กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เดือนมิถุนายน ๒๕๖๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=135)
-   -   เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=9534)

ตัวเล็ก 12-06-2023 20:22

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๖
 
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๖



เถรี 13-06-2023 15:04

วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ เมื่อครู่ตอนทำวัตรเย็นรอบแรกที่กระผม/อาตมภาพต้องดุไป ก็เพราะว่าพวกเรามักจะผิดแล้วผิดอีกอยู่ที่เดียว คนเราถ้าตั้งใจแก้ไข ผิดอะไรต้องระมัดระวังตรงนั้น ไม่ใช่เผลอเมื่อไรก็ผิดอีก โดยเฉพาะถ้าทำซ้ำ ๆ กันแล้ว ต่อไปก็จะความเคยชินในทางที่ผิด

ถ้าเติบโตต่อไปในภายภาคหน้า มีลูกศิษย์ลูกหา เขาก็จะคิดว่าครูบาอาจารย์ถูก แล้วก็จะตามไปแบบผิด ๆ นานไป ผิดก็จะกลายเป็นถูก อย่างในปัจจุบันนี้แทบจะหาวัดที่สวด "อัญชะลิกะระณีโย" ไม่ได้ เพราะว่าผิดเป็น "อัญชลี" มาตลอด บางท่านพอพวกเราสวด ก็คิดว่าที่พวกเราสวดนั้นผิด ถึงขนาดต้องไปเปิดพระไตรปิฎกภาษาบาลีดู ถึงได้ยอมรับว่าที่พวกเราสวดนั้นถูก

การเป็นนักปฏิบัติธรรมที่ดีต้องมีการปรับปรุงแก้ไขตนเองอยู่เสมอ โดยเฉพาะพยายามทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวานให้ได้ สิ่งที่เราทำ บางคนอาจจะเห็นว่าซ้ำ ๆ ซาก ๆ กันอยู่ทุกวัน แต่ว่าเราสามารถทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวานได้หรือไม่ ? วันนี้เรามาทำวัตรเช้าได้ทัน หรือว่าเรายังคงเหมือนเดิม ก็คือมาเอาตอนที่จะจบแล้ว

เรื่องแค่นี้เป็นการวัดกำลังใจในการปฏิบัติได้ดีที่สุด ถ้าหากว่ากิจการงานของพระภิกษุสามเณร แค่ในเรื่องของการสวดมนต์ ทำวัตร บิณฑบาต กรรมฐาน กำลังใจของเราไม่ได้จดจ่ออยู่ ก็อย่าหวังความก้าวหน้าในพระศาสนานี้เลย เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

กิจการงานที่เราจะต้องทำ ความจริงมีไม่มากเลย แต่ว่าพวกเราก็จะมักจะทำไม่ได้ดี หรือจะใช้คำว่า "ไม่ได้เรื่อง" ก็ได้..! แค่มาทำวัตรเช้าก่อนเสียงตามสายดังยังทำไม่ได้ แล้วจะไปทำมาหากินอะไร ? เพราะว่าในเรื่องของการหลับ ถือว่าเป็นส่วนของอวิชชา สภาพจิตไม่อาจที่จะตื่นรู้ได้ แล้วสมัยนี้เครื่องไม้เครื่องมือที่จะช่วยในการปลุกพวกเรามีมากมาย ถ้าเครื่องมือยังช่วยไม่ได้ แล้วใครจะมาช่วยเรา ?

ในสมัยแรก ๆ กระผม/อาตมภาพตั้งใจว่าจะต้องตื่นตี ๓ ทุกคืน เพื่อที่จะเจริญพระกรรมฐาน เมื่อบังคับตัวเองให้ตื่นไม่ได้ก็ต้องใช้นาฬิกาปลุก และใช้นาฬิกาปลุกถึง ๓ เรือน วางไว้เรือนละมุมห้อง คือจะไม่วางไว้ใกล้ที่นอน เพราะว่าถ้าวางไว้ใกล้ที่นอน เอื้อมมือถึง แตะทีเดียว เสียงเงียบ เราก็จะหลับต่อ แต่พอนาฬิกาปลุกดัง เราต้องคลานไปถึงมุมห้อง อย่างไรเสียก็ต้องตาสว่าง ถ้าหากว่าปิดแล้วนอนต่อ ก็ยังมีอีก ๒ เครื่องรอดังต่อไปอีก ๓ นาทีข้างหน้า ถ้าคลานไปปิดถึง ๓ เครื่องแล้วนอนต่อ ก็สมควรตายได้แล้ว..!

