กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2528)

เถรี 10-03-2011 06:59

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๔
 
ให้ทุกคนขยับนั่งในท่าที่สบายของเรา ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติทั้งหมดอยู่เฉพาะหน้า หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา หายใจเข้าผ่านจมูก..ผ่านกึ่งกลางอก..ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออกจากท้อง..ผ่านกึ่งกลางอก..มาสุดที่ปลายจมูก จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามแต่เราถนัด

วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๔ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๔ วันนี้มีงานใหญ่ระดับประเทศ คือ งานพระราชทานเพลิงศพหลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน พวกเราเรียกท่านว่าหลวงตากันจนเคยชิน บางทีก็ลืมไปเลยว่า ท่านเป็นถึงเจ้าคุณพระธรรมวิสุทธิมงคล

ถ้าพระระดับชั้นเจ้าคุณธรรมมรณภาพลง มักจะได้รับโกศพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ไม่ได้ให้ดูตรงที่ว่าหลวงตาได้รับเกียรติยศ มีชื่อเสียง เป็นที่เคารพนับถือของประชาชนจำนวนมาก แต่ต้องการให้ดูอยู่ ๒ จุดด้วยกัน

จุดแรกก็คือ เมื่อหลวงตาท่านปฏิบัติธรรมไปจนถึงจุดหนึ่งแล้ว มั่นใจในความดีของตนแล้ว หลวงตาก็ได้ช่วยเหลือประชาชน ช่วยเหลือประเทศชาติของเรา โดยเฉพาะจุดที่เป็นงานซึ่งสร้างชื่อเสียงหลวงตาให้ระบือลือลั่นมากที่สุด ก็คืองานทอดผ้าป่าช่วยชาติ ได้ทองคำเข้าสู่คลังหลวงเป็น ๑๐ ตัน กลายเป็นทุนสำรองส่วนหนึ่งของประเทศไทยเรา

เราจะเห็นได้ว่าบุคคลผู้ที่ปฏิบัติธรรมนั้น ไม่ใช่ว่าเอาแต่ทางธรรมอย่างเดียวโดยไม่ข้องเกี่ยวกับทางโลก ผู้ที่ปฏิบัติธรรมจะต้องปฏิบัติตนในลักษณะ โลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย โดยเฉพาะว่าการอยู่กับโลกนั้น เราต้องเคารพสมมติทางโลก

เถรี 11-03-2011 05:00

เมื่อมีโอกาสที่จะช่วยเหลือผู้อื่น หรือว่าช่วยเหลือส่วนรวมได้ ก็ทุ่มเทความพยายามทำอย่างเต็มที่ และเมื่อบุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมจนทรงความดีได้ถึงระดับหนึ่ง ตั้งใจทุ่มเทกระทำงานใด ๆ ก็ตาม มักจะได้ผลมากกว่าคนอื่นเขา

เพราะว่าสติ สมาธิ และปัญญาของท่านจดจ่อแน่วแน่อยู่ที่เดียว อยู่กับงานเดียว อยู่กับสิ่งที่ทำเฉพาะหน้า เมื่อเราเห็นตัวอย่างตรงจุดนี้ จะเห็นได้ประโยชน์ของการเจริญกรรมฐานของเราอย่างหนึ่งว่า สามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งในทางโลกและทางธรรม

ในทางโลกนั้น ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติธรรม สติ สมาธิ และปัญญาจะทรงตัวมั่นคงกว่าบุคคลทั่ว ๆ ไป จะทำการทำงานใดก็ตาม เมื่อประกอบไปด้วยสติสัมปชัญญะ ก็จะมีความละเอียดรอบคอบ งานการจะสำเร็จลงโดยเร็ว เพราะว่าสมาธิไม่เคลื่อนคลายไปไหน มุ่งอยู่กับงานเฉพาะหน้า ผลงานก็จะออกมาดี เพราะสภาพจิตละเอียดมากเท่าไร ผลงานก็จะออกมาดีมากเท่านั้น

ขณะเดียวกัน ในส่วนของทางธรรม ถ้าหากว่าตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น สิ่งที่เราปฏิบัติทั้งศีล สมาธิ และปัญญาก็จะหนุนเสริมให้เรามีกำลัง ให้เรามองเห็นช่องทางที่จะหลีกหนีไปเสียจากโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากนี้ เพื่อที่จะก้าวพ้นจากการเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากอย่างนี้

นี่เป็นจุดหนึ่งที่อยากให้พวกเราศึกษาหรือว่าดูตัวอย่างของหลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ท่านเป็นแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติของพวกเราว่า นักปฏิบัติที่ทำได้จริง ๆ ไม่ใช่ทิ้งโลกไปเลย แต่ว่ายังคงอาศัยอยู่กับโลก ยังสามารถทำประโยชน์ให้กับโลก ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

เพียงแต่ว่าสภาพจิตของท่านไม่ได้ยึดข้องอยู่กับโลก หากแต่อยู่ในลักษณะของน้ำกลิ้งบนใบบอน แต่ว่าไม่ได้ติด ไม่ได้เปียกอยู่กับใบบอน สามารถรักษาสภาพความผ่องใสของจิตใจเอาไว้ได้ ทั้ง ๆ ที่ทำงานใหญ่เพื่อส่วนรวม

เถรี 12-03-2011 05:36

ประการที่ ๒ ที่พวกเราจะลืมไม่ได้ก็คือ แม้ว่าหลวงตาจะเป็นศิษย์รูปท้าย ๆ ของหลวงปู่มั่น ที่ยังดำรงขันธ์อยู่มาจนพวกเราสามารถทันยุคของท่าน แต่หลวงตาก็มรณภาพลงด้วยอายุ ๙๘ ปี ไม่ใช่ว่าจะอยู่ยั้งยืนยง

ถ้าหากว่าเราดูตัวอย่างย้อนไปในสมัยพุทธกาล องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา เมื่อดำรงขันธ์อยู่มาจนถึง ๘๐ พรรษาก็เข้าสู่ปรินิพพาน พระอรหันตเจ้าต่าง ๆ ก็มีทั้งที่ปรินิพพานก่อนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างเช่นพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร พระปชาบดีโคตมีเถรี เป็นต้น

หรือว่าที่ปรินิพพานหลังจากพุทธกาลเป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก อย่างเช่นพระอานนท์ เป็นต้น เพราะว่าพระอานนท์อยู่ต่อมาจนมีอายุ ๑๒๐ ปี จึงจะเข้าสู่พระนิพพาน แม้ว่าจะอายุยืนขนาดนั้นก็ตาม ในที่สุดทุกท่านก็ไม่สามารถที่จะฝืนกฎธรรมดาของสังขารร่างกาย ก็คือเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด

เมื่อเราเห็นแล้วว่า แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลก็ดี ตลอดจนกระทั่งหลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ที่เรารู้เห็นทันท่านในยุคนี้ก็ดี ท้ายสุดทุกท่าน ก็ต่างคนต่างตายเช่นกัน ความตายต้องมาถึงเราอย่างแน่นอน โดยที่กำหนดไม่ได้ด้วยว่าเราจะตายเมื่อไร

บางท่านยังไม่ทันจะได้เกิดจากท้องแม่ก็ตายแล้ว บางท่านคลอดเคลื่อนออกมาอายุไม่กี่เดือนก็ตาย บางท่านเป็นเด็กเล็กก็ตาย บางท่านเป็นเด็กโตก็ตาย บางท่านเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วก็ตาย บางท่านตายในวัยกลางคน บางท่านก็ตายในวัยแก่

ไม่ว่าคนหรือสัตว์ ทุกรูปทุกนาม เกิดมาเท่าไรก็ตายหมดเท่านั้น ไม่มีใครที่สามารถอยู่ยั้งยืนยงได้ และเกิดใหม่อีกเมื่อไรก็เกิดมาทุกข์เท่านั้น

เถรี 13-03-2011 15:58

เมื่อเป็นดังนี้ สิ่งที่เราจะลืมไม่ได้ก็คือ เราต้องทรงความไม่ประมาทอยู่เสมอ ตั้งใจปฏิบัติในศีลทุกสิกขาบทของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ถึงขนาดยอมให้ตัวตายดีกว่าศีลขาด ตั้งความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ เนื่องจากว่าเห็นคุณความดีของท่านทั้งหลายเหล่านั้นจริง ๆ ว่า

พระพุทธเจ้าทรงพระคุณอันยิ่งใหญ่ ตรัสรู้แล้วยังทรงลำบากตรากตรำ สั่งสอนสัตว์โลกทั้งหลายเพื่อให้เข้าถึงความหลุดพ้นอยู่ถึง ๔๕ ปีเต็ม ๆ พระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในอบายภูมิ ช่วยให้ผู้ปฏิบัติมีแต่ความเจริญ ก้าวสู่ภพภูมิที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนท้ายสุดก็หลุดพ้นไปพระนิพพาน

พระสงฆ์สาวกขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เมื่อปฏิบัติได้แล้วก็นำธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสั่งสอนเผยแผ่ต่อ ทำให้พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สามารถอยู่ยั้งยืนยงมาจนถึงพวกเราทั้งหลาย

เมื่อเราเห็นคุณความดีอย่างนี้ เราก็จะเกิดความเคารพคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างจริงใจ เป็นการเคารพที่ถูกที่ คือไม่ยึดติดในตัวบุคคล แต่เป็นการยึดคุณความดี ที่เป็นพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ และพระสังฆคุณจริง ๆ ก็เหลือข้อสุดท้ายคือเราต้องไม่ประมาท รู้อยู่เสมอว่าเราต้องตาย ในเมื่อเราตายแล้ว ขึ้นชื่อว่าการเกิดมาทุกข์อย่างนี้ เราไม่ต้องการอีก เราต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน

เถรี 13-03-2011 16:00

เมื่อมาถึงตรงนี้ ก็ให้เอากำลังใจของเราเกาะพระนิพพานไว้ ท่านใดที่ได้มโนมยิทธิ สามารถยกจิตขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพานได้ เราก็ไปของเรา ท่านใดที่ไม่ได้มโนมยิทธิ ให้นึกถึงพระพุทธรูปองค์ใดองค์หนึ่งที่เรารักเราชอบ กำหนดว่านั่นเป็นรูปแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน

พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ที่ไหนเลยนอกจากอยู่ที่พระนิพพาน ถ้าหากว่าเราตายลงไปเมื่อใด เราขอไปอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน เมื่อตั้งกำลังใจไว้อย่างนี้แล้ว ก็เอาจิตจดจ่อแน่วแน่อยู่กับพระพุทธรูปที่เรายึดเป็นนิมิตของเรานั้น

ถ้าหากว่ายังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ ให้กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับภาพพระ ถ้ายังมีคำภาวนาอยู่ กำหนดรู้คำภาวนาพร้อมกับลมหายใจเข้าออกและภาพพระของเรา ถ้าลมหายใจเข้าออกของเราเบาลง คำภาวนาหายไป ก็ให้กำหนดรู้อยู่ จะกำหนดภาพพระอย่างเดียวก็ได้ ให้วางกำลังใจมั่นคงเอาไว้กับลมหายใจเข้าออก กับคำภาวนา หรือกับภาพพระของเรา ตามแต่สภาพจิตใจ แล้วให้รักษาอารมณ์ใจนี้เอาไว้ จนกว่าจะได้รับสัญญานบอกว่าหมดเวลา


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันศุกร์ที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๔


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:56


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว