เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ เดือนมกราคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์กล่าวว่า "ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ทุกคนเห็นว่าเป็นเทศกาลแห่งความรื่นเริง แต่อาตมากลับมองไปที่ภัยจากความตายหรือมรณานุสติซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้
แค่ในช่วงที่อาตมาเดินทางเข้ามาที่กรุงเทพฯ ระหว่างทางก็พบอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เฉพาะแค่วันที่เดินทางเข้ามา มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นถึง ๔ ราย แถมเป็นขาเข้าเสียด้วย การที่เราเป็นนักปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน ต้องรู้จักมองในหลาย ๆ ด้าน รู้จักพิจารณาในด้านของตน แล้วก็พิจารณามองออกไปในด้านอื่น ๆ เป็นอนุโลม ปฏิโลม มองออกไปและมองเข้ามา ถ้าเรารู้จักมองอย่างนี้ก็จะได้มุมมองอะไรที่ดี ๆ และเป็นธรรมะอีกมาก ส่วนใหญ่ก็จะเป็นมุมมองที่ถูกต้องเสียด้วย" |
ครั้งหนึ่ง อาตมาเคยนั่งรถแท็กซี่ในกรุงเทพฯ ปรากฏว่าแท๊กซี่ขับ ๆ ไป รถเกิดติดตรงไฟแดงพอดี โดยที่รถคันข้างหน้าได้ทำการแหกไฟเหลืองไปได้ทัน โชเฟอร์ก็เลยหันมาบอกกับอาตมาว่า "แหม..ท่าน ผมช้าไปนิดเดียว" อาตมาจึงบอกโชเฟอร์ไปว่า "โยมต้องคิดอย่างนี้สิว่า น่าดีใจออก ที่เราได้อยู่เป็นคันแรก"
|
นอกจากนี้ พวกเราต้องมองทุกอย่างให้เป็นครู ภาษิตจีนเขาบอกว่า"ขงเบ้งคนเดียว ก็สู้ช่างถักรองเท้า ๓ คนไม่ได้" จำไว้ เห็นขอทาน ๓ คนเดินมา ต้องคิดว่า อย่างน้อย ๆ ๑ ใน ๓ คนนั้นต้องเป็นครูให้แก่เราได้
|
มีเหตุรถน้ำมันพลิกคว่ำบริเวณจุดลงทางด่วนอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ห่างจากที่บ้านอนุสาวรีย์ของพวกเราไม่ไกลนัก น่าจะสักประมาณ ๑๐๐ เมตร
พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครที่มีความมั่นใจในคุณพระศรีรัตนตรัย หรือมีพระศรีอินทราทิตย์เนื้อดินเผาที่อาตมาแจกในงานกฐิน ก็ลองอาราธนาแล้วเดินเข้าไปจุดไฟตรงบริเวณรถน้ำมันพลิกคว่ำ จะได้เป็นการพิสูจน์ความมั่นคงของจิตใจ และอานุภาพของคุณพระศรีรัตนตรัย บุคคลผู้มีความเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัยจริง ๆ อาตมานับเอาตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปนะ เพราะว่าถ้าต่ำลงมากว่านั้นจะบอกว่าเชื่อมั่นจริง ๆ ก็คงจะยังไม่ได้ ท่านท้าวจตุมหาราชทั้ง ๔ ได้ให้พรกับพระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านไว้ว่า หากบุคคลใดตั้งใจปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบัน ท่านก็จะสั่งให้เทวดาคอยให้การคุ้มครองทันที" |
"กฎกติกาแห่งความเป็นพระโสดาบันไม่มากหรอก แค่เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์จริง ๆ ๓ ข้อแล้วล่ะ อีกข้อก็คือมีศีล ๕ บริสุทธิ์ ไม่ทำเอง ไม่ยินดีที่เห็นคนอื่นทำ และไม่สั่งให้คนอื่นไปทำ ข้อสุดท้ายก็คิดว่าเราจะต้องตายแน่ ตายแล้วเราจะไปนิพพาน
ถ้า ๕ ข้อมันมากเกินไป ก็ลดมาเหลือ ๓ ข้อ คือ ความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวบเป็นข้อเดียวคือความเคารพในคุณพระศรีรัตนตรัย มีศีลบริสุทธิ์ คิดว่าตายจะไปพระนิพพาน ถ้า ๓ ข้อมันมากเกินไป ก็ลดลงเหลือแค่ข้อเดียว คือ การรักษาศีลให้บริสุทธิ์ โดยคิดว่าเราจะรักษาศีลก็เพราะเราเคารพในคุณของพระรัตนตรัย เพื่อที่ตายแล้วจะได้ไปพระนิพพาน" |
พระอาจารย์ยกตัวอย่างพระที่วัดท่าขนุน ซึ่งต้องเสียนิ้วเท้าด้วยเหตุจากโรคเบาหวาน "ท่านป๊อบกำลังใจเข้มแข็งและเด็ดขาดในหลาย ๆ เรื่อง แต่แพ้อยู่เรื่องเดียวคือเรื่องการกิน เห็นเป็นไม่ได้ต้องกิน
อาตมาบอกกับท่านป๊อบไปว่า "ถ้าคุณสามารถอดใจในเรื่องการกินได้ คุณก็สามารถที่จะอดใจในการไม่ละเมิดสิกขาบททั้งปวงได้ เพราะมันใช้กำลังใจเท่า ๆ กัน" พวกเราทั้งหมดก็เช่นกัน หากเราสามารถระงับจิตใจระงับความอยากของตนเองในเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้แล้ว การระงับความชั่วในด้านอื่น ๆ ก็สามารถทำได้เช่นกัน เพราะมันใช้กำลังใจเท่า ๆ กัน" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "บุคคลที่ก้าวข้ามสิ่งสมมติได้แล้วอย่างแท้จริง จะเคารพสมมติด้วย จะไม่มีการย่ำยีหรือดูถูกสิ่งสมมตินั้น
ยกตัวอย่างหลวงปู่มั่น ในวันที่หลวงปู่บรรลุธรรม หลวงปู่ได้ก้มกราบกระท่อม กราบแล้วกราบอีกอย่างสุดซึ้ง เพราะหลวงปู่ได้ใช้กระท่อมนั้นเป็นที่บำเพ็ญเพียรภาวนา ในขณะที่พระอีกรูปหนึ่งได้ย่ำยีพระพุทธรูป โดยเอาน้ำกรดราดพระพุทธรูปและตบเศียรพระ แล้วบอกว่า พระพุทธรูปเป็นแค่เพียงสิ่งสมมติ การทำเช่นนี้เป็นการขวางทางมรรคผลของเขาชัด ๆ " |
พระอาจารย์กล่าวว่า "โบราณเขาบอกว่า เจองูกับเจอแขก ให้ตีแขกก่อน
พวกแขกนะ เขาถือคติที่ว่า เขาทำอะไรคนอื่นได้ แต่ถ้าใครทำเขาไม่ปล่อยไว้แน่ เพราะฉะนั้น..ใครที่จะคบค้าหรือทำธุรกิจกับพวกนี้ อย่าเสี่ยงเลยจะดีกว่า" |
ถาม : เวลาที่อยู่ในฌาน ๔ แล้วสามารถฟังเสียงสัตว์รู้เรื่องได้ใช่หรือไม่คะ?
ตอบ : ถ้าไม่มีพื้นฐานนิรุตติมาก่อน ก็ฟังไม่รู้เรื่องหรอก นิรุตติ หรือนิรุตติปฏิสัมภิทาญาณ = มีปัญญาแตกฉานในด้านภาษา |
ถาม : แล้วที่บอกว่า โคตรภูญาณมีตั้งแต่ โสดาบัน สกิทาคา อนาคามี และอรหันต์ นั่นแสดงว่า อารมณ์โคตรภูญาณมีอยู่ในทุกระดับหรือคะ?
ตอบ : ใช่ ถาม : ถ้าอย่างนั้นอารมณ์โคตรภูญาณใช่อย่างเดียวกับมรรคหรือไม่คะ เช่น สกิทาคามิมรรค? ตอบ : โคตรภูญาณจะบางกว่า แต่ถ้าจะเปรียบเป็นมรรค ก็เหมือนกับมรรคเมื่อเริ่มต้น |
ถาม : ถ้าอยากจะตั้งโรงทานเพื่อเลี้ยงสัมภเวสี เปรต และอสุรกาย จะทำได้หรือไม่? และหากทำแล้วจะมีผลดีหรือผลเสียกับผู้ทำอย่างไร?
ตอบ : ทำได้ ก็นำเอาอาหารคาวหวานและเหล้า ไปวางไว้ที่ทางสามแพร่ง แล้วก็จุดธูปเชิญให้มากินกัน ถาม : ถ้าไม่มีเหล้าจะได้หรือไม่ครับ? ตอบ : ได้ สมัยก่อนหลวงปู่ปานท่านก็ทำ โดยหลวงปู่ท่านจะวงสายสิญจน์ไว้เป็นบริเวณ แล้วนำอาหารคาวหวานไปตั้งเอาไว้ ท่านว่ามีขนมจีน ๘ หาบ น้ำยาอีก ๘ หม้อ จากนั้นก็ทำพิธีเชิญหรือเรียกเขามากินนั่นแหละ หลังจากเชิญเสร็จ ก็ปรากฏว่า เขาแห่มากันจนท้องฟ้ามืดครึ้มไปหมด และในบริเวณนั้นก็จะปรากฏเสียงคนเดิน คนคุย และกินอาหารกันให้แซ่ดไปหมด ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้นได้ยินเสียงชัด แต่ไม่เห็นตัว..! พอผ่านไปสักพักหนึ่ง พอมีลมกรรโชกวูบมา และท้องฟ้าเริ่มมีแสงสว่างส่องกลับลงมาอีกครั้งหนึ่ง ก็ปรากฏว่า อาหารคาวหวานทั้งหลายมีขนมจีนเป็นต้น ได้อันตรธานหายไปจากวงพิธีแทบทั้งหมด นี่เขาไม่เรียกว่ากินแต่นาม แต่มันล่อรูปไปด้วยจนเกลี้ยงเลย..! |
ถาม : แล้วจะมีผลดีหรือผลเสียกับผู้ทำ?
ตอบ : พวกนี้ก็จะตามเราไปตลอดเวลาเลย ถ้าพวกนี้ตาม ขณะใดที่กุศลยังให้ผลกับเราอยู่ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าอกุศลกรรมเข้าหรือดวงตกเมื่อไหร่พวกนี้มันเอาแย่แน่ ๆ แบบผิดใจไม่ยอมให้มันกินอีกเสียที มันก็เล่นงานเอา ต้องมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา ถาม : แต่หลวงปู่ท่านทำได้ ตอบ : ก็นั่นหลวงปู่ |
ถาม : พิจารณาอสุภะแล้ว เท่าไหร่ ๆ มันก็ยังไม่รู้สึกเหม็นเสียที
ตอบ : ลองไปดูเขียงหมูแถว ๆ ตลาด ที่นั่นนะเหมือนกันไม่มีผิด ถาม : รู้สึกว่าปฏิบัติไปเรื่อย ๆ มันยิ่งยากขึ้น เพราะเมื่อก่อนเวลาที่มีอะไรเข้ามาทางอายตนะ จะเห็นว่ามันเป็นตัวรัก โลภ โกรธ หลง แต่เดี๋ยวนี้มันไปลงที่สักกายทิฏฐิทั้งหมด เลยกลายเป็นว่าเห็นว่ามันมีเยอะแยะบานตะไท ต้องระวังใจเยอะเลยค่ะ ตอบ : ถ้าจิตเราสามารถเห็นได้ละเอียดขนาดนี้ ก็แสดงว่ามีสติปัญญาสามารถพอที่จะสู้กับมันได้ ถาม : แต่ก็เห็นว่าสติเราช้ากว่ามันอยู่ดีค่ะ ตอบ : ถึงแม้จะช้า แต่ก็ยังดีที่ยังเห็นมัน |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เวลาที่พวกเรารู้สึกตกใจนั้น มันเป็นการส่งจิตออกนอกแล้วสติมันดึงกลับเข้ามาอย่างรวดเร็ว เหมือนกับใจมันวูบออกไป
ถ้าเราปฏิบัติไปเรื่อย ๆ ถึงจุดหนึ่งแล้วจะเห็นได้เองว่า เวลาเจออะไรก็ไม่รู้สึกตกใจ ต่อให้สิ่งนั้นเกิดต่อหน้าแบบฉับพลันก็ตาม มันก็ยังนิ่งอยู่ได้" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "อาตมารู้สึกว่าตัวเองเกิดมาแล้วรู้สึกคุ้ม เพราะอาตมาเจออะไรมาเยอะ ผ่านอะไรมาเยอะ คงเป็นเพราะอาตมาเป็นคนไม่กลัวอะไร ทีนี้ก็เลยชอบลองไปทั่ว รู้สึกว่าตัวเองเจออะไรมาเยอะกว่าคนอื่นเขา
เคยไปกินหูฉลามที่ภัตตาคารหนึ่ง สมัยนั้นชามเดียวเท่ากับเงินเดือนทั้งเดือนเลย ปรากฏว่าพอลองแล้ว รสชาติไม่เป็นที่ถูกปาก เพราะอาตมาชินกับรสชาติจัดจ้านในแบบอาหารไทย" |
พระอาจารย์กล่าวว่า "เมื่อในอดีตเรามีรูปร่างอย่างไร จะไม่ต่างจากในชาติปัจจุบัน"
ถาม : ทำอย่างไรจึงจะให้รูปร่างเปลี่ยนไปในทางที่สวยงามขึ้น? ตอบ : ให้สร้างหรือหล่อพระพุทธรูปให้งาม ๆ แล้วอธิษฐานขอให้ตนเองมีรูปงามดั่งพระพุทธรูปนั้น |
พระอาจารย์บอกว่า "บุคคลที่ถวายตาลปัตร ธรรมาสน์ หรืออาสนะรองนั่ง พวกนี้เป็นบุคคลที่มักโดนถีบให้เป็นผู้นำอยู่เสมอ เพราะตาลปัตรทำให้เด่น ธรรมาสน์ อาสนะ ทำให้สูงกว่าคนอื่นเขา"
|
หลวงพ่อบอกว่า "ในเรื่องการปฏิบัติเราต้องทำเสมือนว่าเป็นก้อนหินที่อยู่กลางลำน้ำ โดยไม่หวั่นไหวลอยตามกระแสน้ำไป แต่อย่าทำเป็นเสมือนใบไม้ใบหญ้า ที่แตกแพ ลอยไปตามกระแส"
|
พระอาจารย์บอกว่า "จงทำจิตใจของเราให้เหมือนดั่ง ดิน น้ำ ไฟ ลม คือ
แผ่นดิน รองรับคนและสัตว์ สิ่งที่ทั้งดีและไม่ดีอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน โดยไม่แบ่งแยกว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนี้ไม่ดี น้ำ มีความเต็มอยู่เสมอในขอบทั้ง ๒ ฝั่งอย่างเท่าเทียมกัน โดยไม่เลือกสถานที่ ไฟ เผาผลาญทั้งสิ่งดีหรือไม่ดีโดยเสมอภาค ไม่เลือกว่าจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี หากโยนเข้าไปในกองไฟ ไฟก็จะแผดเผาให้มอดสูญสลายไปเท่าเทียมกันโดยทั้งสิ้น ลม พัดไปในทุก ๆ สถานที่โดยเท่าเทียม ยังความสดชื่น เย็นสบายให้กับทุกสิ่งที่ลมพัดไปสัมผัส โดยเท่าเทียม ไม่มีเลือกว่าสิ่งนี้ดี สิ่งนี้ไม่ดี" |
พระอาจารย์เล่าเรื่องหลวงปู่ครูบาธรรมชัยให้ฟังว่า "หลวงปู่ครูบาธรรมชัยเป็นพระที่อ่อนน้อมมาก เวลาที่หลวงปู่นำผ้าไตรไปถวายให้หลวงพ่อ พอลูกศิษย์หลวงปู่ถือผ้าไตรใส่พานมา หลวงปู่ก็หยิบเอาผ้าไตรนั้นแล้วทูนไว้บนศีรษะ เดินเข้าไปถวายหลวงพ่อ ประมาณว่า ไม่มีสิ่งใดที่มีค่าพอที่จะใส่ผ้าไตรไปถวายหลวงพ่อได้อีกแล้ว เลยเอาศีรษะของท่านนี่แหละ เป็นที่รองรับผ้าไตรนั้น แล้วน้อมไปถวายหลวงพ่อ
หลวงปู่เป็นพระที่มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะ แต่ท่านไม่ถือตัวเลย และอีกประการ ตอนนั้นท่านยังไม่ได้เป็นพระอริยะเจ้า ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ตอนนั้นท่านยังไม่ได้เปลี่ยนใจไปเป็นพระอัครสาวกของพระศรีอริยเมตไตรย มานะท่านแทบจะไม่มีเลย อาตมาถ่ายรูปตอนนั้นไม่ทัน กำลังจะหยิบกล้องมาถ่าย หันมาอีกทีหลวงปู่ถวายเสร็จแล้ว ซึ่งภาพที่หลวงปู่กำลังถวายนั้นเป็นภาพที่งดงามมาก " |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:29 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.