เถรี 13-06-2023 15:09

ภาวนาจนกระทั่งสภาพจิตหลับกับตื่นรู้เท่ากัน สามารถกำหนดได้ว่าตัวเองจะตื่นเวลาไหน ถึงได้เลิกใช้นาฬิกาปลุก สรุปว่า ๓๐ กว่าปีที่ผ่านมา กระผม/อาตมภาพไม่เคยใช้นาฬิกาปลุกเหมือนกับท่านทั้งหลาย แต่ใช้วิธีกำหนดใจว่าจะตื่นเวลาไหน แล้วก็ทำได้ตามนั้น เพียงแต่ว่าบางวัน ถ้าหากว่าเหนื่อยกลับมามาก ๆ ลืมตั้งกำลังใจไว้ก่อนนอนก็มี "ยาว" เหมือนกัน แต่ว่าทันทีที่ได้ยินเสียงตามสาย ก็ต้องรีบลุกเพื่อมาเจริญพระกรรมฐาน

การเจริญพระกรรมฐานคือการรักษาใจของเราไม่ให้กิเลสเข้ามากินได้ ต่อให้ไม่สามารถที่จะประหัตประหารกิเลสให้ตายดับลงไป อย่างน้อย ๆ ก็ต้องระวังไม่ให้มากินใจเราได้ ไม่อย่างนั้นแล้วการบวชของพวกเราก็ถือว่าเป็นโมฆะ เพราะว่าสภาพจิตก็ยังคงมืดบอด รัก โลภ โกรธ หลง ท่วมตัวเหมือนกับฆราวาส..!

ถึงเวลาเราก็ออกบิณฑบาต ญาติโยมยกขันข้าวจบเหนือหัว หวังจะได้บุญได้กุศลจากเราที่เป็นปูชนียบุคคล เป็นบุคคลที่เขามั่นใจว่าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ แล้วเราไม่มีอะไรที่ดีกว่าชาวบ้านเขาเลย นอกจากโกนหัวแล้วก็แต่งตัวไม่เหมือนเขา ถ้าลักษณะอย่างนั้น เราก็จะขาดทุน โดน "กินตัว" ไปอยู่ทุกวัน

สมัยที่กระผม/อาตมภาพบวชใหม่ ๆ อยู่ที่วัดท่าซุง พักอยู่ที่ตึกกองทุน หลังเดียวกับหลวงน้ามีชัย สุนฺทโร ท่านเตือนอยู่เสมอว่า "ท่านเล็ก ถ้าบวชแล้วไม่ตั้งใจปฏิบัติ เราจะขาดทุนนะ ก่อนญาติโยมใส่บาตร เขายกข้าวจบเหนือหัว อธิษฐานแล้วว่าเขาต้องการอะไร ถ้าสิ่งที่เขาต้องการมีคุณค่าสูงมาก ก็จะดึงเอาความดีความงามจากตัวเราไปมาก ถ้าเรามีไม่พอ ก็เท่ากับเราขาดทุน ติดลบอยู่ทุกวัน..!"

แม้ว่านี่จะเป็นความเชื่อเฉพาะตนของหลวงน้าท่านก็ตาม แต่ว่าสิ่งที่ท่านปฏิบัติ กระผม/อาตมภาพก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง อย่างเช่นว่าท่านทำวัตรค่ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว กลับกุฏิไป ยังจุดธูปเทียนไหว้พระสวดมนต์ต่ออีกเป็นชั่วโมง แล้วท่านสวดเสียงดัง กระผม/อาตมภาพได้ยินตลอด นั่นคือคนที่รู้จักละอายชั่ว กลัวบาป กลัวว่าตนเองมีบุญไม่พอตามที่ญาติโยมเขาปรารถนาในการสงเคราะห์แต่ละครั้ง จึงต้องเร่งสร้างบุญกุศลให้มากเข้าไว้

เถรี 13-06-2023 15:11

เราทั้งหลายก็ลองเปรียบเทียบดูว่า สิ่งที่เราทำนั้นสมกับที่เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสหรือยัง ? แค่ทำวัตรเช้า ทำวัตรค่ำ เจริญกรรมฐาน ยังไม่มีกำลังใจที่จะมาก่อนเวลา มาถึงทีไร เห็นหลวงพ่อนั่งอยู่ก่อนแล้ว ก็ไม่ได้มีความละอายใจ คิดว่าเป็นเรื่องปกติ ทำไมไม่ลองคิดดูบ้างว่า "เราจะมาก่อนท่านให้ได้สักวันหนึ่ง"

ลูกศิษย์จะเอาดีได้ต้องใช้ความพยายามสูงมาก เนื่องเพราะว่าเป็นปกติธรรมดาเลยว่าการถ่ายทอดความรู้จากรุ่นสู่รุ่น จะมีการขาดตกบกพร่องลงไปเสมอ ครูบาอาจารย์เรียนมา ๑๐๐ เมื่อถ่ายทอดสอนต่อพวกเรา อย่างดีที่สุดก็ได้ไม่เกิน ๘๐ แล้วพอพวกเราไปสอนต่อ ลูกศิษย์รับไป อย่างดีก็ ๖๐ พอลูกศิษย์ไปสอนต่อ หลานศิษย์รับไปก็ ๔๐ แค่สามรุ่นเท่านั้น แทบจะเจ๊งไม่เป็นท่าแล้ว..!

อยากจะได้เหมือนครูบาอาจารย์ท่านสอนมา ๑๐๐ ความพยายามของเราอย่างน้อยต้อง ๑๒๐ ไม่ใช่ทำตัวตามสบาย บางท่านกำลังใจของท่านทรงตัวแล้ว ท่านอาจจะทำตัวตามสบาย เพราะว่าสามารถกลมกลืนกับกิจกรรมรอบตัวได้ ส่วนไอ้พวกเราที่ยังไม่ได้อะไรเลย แล้วไปสบายตามเขา ก็หาที่ตายชัด ๆ..!

กิเลสไม่เคยปรานีเรา มีแต่เฆี่ยน มีแต่ตี มีแต่กระหน่ำเราอยู่ทุกวัน จนแทบจะอยู่ในผ้าเหลืองไม่ได้ ถ้าเราไม่ได้มีความคิดที่จะต่อต้าน ต่อสู้ ให้สมกับเป็นทหารในกองทัพธรรมเลย มีแต่ตามใจกิเลส ต้องกินให้ได้อย่างใจ ต้องนอนให้ได้อย่างใจ แล้วถ้าอย่างนั้นจะบวชมาทำอะไร ? เป็นฆราวาสสบายกว่าตั้งเยอะ

ชาวบ้านเขาเคารพ เขากราบไหว้เรา เพราะวัตรปฏิบัติของเราเข้มข้นกว่า กฎเกณฑ์กติกาในการยึดถือมีมากกว่า ถ้าเราทำตัวเหมือนกับฆราวาส แล้วจะเอาความดีอะไรไปให้เขากราบไหว้บูชา ? เท่านั้นยังไม่พอ เขายังหวังปรารถนาบุญ ปรารถนากุศลจากเราอีก ถ้าเราสร้างบุญกุศลไม่พอ ก็อย่างที่หลวงน้ามีชัยท่านว่า ก็คือขาดทุนอยู่ทุกวัน แล้วไอ้คนขาดทุนอยู่ทุกวัน นาน ๆ ไปแล้วไม่ล้มละลายนั้น จะเป็นไปได้อย่างไร ?

เถรี 13-06-2023 15:13

บางทีท่านทั้งหลายอาจจะคิดว่าต้องให้กระผม/อาตมภาพคอยบ่นคอยด่าอยู่ตลอด ไอ้คนคิดในลักษณอย่างนั้นเอาดีไม่ได้..! คนที่จะเอาดีได้ ครูบาอาจารย์บอกกล่าวครั้งเดียวต้องทำตลอดชีวิต ไม่ใช่สองวันสามวันมาด่ากันทีหนึ่ง ตัวกระผม/อาตมภาพเอง หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านบอกอะไร กระผม/อาตมภาพยึดเป็นข้อวัตรปฏิบัติตลอดชีวิต คำสอนทุกอย่างกระผม/อาตมภาพฟังเป็นคำสั่ง ก็คือท่านบอกมาเราต้องทำ ถ้าฟังเป็นคำสอนก็จะกลายเป็นลมผ่านหูไปเฉย ๆ จะทำหรือไม่ทำก็ได้ ปฏิปทาเหล่านี้ ลองคิดดูว่าเราทำตามได้บ้างหรือเปล่า ? เสียงตามสายวันละ ๔ เวลา เคยตั้งใจฟังแล้วปฏิบัติตามบ้างไหม ?

เมื่อเปรียบเทียบดูแล้ว เราก็สามารถให้คำตอบตัวเองได้เลยว่า ชีวิตนี้จะเอาดีในสภาพนักบวชได้ไหม ? เพราะว่าถ้าตราบใดที่กิเลสยังกินใจเรามากกว่าความดีเกาะใจ โอกาสที่เราทำแล้วจะได้ดีในความเป็นนักบวชก็ยาก แม้ว่าเวลาเราสร้างบุญสร้างกุศลจะได้มากกว่าฆราวาส เพราะกฎเกณฑ์กติกามีมากกว่า แต่เวลาเราทำผิดทำพลาด ก็เกิดโทษมากกว่าหลายเท่าเช่นกัน..!

พวกท่านจึงควรที่จะสังวรระวังเป็นอย่างสูง พยายามทำตามพระธรรมวินัยและกฎเกณฑ์กติกาของวัดให้ได้ เพราะว่าแต่ละสิ่งนั้นล้วนแล้วแต่ช่วยป้องกันพวกเรา ให้สามารถที่จะอยู่ในพระพุทธศาสนาได้โดยที่ไม่ลำบากมากนัก แต่ถ้าพวกเราไม่ยึดถือกฎเกณฑ์ ก็ตัวใครตัวมัน ท้ายสุดก็กลายเป็นซากศพที่โดนคลื่นซัดขึ้นสู่ฝั่ง หาประโยชน์อะไรไม่ได้ นอกจากเน่าเหม็นเป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป..!

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันจันทร์ที่ ๑๒ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:02


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว