้เลยหรือท่านรัตน์"

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w14.jpg

กาแฟ(ขาดไม่ได้)กับประคำทำด้วย "เมล็ดต้นมะค่าโมง" เก็บมาจากข้าง ๆ กุฏิหลวงพ่อ ในรูปนี้ตอนนั้นน้ำหนัก ๘๓ กิโลกรัม ตอนนี้เหลือ ๗๔ กิโลกรัม ตอนแรกไปปรับตัวเข้ากับอากาศไม่ค่อยได้เป็นภูมิแพ้ป่วยตลอด จนทนไม่ไหวตอนหลังทำวัตรเย็นเลยกราบเรียนหลวงพ่อว่า

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพ่อครับไม่ทราบกระผมเป็นอะไรป่วยตลอด ขอเมตตาหลวงพ่อเคาะหัวให้ทีขอรับ

แล้วหลวงพ่อก็จารยันต์ด้วยมือที่หัวพร้อม ๆ กับหัวเราะแล้วพูดว่า "สงสัยไข้หวัดหมู"

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w13.jpg

ฉันกาแฟอย่างเป็นระเบียบที่"กุฏิเตชะไพบูลย์"

ลูกเจ้าคุณนรฯ 30-10-2009 05:45

ก่อนอื่นต้องขอโมทนากับพี่รัตน์ก่อน

และต้องขอสารภาพว่ากระผมจะติดตามกระทู้นี้จนกว่าจะสิ้นเดือน

เพราะจะเอาใบแดงที่พี่ได้ไปตีหวยครับ

คาดว่าคงได้เรื่องแน่นอน...แดงเดือด

คิก ๆ ๆ

วาโยรัตนะ 30-10-2009 08:32

๓."ผีไม่ดุจริงหรือ? (กุฏิแดงภาคสอง)"

เมื่อเริ่มปรับตัวได้กับสภาพของพื้นที่,ทั้งอาหารการกิน,การหลับการนอน,มีบ้างที่ฝันถึงสาว ๆ (ผีหรือเทวดาหรืออะไรก็แล้วแต่ถ้ามาแบบนี้....ค่อยยังชั่วหน่อย) สงสัยมาทดสอบกามราคะ พวกเล่นมาแบบนุ่งน้อยห่มน้อย เจอกันแทบทุกท่าน บางท่านเจอติด ๆ กันหลายคืนจนทนไม่ไหว มาเล่าสู่กันฟังเพื่อหาวิธีป้องกัน.......

"ท่านเอาจีวรนอนคลุมแทนผ้าห่มเลย รับรองมันเข้ามาไม่ได้หรอก ธงชัยพระอรหันต์" เสียงคำแนะนำลอยมาตามลมและแล้วคนที่นำไปใช้ก็คือ "หลวงพี่โยธิน (ทิดโย)" เพราะปกติท่านกลัวผีแบบขึ้นสมองและแล้วก็ได้บทสรุปตอนเช้า ด้วยหน้าตาที่อิดโรย ขอบตาคล้ำ เดินบิณฑบาตแทบไม่ไหว จะต้องขอหลบไปนอนจำวัดกับ "หลวงพี่ดอย" (พระสันติภพ) คนเดียวหัวหายสองคนเพื่อนตาย

หลวงพี่โย :หลวงพี่ ขนาดผมนอนห่มจีวรแล้วกะว่าจะกันพวกนั้นได้ โธ่หลวงพี่..เมื่อคืนมันเล่นมาทีเดียวห้าตนเลย สวย ๆ ทั้งนั้น นางเอกหนังจีนแบบที่ผมชอบทั้งนั้น กระโดดหลบแทบไม่ทัน"

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ผมถามจริง ๆ นะ ท่านกระโดดหลบหรือกระโดดเข้าใส่กันแน่.....:msn_smilies-15:

ปกติทำวัตรเช้าตอน ๐๔.๐๐ น.เริ่มจากนั่งกรรมฐาน ๓๐ นาที แล้วเริ่มทำวัตรเช้า หลวงพ่อท่านจะนำสวดเสมอ พระ-เณร เองต้องตื่นก่อนเวลาเพื่อทำธุระส่วนตัว ใครขยันหน่อยก็ตื่นตั้งแต่ตีสอง หาที่สงบ ๆ ทำกรรมฐานหรือเดินจงกรมตามแต่สะดวกของแต่ละท่าน

ส่วนทำวัตรเย็นจะเริ่ม ๑๘.๑๕ น. เริ่มสวดมนต์ถวายหลวงปู่สายก่อน ถึงประมาณ ๑๘.๕๐ น. มีเวลาให้พระ-เณรทำธุระส่วนตัว ๑๐ นาที ก่อนเริ่มทำวัตรเย็นบนศาลา ๑๙.๐๐ น.หลังจากนั้นประมาณ เกือบ ๆ สองทุ่ม หากหลวงพ่อท่านมีเวลาก็จะสนทนาธรรม,ตอบถามปัญหาในเรื่องการปฏิบัติกับพระ-เณร หลังจากนั้นก็แยกย้ายกัน บ้างก็พักผ่อน บ้างก็หาที่สงบทำกรรมฐานกันต่อ เพราะ ๒๐.๐๐ น. จะเปิดเสียงตามสาย (ธรรมะ) ของหลวงพ่อฤๅษี เป็นตอน,ตอนละ ๓๐ นาที

พระ-เณรส่วนใหญ่ก็มักจะมีคู่หูในการปฏิบัติชนิดว่า ไปไหนไปกันเป็นคู่บ้าง ไปเดี่ยวบ้าง ผมเองก็มักจะไปทำกรรมฐานกับ "หลวงพี่ปราโมช" (หลวงพี่โมช) เสมอ ๆ

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :หลวงพี่เราไปทำกรรมฐานกันที่กุฏิแดงดีกว่าคืนนี้ แต่ผมขอแนะนำก่อนว่าต้องเคารพสถานที่มาก ๆ แบบสงบเสงี่ยมเจียมตัวสุด ๆ ไปเลยนะหลวงพี่

หลวงพี่โมช : แล้วแต่หลวงพี่นำ ผมตามอยู่แล้ว
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ภาพหลวงพี่ปราโมชกับเจ้าลูกเจี๊ยบทั้งเจ็ด

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w16.jpg

หลวงพี่ปราโมชกับเจ้าลูกเจี๊ยบที่หลวงพี่ท่านเฝ้าประคบดูแลตั้งแต่ยังเป็นไข่อยู่ในรัง ถือว่าเป็นโชคดีของเจ้าลูกเจี๊ยบพวกนี้ แต่สุดท้ายก็โดนสุนัขในวัดซึ่งจับมือใครดมไม่ได้(จับตีนหมาดมไม่ได้)ว่าเป็นเจ้าตัวไหน? กัดตายหมด ผมเองก็ได้แต่ปลอบใจท่านหลวงพี่โมชไปว่า

"หลวงพี่อย่างน้อยชาตินี้ก็เป็นชาติสุดท้ายที่พวกเขาเกิดเป็นเดรัจฉาน ตอนนี้เจ้าลูกเจี๊ยบทั้งหมดคงไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่าแล้วล่ะหลวงพี่ เพราะเขาจำภาพหลวงพี่ได้ จำภาพพระสงฆ์ที่คอยดูแลเอาใจใส่ค่อยเอาข้าวเปลือก เอาน้ำให้เขากินได้"

วาโยรัตนะ 30-10-2009 10:01

ในใจผมเองก็คิดว่ามีเพื่อนมาร่วมทำกรรมฐาน ไอ้ที่เรากลัว ๆ อยู่นั้นอย่างน้อยก็หารสอง....ถ้าเจอก็เจอทั้งคู่ เอาวะงานนี้ตายเป็นตาย ตบท้ายด้วย "หลวงพี่โมชเจออะไรอย่าวิ่งนะ เอาสงบ ๆ เข้าไว้" (ถ้าวิ่งก็รอผมด้วย)

หลังจากค่อย ๆ เดินขึ้นไปด้วยความเรียบร้อยเจียมตัว กราบตรงยกระดับ แล้วตรงไปหน้าโต๊ะหมู่บูชา ค่อย ๆ บรรจงเปิดไฟล์บรวงสรวงชุมนุมเทวดาของหลวงพ่อ ตามต่อด้วยสมาทานพระกรรมฐาน
บรรยากาศมันช่างชวนให้กลืนน้ำลายไม่ค่อยจะสะดวกเท่าไหร่
แล้วก็ค่อยหลับตาลงเข้าสู่สมาธิภาวนา....สัมปจิตฉามิ ๆ ๆ ๆ ๆ
พิจารณาความเป็นไปว่า เกิด,แก่,เจ็บ,ตาย เป็นธรรมดาแต่ที่ไม่ธรรมดาก็คือ อยู่ก็มีเสียงฝีเท้าคนเดินไปเดินมา บรรยากาศค่อย ๆ เย็นลง สักครู่อึดใจก็มีเสียงเหมือนอะไรกระโดดลงมาแล้วก็เดินผ่านไป....หลวงพี่ปราโมชจะเป็นอย่างไรอันนั้นผมไม่รู้ พระท่านบอกว่าห้ามไปสนใจจริยาของคนอื่น แต่ผมว่างานนี้ "เจอ" ของจริงเข้าแล้วก็เร่งภาวนา "เต็มสปีด" จนบรรยากาศค่อย ๆ สบายขึ้นมามีสุขในสมาธิจนถึงเวลาอันควรแล้วจึงค่อย ๆ กล่าวนำหลวงพี่ปราโมชให้ออกจากกรรมฐาน อุทิศส่วนกุศล จังหวะค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนสายตาก็กวาดมองไปรอบ ๆ ..............ไม่เจออะไร กราบพระแล้วก็ค่อย ๆ เดินแบบรีบ ๆ เก็บอาการออกมา พอถึงชั้นล่างหน้า "กุฏิประจวบดี" บรรยากาศการสนทนาก็เริ่มขึ้น

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพี่เมื่อกี้ได้ยินเสียงอะไรไหม บนกุฏิตอนเราทำสมาธิ มันเหมือนเสียงคนเดินไปเดินมา แล้วมีเหมือนอะไรตกลงมา (หน้าตาคงจะซีด ๆ ตามเคย)

หลวงพี่ปราโมช : ได้ยินสิหลวงพี่ สงสัยหลวงพี่แอ๋วคงขึ้นไปเดินจงกรมกระมัง เพราะท่านอธิษฐานไม่นอนตอนกลางคืนตลอดพรรษานี้

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ผมว่าถ้าเป็นหลวงพี่แอ๋วก็ดีสิ กลัวมันจะไม่ใช่น่ะสิหลวงพี่ หลวงพี่พอจะทราบเรื่องราวของกุฏิแดงบ้างไหมละ?

หลวงพี่ปราโมช :เปล่า ไม่ทราบเลยครับ

กรรมของกระผมนึกว่าทราบแล้ว เห็นว่าไม่กลัวเลยชวนกันไปเป็นเพื่อน คงจะเป็นที่พึ่งของกระผมได้ งานนี้สรุปใครพึ่งใครกันแน่ ระหว่างเดินขึ้นบันไดกุฏิประจวบดีมองไปเห็นหลวงพี่แอ๋วท่านสนทนาธรรมกับ "หลวงพี่ขวัญชัย" (ครูบาขวัญชัย) อยู่พอดีงานนี้เลยได้สอบถามไปว่า

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพี่ ๆ เมื่อกี้หลวงพี่ไปเดินจงกรมบนกุฏิแดงมาหรือเปล่าครับ

หลวงพี่แอ๋ว : เปล่านี่,ผมก็คุยกับท่านขวัญชัยอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว..ไม่ได้ขึ้นไปเดินจงกรมเลย

งานนี้ผมและหลวงพี่ปราโมชต่างก็มองหน้ากันชนิดที่เรียกว่า "สายตาเป็นสื่อของหัวใจ" ห้องใครห้องมันกุฏิใครกุฏิมันนะหลวงพี่ เอาไว้คราวหน้าถ้ามีโอกาสจะไปแก้มืออีกครั้งที่กุฏิแดง แต่รออีกนานหน่อยกว่ากำลังใจมันจะฟิตเท่าเดิม....โดนงานนี้โดนเต็ม ๆ

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w15.jpg

กวาดทางออกเดินบิณฑบาต บรรยากาศเหมือนวัดป่า ผมแอบมาเดินจงกรมช่วงสาย ๆ อยู่บ่อย แสงแดดที่ลอดผ่านต้นไม้มากระทบพื้นดินเกิดเป็นบรรยายที่สวยงามตางามใจ.......คิดถึงวัดจริง ๆ

วาโยรัตนะ 30-10-2009 14:22

๔."อยากจะสึก อยากได้อภิญญา จะเอาอะไรกันแน่"

หลังจากกระวนกระวายใจว่าเหลืออีกไม่กี่วันก็จะเข้าพรรษาแล้ว งานนี้โดนกรอบของเวลา ๓ เดือนจะอยู่ได้หรือ โธ่มันนานนะ มันเล่นงานจนอยากจะสึก พระใหม่ต่างคนก็ต่างเก็บอารมณ์เหล่านี้เอาไว้ พยายามหาอะไรฆ่าเวลาทำกัน คุยกันบ้างจนคุยกันมากเกินไปไม่เป็นอันปฏิบัติ จนกระทั่งตัวกระผมเองแทบจะเดินไปขอ "สึก" กับหลวงพ่อวันละร้อยครั้ง เหตุการณ์ก็ดำเนินไปแบบนี้เรื่อย ๆ จนเวลาผ่านไปใกล้เข้าพรรษาไปทุกขณะ หลวงพ่อท่านคงทราบเพราะท่านมักจะกล่าวว่า

"พระบวชใหม่ พระใหม่มันก็มักอยากจะสึกวันละร้อยครั้งนั่นแหละ เมื่อก่อนผมเองก็เป็นแบบนี้ เป็นเรื่องธรรมดาและธรรมชาติ"

มันก็ไม่ได้ทำให้กำลังใจของทุกท่านดีขึ้นเท่าไหร่ ต่างพยายามหาทางออกให้ตัวเองกันไป สุดท้ายหลวงพ่อก็สอนหลังจากทำวัตรเย็นว่า

"พวกคุณจำได้ไหมว่า วันแรกที่คุณบวชเข้ามากำลังใจของคุณมัน "ฮึกเหิม" ขนาดไหน?.... วันนี้ผมเห็นพวกคุณทำท่าจะตายกัน ผมขอบอกเลยว่า ไอ้ที่จะตายน่ะไม่ใช่พวกคุณหรอก "เจ้ากิเลส" ต่างหากมันกำลังจะตาย เพราะมันโดนกดด้วยศีล แล้วตีกรอบด้วยเวลาอีกตั้งสามเดือน มันเลยดิ้น ดิ้นทุกวิถีทางเพื่อจะให้มันรอด..............ในเมื่อมันจะตายแล้วพวกคุณไปสงสารมันทำไม สมาธิทำกันไว้ให้เยอะ ๆ จะได้มีแรงไปสู้กับเจ้ากิเลสมัน ถ้าฟุ้งมากก็หางานทำแล้วก็ภาวนาไปด้วยนั่นแหละเป็นการปฏิบัติทั้งนั้น ไอ้ประเภท เช้าเอน,เพลนอน,เที่ยงพักผ่อน,เย็นจำวัด,ดึก ๆ ตื่นขึ้นมาซัดม่าม่า เดี๋ยวก็ได้สึกกันหมด จำเอาไว้นะ เรามาเพื่อฝึกตน ญาติโยมเขารอบุญจากพวกเราอยู่ ไม่ว่าจะภพใดภูมิใดก็ตาม จำเอาไว้ บวชน้อยก็ให้เป็นเพชรที่มีค่ามีราคา ไม่ใช่แค่กำลังขี้หมาแบบนี้"

งานนี้นั่งเงียบคอตกกันเป็นแถว แต่ก็เชื่อในคำสอนของหลวงพ่อท่าน เอาวะตายเป็นตาย กิเลสตายไม่ใช่ตูจะตายปรับเปลี่ยนกำลังใจกันยกใหญ่,ฟิตกันซะเครื่องร้อนไปหมด......

ไอ้เรื่องที่กระผมมาบวช ก็หวังจะพิสูจน์กำลังของผ้าเหลืองว่า จะทำให้กำลังในการปฏิบัติสมาธิภาวนามันสูงขึ้นหรือไม่ เรื่องนี้เคยได้คุยกับ "ทิดตู่" อยู่บ่อย ๆ และแล้วมันก็เป็นจริง อยู่ ๆ มันก็มีนิมิตของกสิณไฟเข้ามา ประมาณว่าแค่จับเล่น ๆ แต่มันได้นิมิตในอุคหนิมิตมาจริง ๆคราวนี้ก็เที่ยวประกาศบอกสอนคนอื่นเขาไปทั่ว พอกลับมาทำเองคราวนี้มันเข้าอารมณ์นั้นไม่ได้ มารู้ความจริงจากหลวงพ่อว่า

"เรื่องของความเป็นทิพย์ที่ถ้าเรานำไปบอกคนอื่นทั้งหมด,ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้หรอก มันพูดได้เท่าที่ควรพูด ถ้าหากคุณบอกไปหมด อีกสามชาติคุณก็ไม่มีทางได้ฤทธิ์,ได้อภิญญาหรอก"
งานนี้เล่นเอาผมซึมไปเลย กำลังใจที่มันดีใจมันกลับเปลี่ยนเป็นอยากจะ "สึก" อีกครั้งงานนี้มันมากกว่าเดิมร้อยเท่าพันเท่า
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w17.jpg

จารพระขรรค์โสฬสทองเหลือง (หางานทำแก้ฟุ้งตามที่หลวงพ่อสั่ง) ของคณะแม่ชีชื่นที่นำเข้าพิธีโสฬส ให้บูชาที่วัดใครสนใจไปเช่าได้เลยครับ

วาโยรัตนะ 30-10-2009 14:38

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ นรินทร์ (โพสต์ 23933)
ความฮึกเหิมก่อนบวชของท่านพี่ทิดรัตน์ครับ :onion_eiei:

๒๒ วันก่อนอุปสมบท -> http://www.watthakhanun.com/webboard...read.php?t=525

ตอนนั้นมันคึก แต่พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วคึกไม่ออกนะ "ใครว่าบวชแล้วง่าย ๆ สบาย ๆ ขอเรียนเชิญครับ ที่วัดท่าขนุนแล้วคุณจะรู้ว่าชีวิตคุณมันเปลี่ยนไป :70bff581:"

วาโยรัตนะ 30-10-2009 15:03

๕."เมื่อฟ้าท่านเมตตา ภาค ๑"

หลังจากที่กระผมกำลังใจตกอย่างมาก เพราะเรื่องการรักษาอารมณ์และการยึดติดมากจนเกินไปว่าต้องได้แบบนั้นแบบนี้ ไม่ยอมปล่อยวาง อยู่ก็ได้รับความเมตตาเหมือนฟ้าประทานให้

หลวงพ่อ : ท่านรัตน์,ท่านปราโมช วันนี้ไม่ต้องบิณฑบาต ห่มดอง,พาดสังฆาฎิ ฉันเช้ากับผมที่โรงครัวตอนตีห้า แล้วเดินทางไปกับผมร่วม ๆ เจ็ดร้อยกว่ากิโลเมตร

คำสั่งแบบสายฟ้าแลบของหลวงพ่อผ่ากบาลของกระผมและหลวงพี่ปราโมชตอนจบทำวัตรเช้า เล่นเอาพระเพื่อนและกระผมงงกันไปตาม ๆ กัน สงสัยไปกรุงเทพฯ

ตอนฉันเช้าหลวงพ่อท่านเมตตาสอนอีกว่า

หลวงพ่อ : ผมสนิทแต่ไม่สนมกับพวกคุณ เพราะมันต้องมีเส้นวางเป็นกรอบเอาไว้ คุณจะเห็นว่าแม้แต่กับพวกโยมเองก็ตาม ผมจะวางตัวแบบนี้เสมอ ๆ ไม่อย่างนั้นจะเหลิงกัน
ไอ้ตรงทางเดินขึ้นมาจากสะพานแขวนตรงนั้นมันเป็น "ทางผีผ่าน" ทีแรกผมว่าจะสร้างกุฏีตรงนั้น แต่มาตัดสินใจว่าไม่สร้างดีกว่าไม่อยากจะเหนื่อยไปรบกับผี

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพ่อครับแล้วถ้าเราจำเป็นต้องสร้างบ้านตรงทางผีผ่านละครับ ต้องทำอย่างไรครับ

หลวงพ่อ : ก็ต้องเก่งพอ ๆ กัน มันถึงจะพอสู้กันได้.....
อิ่มแล้ว พระใหม่ฉันข้าวกับผมน่ะไม่ค่อยจะอิ่มกันหรอก เพราะผมอิ่มก่อนเสมอ เอาตีห้ายี่สิบออกเดิน เข้าให้น้ำห้องท่าให้เรียบร้อยแล้วไปขึ้นรถที่หน้ากุฏิผม

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ และ หลวงพี่ปราโมช : ครับหลวงพ่อ

หลังจากนั้นรถก็ออกเดินทาง จะไปไหนพวกกระผมก็ยังไม่รู้เพราะไม่กล้าถามหลวงพ่อท่าน ท่านให้ไปเราก็ไป ดีใจได้นั่งใกล้ ๆ ท่านแค่นี้ก็มีความสุขแล้ว....
ในรถก็ได้มีโอกาสสอบถามพระอาจารย์ชนิดแบบตัวต่อตัวเรื่องของนิมิตกสิน ท่านหัวเราะแล้วก็ตอบว่าให้ทำใหม่เดี๋ยวก็ได้ใหม่

หลังจากนั้นไม่นานกระผมและหลวงพี่ปราโมชก็ทราบว่า หลวงพ่อกำลังเดินทางไปวัดท่าซุงเพื่อไปกราบขอพรหลวงพ่อฤๅษี อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของท่านมาทุกปี จะก่อนหรือหลังวันเข้าพรรษาไปแล้วก็ตาม ถือว่าไปบอกกล่าวเรียนแจ้งครูบาอาจารย์ท่าน ตามแบบฉบับของหลวงพ่อเล็ก ไปถึงก็ตรงไปถวายสังฆทานชุดใหญ่ที่วิหารสมเด็จองค์ปฐม หลังจากนั้นก็เดินทางไปกราบพระศพหลวงพ่อฤๅษีที่วิหารร้อยเมตร พวกกระผมก็ได้อานิสงส์ในงานนี้ด้วย ถือเป็นตัวแทนพระใหม่ทั้งวัดมารายงานตัวต่อหลวงปู่หลวงพ่อ

พอเสร็จแวะฉันข้าวแล้วทำธุระเล็ก ๆ น้อย ๆ ของหลวงพ่อแล้วก็เดินทางกลับวัดท่าขนุนทันที

พอไปถึงพระเพื่อน ๆ รู้เข้าว่า กระผมและหลวงพี่ปราโมชไปวัดท่าซุงกับหลวงพ่อมา ก็พากันจิตตกกัน ต่างกล่าวว่าทำไมตัวเองไม่ได้ไปแบบนี้บ้าง ผมเองก็ได้แต่ปลอบใจว่า ท่านอย่าจิตตกไปเลย พวกผมเดินทางกันเหนื่อยนะ แล้วบุญที่ถวายสังฆทานหลวงพ่อก็ตั้งใจให้ทุกท่านเท่า ๆ กันขอท่าน ๆ จงโมทนาบุญนี้เทอญ

ถึงจะผ่านงานนั้นมา กำลังใจของผมก็ยังไม่ดีขึ้นเพราะยังไม่ยอมปล่อยวางแบบเดิม จนกระทั่งวันหนึ่ง กระผมโทรไปหา เพื่อนรุ่นน้องสอบถามถึงอีเมล์ตอบกลับของครูบาอาจารย์อีกท่านหนึ่ง ซึ่งผมได้ส่งอีเมล์ไปหาท่าน เพื่อเรียนแจ้งท่านให้ทราบว่า กระผมลาบวชและขอพรจากท่านเอาไว้ให้มีความเจริญในทาน,ศีล,ภาวนา ให้เพื่อนรุ่นน้องตรวจสอบว่ามีอีเมล์ตอบกลับจากท่านมาหรือไม่? เผื่อจะเป็นประโยชน์อะไรกับตัวผมบ้าง

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w18.jpg

วาโยรัตนะ 30-10-2009 15:49

๖."เมื่อฟ้าประทาน ภาค ๒"
ฟ้าประทานครั้งแรกคือหลวงพ่อท่านเมตตาสั่งสอนและให้ข้อคิด ตลอดจนท่านเมตตาพาไปวัดท่าซุง
ฟ้าประทานครั้งที่สองคือ กระผมได้รับอีเมล์ตอบกลับมาจาก ครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพยิ่งอีกท่านถึงท่านจะอยู่ไกลแสนไกล ถึงแม้กระผมและท่านจะไม่เคยพบกันทางกายเนื้อ แต่ท่านก็ให้ความอนุเคราะห์กระผมเสมอมาในทุกเรื่องของการปฏิบัติ ท่านตอบมาดังนี้ว่า...(ให้โยมเพื่อนอ่านให้ฟังทางโทรศัพท์ แล้วกระผมก็จดเอาไว้อ่านเตือนใจตัวเองเสมอ ๆ )

"ถูกต้องแล้วโยม การจะเป็นพระดี...มันยาก วันนี้อาตมาอยากให้โยมใช้โอกาสที่ตัดสินใจละทางโลกนี้ให้เกิดประโยชน์
ศึกษาพระธรรมวินัย อย่าได้หวังฤทธิ์เดช หรือสิ่งใด ๆ ในพระพุทธศาสนาเลย หากทำไม่ได้ก็ให้สงบนิ่ง นิ่งและนิ่ง
ไหน ๆโยมก็เลือกเส้นทางนี้แล้วอาตมาก็อนุโมทนาแต่อยากให้ทำจริงจัง ไม่ใช่เพราะอยากเพียงอย่างเดียวความอยากมักให้โทษเสมอ

ชาติหนึ่งเราจะมีโอกาสไม่กี่ครั้งหรอกโยมที่จะได้บวช บางคนครั้งเดียวในชีวิตด้วยซ้ำที่ทำตามพ่อแม่
อาตมาจะเป็นกำลังใจให้อีกแรง

ทำทุกวันให้สุข...สุข....สุข

เจริญพร"


อ่านแล้วกระผมแทบจะร้องไห้ ท่านรู้ว่าผมทำอะไรอยู่ ท่านให้กำลังใจและข้อคิดเสมอ ถึงเวลาแล้วกระมัง ถ้ากระผมเองจะยืนบนเส้นทาง
แห่งนี้ ต้องปรับกำลังใจใหม่อีกครั้ง จะมานั่งซึมแล้วอยากได้โน่นได้นี่ไม่ได้แล้ว ต้องลุยทำไปก่อน ถ้าทำ,ถ้าปฏิบัติโอกาสยังมี แต่ถ้ามานั่งแบบคนหมดอาลัยตายอยากแบบนี้มันได้เหมือนกัน คือ "แหกพรรษา" แน่นอน

เอาอีกฉบับหนึ่ง ถือว่ากระผมแถมให้ในฐานะที่เรา ๆ ท่าน ๆ เป็นนักปฏิบัติกัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง

"โยมรัตน์ อาตมาอยากให้โยมนิ่งให้มากกว่าที่เป็น ทุกอย่างไม่มีอะไรได้มาง่ายเหมือนปอกกล้วย เมื่อถึงเวลาอะไร ๆ จะเปิดทางให้โยมเอง หลายต่อหลายครั้งที่โยมก้าวเข้ามาเกือบถึงอาตมาแล้ว แต่ความอยากที่มากไปจนกลายเป็นกิเลสที่เป็นฉากกั้นอยู่ จงจำไว้ว่าจะหาอาตมาไม่ยากหรอก ละความอยากในใจออกให้หมด เมื่อเวลาและกุศลผลบุญอำนวยโยมทั้งสองจะได้พบอาตมาเองอย่าคิดมา "ทางลัด" เพราะมันจะมาไม่ถึงจริงและสิ่งที่เห็นมันจะเป็นแค่ภาพในใจที่โยมปรุงขึ้น

วันหนึ่ง ๔ ชีวิตจะได้พบซึ่งกันและกัน เมื่อทุกอย่างพร้อม

เจริญพร"

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w19.jpg

จากจุดชมวิว "เนินสวรรค์" เส้นทางไปคลิตี้

สณ.นิรนาม 30-10-2009 21:29

ดุ ๆ กันทั้งนั้นเลย แจกอย่างกับแจกทอง ทั้งแดงเหลืองปลิวว่อนไปหมด
สู้ ๆ ครับโยมรัตน์ ผมจะได้ช่วยแจก ฮ่า ๆ

วาโยรัตนะ 31-10-2009 08:29

๗."ความขยันกับขี้เกียจมันอยู่ใกล้กันนิดเดียว"

คืนหนึ่งก่อนทำวัตรเย็น มีกระดาษที่ข่าวใบเล็กพร้อมกับข้อความ
วางอยู่บนอาสนของหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านหยิบอ่านดู จึงประกาศบอกว่าเป็นบัตรสนเท่ห์เขียนไปสอบถามหลวงพ่อดังนี้ว่า

"๑.มีบางท่านบอกว่าเขาบวชมาไม่ใช่เพื่อมาขนอิฐ,ขนทราย แบบนี้มันถูกหรือไม่ขอรับ?"

"๒.การที่เราเห็นเพื่อนพระทำงานกลางฝน แล้วทนดูอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ต้องลงไปร่วมช่วยกันนั้นอยู่ในข้อธรรมแห่ง "พรหมวิหาร๔" หรือไม่ขอรับ?"

อันนี้ผมเองก็เกิดความเสียวไส้ในใจขึ้นทันที เพราะปกติคนที่มักจะตั้งคำถามเรียนสอบถามหลวงพ่อมากที่สุด ตอนหลังทำวัตรเย็นก็คือกระผมเอง ชนิดที่เรียกว่าถามจนพระเพื่อนให้ความไว้วางใจ ใครจะสอบถามปัญหาธรรมกับหลวงพ่อแล้วไม่กล้าถามก็มักจะมาขอความช่วยเหลือให้กระผมถามแทนให้เสมอ (มันน่าจะคิดรายการละ ๒๐ บาทต่อหนึ่งคำถามนะ) กลายเป็น "บุคคลสาธารณะ" (ไม่รู้ว่าท่านเหล่านั้นจะเห็นว่ากระผมเสือกทุกเรื่องหรือไม่ขอรับ:onion_no:) ที่เสียวไส้นั้น เพราะกลัวว่าท่าน ๆ เหล่านั้นจะหาว่าผมเขียนบัตรสนเท่ห์ไปฟ้องหลวงพ่อซิครับ (เดี๋ยวงานเข้าอีก)

มีครั้งหนึ่ง "หลวงพี่ปู" ท่านให้ถามเกี่ยวกับฆาตกรที่ชื่อ "ไอ้ไหล" เพราะเห็นว่าเจ้าฆาตกรคนนี้มันหนีตำรวจได้ทุก ๆ ครั้ง ทั้ง ๆ ที่ตำรวจก็ล้อมจับอยู่เห็น ๆ หลวงพี่ปูท่านสงสัยว่ามันมีวิชาดีอะไรหรือมันทำกำลังใจอย่างไร ทั้ง ๆ ที่มันเอาวิชาเหล่านั้นไปใช้ในทางที่ประทุษร้ายบุคคลอื่น เลยมาฝากกระผมถามหลวงพ่อให้

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพ่อครับ หลวงพ่อรู้เรื่องฆาตกรที่ชื่อ "ไอ้ไหล" หรือไม่ขอรับ ทำไมเขาถึงใช้วิชาหนีตำรวจได้ทุกครั้งครับ

หลวงพ่อ : ไม่เห็นมีอะไรเลยก็เขามั่นใจในคาถา กำลังใจเขาเต็ม เมื่อกำลังใจเต็มมันก็เกิดผล...ไม่เห็นมีอะไรเลย......

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : แล้วอย่างพวกกระผม "พระใหม่" ควรภาวนาคาถาอะไรดีครับหลวงพ่อ

หลวงพ่อ : ภาวนาคาถา "สัมปจิตฉามิ" ให้ทรงตัว แล้วให้เพื่อนพระเอาขวานจามหัวดูว่าเข้าหรือไม่เข้า

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ ::154218d4::d33561e9::a47173957fi0::l438412717dh8::17f0f3b0::baa60776::msn_smilies-02::onion_beg::d1eef220::cebollita_onion-21:

พระเพื่อน ๆ ทุกองค์ : เดี๋ยวผมจามให้ :55318906::55318906::b048a2d2:

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ ::onion_emoticons-23::8dcf9699::215ad82f::onion_sadd: (แน่จริง ! เจอกันหลังกุฏิประจวบดี)

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w21.jpg

ทำไมมันหนักอย่างนี้ ๑๒๐ กิโลกรัม!!!!....เฮ้ย ๆ ข้างบนทำไมยืนยิ้มอย่างเดียวล่ะ โอ้ย!!!ปวดหลังสงสัยแก่แล้ว (บุญใดที่ลูกได้ทำดีแล้ว ขอตะกรุดเมเพิ่มอีกดอกขอรับ หลวงพ่อ)

วาโยรัตนะ 31-10-2009 08:48

ย้อนกลับที่คำถามในบัตรสนเท่ห์ หลวงพ่อท่านเมตตาตอบว่า....

"๑.มีบางท่านบอกว่าเขาบวชมาไม่ใช่เพื่อมาขนอิฐ,ขนทราย แบบนี้มันถูกหรือไม่ขอรับ?"

หลวงพ่อท่าน : "ถูก" แต่ถูกของมันคนเดียวนะ อยากจะรู้ว่าวัน ๆ หนึ่ง มันจะทำสมาธิเข้ากรรมฐานได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงหรือไม่......... งานของพระมีทั้งเรื่องของการฝึกจิตและการฝึกกาย การทำงานก็ทำให้เป็นกรรมฐานได้ เอาจิตจดจ่อกับงานมันเข้าไปสิ งานในวัดพระก็ช่วยกันต้องทำสิ

"๒.การที่เราเห็นเพื่อนพระทำงานกลางฝน แล้วทนไม่ได้ ต้องลงไปร่วมช่วยกันนั้นอยู่ในข้อธรรมแห่ง "พรหมวิหาร๔" หรือไม่ขอรับ?"

หลวงพ่อ : แสดงว่าคุณมีจิตที่ฝึกมาดี ที่พิจารณาได้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ได้กุศลทั้งนั้นแหละงานในวัดถ้าเราตั้งใจทำ อานิสงส์มันคูณแสน,คูณล้าน

งานนี้ได้ข้อธรรมกันไปถ้วนหน้ากัน ต้องโมทนากับ "ผู้เขียนบัตรสนเท่ห์" ฉบับนี้ เพราะกระตุ้นหลาย ๆ ท่านให้รู้และเข้าใจว่า "ทำงานแล้วได้อะไร โดยเฉพาะงานในหน้าที่ของพระ" สะใจพระวัยรุ่นแย้มฝาโลง

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w22.jpg

ถ่ายภาพหมู่หลังงานเสร็จ "สรุปแล้วพ่อนาคทั้งสองคงจะไม่เปลี่ยนใจนะ"

วาโยรัตนะ 01-11-2009 08:47

๘."กุฎิแดงภาคสอง..หลวงพี่...น่ากลัวกว่าผี"

หลังจากวนเวียนหาสถานที่สิงสถิต (ขอใช้สำนวนให้มันดูชวนน่าสนุก) ในการนั่งสมาธิ ก็พบมีหลาย ๆ สถานที่ภายในวัดที่ส่งเสริมในเรื่องของทำสมาธิเป็นอย่างยิ่ง เช่น กุฏิเจ้าที่,วิหารสมเด็จองค์ปฐม,กุฏิหลวงปู่สาย,บนศาลาหน้าองค์,บนพระเจดีย์ที่ยอดเขา (เดิน ขึ้น-ลง สักสามรอบแล้วคุณจะรู้ว่า ข้อเข่าของคุณนั้นยังแข็งแรงอยู่หรือไม่) และสถานที่วัดใจแบบสุด ๆ ได้แก่ "ป่าไผ่ในป่าช้า"

พวกกระผมเคยออกเดินสำรวจช่วงประมาณสองทุ่มมาแล้ว ตอนแรกมีอาสาสมัครอยู่หลายรูป พอไปเข้าจริง ๆ เหลือแค่ ๖ รูป นำทีมโดย "ท่านพระครูน้อย" แรกก็เดินกันห่าง ๆ พอเข้าไปในป่าช้าลึก ๆ บรรยากาศของต้นไม้ก็ดี ความมืดก็ดีมันทำให้สามัคคีกลมเกลียวกันโดยอัตโนมัติ ชนิดที่เรียกว่า "คุณก้าว,ผมก็ก้าว,คุณหยุดผมก็หยุด,หากคุณจะวิ่ง,กรุณาตะโกนบอกและรอผมด้วยนะ" หมั่นเช็คยอดคนอยู่เสมอว่า มา ๖ ท่านมันจะกลายเป็น ๗ หรือไม่ ? หลังจากผ่านป่าช้ามาได้ อะไร ๆ ก็ดูง่ายไปหมด ก็เหลือแค่กุฏิแดงที่ต้องไปแก้มืออีกครั้ง.......

และแล้ว "นัดล้างตา" ก็เกิดขึ้น คราวนี้มีผู้ร่วมอุดมการณ์เพิ่มอีกสามรูป ได้แก่ หลวงพี่ปู,หลวงพี่ต้อม,หลวงพี่ขวัญชัย,กระผมและหลวงพี่ปราโมช กลายเป็นห้าเกลอหัวแข็ง ผีก็ผีเถอะ คราวนี้มากันเป็นหมู่คณะ แต่เพื่อความไม่ประมาทกระผมเองก็บอกเตือนทุกท่านอีกครั้งว่า "กรุณาแสดงความเคารพต่อสถานที่ด้วยนะครับและเจออะไรแล้วกรุณาอย่าวิ่ง ให้ผมดูดี ๆ ก่อนหากกระผมวิ่งก็ตามสุดฝีเท้าได้เลย"

ว่าแล้วก็ค่อย ๆ เดินเกาะกลุ่มกันขึ้นไป ผมเองเรื่องการเก็บอาการนั้นรับรองไม่มีใครสู้ได้ "ทำเป็นนิ่ง" แต่ในใจมันเต้นอย่างกับว่าเสียงหัวใจมันมาเต้นอยู่ที่ต้นคอ

หลังจากกราบพระ,กราบสถานที่แล้วเปิดพัดลมและไฟไว้หนึ่งดวงผมเองก็หาข้ออ้างต่อพระเพื่อนไปว่า "ให้อากาศมันถ่ายเทและเปิดไฟสักดวงสร้างบรรยากาศ:154218d4:" หลังจะเปิดไฟล์เสียงบวงสรวงชุมนุมเทวดาของ "หลวงพ่อฤๅษี" จากโทรศัพท์มือถือเอาฤกษ์เอาชัยแล้ว หลังจากนั้นก็ร่วมกันบูชาพระรัตนตรัย,สมาทานพระกรรมฐาน แล้วกระผมก็นำพระเพื่อนทุกรูป "ตัดร่างกาย,ไล่นิวรณ์" ว่ายังมีข้อใดคั่งค้างอยู่ในใจหรือไม่ เมื่อทุกท่านสงบดีแล้วก็นำไปกราบพระที่พระนิพพาน อารมณ์กำลังสงบได้กำลังได้ความรู้สึก อยู่ ๆ !!!!:3070242c: ไฟที่เปิดเอาไว้ก็ดับลง! กระผมเองพยายามใช้หูให้เป็นประโยชน์มากที่สุดฟังว่ามีใครวิ่งก่อนผมหรือไม่พร้อมกับเร่งคำภาวนาเต็มที่ สัมปจิตฉามิ ๆ ๆ ๆ เท่าที่สังเกตทุกท่านยังนั่งกันเป็นปกติ (งานนี้ตูโดนอีกแล้วใช่หรือไม่....) ใจดีสู้เสือพูดออกไปเตือนสติทุกท่านว่า "เอาใจอยู่ที่คำภาวนา เอาจิตจดจ่ออยู่ลมหายใจ" (ปลอบใจพระเพื่อน ๆ และตัวเอง) หลังจากนั้นไม่นาน "พัดลม" ที่เปิดอยู่ อยู่ ๆ มันก็ปิดเองโดยอัตโนมัติ!!!:onion_emoticons-17:

เหมือนเดิมตามสเต็ปของผมคือพยายามใช้หูให้เป็นประโยชน์มากที่สุดฟังว่ามีใครวิ่งก่อนผมหรือไม่ พร้อมกับเร่งคำภาวนาเต็มที่ สัมปจิตฉามิ ๆ ๆ ๆ เท่าที่สังเกตทุกท่านยังนั่งกันเป็นปกติ ใจดีสู้เสือ พูดออกไปเตือนสติทุกท่านว่า "เอาใจอยู่ที่คำภาวนา เอาจิตจดจ่ออยู่ลมหายใจ เรามาทำกรรมฐาน เรามาทำความดีและความดีนี้เราขอให้ทุกท่านในที่นี้ร่วมโมทนา เรา....." ไม่ทันขาดคำ ไฟที่ปิดอยู่ (มืดสนิท) ก็ติดขึ้นเองอีกครั้ง ทุกท่านเริ่มหวั่นไหวแล้ว ผมเองก็ทนไม่ไหวแล้ว จึงค่อย ๆ กลั้นใจลืมตาดู (หากเจออะไร คราวนี้กะว่าจะส่งสัญญาให้ทุกท่านวิ่งแล้ว) หลวงพี่ขวัญชัยเองก็เช่นกัน

สิ่งที่เห็นประจักษ์เต็มสองตา ก็คือหลวงพี่ปูกำลังเดินจะเอาปลั๊กพัดลมไปเสียบ!!!

หลังจากนั้นทุกท่านก็ออกจากสมาธิตามเวลาไล่เลี่ยกันและแล้วการสนทนาก็เกิดขึ้น

หลวงพี่ขวัญชัย : หลวงพี่ปู...ทำเอาไรน่ะ คนอื่นเขาตกใจกันหมด มันไม่ดีนะแบบนี้ กลัวมาก ๆ เดี๋ยวมันจะบ้าสติแตกกันไป หลวงพี่ใช่ไหมที่ปิดไฟ,แล้วปิดพัดลม ?

หลวงพี่ปู:ผมไม่ได้ปิดพัดลม..ผมถอดปลั๊กพัดลม ที่ปิดไฟก็เพื่อสร้างบรรยากาศ..ผมอยากฟังหลวงพี่รัตน์นำนั่งมโนฯ แบบชัด ๆ

หลวงพี่ต้อมหันมายิ้มแบบสีหน้าถอดสีพร้อมพูดว่า "ถ้าหลวงพี่ปูเอามือมาจับตัวผมตอนที่ไฟมันดับอยู่ผมคงสติแตกแน่ ๆ"

หลวงพี่โมช : มันอันตรายนะ "หลวงพี่ปู" แบบนี้คนที่เขาจิตไม่แข็งพอจะสติแตกได้

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ผมนึกว่างานนี้เจอของจริงเข้าแล้ว ลองหลวงพี่ปูเอามือมาจับตัวผม ผมก็วิ่งเหมือนกัน แต่ระหว่างเป็นลมก่อนกับวิ่งก่อนนั้นผมก็ไม่รู้ว่าอันไหนจะเกิดก่อนกัน

หลวงพี่ขวัญ : เราออกไปก่อนดีกว่าวันนี้ โอ้โห......มันน่านะ (ท่านหัวเสียไปเลย)

หลวงพี่ปูก็ยิ้มแบบแห้ง ๆ ไปตามระเบียบและแล้วข่าวการผจญภัยบนกุฏิแดงก็แพร่สะพัดออกไปยังเพื่อนพระท่านอื่น ๆ ต่างก็หัวเราะกันท้องแข็ง.....
---------------------------------------------------------

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w24.jpg

หลวงพี่ขวัญชัยกับภาระกิจที่ได้รับมอบหมายจากหลวงพ่อ "งานดูแลรองเท้าของพระผู้ใหญ่" ที่มา "งานบุญครบรอบวันมรณภาพ ปีที่ ๑๗ พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงปู่สาย อคฺควํโส) วันจันทร์ที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๒"

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w23.jpg

หลวงพี่ปูประจำตรง "โต๊ะรับลงทะเบียนพระ-เณรจากตำบลต่าง ๆ" ที่มา "งานบุญครบรอบวันมรณภาพ ปีที่ ๑๗ พระครูสุวรรณเสลาภรณ์ (หลวงปู่สาย อคฺควํโส) วันจันทร์ที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๒"

วาโยรัตนะ 02-11-2009 19:03

๙."บันไดปราบเซียน"

เส้นทางการบิณฑบาตสงเคราะห์ญาติโยมของวัดท่าขนุนช่วงเข้าพรรษาจะมีอยู่สี่เส้นทาง คือ ตลาดทองผาภูมิ,ปอมเป,วังใหญ่,บ้านบน ตอนแรกหลวงพ่อท่านประกาศรับอาสาสมัครบิณฑบาตสายปอมเป ก็มีกระผม,พระครูน้อยเป็นหัวหน้าชุด,อาจารย์พงษ์,หลวงพี่ดอย ,หลวงพี่คมสันต์,หลวงพี่อ้น หลวงพี่คมสันต์ท่านมาล้มป่วยเป็นมาเลเรียช่วงงานหลวงพ่อจังหวัดจึงเปลี่ยนเป็น "ขาจร" มาแทน คือใครสนใจหรืออยากเปลี่ยนจะบรรยากาศก็เชิญมาได้เลยยินดีต้อนรับทุกท่าน กระผมเองวันแรกเต็มกำลังใจเต็มที่ แต่กำลังตีน (ฝีเท้า) มันสู้ไม่ไหวบิณฑบาตหรือว่า "แข่งเดินเร็วกันแน่"

พระครูน้อย : หลวงพี่ผมขออภัยด้วยนะ เราต้องกลับไปถึงโรงครัวก่อนสายตลาด

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ครับ ๆ หลวงพี่ (โอ้โห...สุดยอด..ลิ้นห้อย:onion_emoticons-24:)

ช่วงนั้นกำลังใจยังไม่ทรงตัวด้วย อย่างที่บอกว่า "มันอยากจะสึกสักวันละร้อยครั้ง" ช่วงบิณฑบาต "สายปอมเป" ภาวนาอะไรไม่ได้เลย เพราะกังวลเรื่องการเดิน กลัวไม่ทันเพื่อนด้วย เป็นอย่างนั้นอยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ เห็นท่าไม่ดีถ้าเป็นแบบนี้เราขาดทุนยับแน่ ๆ ภาวนาก็ไม่ได้ขณะที่เดินแล้วจะเอาอะไรไปสงเคราะห์ญาติโยมเขา....จึงได้กราบเรียนสอบถามหลวงพ่อหลังทำวัตรเย็น

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพ่อครับผมบิณฑบาต"สายปอมเป" ผมเดินไม่ทันแล้วจับลมหายใจภาวนาก็ไม่ได้ด้วยครับ

หลวงพ่อท่านตอบด้วยประโยคสั้น ๆ แต่มีความหมายกินใจเหลือเกินว่า "ฝีมือยังไม่ถึง" บาดลึกไปถึงทรวงและแล้วกระผมก็ของเมตตาพระครูน้อยเปลี่ยนสายบิณฑบาตเป็นสายตลาดแทน เพราะคิดดีแล้วว่า เราเดินได้,จับคำภาวนา,จับลมหายใจได้ สงเคราะห์ญาติโยมได้เต็มที่และมันจะได้ไม่ขาดทุนในส่วนของเรามากนัก เรื่องนี้หลวงพ่อท่านเคยสอนเสมอว่า เวลาเดินบิณฑบาตให้ภาวนาหรือจับภาพพระไปด้วย ญาติโยมที่เขาใส่บาตรจะได้อานิสงส์เต็มที่

พระหนุ่มก็มีบ้างที่สายตามันจะสอดส่องหาอะไรสวย ๆ งาม ๆ หลายต่อหลายครั้งที่หลวงพ่อหันมามองพระเพื่อน (อันนี้ขอยืนยัน,นอนยัน,ตะแคงข้างยันว่า "ไม่ใช่ผม":onion078:) ชนิดที่ว่า บรรยากาศใส ๆ กับภาพสาวสวย ๆ กลายเป็น "อสุภกรรมฐาน" ทันที:17f0f3b0:

มาถึงช่วงที่ชาวบ้านเรียกว่า "วังลังกา" มีบ้านคุณป้าท่านหนึ่งท่านใส่บาตรเสมอ ๆ ทุกวัน แต่ตรงผนังหน้าบ้านนะสิ..ที่มีปัญหา ผมว่าไม่น่าจะใช่ป้าท่านติดเอง ลูกชายของป้ามากกว่าที่ติดรูป......ไว้หน้าบ้านแผ่นเบ้อเร่อ "งานเข้า" เล่นเอาพระหนุ่มวุ่นวายใจกันยกใหญ่...

ยุบหนอ..พองหนอ...ยุบหนอ..พองหนอ... เฮ้ย ๆ เอาบาตรกด "มัน" เอาไว้สิท่าน หรือไม่ก็ "หักคอไอ้เท่ง" :54bd3bbb::msn_smilies-15::70bff581:( "มัน" คือ โปเตโต้)

ปกติเวลาเดินบิณฑบาตพอรู้ว่าเป็นสาว ๆ ใส่บาตร ก็ก้มหน้าก้มตากันตามระเบียบ แต่มองไปเห็นง่ามเท้า "ขนาดง่ามเท้ายังสวยเลย" (ขออภัยที่ใช้คำไม่สุภาพ จริง ๆ แล้วอยากใช่คำว่า "ง่ามตีน" แต่มันไม่เหมาะสมกับหน้าตาอย่างกระผมจึงใช้คำว่า "ง่ามเท้า" ดีกว่า) พ่อเจ้าประคุณ! อะไรมันจะขนาดนั้น วันนั้นผมเห็น "ง่ามเท้า" ของน้องหญิงคนหนึ่งบังเอิญเธอเหยียบขี้ไก่ด้วยสิ งานนี้มันไม่สวย....อย่างที่คิด เลยได้ "อสุภะง่ามเท้า" มาพิจารณาเป็นกรรมฐานแทน

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w25.jpg

บิณฑบาตสาย "บ้านบน" ร่วมกับคณะหลวงตากวี,หลวงตาอ๊อด,หลวงตาอภิชาติ ชาวบ้านร้านตลาดแถบนี้มีเชื้อสาย "มอญ-พม่า" เยอะมาก แต่ "ศรัทธา" ที่เขามอบให้พระพุทธศาสนาช่างน่ายกย่องยิ่งนักหลายต่อหลายครั้งที่กระผมเห็นภาพคนเฒ่าคนแก่ ค่อย ๆ บรรจงนั่งพับเพียบลงกับพื้นดินแล้วกราบลงแทบเท้า ถึงแม้บางบ้านจะดูจากสภาพบ้านแล้ว นั่นมันบ้านหรือเพิงพัก เขายังให้ความอนุเคราะห์,สงเคราะห์ชนิดที่เรียกว่า "คนเมืองต้องอาย"

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w26.jpg

ชินเชาวน์ 02-11-2009 23:12

พูดถึงเรื่องการบิณฑบาต สมัยบวชอยู่ถ้ำทะลุ และต้องไปบิณฑบาตกับหลวงพี่หน่อย ระยะทางไปกลับประมาณ ๖ กิโลเมตร เรื่องก็มีอยู่ว่า...

ณ สำนักสงฆ์แห่งหนึ่ง มีพระใหม่เดินถือบาตรขึ้นเนินเขาแล้วเหนื่อย พลางบ่นกับพระผู้อาวุโสกว่าว่า
พระใหม่ : หลวงพี่ครับ ทำไมหลวงพี่ไม่เหนื่อยละครับ ?
พระอาวุโส : อาจารย์บอกว่า ถ้าเราเอาจิตเกาะกาย มันจะเหนื่อย
พระใหม่ : :a47173954nr0:
พอถึงช่วงลงเนินเขา
พระใหม่ : หลวงพี่ครับ หลวงพี่อย่าเดินเร็วนักสิครับ ผมตามไม่ทัน
พระอาวุโส : ผมเดินไม่เร็วหรอก แต่อาจารย์บอกว่า การเดินนั้น ก้าวแรกกับก้าวสุดท้ายนั้นต้องก้าวยาวเท่ากัน
พระใหม่ : :d1eef220:

พอกลับถึงวัด พระใหม่เห็นพระผู้อาวุโสกว่า เดินทางมาถึงวัดก่อนตั้งนานแล้ว และยังเดินมาช่วยรับบาตรจากพระใหม่ ในช่วงที่ต้องเิดินขึ้นวัดที่ตั้งอยู่บนเนินเขา พร้อมกับถามว่า
พระอาวุโส : เป็นอย่างไร เหนื่อยมากไหม ?
พระใหม่ : ที่สุดของแจ้แล้วครับ หลวงพี่...:5c745924:
พระอาวุโส : มีอยู่วิธีหนึ่ง ถ้าคุณไม่อยากไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน...:4672615:
พระใหม่ : ทำอย่างไรหรือครับ ? :154218d4:
พระอาวุโส : ถ้าคุณขอข้าวเทวดากินได้ ก็ไม่ต้องไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน หลวงพี่อนุญาต :70bff581:
พระใหม่ : :4519626a:

วาโยรัตนะ 04-11-2009 12:10

๑๐."หลวงพี่บาตร-เณรลูกนิมิต"

เณรที่กินจุที่สุดในวัดท่าขนุน ต้องยกนิ้วหัวแม่โป้งทั้งซ้ายและขวาให้กับ "เณรหมี" หากท่านใดไม่เชื่อ ลองเอาทุเรียนหมอนทองทั้งลูกไปถวายดูรับรอง "เณรหมี" ฉันหมดทั้งลูก จะเหลือก็แต่เม็ดทุเรียนกับเปลือกทุเรียนเท่านั้น....อีกเรื่อง,หลวงพ่อเรียกเณรหมีว่า "เณรหมีมือระฆัง" :onion_yom:ไม่ว่าจะใช่เวรตีระฆังของเณรหมีหรือไม่ก็ตาม เณรหมีก็มักจะขึ้นไปให้กำลังใจพระแทบทุกครั้ง ท่านไหนหมดแรงในการตีกลองย่ำรุ่ง-ย่ำค่ำขอให้บอก "มา...หลวงพี่เดี๋ยวผมตีเอง" เท่านั้นเป็นอันเรียบร้อย จะติดปลายนวมสัก ๒๐ บาทเณรหมีก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะรับ.....:onion_emoticons-01:(รับรองไม่กล้าแอบไปเล่นเกมส์แน่นอน....ไม่อย่างนั้นเจอไม้เรียวหลวงพ่อแน่ ๆ)

ไม้ตีหรือจะเรียกว่าไม้กระทุ้งระฆังทำจากไม้แดงรูปร่างคล้าย ๆ "สากตำข้าว" ดีนะที่บนหอระฆังไม่มีกระด้งสักลูกสองลูก วันดีคืนดีเณรหมีแปลงร่างเป็น.......ขึ้นมาแล้วจะยุ่ง เณรก็ซนตามประสาเด็ก

ไม้ตีระฆังถ้าจะถามว่าหนักหรือไม่ ครึ่งนาทีแรกมันไม่หนักเท่าไหร่ แต่จังหวะรัวระฆังนาน ๑ นาทีก็เล่นเอาหน้าซีดเผือดกันไปหลายท่าน
ด้วยรูปร่างอันสันทัดของ "เณรหมี" จึงเป็นที่รักใคร่ของหลวงพี่ทั้งหลาย หน้าที่ประจำคือคอยไปตักน้ำแข็งและหาน้ำหาท่าให้พระฉันตอนทำงาน แต่อาจจะหายไปนานหน่อย เพราะบางครั้งแวะไปเล่นกับสุนัขในวัดอยู่นานสองนาน จนต้องส่ง "หน่วยทะลวงฟัน" ไปตาม ถ้าไม่ใช่ "เณรเจ" ก็จะเป็น "เจ้าโด่ง" เด็กวัด แต่ถ้าส่งเจ้าโด่งไปตามเณรหมี คราวนี้ก็จะหายเงียบไปทั้งคู่เป็นประจำ สุนัขบางตัวแค่ได้ยินเสียงเณรหมีก็วิ่งหนีแทบไม่คิดชีวิตแล้ว

เณรหมี : หลวงพี่รัตน์ หลวงพี่พกบาตรมาด้วยหรือ?

แรก ๆ กระผมก็งง ทำงานขนทรายอยู่ตูจะเอามาได้อย่างไรละเณร
มารู้ว่าเณรหมีหาว่าผมอ้วน "พุงของผมเท่าบาตร" มันน่าจะโดน..

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ถ้าของหลวงพี่เท่าบาตรของเณรหมีก็ใช่ย่อยนะอย่างกับ "ลูกนิมิต" จะเอาไปถวายวัดไหนหรือพ่อคุณเล่นเอาเณรเงียบไปเลย

แต่ในเรื่องของการกินแล้วนั้น หากได้มีโอกาสสังเกตมองช่วงที่เณรหมีฉันข้าว เราจะเห็นว่านั่นคือช่วงที่มีความสุขที่สุดในโลกของเณร.......หลายต่อหลายครั้งที่ทุกสายตาจับจ้องมองแต่เณรหมีเพราะทุกท่านอิ่มแล้ว แต่ "เณรหมียังไม่อิ่ม" จะขึ้น "ยะถา-สัพพี" ก็ยังไม่ได้......หลวงพี่บางท่านทนไม่ไหวตะโกนถาม "เณรหมีอิ่มหรือยัง" เล่นเอาเณรหมีตกใจทุเรียนเม็ดงาม ๆ แทบหล่นจากปากมันช่างขัดลาภปากเณรหมีจริง ๆ

เรื่องของการสวดมนต์ เณรหมีได้ฉายาอีกอย่างจากผมว่า "เณรหมีแปดหลอด" พลังเสียงแบบดับเบิ้ลเซอร์ราวด์:conion-05:เล่นเอาพระหนุ่ม ๆ อายเณรไปเหมือนกัน.......

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w27.jpg

เณรหมีทำงาน (แถมขอ "เล่น" ไปด้วยนะหลวงพี่)

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w28.jpg

หลวงพี่ขอ "หมี" ดังสักคน

เถรี 04-11-2009 12:58

หลวงพ่อเล็กเล่าให้ฟังว่า ตอนไปบิณฑบาตชาวบ้านเขาสงสัยว่าทำไมเณรหมีจึงได้อ้วนกว่าตอนก่อนบวช ชาวบ้านก็คาดการณ์ไปต่าง ๆ นานา ว่าเณรหมีต้องแอบฉันมื้อดึกแน่เลย แต่ความจริงหลวงพ่อบอกว่า "ก่อนทำวัตรเย็นมันล่อโอวัลตินไป ๓ แก้ว พอทำวัตรเสร็จมันเอาอีกแก้ว จะไม่ให้อ้วนได้อย่างไร"

นอกจากนั้นแล้วก็มีอีกท่านหนึ่งที่เริ่มส่อเค้าบ่งบอกว่ากำลังเข้าสู่ฐานะ "มีอันจะกิน"

เถรี : หลวงพ่อคะ รู้สึกว่าเณรท่านนั้นแลดูมีน้ำมีนวลขึ้น
หลวงพ่อ : อ๋อ เขาเปลี่ยนจากคำว่า "ฉัน" เป็น "แดก"

วาโยรัตนะ 04-11-2009 18:31

๑๑.กิจนิมนต์ "เขื่อนเขาแหลม"

"เรือนแพ สุขจริง อิงกระแสธารา" ด้วยความบังเอิญหรืออะไรมิทราบ "ท่านปาน" ท่านรับกิจนิมนต์ไปฉันเพลสงเคราะห์ญาติโยมที่บ้าน ก็มีท่านบอย,ท่านเค้ก,ท่านอึ่งและหลวงตาอภิชาติ หลวงตาอภิชาติท่านเองก็อยู่ในกลุ่มนั้นแต่ด้วยท่านเองชราภาพ แล้วก็มีการเดินทางโดยทางเรือด้วย
ท่านจึงออกปากขอรบกวนกระผมให้ไปแทน งานนี้ได้ขอรับด้วยความยินดีมีอะไรช่วยเหลือกันได้ก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งขอรับ

หลวงพี่ปาน เดิมท่านมีอาชีพเป็นคนหาปลาในเขื่อนเขาแหลม เป็น "มือฉมวก " ที่มีฝีไม้ลายมือฉมัง งานนี้บวชเรียนทดแทนคุณพ่อแม่ เว้นว่างจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ก็ขอโมทนากับท่านด้วย อย่างน้อยก็ร่วมเกือบสี่เดือนที่ท่านไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต บางครั้งเราแทบจะเลือกไม่ได้ว่าจะทำมาหากินอะไรเลี้ยงชีพมันเป็นไปตามสภาพ.........

ออกเดินทางจากวัดไม่นานก็ถึงจุดที่ต้องนั่งเรือไปแทน บรรยากาศของริมน้ำและวิถีชาวแพอันสงบ เดินด้วยเรือแค่สิบนาทีก็ถึง เรือนแพกลางน้ำบ้านของท่านปานแล้ว ญาติโยมก็รออยู่พร้อมอาหารที่เตรียมเอาไว้เรียบร้อย

บรรยากาศสงบผิวน้ำราบเรียบชวนให้น่าหลงใหล ไม่นานหลังจากฉันเพลเสร็จก็ได้ออกเดินทางไปชมบรรยากาศของภูมิประเทศสองฝั่งของแนวเขาที่ระดับน้ำในเขื่อนท่วมถึง

ท่านปาน : หากว่าเราแล่นเรือจากนี้ไปอีกประมาณเกือบสองชั่วโมงก็จะถึงสังขละบุรีแล้ว...หลวงพี่สนใจไหมละ

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ถ้ามีโอกาส เดี๋ยวผมต้องขอไปให้ได้ ทางเรือนะ ทางรถใครก็ไปถึงได้.....รอออกพรรษาก่อนดีกว่านะหลวงพี่งานนี้มีทริปแก้ตัวแน่นอนหลวงพี่ปาน

----------------------------------------------------------

http://i113.photobucket.com/albums/n...d/P9050398.jpg

http://i113.photobucket.com/albums/n...d/P9050404.jpg

"มองกล้องหน่อยสิ เจ้าหน้าย่น" (มันจะกระทบคุณยายที่นั่งข้างหลังหรือเปล่า....)

วาโยรัตนะ 04-11-2009 19:19

๑๒."พระไม่เอา! ป้าจะเอาหลวงพี่ไปอยู่ที่บ้าน..(งานเข้า)"

ปกติวันพระชาวบ้านญาติโยมจะพากันมาทำบุญที่วัด วันพระทุกวันตอนเข้าพรรษาเป็นที่ทราบกันว่า พระไม่บิณฑบาต ทุกสายบิณฑบาตจะแจ้งญาติโยมก่อนหนึ่งวัน หลังจากทำวัตรเช้ากันเรียบร้อย ประมาณตี ๕.๓๐ น. เสียงระฆังก็จะดังขึ้น เป็นกันทราบกันว่า "นิมนต์ที่โรงครัว ข้าวต้มรออยู่" หลังจากฉันเสร็จก็เตรียมทำความสะอาดกวาดใบไม้เป็นปกติและเตรียมเอาบาตรขึ้นไปไว้บนศาลา เพื่อช่วงแปดโมงกว่าจะได้ให้ญาติโยมตักบาตรกัน

หลวงพ่อเองถ้าท่านอยู่คือไม่ติดกิจนิมนต์อันใดท่านก็จะขึ้นกล่าวต้อนรับทักทายญาติโยมโดยประมาณตั้งแต่ ๘.๐๐ น. พอ ๘.๔๕ น. พระเณรก็ขึ้นศาลา......

หลวงพ่อท่านมักจะหยิบยกเรื่องราวใกล้ตัวในชุมชนหรือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนามาเป็นหัวข้อในแต่ละวันพระ ญาติโยมเองก็นั่งฟังกันด้วยความเคารพ

ส่วนพระเณรนั้น.....ท่าน ๆ วันนี้หลวงพ่อเอาพระอะไรมาแจกให้ผู้ร่วมทำบุญ,ท่าน ๆ มียี่สิบสองใบหรือเปล่า,ท่าน ๆ วนทำบุญหลายรอบเลยนะ ได้มาหลายองค์ละสิ,ฝาก ๆ "เณรหมี" ดีกว่า,เอา ๆ "เณรเจ" ของหลวงพี่ยี่สิบขอสององค์นะ...... สาละวนทำบุญด้วยหวัง "วัตถุมงคล" ของหลวงพ่อด้วยความเคารพในอนุสสติทั้งนั้น

หลวงพ่อ : ประกาศ ๆ พระเณรท่านใดยังไม่เอาบาตรขึ้นมาบนศาลา ขอความกรุณารีบนำมาด่วน ญาติโยมไม่เห็นบาตรแล้วใจไม่ดี,คิดถึงพระ อย่ามัวแต่จ้องแต่จะทำบุญแล้วรับวัตถุมงคลกัน......

เฮ้ย! "ไพศาล" (เด็กวัดท่านหนึ่งที่คอยขับสามล้อรับข้าวของจากที่พระบิณฑบาตมา) วัตถุมงคลของข้าไม่ช่วยคนกินเหล้าหรอก! เลิก ๆ มันได้แล้ว...

งานนี้ไพศาลยิ้มหน้าบานมาเลย "เห็นไหมหลวงพี่ผมโดนเลย..เอาไปครับของท่านไหนบ้างที่ฝากผมไปทำบุญ":55318906:

มีงานอบรมของกรมราชทัณฑ์ คือทางหน่วยราชการส่งเจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์มาปฏิบัติธรรมที่วัด หลวงพ่อท่านอ่านกำหนดการดู มีหลายหัวข้อที่ต้องขึ้นไปพูดให้คติธรรมกับคณะผู้มาอบรม ท่านประกาศรับอาสาสมัคร กระผมเองจึงได้รับอาสาไป ในระหว่างการอบรม "พระครูน้อยกับกระผม" ก็รับหน้าที่ สอนเรื่องการเดินจงกรม แบบ "ยุบหนอ-พอหนอ" คณะที่มาอบรมก็ดีมาก...เงียบสนิท,ถามอะไรก็ไม่ค่อยตอบ แบบว่าให้ทำอะไรก็ทำแบบเงียบ ๆ ไม่ค่อยมีส่วนแสดงความคิดเห็นเท่าไหร่ หลวงพ่อท่านนิมนต์คณาจารย์หลายท่านมาพูดตามหัวข้อต่าง ๆ ที่จัดอยู่ในเนื้อหาวาระของการอบรม....ผมเองเห็นว่า ผู้เข้าอบรมเป็นแบบนี้แล้วเล่นเอาถอดใจ

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :ขนาดท่านอื่น ๆ โหพูดตั้งสองชั่วโมง พวกเขายังนั่งกันนิ่งไม่มีส่วนร่วมใด ๆ เลย หลับบ้าง ตาลอยบ้าง แล้วเราจะไหวหรือวะงานนี้ เห็นที่ต้องขอนิมนต์หลวงพ่อท่านจัดการเองดีกว่า...งานนี้จะเจอ "บาทาไร้เงา" ของหลวงพ่อหรือเปล่า...ก็ไปรับอาสาจากท่านมาแล้ว....เครียด...จน...ฉันกาแฟดีกว่า:cebollita_onion-21: โอ้...มายก็อด....กาแฟเพิ่งเอามาลงส่วนกลางเมื่อเช้าหมดแล้ว....มันฉันกันหรือว่าอาบกันแน่....:8dcf9699::msn_smilies-02::fea27916::7f5341cc:

วาโยรัตนะ 04-11-2009 19:38

หากมีการผิดพลาดประการใดกระผมขอแจก "ใบแดง" ตัวเองล่วงหน้าก่อนนะครับ

:9bbc76d5: อดีตชาติคงเคยไปแจกชาวบ้านไว้เยอะ สงสัยเคยเป็นกรรมการ "หมากเตะ"

ป้านุช 05-11-2009 14:09

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ วาโยรัตนะ (โพสต์ 24440)
๑๒."พระไม่เอา... ป้าจะเอาหลวงพี่ไปอยู่ที่บ้าน..(งานเข้า)"
เฮ้ย! "ไพศาล" (เด็กวัดท่านหนึ่งที่คอยขับสามล้อรับข้าวของจากที่พระบิณฑบาตมา) วัตถุมงคลของข้าไม่ช่วยคนกินเหล้า..หรอก! เลิก ๆ มันได้แล้ว...

:9bbc76d5:แถมให้อีกใบค่ะ ควรเขียนติดกันนะคะ
"วัตถุมงคลของข้าไม่ช่วยคนกินเหล้าหรอก! เลิก ๆ มันได้แล้ว"


(ใครที่รอเลขรวมจากใบแดง ท่าทางจะได้เลข ๓ ตัวค่ะ :onion_eiei: )

วาโยรัตนะ 06-11-2009 09:12

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพ่อขอรับ นิมนต์หลวงพ่อขึ้นเทศน์พรุ่งนี้แทนกระผมขอรับ กระผมเห็นว่าผู้อบรมคงจะได้ประโยชน์มากกว่าที่กระผมจะเทศน์ขอรับ......:154218d4:

หลวงพ่อ : ผมต้องดูก่อนว่าผมไหวหรือไม่...คุณเตรียมข้อมูลอะไรมาแล้วก็ว่ามันต่อไปเถอะ

บรรยากาศมันช่างชวนให้เหงื่อตกจริง ๆ เอา! สรุปก็ต้องกลับไปเตรียมตัวเอาไว้งานนี้คงจะรอดยาก และแล้วเมื่อถึงเวลาหลังจากฉันข้าวเช้า

พระครูน้อย : หลวงพี่รัตน์เหมือนเดิมนะ วันนี้เวลาเดิมเดี๋ยวเราจะสอนจงกรมแบบห้าจังหวะและหกจังหวะให้จบไปเลย วันนี้เริ่มตอนบ่ายโมงนะ

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : อ้าวหลวงพี่วันนี้ผมต้องขึ้นไปพูดบรรยายหัวข้อธรรมตามที่หลวงพ่อท่านจัดให้นะ

พระครูน้อย : เห็นท่านบอกว่าให้นำเดินจงกรมหนึ่งชั่วโมงแล้วหลังจากนั้นท่านจัดการต่อเอง

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ ::875328cc::msn_smileys-12::8f337f1c::da4c2d5e:ครับ ๆ หลวงพี่

งานนั้นหลวงพ่อท่านเลยเมตตาสอนกรรมฐานให้คณะผู้อบรมแทน แต่ที่พิเศษคือ หลวงพ่อท่านให้คณะผู้อบรมเอาหมอนมาด้วย หลวงพ่อท่านสอน "นอนทำกรรมฐาน" งานนั้นผมเห็นเป็นที่พอใจของคณะผู้เข้าอบรมมาก ๆ หลวงพ่อบอกว่า "วัดอื่นไม่สอนแต่วัดท่าขนุนสอน หากสนใจก็ส่งคณะมาอบรมกันอีกนะ"
ผมเองแทนที่จะช่วยงานหลวงพ่อได้เต็มที่กลับเป็นว่าต้องให้หลวงพ่อช่วย มันกลับกันจริง ๆ จึงต้องมานั่งคิดทบทวนตัวเองใหม่หลายรอบ

หลวงพ่อท่านจะแจ้งกำหนดการเดินทางของท่านเสมอ ๆ มีหลายครั้งที่ตรงกับวันพระ งานนี้กระผมจึงขออาสาหลวงพ่ออีกครั้งว่าขอขึ้นไปกล่าวต้อนรับญาติโยมแทนหลวงพ่อช่วงหลวงพ่อภาระกิจไม่อยู่ในช่วงวันพระ

หลวงพ่อ : อ๋อ จะขอแก้ตัวว่าอย่างนั้นหรือ เอา ๆ กลับมาแล้วจะเช็ค "เรตติ้ง"

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ ::154218d4::baa60776:

หลังจากเตรียมข้อมูลมาพร้อมลุยเต็มที่ แปดโมงตรงก็ถึงเวลา...

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : พระภิกษุ สามเณรท่านใดยังไม่ได้เอาบาตรขึ้นบนศาลาขอนิมนต์นะครับ.......เจริญพรญาติโยมตอนนี้เป็นเวลาแปดนาฬิกาตรงแล้ว ท่านใดที่มาแล้วก็ขอเชิญขึ้นมาบนศาลาได้เลยจ้ะ.......วันนี้หลวงพ่อท่านไม่อยู่ อาตมาภาพเลยรับหน้าที่มากล่าวทักทายต้อนรับญาติโยมแทนจ้ะ อาตมาภาพมาไกลจากภูเก็ตโน่นมาขออยู่ร่วมจำพรรษากับหลวงพ่อ เห็นความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของญาติโยมที่นี้แล้วก็ชื่นใจ........(แล้วก็จ้อมันต่อไปเรื่อยตามประสาคนบ้าไมค์:55318906:)

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :ญาติโยมที่มาทำบุญตรงนี้ วันนี้ไม่มีวัตถุมงคลแจกนะจ๊ะ ก็ขอให้สุขภาพแข็งแรงนะ ให้เจริญ ๆ ในทาน,ศีล,ภาวนาจ้ะ

หลังจากนั้นก็มีคุณป้ารุ่น ๆ หกสิบกว่า ๆ ท่านเดินตรงมา พร้อมธนบัตรใบละยี่สิบบาทหนึ่งใบค่อย ๆ บรรจงหยอดในขันใบใหญ่ที่ไว้รับปัจจัยจากญาติโยม พร้อมพูดว่า "พระไม่เอา...แต่จะเอาหลวงพี่ไปอยู่ที่บ้านได้ไหมคะ :onion_love:" สีหน้าและแววตาอย่าให้ผมพูดเลยมัน "สะท้าน :154218d4::4519626a::d582d79f:" รุ่นนี้ต้องเรียกว่า "รุ่นหมากกระจาย" คือประมาณว่าเคี้ยวหมากไม่ไหวต้องขว้างทิ้งเอาแทน หมากเลยกระจาย

หลังจากที่กระผมเกิดอาการ "สะท้าน" ไปถึงทรวงอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ตอบไปว่า

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หากนิมนต์หลวงพี่ไปอยู่ที่บ้าน ต้องไปขอกับหลวงพ่อท่านนะ

ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า หลวงพ่อท่านได้รับเรื่องราวหรือคุณป้าท่านไปขออนุญาตจากหลวงพ่อบ้างหรือเปล่า....งานนี้งานเข้าจริง ๆ ครับ:55318906:

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://i113.photobucket.com/albums/n...d/P9120566.jpg

หลวงพ่อท่านสอนว่า "เป็นพระ" เราก็ต้องเป็นให้สมบทบาท

ใต้ร่มไม้ใหญ่ 06-11-2009 10:21

ได้อ่านเรื่องที่ท่านทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ นำมาเขียนเล่าให้อ่านกันเเล้ว ทำให้ผมต้องกลับมาคิดทบทวนอีกเเปดตลบกว่า ๆ ว่าจะบวชที่วัดท่าขนุนดีหรือไม่ตามที่พวกเพื่อน ๆ ชวนกันบวชหมู่ งานเข้าเเน่ตู

วาโยรัตนะ 07-11-2009 08:45

๑๒."ถ้าจะไปคลิตี้ อย่าลืมภาวนา!"

หลังจากทราบข่าวจากหลวงพี่กวาง ท่านได้ขอแรงพระภิกษุหนุ่มทั้งหลายร่วม ๆ ๑๐ องค์ ก็มี หลวงพี่เก้า,หลวงพี่อึ่ง,หลวงพี่เต้ย,หลวงพี่เค้ก,หลวงพี่ปราโมช,หลวงพี่ต๋อง,หลวงพี่บอย,หลวงพี่ปาน,เณรเจและกระผม โดยมีทิดแก้วเป็นสารถีขับรถมารับที่วัดท่าขนุน งานนี้ไปช่วยกันยกเสาไฟฟ้า (เสาใหม่ใหญ่และสูงกว่า)ที่เกาะพระฤๅษี เสาไฟเก่าหักชำรุด กิ่งไม้ใหญ่ล้มลงมาตีในวันที่ฝนตกลมกระชากก่อนนั้นประมาณสักสองวัน งานนี้พร้อมลุยกันเต็มที่สามัคคีชุมนุมประสาพระพี่พระน้อง

หลังจากปรึกษาหารือกันว่าจะใช้วิธีไหน งานนี้เมื่ออุปกรณ์ครบ,แรงงานพร้อม,ก็ถึงเวลาลุย เสาไฟขนาด ๑๐ เมตรกับพระรวมแล้วทั้งหมด ๑๔ รูป ก็ใช้วิธีแบบดั้งเดิมคือเอาเชือกมัดร้อยไม้คานเข้าไปทั้งหมด ๖ อัน พระจับคู่ซ้ายขวา แล้วก็ค่อย ๆ แบกดังในรูปดู ๆ ไปคล้ายตะขาบตัวใหญ่ค่อย ๆ ลำเลียงเสาไฟมาที่หลุมที่ขุดเตรียมเอาไว้แล้ว โดยมีทิดแก้วเป็นนายช่างใหญ่ ซ้าย ๆ ขวา ๆ หมุนจนได้ที่ได้ทิศทาง คราวนี้ก็หาเชือกผูกดึงกับต้นไม้ใหญ่แล้วแบ่งแรงงานไปดึงเชือกเพื่อจะตั้งเสาให้ลงหลุม.........

เอา ๆ ลุย เสียงหลวงพ่อกวางสั่ง "ระดมกำลัง" เมื่อเสาไฟลงหลุมได้แล้วก็ผูกโยงกับต้นไม้แล้วช่วยกันผสมปูน,หิน,ทรายให้เข้าก็แล้วก็เทก้นหลุมจนเต็มรอจนปูนแห้งทิ้งเอาไว้สักสองวันก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย "โรงเรียนศิษย์หลวงพ่อเล็ก" งานอะไรก็ตามถ้าสามัคคีกันย่อมเสร็จได้โดยง่ายดาย ที่เหลือคืองานเดินสายไฟฟ้าอันนี้เป็นหน้าที่ของ "ทิดแก้ว" ต่อไป หลังจากฉันน้ำ,พักผ่อนกันพอสมควรก็ตกเข้าประมาณบ่ายโมงกว่าแล้วจึงขอตัวกราบลาหลวงพี่กวางและคณะท่าน

ทัดฤทธิ์ -ทิดรัตน์ : ถ้าเราไม่ย้อนกลับไปทางเดิม ทางนี้มันไปออกทางไหนทิดแก้ว?

ทิดแก้ว : ไปได้จนถึงคลิตี้เลยครับหลวงพี่

หลวงพี่ปราโมช :เวลายังเหลือนะหลวงพี่เราลองให้ทิดขับไปทางนี้ก่อนถ้าไปถึงคลิตี้ทันก็ดี ถ้าไม่ทันก็เลี้ยวกลับวัด

ทัดฤทธิ์ -ทิดรัตน์ : ผมขอถามความคิดเห็นพระเพื่อนข้างหลังก่อนนะหลวงพี่......ท่าน ๆ ครับ ทางนี้ถ้าเราขับไปประมาณสองชั่วโมงกว่า ก็จะไปทะลุคลิตี้ได้ท่าน ๆ คิดเห็นว่าเป็นอย่างไร?

พระเพื่อน ๆ ท้ายกระบะ :ลุยเลยหลวงพี่!

ทัดฤทธิ์ -ทิดรัตน์ :ไปเลยทิดแก้วลุย เหยียบสักร้อยยี่สิบ ไม่ต้อง "ดริฟท์" เดี๋ยวจะไปไม่ทันถึง...จะตกเหวไปก่อนทิด ๕๕๕๕

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

http://i113.photobucket.com/albums/n...d/P9110515.jpg

http://i113.photobucket.com/albums/n...risland/w6.jpg

วาโยรัตนะ 07-11-2009 12:38

http://i113.photobucket.com/albums/n...sland/216a.jpg

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/178.jpg

เส้นทางช่วงแรกยังเป็นถนนราดยางมะตอยอยู่ แต่พอเริ่มขึ้นเขาก็เป็นถนนลูกรังดินแดงสองข้างเป็นป่าไผ่สลับกับป่าเต็งรังไปเรื่อย ๆ ให้ผมมาคนเดียวกลางคืนเส้นนี้ก็คงต้องขอบอกว่ามาได้แต่ขอนิมนต์พระรูปท่านมาด้วย ยิ่งมาได้ทั้งวัดเลยยิ่งดี นับเป็นโอกาสดีที่ได้เดินทางมาเห็นกับตาตัวเอง กาญจนบุรี ทองผาภูมิ มันไม่ได้เล็กอย่างที่เคยคิด ความอุดมสมบรูณ์ยังมีอยู่มากถึงแม้จะถูกบุกรุกไปบ้างก็ตาม

เราออกจากเดินทางจากเกาะพระฤๅษีไปเส้นทางที่ทะลุออกบ้านห้วยเสือ เมื่อเราเดินทางมาได้ระยะหนึ่งด้วยเส้นทางที่ต้องขอบอกว่าถ้ามีรถออฟโรดการเดินทางจะสะดวกกว่า แวะถ่ายภาพเป็นที่ระลึกตรงจุดชมวิว "เนินสวรรค์" แล้วก็ออกเดินทางกันต่อ
พระเพื่อนทุกท่านโดยเฉพาะที่นั่งท้ายกระบะเมื่อเจอกระแทกเข้าไปเยอะ ๆ ก็ออกอาการเหนื่อยให้เห็นเช่นกัน โดยเฉพาะ "ท่านบอย" ปกติท่านเป็นคนผิวขาวอยู่แล้วแต่งานนี้ผมเองสังเกตุเห็นริมฝีปากท่านมันออกขาว ๆ ซีด ๆ ไปด้วย

เราใช้เวลาในการเดินทางกว่าจะทะลุออกมาที่ "บ้านห้วยเสือ" ไปกว่าสองชั่วโมง ด้วยสภาพของถนนที่ผ่านมาถือว่าทิดแก้วทำหน้าที่ได้ยอดเยี่ยมมาก ๆ บางช่วงเป็นทางระหว่างไหลเขาข้างทางเป็นเหว แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือเราเจอ "รถกระบะขายกับข้าว" วิ่งสวนไปสองคันแสดงว่าโดยปกติก็มีรถใช้เส้นทางนี้อยู่เสมอ ๆ เมื่อคำนวณเวลาแล้วคงจะไปไม่ทันแน่นอนจึงตัดสินใจบอกทิดแก้วหันหัวออกทางบ้านทุ่งนางครวญ,บ้านทิพุเย,ผ่าน อบต.ชะแล แล้วออกมาทางบ้านเกริงกระเวีย เลี้ยวซ้ายตรงถนนใหญ่กลับเข้าท่าขนุน,ทองผาภูมิ มาถึงวัดท่าขนุนก็ประมาณเกือบห้าโมงยี่สิบมีเวลาให้เตรียมตัวก่อนสวดมนต์ถวายหลวงปู่สายและทำวัตรเย็นคนละสี่สิบนาที งานนี้เหนื่อยไปตาม ๆ กันแต่ก็ประทับใจกันทุกคน ป่าไม้สีเขียว,ต้นไม้ใหญ่ "ธรรมชาติคือสิ่งที่รับรองความเป็นอยู่ของมนุษย์" น่าเสียดายที่ธรรมชาติในหลาย ๆ ส่วนของประเทศไทยเรามันด้อยค่าลงไปก็เพราะความไม่เอาใจใส่ของพวกเรากันเอง......

http://i113.photobucket.com/albums/n...d/P9110543.jpg

http://i113.photobucket.com/albums/n...d/P9110552.jpg

บนยอดเขาที่เป็นทุ่งราบชาวบ้านได้รับการส่งเสริมให้ปลูกยางพารา แต่สิ่งที่แตกต่างระหว่างร่องยางแต่ละแถวกับทางภาคใต้ก็คือว่า ทางภาคใต้ระหว่างร่องยางจะปลูกสัปปะรด แต่นี่เขาปลูกข้าวไร่ ดูแล้วสวยงามแปลกตาจึงขอให้ทิดแก้วหยุดรถแล้วก็รีบไปเก็บภาพประทับใจนี้มา

วาโยรัตนะ 07-11-2009 20:38

๑๓."เณรเจ รอยเตอร์"

เณรเจ :หลวงพี่ ๆ สอนคณิตศาสตร์ผมหน่อยสิครับ เรื่อง "เซ็ท"

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ได้แต่ต้องมีข้อตกลงกันก่อนว่า "ตะกรุดเม" หนึ่งดอก บอก "เจ้าฝ้าย" พี่สาวเณรด้วยนะ ว่าหลวงพี่ขอตะกรุดเมหนึ่งดอก

เณรเจ : โห หลวงพี่เอาแบบนี้เลยหรือ

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :สัญญาลูกผู้ชาย โอเคไหม? เอาหนังสือมา เรื่องของเซ็ท เณรต้องเข้าใจก่อนว่า เซ็ทก็เหมือนวัด วัดท่าขนุนก็คือเซ็ทหนึ่งเซ็ท เรียกว่า "เซ็ทวัดท่าขนุน" มีสมาชิกในเซ็ทก็คือ พระ,เณร,แม่ชี,เด็กวัดทุก ๆ คน หมา,แมวทุก ๆ ตัว เข้าใจหรือเปล่าเณร

เณรเจ :onion_emoticons-26:

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ :งง ๆ ละสิ เอาแบบนี้ เณรเป็นเณรวัดท่าขนุนใช่ไหม? ถ้าหากสมมุติว่า วัดทองผาภูมิเป็นเซ็ทชื่อว่า "เซ็ทวัดทองผาภูมิ" เณรเป็นสมาชิกของเซ็ทวัดทองผาภูมิหรือเปล่าละ

เณรเจ :ไม่เป็นสมาชิกของเซ็ทวัดทองผาภูมิ เพราะผมอยู่วัดท่าขนุน

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ถูกเก่งมาก:msn_smileys-15::onion_eiei: ต่อไปคำว่า "ยูเนียน" คือเอาสมาชิกของเซ็ทสองเซ็ท เช่น "เซ็ทพระกุฏิเตชะไพบูลย์ "ยูเนียน" กับเซ็ทพระกุฏิประจวบดี" เราก็รวมจำนวนพระทั้งสองกุฏิมารวมกันถึงจะซ้ำก็นับแค่หนึ่งเท่านั้นเข้าใจไหม

เณรเจ :ครับ ๆ :154218d4:

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : ดีมาก เรียนเยอะแล้วเดี๋ยวงง เดี๋ยวค่อยสอนเรื่อง "อินเตอร์เซคชั่น" ของเซ็ทต่อนะ ลองเอาโจทย์ในหนังสือไปทำนะถ้าไม่เข้าใจแล้วค่อยมาถาม....ตะกรุดเมหนึ่งดอก อย่าลืม:70bff581:

ทำไมเณรเจถึง มีฉายาที่กระผมมอบให้เป็นพิเศษว่า "เณรเจ รอยเตอร์" ก็เนื่องด้วยฝีมือรายงานข่าวอันฉับไวทันเหตุการณ์ "วินาทีต่อวินาที" เล่นเอาแทบวุ่นวายไปทั้งวัด เจอ "ประกาศิต" ของหลวงพ่อเข้าไป เล่นเอา "เณรเจ รอยเตอร์" ฉันข้าวเช้าแทบไม่ลง เอามือกุมขมับขยับส่ายหัวไปมา "ไม่น่าเลยตู" เล่นเอาพระเณรท่านอื่นหัวเราะกันท้องแข็ง หลวงพ่อท่านบอกว่า "เห็นไหมพิษภัยของโทรศัพท์มือถือ
เรื่องบางเรื่องถึงเราอยากจะบอกโยมแทบจะขาดใจ แต่ก็ต้องพิจารณาให้รอบคอบด้วย" งานเข้าเลยเณร :70bff581::70bff581:

เรื่องที่น่าชมเชยและโมทนากับเณรเจ คือเรื่องของการทำงานไม่ว่าจะร้อนขนาดไหน เณรเจมักจะมาเป็นคนแรก ๆ เสมอ ใครไม่ทำเณรไม่สน งานนี้เณรเจลุยตักดิน,ตักทราย,ขนอิฐ,เต็มที่

http://i113.photobucket.com/albums/n...d/PA031014.jpg

http://i113.photobucket.com/albums/n...d/PA051052.jpg

วันที่ผมสึก "เณรเจร้องไห้" :msn_smilies-02::onion_beg::fea27916: แต่ผมเองก็ร้องไห้เหมือนกันเพราะทุกวันนี้ยังไม่ได้ตะกรุดเมเลย....เณร:onion_emoticons-01::fea27916:

วาโยรัตนะ 09-11-2009 09:31

๑๔.งานทำบุญหลวงปู่

นับเป็นวันที่รอยคอยกันอีกวันหนึ่ง สำหรับพระเณรทุกท่านต่างช่วยกันจัดเตรียมงานกันเต็มที่ ตามที่ได้รับมอบหมายจากหลวงพ่อและที่อาสาทำกันเองด้วยความเต็มใจ ผม,ท่านตั้ม,ท่านปาน,ท่านต้อม,ท่านนวย,อาจารย์พงษ์,ทิดเอ ช่วยกันขัด "พระประจำวันเกิดจำนวน ๘ รูป" เรียกกันได้ว่าไม่เคยขัดพระทองเหลืองที่มีขนาดองค์ใหญ่เท่า ๆ คนจริงแบบนี้มาก่อน งานนี้ทุกท่านต่างดีใจ ตั้งใจขัดกันเต็มที่จนทุกองค์เหลืองอร่ามงามตาดังในรูป นั่งมองแล้วหายเหนื่อย,ปีติดีใจกันมาก จนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ครับ เข้าไปที่วิหารสมเด็จองค์ปฐมทีไร มองพระประจำวันที่เป็นสีเหลืองทองอร่ามแล้ว "โคตรปลื้มใจ" เลยครับ ขัดไปอธิษฐานไป ขอให้บรรลุธรรมโดยไว ๆ,ขอให้เจริญในทาน,ศีล,ภาวนา,ขอให้มีทิพยจักขุญาณที่แจ่มใส,ขอให้ชาติหน้าเกิดมาหล่อแบบ "เท่ง เถิดเทิง" (อันนี้ผมว่า "ท่าน" นั้นคงจะเมากลิ่น "บรัสโซ" น้ำยาขัดทองเหลืองยังดีนะที่ท่านไม่ยกมาฉันแทนน้ำปานะ)

ส่วนงานที่หลวงพ่อท่านแบ่งให้รับผิดชอบเป็นกลุ่ม ๆ มีดังนี้ งานต้อนรับบนศาลา,งานรับลงทะเบียนพระเณรจากวัดหรือสำนักสงฆ์ในตำบลต่าง ๆ ของอำเภอทองผาภูมิ (งานผมเป็นหัวหน้าชุด),งานดูแลเครื่องเสียง,งานดูแลความสะดวกทั่วไป (รวมถึงห้องน้ำ)

งานนี้ก็มีโรงทานเลี้ยงญาติโยมที่มาร่วมงานบุญด้วย เมื่อพระผู้ใหญ่ก็ตาม หรือญาติโยมอาวุโสมาถึงก็ดี หลวงพ่อก็ลงมาต้อนรับด้วยตัวเอง
เนื่องจากพระทุกท่านตลอดจนญาติโยมที่มาร่วมงานต่างก็มาด้วยความเคารพและระลึกนึกถึงความดีของหลวงปู่สาย งานทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดีนับเป็นความภูมิใจของกระผมและพระทุกรูปเป็นอย่างยิ่ง หลังจากนั้นก็ได้เวลาเก็บข้าวของจัดแจงทำความสะอาดพื้นที่ งานนี้ทุกท่านให้ความสนใจ "งาช้าง" สองคู่ ซึ่งปกติโอกาสที่จะได้ชมก็คงจะต้องเป็นงานใหญ่แบบนี้เท่านั้น เพราะปกติจะเก็บไว้ในที่อันควร งานนี้ประวัติที่พอจะทราบแต่กระผมก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก หลวงพ่อบอกว่า " มีเจ้าหญิงคณะหนึ่งมอบถวายไว้ครั้งเมื่อเสด็จมาที่วัดท่าขนุน" งานนี้ พระแทบจะทุกท่านจ้องเป็นสายตาเดียวกันคือ ขอถ่ายภาพเก็บเป็นที่ระลึก ส่วนผมเซ็งสุด ๆ ถ่ายภาพให้คนอื่นออกมาสวยงามทั้งนั้น แต่ให้พระเพื่อนท่านถ่ายภาพให้ผมบ้าง ภาพกันออกมาไม่ได้สัดส่วนไม่ครอบคลุม....โอยอะไร ๆ มันก็ดูขาดเนื้อเรื่องในภาพไปหมด....วัยรุ่นเซ็ง ช่วยกันคนละไม้คนละมือก็เสร็จเรียบร้อย หลังจากนั้นก็ขนอิฐขนทรายกันต่อ

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพี่ปาน.....การจะถ่ายภาพให้ดีนั้น! เราต้องหาจุดสำคัญของภาพก่อน นี่! อย่างผม "ธีระพงษ์ เหลียวเลิ่กลั่ก" ใช้วิธีมองภาพให้ออกว่าเราจะสื่ออะไร ทุกอย่างมันคือศิลปะ

หลวงพี่ปาน : ครับหลวงพี่ ผมเคยทำงานที่พัทยามาแล้ว ถ่ายภาพแขกก่อนลงดำน้ำ:onion078:

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : เยี่ยมมากเลย......ซาร่า! หลวงพี่เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ :msn_smileys-16:

หลวงพี่ปาน : หลวงพี่ ๆ เปิดกล้องตรงไหน ???:l438412717dh8::7f5341cc::baa60776:

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : โอ....ฮ่วย จั่งซี่มันต้องถอน! :9bbc76d5:


-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n...island/112.jpg


http://i113.photobucket.com/albums/n...island/111.jpg

งานนี้ถ้า "งาช้าง" หายไป....สงสัยพระสามรูปกับอีกหนึ่งฆราวาสได้เลยครับ (กระผม,ท่านนวย,ท่านปาน,ทิดเอ)

วาโยรัตนะ 09-11-2009 09:32

๑๕."มัน" อยู่ในห้อง (กุฏิ)

หลังจากงานพิธีปลุกเสกพระขรรค์โสฬส กระผมก็กลายเป็นพระที่ชาวบ้านเขารู้จักไปโดยปริยาย งานนี้เราเป็น "พระ" เราต้องเป็นที่พึ่งของโยมตามนโยบาย "สงเคราะห์ผู้ที่ยังไม่ศรัทธาให้ศรัทธา และทำให้ผู้ที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาอยู่แล้วมีความศรัทธายิ่ง ๆ ขึ้นไป" (แบบสัมมาทิฐินะครับ) ในเมื่อญาติโยมขอความช่วยเหลือ
แล้วกระผมจะปฏิเสธได้อย่างไร (งานเข้า) ส่งมากันเยอะมาก..............อะไรรู้ไหมครับ “วัตถุอัปมงคล”
มาเป็นกล่อง ๆ ทางไปรษณีย์ก็มี,เอามามอบให้ถึงมือกระผมด้วยตัวเองถึงวัดก็มี, โทรมาปรึกษาก็เยอะ
ขนาดเที่ยงคืน “มัน” ก็ยังโทรมา ถือว่าเป็นผู้ที่มีสังฆานุสติที่มั่นคงมาก......เอา ๆ เพื่อความสุขของญาติโยม
แล้วทำไมไม่ถามพระบ้างว่า "พระเองน่ะกลัวบ้างไหม กลัวหรือเปล่า?" หลวงพ่อบอกว่า “ผีกับพระมันของคู่กัน
อะไรที่มันอยู่ภพภูมิต่ำกว่าเรา จะไปกลัวเขาทำไม ถ้ามาแบบหาเรื่องกันก็อัดให้กระจายไปเลย” แต่สุดท้ายแล้วการประนีประนอมย่อมดีที่สุด เพราะเราพอจะเป็นที่พึ่งให้เขาได้ (ที่พึ่งของผีนะ) เรา ๆ ท่าน ๆ ก็คงจะจำคำสอนของหลวงพ่อได้ งานนี้เลยส่งมากันยกใหญ่เลย พัสดุของพระรัตน์ทั้งนั้น

งานนี้เมื่อแกะดู โอ้โฮ กุมารทอง กว่า ๒๔ ตน ( เฮ้ยอยู่กันดี ๆ นะไม่ใช่แบ่งทีมเตะฟุตบอลกันในกุฏิหลวงพี่ละ ถ้าไม่เชื่องานนี้พ่อจะเอาไปเผาให้หมด ขู่ ๆ เอาไว้ก่อน แต่ก็เกรง ๆ มันอยู่เหมือนกัน หลวงพี่ไม่ใช่เพื่อนเล่นพวกเธอนะ) ผ้ายันต์,ตะกรุด,น้ำมัน,พระ จัดแจงแยกออกเป็นชุด ๆ แล้วก็เก็บใส่กล่องเอาไว้ คืนแรกนอนก็ผวาเหมือนกัน ตกดึก ๆ เอาไฟฉาย (เข้าพิธีโสฬสแล้ว) ส่อง ๆ ดูอยู่บ่อย ๆ พร้อมกำหนดจิตให้แสงไฟฉายเป็นแสงเลเซอร์เหมือนดาบของเหล่า “อัศวินเจได” ในภาพยนตร์ .......จิตมันคิดของมันไปเอง....

ได้โอกาสเลยเรียนถามหลวงพ่อหลังทำวัตรเย็นเสร็จ

ทัดฤทธิ์- ทิดรัตน์ : หลวงพ่อครับจะทำอย่างไรดีกับของพวกนั้นครับ คือว่าญาติโยมส่งมาให้ผมกันเยอะมากเลยครับ

หลวงพ่อ : อย่าว่าแต่ของคุณเลย ญาติโยมก็นำมาถวายไว้กับผมเยอะเหมือนกัน ก็รองานเป่ายันต์แล้วกันจะได้ล้างของไม่ดีออกไปให้หมด

และแล้วก็มีเหตุการณ์ระทึกเกิดขึ้น ผมเองนำจีวรพาดราวเชือกเอาไว้ รีบแต่งองค์ทรงเครื่องจะไปทำวัตรเช้า คว้าจีวรไม่ทันได้ดู ตุ๊กแกตัวเบ้อเร่อ เกาะผนังยิ้มปากกว้างให้อยู่ เฮ้ยมาได้อย่างไร ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นเข้ามา รู้ไหมว่าพระกลัว “โคตรกลัวเลย” กรุณาออกไปได้ไหม พระไม่กล้าหยิบจีวร คุยอย่างกับคุยกันรู้เรื่อง.............มันก็ยังยิ้มมองจ้องหน้าอยู่อย่างนั้นนั่นแหละ......เอาตายเป็นตาย มีเทียนอยู่เล่มหนึ่งยาวประมาณไม้บรรทัด เลยค่อย ๆ เขี่ยจีวร แล้วเอาเทียนเคาะข้างฝาไม้สองสามครั้ง เจ้าตุ๊กแกเลยวิ่งหายเข้าไปข้างเสา เหลือเวลาอีกสองนาที ตูไปลงชื่อทำวัตรเช้าสายแน่ ๆ งานนี้..........

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพี่นวยกุฏิที่ผมอยู่หลวงพี่เคยอยู่มาก่อนใช่ไหมครับ เคยเจอตุ๊กแกบ้างไหมครับ

หลวงพี่นวย : หลวงพี่ ที่ผมเจอยิ่งกว่าตุ๊กแกอีกครับ เพราะมันมาเป็นคู่ "ตุ๊กแกกับงูเขียว" ร่วงลงมาด้วยกันทั้งคู่ในห้องเลย ดีนะผมนอนหลับแต่ก็มีสติ พอได้ยินเสียงเลยเปิดไฟฉายดู.....งานนั้นแทบจะวิ่ง ค่อย ๆ ประคองสติ เอาไม้ไผ่ที่พิงข้างเสา หลวงพี่เห็นไหม? ผมยกให้หลวงพี่เป็นของที่ระลึกเลยก็แล้วกัน เอาไว้เขี่ยตุ๊กแก เขี่ยงูเขียว:onion_emoticons-26:

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : งานนี้นอนกับผี แถมตุ๊กแกกับงูเขียวอีกสองตัว
ช่างทดสอบกำลังใจกันเสียจริง ๆ :3070242c:

http://i113.photobucket.com/albums/n...d/PA271681.jpg

กลางคืนต้องปิดหน้าต่างเพราะอากาศค่อนข้างหนาว (จริง ๆ แล้วไม่ค่อยอยากจะเปิดเอาไว้ เพราะกลัวว่าเมื่อมองออกไปจะเห็นต้นโพธิ์ใหญ่ กลัวว่าจะเห็น "ใครสักคน" ที่นั่งห้อยขาอยู่บนกิ่งของต้นโพธิ์)

http://i113.photobucket.com/albums/n...d/PA271684.jpg

กุฏิห้องที่ ๓ ชั้นที่ ๒ กฏิประจวบดี นับจากโต๊ะหมู่บูชา

สุดใจ 11-11-2009 07:30

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ วาโยรัตนะ (โพสต์ 24995)
วันนี้กระผมอุตส่าห์เตรียมงานก่อนโดยพิมพ์ในโปรแกรม word แล้วตั้ง spelling ตรวจสอบคำผิดแล้ว โอ....มายก๊อด...ทิดอยากตาย หมด,หมดกัน ขอทิดอยู่เงียบ ๆ คนเดียวสักพักนะครับ

:a03cbf1e::a03cbf1e: ขอบอกนะขอรับว่า...

กระผมอยู่กับการใช้งานโปรแกรมประมวลผลคำ ๒๐๐๗ ขนาดคำที่ถูกต้องแล้ว เว้นวรรคถูกต้องแล้ว โปรแกรมยังฟ้องว่าผิด แต่คำที่ควรจะผิด หรือเว้นวรรคผิด โปรแกรมดันไม่ฟ้องต้องคอยตรวจแก้จนตาเหล่....

ดังที่หลวงพ่อท่านเคยสอนละขอรับว่า...

:8dcf9699:อย่าไว้ใจเทคโนโลยี อย่าฝากชีวิตไว้กับเทคโนโลยี มากกว่าการสร้างความรู้ความสามารถให้ตนเอง

ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ท่านทั้งหลายจงยังให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด:msn_smilies-11:

วาโยรัตนะ 12-11-2009 13:01

๑๖ "วันโกน..กับเรื่องบนหนังศีรษะ"

ก่อนวันพระใหญ่หนึ่งวัน เราเรียกว่า "วันโกน" คือ วันขึ้น ๗ ค่ำกับ ๑๔ ค่ำ และแรม ๗ ค่ำกับแรม ๑๔ ค่ำ ของทุกเดือน(หรือ แรม ๑๓ ค่ำ หากตรงกับเดือนขาด) ซึ่งเป็นวันก่อนวันพระ ๑ วันนั่นเอง ทุกเดือนจะมีการปลงผมหรือโกนผมก่อนวันลงปาฏิโมกข์ในพระอุโบสถ

ถ้าจะถามว่าใครโกนหรือปลงผมให้ งานนี้ก็ต้องบอกว่าผลัดกันปลง ส่วนของพระอาวุโสหลาย ๆ ท่าน ท่านปลงผมด้วยตัวเอง เนื่องด้วยมีความชำนาญเป็นพิเศษ สำหรับผมใช้บริการของ "หลวงพี่ดอยบาร์เบอร์" ตลอดงานนี้ กุฏิไหนต่อไหนไม่รู้ ถ้าจะมาให้หลวงพี่ดอยปลงผมให้ ต้องเอาใบมีดโกนมาด้วย ค่าแรงไม่คิดแต่จะติดปลายนวมนั้นก็ขอรับโดยไม่ปฏิเสธใด ๆ

ในชีวิตมีเหยื่อสองรายมาให้ผมทำ "การทดลอง" โกนผมให้ ท่านแรกคือ "หลวงพี่เก้า" งานนั้นเลือดอาบไปทั้งหัวเล่นเอาคนโกนและคนที่ถูกโกนจะเป็นลมไปตามกัน

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : หลวงพี่..ขยับหัวมาทางนี้หน่อยครับ สิวเยอะมาก ข้างหลังก็เยอะ งานนี้มีเลือดอาบแน่ ๆ

หลวงพี่เก้า : ผมฉันไข่ไก่ประมาณวันละห้าฟองทุกวัน..สงสัยว่ามันจะทำให้เป็นสิว

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : อ้าว..ก็หลวงพี่ไปบน"พระแก้ว"ท่านไว้เยอะ แถมแก้บนอยู่บ่อย ๆ ผมก็ช่วยฉันวันละสองฟองอยู่เหมือนกัน แต่ผมไม่กล้าฉันมากเดียวมัน "คึก" เฮ้ย..เลือด!!!!

งานนั้นใครที่เดินผ่านไปผ่านมาเห็นเข้า คงไม่กล้าให้ผมโกนให้แน่ เห็นเดินหลบ ๆ กันทั้งนั้น บางท่านมีแซวว่า "หลวงพี่..โกรธอะไรหลวงพี่เก้าหรือเปล่า ? เล่นกันเลือดตกยางออกขนาดนั้น..!"

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "หลวงพี่..ไม่สนใจใช้บริการของผมบ้างหรือ ?"

เสียงตอบกลับมาด้วยความหนักแน่นว่า "ไม่ละครับหลวงพี่รัตน์"

ในที่สุดหลวงพี่เก้าก็ได้หลายแผล.. งานนี้ผมต้องขออภัยนะครับ "สิวมันเยอะ" (อ้างไปเรื่อย..!"):154218d4:

ถัดไปก็เป็นหลวงพี่ดอย ก่อนจะลงสนามผมถามแล้วว่า "หลวงพี่..แน่ใจนะ.." ท่านตอบว่า "แน่ใจครับ"

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "หลวงพี่พร้อมนะ..งานนี้จะเอาให้ปราณีตกว่าของท่านเก้าอีก.."

แกร๊ก ๆ เสียงใบมีดโกนที่ค่อย ๆ ตามไปส่วนโค้งของศีรษะมันช่างได้อารมณ์เสียเหลือเกิน

หลวงพี่ดอย : "โดน..!"

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "โดนอะไรครับหลวงพี่ ?" :onion_emoticons-26:

หลวงพี่ดอย : "หนังหัวผมนะสิ..!"

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "จริงหรือครับ..?"

ก้มมองที่มีดโกน หนังศีรษะยังติดอยู่ที่ใบมีดเลย พร้อมกับเลือดที่ศีรษะของหลวงพี่ดอย ค่อย ๆ ซึมออกมา..!:154218d4:

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "ท่าน ๆ..อย่าเสียงดังกันสิ ผมไม่มีสมาธิในการโกนผมให้หลวงพี่ดอยนะ.." :87a4e689:

แล้วผมก็บรรจงลากใบมีดโกนต่อไป

หลวงพี่ดอย : "โดน..! โดนอีกแล้ว..!":215ad82f:

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "หลวงพี่นั่งนิ่ง ๆ สิ.."

หลวงพี่ดอย : "โอ๊ย..! โดนอีกแล้ว โห..หลวงพี่.."

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "งานนี้ผมใจไม่ดีแล้วนะ เลือด..! หลวงพี่..เลือด..ใครก็ได้มาโกนต่อแทนผมที.."

งานนี้หลวงพี่คมสันท่านเลยมารับหน้าที่แทน

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์ : "หลวงพี่ดอย..งานนี้ผมไม่โกนให้แล้วนะ แต่เวลาผมมาขอให้หลวงพี่ปลงผมให้ "อย่าเอาคืน" ถือว่าผมทำไปโดยไม่ได้เจตนา.."

หลวงพี่ดอย : "ไม่เป็นไร..แค้นนี้ต้องชำระกันซักวัน.."

งานนี้ก็สอนให้ผมรู้ว่า ทำอะไรที่เราถนัดและมีความสามารถจะดีกว่า อย่าได้เอาคนอื่นเป็น "หนูทดลองยา" เลย มันเสียว..!

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n...d/P9140610.jpg

งานนี้งานแรกที่ "หลวงพี่บอย" ยอมโผล่หน้าให้ถ่ายภาพครับ ส่วน "หลวงพี่ต้อมร่างยักษ์" อยู่ทางด้านขวามือสุดแถวสุดท้าย

วาโยรัตนะ 12-11-2009 21:21

๑๗. "คลิตี้...ดินแดนแห่งมนต์ขลัง" (อย่าลืมภาวนาเด็ดขาด)

เมื่อทุกอย่างพร้อมและวาระมาถึง"นัดล้างตา"ก็เกิดขึ้น คราวนี้พวกเราต้องไปให้ถึงคลิตี้ให้ได้...ว่าแล้วก็ห่มจีวรพลางตรวจสอบกล้องถ่ายรูปว่าพร้อมหรือไม่ ด้วยความรอบคอบแบบนี้ เลยทำให้กระผมขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย

ทิดแก้วกับรถกระบะคู่ใจ พร้อมด้วยพระอีก ๑๐ รูป นำโดยพระครูน้อยก็ออกเดินทางทันที คณะเราออกจากวัดท่าขนุนหลังจากฉันเช้าเสร็จ เราเดินทางจากวัดท่าขนุนไปตามเส้นทางหมายเลข ๓๒๓ เข้าทางบ้านทิพุเย ในส่วนของ อบต.ชะแล ผ่านบ้านทุ่งนางครวญ บ้านห้วยเสือ อุทยานแห่งชาติลำคลองงู เส้นทางบางช่วงก็อย่างที่เคยเล่าไปว่า ยังเป็นถนนลาดยางสลับกับถนนลูกรังดินแดงอยู่ ผ่านหมู่บ้านเป็นระยะ ๆ สลับกับไร่มันสำปะหลังที่แซมด้วยข้าวไร่ดูเขียวขจีไปหมด นี่คือชีวิตเรียบง่ายของชาวบ้าน ซึ่งบางทีเราแทบจะลืมกันไปแล้วว่า ความสงบที่พึ่งพิงอยู่กับธรรมชาตินั้นเป็นอย่างไร

รถทำความเร็วได้ไม่มากนัก เราใช้เวลาเดินทางไปเรื่อย ๆ คือให้ทันเพลที่คลิตี้ เรากำลังจะเข้าไปยังดินแดนของชาวกะเหรี่ยงซึ่งนิสัยใจคอของชาวกะเหรี่ยงนี้ "รักใครรักจริง เกลียดใครก็เกลียดจริง..!"

สำหรับพวกเราที่เป็นพระ หลวงพ่อมักจะเตือนเสมอว่า "อย่าได้วางใจใครไม่ว่าจะเป็นคนหรือในความเป็นทิพย์ทั้งหลาย เพราะความที่เราเป็นพระ บางสิ่งบางอย่างเขาลองกับคนอื่นไม่ได้ เขาก็ลองกับพระ จะฉัน จะลุก จะยืน จะนอน กันไว้ดีกว่าแก้ ให้มีสติเสมอ ก่อนฉันให้พิจารณาอาหาร แล้วว่า "คาถาบารมี ๓๐ ทัศ" ดังนี้

อิติปาระมิตาติงสา อิติสัพพัญญูมาคะตา
อิติโพธิมะนุปปัตโต อิติปิโสจะเตนะโม
นะ โม พุท ธา ยะ

นึกภาพพระคลุมข้าวปลาอาหารทั้งหมด จะเป็นการแก้คุณไสยทุกชนิดที่เขาทำมาลองดีหรือหวังประทุษร้าย

พวกเราเองได้ยินชื่อเสียงความขลังในเรื่องของไสยศาสตร์ของชาวกะเหรี่ยงมากันพอสมควร จึงไม่ประมาท พยายามจับคำภาวนาในใจตามแต่ใครถนัดแบบไหนก็ว่ากันไป เพื่อให้เกิดกำลังใจมั่นคง

หลังจากใช้เวลาไปเกือบสามชั่วโมง พวกเราก็เดินทางผ่านถนนช่วงหลัง ซึ่งมีสภาพเหมือนเส้นทางไปดาวอังคาร คือเต็มไปด้วยหลุมบ่อและทางน้ำกัดเซาะ

พระครูน้อย(หลวงพี่ของชาวบ้าน) บอกผมว่า เวลานั่งรถประจำทางในเมืองมันไม่สบายแบบนี้ คือ "ถนนมันเรียบเกินไป" แบบทางเข้าหมู่บ้านคลิตี้นี้นั่งแล้วสบายกว่า

กระผมเองก็ได้แต่กระพริบตา กลืนน้ำลายแทบจะไม่ลง เพราะเริ่มรู้สึกได้ว่า "มันเพลีย ๆ เหนื่อย ๆ แบบคนเมารถ"

รถกระสวยอวกาศของทิดแก้วค่อย ๆ เลี้ยวผ่าน "โรงเรียนบ้านทุ่งเสือโทน" อย่างช้า ๆ เนื่องจากที่นี่ไม่มีไฟฟ้า เราจึงเห็น "แผงรับพลังงานแสงอาทิตย์" เรียงรายทางด้านข้างของโรงเรียน แสงแดดยามเช้า ฟ้าใส ๆ กับอากาศเย็นสบาย ๆ มันชวนให้อยู่กับบรรยากาศแบบนี้ไปนาน ๆ จนลืมคำภาวนาไปหลายอึดใจ มองไปก็เห็น "วัดทุ่งเสือโทน (หลวงปู่เนป่อง)" ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ย ๆ เสียงเครื่องยนต์ที่ดับลงแปลว่าเรามาถึงที่หมายแล้ว

"อาปาเช่" สาวกะเหรี่ยงออกมาต้อนรับ เชื้อเชิญพระครูน้อยและพวกเราเข้าบ้าน...สภาพบ้านอันเรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยฝีไม้ลายมือใน "งานช่างไม้" ทำให้บ้านหลังเล็ก ๆ หลังนี้ดูมีแล้วมีคุณค่ามากกว่าห้องสี่เหลี่ยมที่คนในกรุงอยู่อาศัยกัน ทางด้านหน้ามีนอกชานกว้าง นั่งสบาย ลมพัดถ่ายเทตลอดเวลา

กระผม ท่านดอย ท่านนวย เดินสำรวจไปอย่างช้า ๆ ผมพยายามเก็บรายละเอียดตามปกติที่ผมเป็นอยู่แล้ว ต้นไม้ ใบหญ้า นก สัตว์ต่าง ๆ จนไปถึงสิ่งก่อสร้าง

เราตรงไปกราบรูปเหมือนของ "หลวงปู่เนป่อง" ซึ่งแกะสลักด้วยหินทรายจากยอดเขาภูพาน แล้วเข้าไปกราบพระประธานภายในโบสถ์.....

หลังจากนั้นเราก็ตรงไปยังหอระฆังและศาลา ซึ่งถ้าจำไม่ผิด ชาวกะเหรี่ยงเขาถือทิศใต้เป็นทิศมงคล เมื่อก่อนพระประธานภายในศาลาหันไปทางทิศใต้ พระครูน้อยเมื่อครั้งที่ท่านยังเป็นเจ้าอาวาสที่วัดนี้ ท่านได้ทำความเข้าใจกับชาวบ้าน ให้เปลี่ยนทิศทางของพระประธานให้ไปทางทิศเหนือแทน

หลังจากนั้นเราก็เดินกลับไปร่วมฉันเพลที่บ้านของ "อาปาเช่" กับข้าวกับปลาเต็มไปหมด สิ่งหนึ่งที่กระผมสะดุดตา คือ "แตงเปรี้ยว" ทีแรกก็งง ๆ นี่มันลูกอะไร ? ผลไม้หรือว่าผัก...

หยิบขึ้นมาพิจารณาแล้วถ่ายรูป หลังจากพิจารณาอาหารแล้วก็หยิบมาฉัน แตงกวานี่หว่า..! รสชาติออกเปรี้ยวเล็กน้อย แต่กรอบกว่าแตงกวาปกติ(เพราะผิวมันตึงมาก) กัดไปคำตามด้วยน้ำพริกปลาร้า ข้าวสวยอุ่น ๆ (ร้อน ๆ เดี๋ยวปากพอง) ทุกท่านเจริญศรัทธาและเจริญอาหารกันเต็มที่ หลังจากนั้นก็นั่งสนทนากันจนถึงเวลาเดินทางกลับ

จริง ๆ แล้วสิ่งที่เรากลัวมักจะเกิดจากเราได้ยิน ได้ฟัง หรือเกิดจากการปรุงแต่งของเราเอง แต่เรื่องของการไม่ประมาทเป็นเรื่องที่ดี ผมได้มาสัมผัส ได้มาเห็นกับตาตัวเอง ถือว่างานนี้เหมือนกับเราได้ทำข้อสอบแล้ว หายสงสัยไปหลายเรื่อง หลังจากที่เราแวะเยี่ยม "ผู้ใหญ่บ้าน" พร้อมกับนำผ้ายันต์พิชัยสงครามและยันต์มหาเศรษฐีมอบให้ พูดคุยทักทายปราศรัยกัน กว่าจะถึงเวลาร่ำลากัน ผมก็เห็นในความมีน้ำจิตน้ำใจ ความเป็นกันเอง ความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของเขาแล้ว ทำให้นึกถึงสำนวนที่ว่า

"ต้นไม้ไร้นกเกาะถึงดูไม่เหมาะก็ไม่เป็นไร แต่ถ้านกไร้ต้นไม้เกาะ มันดูไม่เหมาะเพราะไม่เหลืออะไร"

เห็นทีต้องขอไปขยายความในตอนต่อ ๆ ไปครับ

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w31.jpg

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w29.jpg

http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w30.jpg

วาโยรัตนะ 14-11-2009 12:10

๑๘."ให้มีความคล่องตัว"

ในช่วงเข้าพรรษา นับเป็นโชคดีของท่านต่าง ๆ ที่บวชเข้ามาในช่วงนี้ มีบุญรออยู่แทบจะทุกวัน หลวงพ่อท่านให้พระภิกษุสามเณรทุกรูป จับสลากเพื่อขึ้นเทศน์ในวันพระตลอดพรรษา ทุกวันพระจะมีเทศน์สองรอบ คือ รอบเช้า ๙.๐๐ น.และรอบค่ำ ๑๙.๓๐ น. ใครใคร่จะเลือกกัณฑ์เทศน์ไหนมานั้น หลวงพ่อท่านให้อิสระเต็มที่ กระผมเองเมื่อค่อย ๆ เปิดฉลากใบเล็ก ๆ ดูก็รู้ว่า ตัวเองได้เทศน์วันออกพรรษาช่วงเช้าซึ่งวันนี้เป็นวันที่หลาย ๆ ท่านภาวนาว่า "ขออย่าให้หยิบได้ใบนี้เลย.." แต่ตรงกันข้ามกับกระผม ที่ตั้งจิตอธิษฐานไว้ก่อนว่าขอให้ได้เถอะ เพราะตั้งใจจะอุทิศบุญให้โยมพ่อที่ล่วงลับไปแล้ว

เมื่อทราบกำหนดการกันแล้วว่า ใคร..? ท่านใดบ้าง(แสดงว่าบางท่านโชคดี..รอดตัวไป)ที่จะได้ขึ้นธรรมาสน์เทศน์ โปรดญาติโยมในวันไหน ? เวลาใดบ้าง ? ต่างก็กลับไปเตรียมตัวกันอย่างเต็มที่ งานนี้..คนไหนที่รู้ว่า ตัวเองไม่มีความสามารถหรือไม่มั่นใจ ก็ถึงกับออกปากไหว้วานหา "อาสาสมัครเดนตาย" ให้รับหน้าที่แทน ปัจจัยของกัณฑ์เทศน์ หลวงพ่อประกาศตั้งแต่ต้นแล้วว่า "ใครเทศน์คนนั้นก็ไป" ส่วนมากก็จะยกให้คนที่ขึ้นไปรับหน้าที่แทน ท่านแรกที่ขึ้นเทศน์ในพรรษานี้ คือ "ท่านนวย"

หลวงพี่นวย : "หลวงพี่..ผมละกลุ้มเลย งานนี้คนแรกด้วยสิ.."

หลวงพี่นวยบ่นพลางแอบซุ่มฟิตซ้อมเต็มที่ แล้วงานแรกก็ออกมาดี เลยเป็นที่กดดันท่านต่อ ๆ ไป
เวลาช่างรวดเร็วเหมือน "นกกระจอกกินน้ำ" หลายต่อหลายท่านผ่านไป บางท่านก็ทำหน้าที่ได้ดี เพราะมีความรับผิดชอบซักซ้อมมาก่อน แต่งานนี้มีท่านหนึ่งที่ถูกหลวงพ่อท่านดุเอา ชนิดที่ว่านั่งงงลงจากตั่งไม่ถูกเลย ก็คือ "หลวงพี่กุ๊ก" เพราะท่านประมาทมากเกินไป ไม่ได้ซักซ้อมให้เกิดความชำนาญคล่องตัว หลวงพ่อท่านประกาศหลังจากที่ท่านกุ๊กเทศน์เสร็จว่า "คนต่อไปอย่าให้เป็นอย่างนี้อีก..!" ทุกท่านเงียบสนิท

หลังจากนั้นไม่นาน หลวงพ่อท่านก็สอนว่า "เรื่องของการเทศน์จะต้องหมั่นซ้อม คนที่เทศน์ได้ดีนั้นต้องผ่านเวทีมาแล้วไม่น้อยกว่าร้อยธรรมาสน์ขึ้นไป หรือไม่ก็ผ่านการเรียนหลักสูตร "นักเทศน์" มาแล้ว ท่านบอกว่า ตั้งใจมากเกินไปก็ไม่ดี ไม่ตั้งใจเลยก็ไม่ดี ให้ทำกำลังใจกลาง ๆ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านกัณฑ์เทศน์ไป"

และแล้ว..ก็มีนักเรียนนอกหลักสูตรท่านหนึ่ง คือ "หลวงพี่ขวัญชัย" เรื่องที่จะเทศน์ ท่านแต่งเอง ไม่ได้เอามาจากกัณฑ์เทศน์ที่เตรียมเอาไว้ให้เลือกกัน

ทัดฤทธิ์-ทิดรัตน์: "หลวงพี่..คายความลับออกมาหน่อยซิ ว่าหลวงพี่จะเทศน์เรื่องอะไร ?"

หลวงพี่ขวัญชัย: "ไม่ได้..ความลับก็ต้องเป็นความลับสิ..!"

เอา..ในเมื่อท่านยืนยัน นอนยัน นั่งยัน ตะแคงยันถึงขนาดนั้นก็ตามใจ

และแล้ว..ท่านเทศน์ชนิดที่ว่า พระเณรทุกท่านนั่งลุ้นว่ามันจะจบได้หรือไม่ ? และจบอย่างไร ? ผมเองกลั้นหัวเราะจนแทบทนไม่ไหว,อาจารย์พงษ์,หลวงตาชาติ พระเณรอีกหลายรูป ไม่เว้นแม้แต่ญาติโยม แต่คนที่นิ่งที่สุดคือหลวงพ่อ พระครูน้อยท่านแอบกระซิบ
ว่า "นั่งใกล้ ๆ หลวงพ่อ บรรยากาศมันตึงเครียดสุด ๆ" งานนี้ถ้าจะเจองานเข้าชุดใหญ่แล้ว

สุดท้ายทุกอย่างก็จบลงได้แบบ "เครื่องบินหารันเวย์ลงไม่ได้"เพราะเทศน์วกไปวนมาอยู่หลายรอบ

รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง หลังฉันเช้าเสร็จ หลวงพ่อท่านประกาศว่า "อย่างที่ท่านขวัญชัยทำนั้นนับเป็นความคิดริเริ่มที่ดี แต่ทุกท่านอย่าได้ทำอีกเพราะเรื่องของการเทศน์นั้น ต้องเทศน์ให้ญาติโยมเขาฟังรู้เรื่อง ขนาดตัวคนเองแต่งเองยังไม่รู้เรื่องเลย แล้วแมวที่ไหนมันจะรู้..! ต่อไปห้ามแต่งเองอีก ยกเว้นว่าท่านเรียนจบนักเทศน์มา"

และแล้ว..วันของผมก็มาถึง ก่อนจะขึ้นธรรมาสน์ผมตรงไปกราบพระประธานบนศาลา,กราบหลวงพ่อ ในขณะกราบท่านหลวงพ่อท่านให้พรด้วยน้ำเสียงที่เมตตาว่า "ขอให้มีความคล่องตัว" วันนี้คนเต็มศาลาไปหมด น้อยกว่าวันรับยันต์เกราะเพชรประมาณ ๒๐ เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เมื่อขึ้นไปบนธรรมาสน์ มองไปเห็นคนเต็มไปทั้งศาลา ใจมันหวิวพิกล

หลังจากรวบรวมกำลังใจแล้วว่า งานนี้ขอบารมีพระท่านเมตตา ขอให้เป็นหน้าที่ของท่านในการสงเคราะห์ญาติโยม ช่วงแรก ๆ ผมเทศน์ผิด อ่านผิด ออกเสียงแล้วลิ้นมันพันกันไปหมด จึงค่อย ๆ รวบรวมกำลังใจอีกครั้ง ที่ผิดมันก็ผิดไปแล้ว แต่ที่จะอ่านต่อไปพยายามเอาใจจดจ่อ สลัดภาพของคนหมู่มากออกไป ตั้งใจว่า เทศน์ให้โยมพ่อฟัง

มาถึงตรงนี้ "เครื่องมันก็ติดแล้ว" ยิ่งอ่านยิ่งเพลิน ยิ่งเพลินก็ยิ่งเป็นสมาธิ จนมาถึงตอนจบ พยายามรวบรวมกำลัง ตั้งใจอธิษฐานอุทิศบุญให้ญาติโยมก็ดี ให้โยมพ่อโยมแม่ก็ดี และอธิษฐานเพื่อมรรคผลนิพพานของตัวเองก็ดี ถือว่าจบแบบสมบูรณ์จนลืมสลับขา

นั่งพับเพียบนาน ๆ มันทำเอาขาเป็นเหน็บชาไปหมด หลวงพ่อท่านประกาศบอกว่า "นั่งให้หายชาแล้วจึงค่อยลงจากธรรมาสน์" แต่ผมเองประมาทไป จึงค่อย ๆ เคลื่อนตัวลงมา ความรู้สึกตอนนั้นก็ปกติ แต่หลังจากคุกเข่ากราบพระ กราบหลวงพ่อแล้ว ที่รู้สึกได้คือ ขามันแข็งไปหมด พยายามจะพยุงตัวขึ้น หลวงพ่อท่านรู้ ท่านจึงโบกมือให้รู้ว่า ให้นั่งตรงนี้ก่อนอย่าเพิ่งลุกไป เพราะมันอาจจะล้มได้ เพราะประสาทมันชาไปหมด ผมเลยนั่งแล้วพยายามสูดลมหายใจเอาอากาศเข้าไปให้เยอะ ๆ สุดท้ายเมื่อมั่นใจแล้ว จึงค่อย ๆ ลุกเดินกลับไปนั่งที่ของตัวเอง
หลวงพ่อท่านเมตตา,ท่านรู้,ท่านผ่านประสบการณ์มามากต่อมาก ท่านคือครูที่เราควรเชื่อฟังให้มากที่สุด

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w32.jpg

๔ ตุลาคม ๒๕๕๒ "วันออกพรรษา" วัดท่าขนุน

วาโยรัตนะ 16-11-2009 09:48

๑๙."ต้นไม้ไร้นกเกาะถึงดูไม่เหมาะก็ไม่เป็นไร แต่ถ้านกไร้ต้นไม้เกาะ มันดูไม่เหมาะเพราะไม่เหลืออะไร"

ต้นไม้แต่ละต้น อิฐ หิน ดิน ทราย แต่ละก้อนที่พระเณรต่างช่วยกันทุ่มเทแรงกายแรงใจ ตอนนี้มองเห็นเป็นภาพที่ชัดเจน "ลานธรรม"ของวัดท่าขนุนค่อย ๆ ก่อตัวเป็นรูปธรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ ขนาบด้วยเรือนไม้ที่เอาไว้ให้ญาติโยมหรือผู้ปฏิบัติธรรมได้พักผ่อนหลบร้อนหลบฝน

ผ่านวันออกพรรษาก็มาถึงวันสำคัญที่ทุกท่านต่างตั้งตารอก็คือ "วันตักบาตรเทโว" หลวงพ่อให้เตรียมตัวขึ้นไปรอบนยอดเขาตั้งแต่แปดโมงเช้า หลังจากวันก่อนหน้านั้น ทุกท่านต่างเร่งจัดเตรียมพื้นที่ จัดวางขาตั้งไม้ พร้อมนำเอาไม้แผ่นจากโรงไม้มาวางเป็นทางยาวริมถนน ตั้งแต่ทางลงมาจากพระเจดีย์จนทอดยาวไปถึงทางขึ้นศาลา.......

ในวันตักบาตรเทโว ญาติโยมต่างเตรียมข้าวสารอาหารแห้งมาจับจองที่ทาง ไล่ตั้งแต่ทางลงพระเจดีย์ไปจนถึงสุดทางเดินขึ้นศาลา ภาพเหล่านี้ทำให้กระผมตระหนักถึงความศรัทธาที่ญาติโยมมีต่อพระ "พระคือเนื้อนาบุญอันประเสริฐ" ทำให้รู้สึกประทับใจมาก

เมื่อถึงเวลา..พระเณรทุกท่านต่างเตรียมพร้อม บางท่านไปรอบนเจดีย์ตั้งแต่เช้า หลวงพ่อท่านเดินขึ้นไป พร้อมกับมีเจ้าลูกหมาน้อยตัวหนึ่งค่อย ๆ ตามหลวงพ่อขึ้นไปจนถึงพระเจดีย์ เจ้าลูกหมาตัวนั้นมันคงรู้ว่า หลวงพ่อคือเนื้อนาบุญของมัน มันจึงแสดงออกด้วยทีท่าที่คอยเดินตามท่าน ถึงแม้ว่าขั้นบันไดทางขึ้นบางช่วงจะมีความสูงอยู่มาก แต่มันก็พยายามไปจนถึง......ขนาดพระเณรบางท่านและหลาย ๆ ท่านยังเหนื่อยกันแทบลิ้นห้อย แต่เมื่อเห็นภาพหลวงพ่ออุ้มเจ้าหมาน้อยตัวนั้น พร้อม ๆ กับที่หลวงพ่อท่านกล่าว "จับดูแล้วหัวใจมันเต้นปกติ มันไม่เหนื่อยเหมือนที่เราเหนื่อยกันเลย " พาเอาทุกท่านหัวเราะ "เจ้าตัวเล็กนี่มันสุดยอด" เสียงห้าว ๆ ของ "เณรเจ" กล่าวเสริม

หลังจากหลวงพ่อท่านนำสวดมนต์ถวายบูชาพระเจดีย์แล้ว ทุกท่านก็ตั้งแถว แล้วค่อย ๆ เดินลงมาจากยอดเขา บรรยากาศก็ดี,อากาศก็ดีเป็นอีกวันหนึ่งที่กระผมเองจะต้องเก็บเอาไว้ในความทรงจำไปตลอดชีวิต

ญาติโยมหลาย ๆ ท่านมาดักรอใส่บาตรตั้งแต่วิหารองค์สมเด็จบนยอดเขา สีทองของแสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านต้นไผ่ตัดกับสีเขียวของต้นไม้ใบหญ้า ดูแล้วสดชื่นยิ่งนัก มองลงไปเห็นพระเดินลงเป็นทิวแถว นำโดยหลวงพ่อ ผมก็อดใจที่จะถ่ายรูปเอาไว้ไม่ได้

ญาติโยมหลั่งไหลมาแทบทุกสารทิศของอำเภอทองผาภูมิ ทั้งลูกเด็กเล็กแดงคนเฒ่าคนแก่ ต่างเฝ้ารอใส่บาตรกันด้วยสีหน้าแววตาเอิบอิ่มไป เสียงเหรียญกระทบก้นบาตรไม่ขาดสาย ข้าวสาร อาหารแห้ง ดอกไม้ เต็มบาตรจนบางครั้งถ่ายเทให้เด็กวัดแทบไม่ทัน

นั่นคือคำว่า "ศรัทธา" นั่นคือคำว่า "เคารพ" ที่ญาติโยมแสดงออก มันยากที่จะอธิบายในความรู้สึกประทับใจของผม บางครั้งผมเห็นคุณยายแก่ ๆ ก็คิดถึงโยมแม่ คิดถึงโยมพ่อจับใจ อยากจะให้ท่านได้เห็นบรรยากาศแบบนี้ และอยากจะให้ท่านได้มีโอกาสตักบาตรพระลูกชายในที่นี้

วันนี้ต้นไม้ที่วัดท่าขนุนอันหมายถึง "ต้นไม้ในนาบุญ" มีนกเกาะเต็มไปหมดทุกต้น ไม่ว่าจะเป็นต้นใหญ่หรือต้นเล็ก ต้นไม้ที่ผมเปรียบเปรยนั้นก็คือ หลวงพ่อและพระเณรทุกรูป ที่ต่างก็ปฏิบัติในธรรมอันประเสริฐแห่งพระพุทธศาสนา ส่วน "นก" ก็คือญาติโยมทุกท่านที่พึ่งพาอาศัยหาความร่มเย็นใน ทาน ศีล ภาวนา โดยมีหลวงพ่อเล็กเป็นต้นโพธิ์ใหญ่อันร่มรื่น แตกกิ่งก้านสาขาออกไป ไม่ว่าจะเป็นเพื่อประโยชน์ต่อญาติโยมทางใด ท่านก็ยืนเป็นหลักชัยอย่างมั่นคง

"ต้นไม้ไร้นกเกาะถึงดูไม่เหมาะก็ไม่เป็นไร แต่ถ้านกไร้ต้นไม้เกาะ มันดูไม่เหมาะเพราะไม่เหลืออะไร"

พระพุทธศาสนาก็คือต้นไม้ยืนต้นที่ฝังรากลึกอย่างมั่นคง แตกกิ่งก้านสาขาออกไปมากมาย ปกคลุมให้เกิดความร่มเย็นแก่สรรพสัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย ที่ได้มาหลบร้อนภายใต้ร่มเงาของไม้ใหญ่ต้นนี้ ถึงจะไม่มีแม้แต่สัตว์น้อยใหญ่สักตัว ต้นไม้ต้นนี้ก็ยังคงหยัดยืนต่อไปอย่างมั่นคง

วันใดที่สัตว์น้อยใหญ่ทั้งหลาย พยายามจะไขว่คว้าค้นทางเส้นทางที่จะไปถึงยังต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ แต่ทว่าหลงลืมหาทางไม่เจอ ด้วย"วัชพืชแห่งกิเลส" ต้นไม้ต้นนี้ก็มิได้ด้อยค่าลงไปเลยแม้แต่น้อย.......

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
http://i113.photobucket.com/albums/n...island/w33.jpg

สุดใจ 16-11-2009 15:23

:onion082::onion082::onion082:ทิดรัตน์ สู้ สู้
อุตส่าห์พิมพ์เผยแพร่เป็นธรรมทาน

ยังประโยชน์ให้ผู้ไม่เลื่อมใสในพระรัตนตรัย ได้เลื่อมใสในพระรัตนตรัย :msn_smileys-15:

ยังประโยชน์ให้ผู้เลื่อมใสในพระรัตนตรัยแล้ว ยิ่งเลื่อมใสมากยิ่งขึ้น:msn_smileys-15:

เป็นตัวอย่างแก่รุ่นน้อง ๆ ไม่กลัวผิด ไม่กลัวพลาด

แต่กลัวจะไม่มีโอกาสได้เผยแพร่ธรรมะให้ผู้มืดบอดได้เห็นแสงสว่างในชีวิต

ถ้าไม่เกรงว่าน้องเต้ยอิจฉาจะกระโดดหอมซักฟอด:l43841274qn5::l43841274qn5:

วาโยรัตนะ 16-11-2009 21:51

ก่อนอื่นขอ "อ้วก" ก่อนนะครับ คำพังเพยเขียนเอาไว้ว่า "อายครูบ่รู้วิชา" ต้องขอขอบพระคุณทุก ๆ ท่านที่ให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอด ช่วงนี้งานมันเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ กระผมเองพยายามใช้เวลาให้เกิดประโยชน์คุ้มค่าให้มากที่สุด แต่ละตอนที่เขียนมันต้องเรียบเรียงออกมาจากความรู้สึกและรูปภาพที่มีให้ได้บรรยากาศและสาระ บางครั้งแค่สองสามบรรทัด นั่งคิดแล้วคิดอีก บางตอนใช้เวลาร่วมสองสามชั่วโมง แค่คิดและเขียน ยังไม่รวมมานั่งไล่แก้คำผิดนะครับ.....:l438412717dh8:

"ต้นไม้ไร้นกเกาะถึงดูไม่เหมาะก็ไม่เป็นไร แต่ถ้านกไร้ต้นไม้เกาะ มันดูไม่เหมาะเพราะไม่เหลืออะไร" เป็น "ท่อนสร้อย" ของเพลงเพลงหนึ่ง กระผมเองก็จำชื่อเพลงไม่ได้ ทำนองและคำร้องโดย "เทียรี่ เมฆวัฒนา" ผมฟังแล้วมันสะดุดใจให้คิด เลยเอามาวิปัสสนาเป็นข้อธรรมส่วนตัวของกระผมไปเรื่อย

วาโยรัตนะ 16-11-2009 21:54

คุณสุดใจ (ขาดดิ้น...ขอแถมหน่อยนะครับ) ขอบคุณมากครับ
หลวงพ่อท่านบอกกับผมว่า "ให้บ้าต่อไป" ผมเลยบ้าต่อเลย บ้าแบบที่ผมจะบ้าได้ในทางที่ดีเท่านั้นครับ อันนี้ไม่ขอสงวนลิขสิทธิ์ครับ

เถรี 17-11-2009 14:58

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ วาโยรัตนะ
"ต้นไม้ไร้นกเกาะถึงดูไม่เหมาะก็ไม่เป็นไร แต่ถ้านกไร้ต้นไม้เกาะ มันดูไม่เหมาะเพราะไม่เหลืออะไร"

ท่อนนี้พี่รัตน์คงแปลงเนื้อมาจากเพลง คู่รัก
"ต้นไม้ไร้นกเกาะ ดูไม่เหมาะเพราะไร้ชีวา ผืนดินในถิ่นท้องนา ถ้าไม่โดนไถไหนเลยดินจะดี..." จริง ๆ คนร้องเพลงนี้มีหลายเวอร์ชั่นค่ะ แต่เถรีชอบเวอร์ชั่นที่ประกอบละครค่ะ ฟังมาตั้งแต่สมัยประถม :b048a2d2:


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:35


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว