กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=40)
-   -   เก็บตกงานหล่อพระ วัดเขาวง ๓๐ เมษายน- ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1813)

เถรี 09-05-2010 11:14

เก็บตกงานหล่อพระ วัดเขาวง ๓๐ เมษายน- ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓
 
ช่วงคืนวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๓ (พิธีพุทธาภิเษก)

ปัญญาที่เกิดจากปัญญาวิมุติ ก็คือ การหลุดพ้นด้วยการใช้ปัญญาพิจารณา จนเป็นบุคคลที่ทรงฌาน ไม่เหมือนกับบุคคลที่ทรงสมาธิตั้งแต่แรกเริ่ม นั่นเขาเรียกว่า ฌานลาภีบุคคล อันเกิดจากเจโตวิมุตติ คือการหลุดพ้นด้วยการใช้กำลังใจในการตัดกิเลสโดยตรง

จริง ๆ แล้วทั้งสองอย่าง ท้ายสุดต้องมาใช้แบบเดียวกัน บุคคลที่ฝึกฌานสมาบัติมา ก็ต้องใช้ปัญญาพิจารณาตัดกิเลสโดยอาศัยกำลังฌาน

บุคคลที่ฝึกวิปัสสนามา ก็ต้องอาศัยกำลังฌานในการช่วยตัดกิเลส โดยการพิจารณาจนจิตดิ่งลึกเข้าสู่องค์ฌานได้สำเร็จ

ทั้งสองอย่างต้องไปด้วยกัน เลือกเอาอย่างเดียวไม่ได้

เถรี 09-05-2010 11:17

อีกส่วนหนึ่งของหลวงปู่มหาอำพัน ก็คือบุญฤทธิ์

เมื่อสภาพจิตที่เข้าถึงความบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิงแล้ว ตัดสิ่งวุ่นวายรอบข้างหมดแล้ว เหมือนกับท่อน้ำประปาที่ไม่มีท่อแยก วิ่งตรงอยู่ท่อเดียว ย่อมมีกำลังเหลือเฟือ ในเมื่อกำลังระดับนั้น คิดจะให้เป็นอย่างไรก็เป็นแล้ว ถ้ามาฝึกอภิญญาก็คาดว่าไม่เกิน ๗ วัน ทุกอย่างต้องได้ครบถ้วนสมบูรณ์แน่นอน

แต่พระระดับนั้นหมดอยากเสียแล้ว อภิญญาจึงเป็นแค่เรื่องเด็กเล่น ใหม่ ๆ ก็มาเล่นทอยกอง เป่ากบ เล่นหมากเก็บ เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ก็ไม่มีอารมณ์จะเล่นแล้ว

พระอริยเจ้าตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป ตั้งหน้าตั้งแต่มุ่งตัดกิเลส บางท่านอาจจะยังเพลิน ยังสุขอยู่ในองค์ธรรมที่ตนเองทรงไว้ได้ ก็เพลินอยู่อย่างนั้น แต่ถ้าหลุดจากจุดของความเพลินเมื่อไร ก็จะมุ่งหน้าตัดกิเลสตอนนั้น ไม่มานั่งเล่นให้เสียเวลาแล้ว

อภิ แปลว่ายิ่งกว่า บวกกับอัญญา คือความรู้ กลายเป็นอภิญญา ความรู้ที่ยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่มีอะไรรู้ยิ่งไปกว่าการตัดกิเลส

ดังนั้น..ถ้าจะกล่าวไปแล้ว บุคคลที่ตัดกิเลสได้ตั้งแต่ระดับโสดาบันขึ้นไป คืออภิญญาบุคคลทั้งหมด

เถรี 10-05-2010 18:02

ท่านอาจารย์หยุดฟังเสียงท่านเอ๊ดประชาสัมพันธ์ จนจบแล้วจึงกล่าวว่า "พระมีศีลอยู่ข้อหนึ่งว่า ห้ามแสดงธรรมพร้อมกัน ภิกษุแสดงธรรมพร้อมกันปรับอาบัติปาจิตตีย์ ศีลขาดฟรี ๆ

คำว่าแสดงธรรมพร้อมกัน จริง ๆ แล้วก็คือแข่งกันพูด จนโยมไม่รู้จะฟังใครกัน เพราะฉะนั้นในเรื่องของศีล ถ้าหากว่าญาติโยมทั้งหลายยังปฏิบัติไปถึงระดับที่ว่า ขยับตัวเมื่อไรรู้ว่าศีลจะขาดหรือไม่ ถ้ายังทำไม่ถึงระดับนี้ถือว่าใช้ไม่ได้ แต่ถ้าทำมาถึงระดับว่า ขยับตัวเมื่อไรรู้ว่าศีลเราจะขาดหรือไม่ ก็พอจะอาศัยได้ แต่ยังไม่แน่ว่าจะรอด

อย่าลืมว่าศีลเป็นบทเริ่มต้นของการปฏิบัติ ในสิกขา ๓ สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเพื่อไม่ให้เราหลงทาง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ สรุปลงเหลือ ศีลสิกขา การศึกษาและปฏิบัติในเรื่องศีล จิตตสิกขา การศึกษาและปฏิบัติในสมาธิ และปัญญาสิกขา การศึกษาและปฏิบัติตามหลักปัญญาพิจารณา

เพราะฉะนั้น..นี่เป็นการบ้านใหญ่ที่ฝากพวกเราไว้ ทำอย่างไรที่เราจะมีสติระลึกรู้อยู่ ไม่ว่าจะยืน เดิน นอน นั่ง ดื่ม กิน คิด พูด ทำ ที่เรียกว่า นวจริยา


หมายเหตุ : นวจริยา คือ อิริยาบถ ๙ อย่าง ได้แก่ ยืน เดิน นอน นั่ง ดื่ม กิน คิด พูด ทำ

เถรี 10-05-2010 18:07

ถ้าหากว่าในนวจริยาของเรา ทำแล้วมีสติรู้ไม่รอบ แปลว่ายังมีช่องให้กิเลสกินเราอีกเยอะ

แม้กระทั่งหลวงพ่อฤๅษีของพวกเรา ท่านหัดวิ่งจงกรม อย่าคิดว่าวิ่งแล้วภาวนาไม่ได้นะ อาตมาทำมาแล้ว ซ้ายพุท-ขวาโธ ลงตัวพอดีเลย วิ่งแปดกิโล-สิบกิโล ไม่รู้สึกว่าเหนื่อยเลย เพราะว่าทรงสมาธิไว้

ดังนั้น..ในอิริยาบถไหนก็ตาม จำเป็นต้องมีสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะพระพุทธเจ้า เรียกว่า ธรรมมีอุปการะมาก คือเป็นหลักธรรมที่หนุนเสริมหลักธรรมทุกบทเลย

ทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะหนุนเสริมอยู่ ไปไม่รอด โดยเฉพาะยิ่ง ถ้าต้องการก้าวเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า สติสัมปชัญญะยิ่งต้องละเอียดกว่าผู้อื่นหลายเท่า ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะรู้ไม่เท่าทันกิเลส ในเมื่อรู้ไม่ทันก็รับมือไม่ได้

เถรี 10-05-2010 18:12

พวกเราศึกษาหลักธรรม อย่าไปจับยอดโดยลืมโคน

ใครอ่านหนังสือของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุงเมื่อไร หรือฟังเทป ฟังซีดีเมื่อไร จะต้องจับประโยคสำคัญ ๆ ให้ได้ อย่างที่ท่านบอกว่า เมื่อจะปฏิบัติกรรมฐานกองใหม่ ให้ย้อนทวนของเก่าให้คล่องตัวก่อนทุกครั้ง

ถามจริง ๆ เถอะใครย้อนบ้าง ? พออารมณ์ลงปึ้กเดียวก็ขึ้นไปกราบพระข้างบนกันหมดแล้ว เก่งเกิน..!

นั่น..ดูบายศรีนั่น เห็นยอดบายศรีไหม ? สวยเด่นสง่า ถ้าไม่มีฐานนี่ยอดอยู่ได้ไหม ? เพราะฉะนั้นในเรื่องหลักการปฏิบัติ หลักพื้นฐานไม่ว่าจะเป็นศีล เป็นสมาธิอะไรก็ตาม ทิ้งไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นหลักสติสัมปชัญญะจึงเป็นธรรมะบทแรก ๆ ที่พระพุทธเจ้ามอบให้พวกเรา แต่ว่าพวกเราไม่ค่อยได้ใช้กัน สติไปอยู่ที่ไหนไม่รู้เลย พาสตางค์หมดไปด้วย..!

ท่านบอกไม่มีสติก็ไม่มีสตางค์ ฉะนั้นจะเห็นได้ว่า พระปฏิบัติพอสติมากขึ้นแล้วสตางค์มาเอง มีแต่โยมถวาย อันนี้ต้องเชื่อนะ ไม่เชื่อไม่ได้ เมื่อครู่อาตมาเดินผ่านได้เงินมากระสอบหนึ่ง เขาเรียกว่าอวดตัวเอง เชื่อได้ไหมเล่า ?

เถรี 11-05-2010 13:05

ฉะนั้น..หลักธรรมทุกบท เราจำเป็นที่จะต้องค่อย ๆ ศึกษาเรียนรู้และปฏิบัติ แต่จริง ๆ แล้ว ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ พระองค์ท่านสรุปรวมไว้ในวันที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ไปดูในมหาปรินิพพานสูตร ทีฆนิกาย พระสุตตันตปิฎก อย่าถามว่าเล่มไหน หน้าไหน บรรทัดไหนนะ เดี๋ยวบอกจริง ๆ แต่บอกแล้วถ้าไม่ไปเปิดดูจะตีให้ตายเลย..!

พระองค์ท่านสรุปเอาไว้ว่า อัปปมาเทนะ สัมปาเทถะ ถ้าประโยคยาว ๆ ก็คือ ขอเธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด ตัวเองประมาทไม่ได้ คนอื่นก็ประมาทไม่ได้ มีหน้าที่ก็คือ ต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด

เถรี 11-05-2010 13:11

เดี๋ยวเราจะได้ดูภาพพี่น้องนั่งหลังชนกัน เวลาหันหลังพิงกันส่วนมากก็ตอนตะลุมบอนกับข้าศึก แต่นี่ถึงเวลาจุดเทียนชนวน ยังให้พี่น้องหันหลังชนกัน ประเภทนี้โบราณเรียกว่า ไปตายเอาดาบหน้า

คำว่า ตายเอาดาบหน้า เกิดจากสภาพศึกสงครามสมัยก่อน ตายเอาดาบหน้า ก็คือสู้สุดชีวิต ตรงนี้กูยังไม่ยอมตาย ไปข้างหน้าแล้วไม่รอดค่อยว่ากัน นั่นคือไปตายเอาดาบหน้า ดาบนี้อย่างไรกูต้องไปให้ได้

ฉะนั้น..ในการปฏิบัติธรรม ถ้าเราปฏิบัติตามหลักไปตายเอาดาบหน้า ก็แปลว่า ที่เราปฏิญานตนไว้ อิมาหัง ภะคะวา อัตตะภาวัง ตุมหากัง ปริจัจชามิ ข้าพเจ้าขอมอบกายถวายชีวิตต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราปฏิญานจริง ๆ แต่ถ้ายังไม่ทำถึงระดับไปตายเอาดาบหน้า ก็แปลว่ายังปฏิญานตนไม่จริง ถ้าปฏิญานตนไม่จริง สิ่งที่ชัดเจนที่สุดคือ สัจจะบารมียังพร่องอยู่ บารมีทั้งสิบข้อ ข้อใดข้อหนึ่งพร่องอยู่ แปลว่าอีกเก้าข้อก็พร่องไปด้วย

เถรี 11-05-2010 13:21

ฉะนั้น..คำโบราณทุกคำมีที่มา ความหมายปัจจุบันนี้มักจะผิดไปเยอะ ลองไปถามเด็กรุ่นใหม่ สำนวนที่ว่า เอามือไปซุกหีบเป็นอย่างไร ? เด็กส่วนใหญ่นึกถึงภาพ เปิดฝาหีบแล้วเอามือแหย่เข้าไป เหมือนกับงอมืองอเท้าไม่ยอมทำอะไร ความหมายจึงเปลี่ยนไป

แต่ความจริง เอามือไปซุกหีบของคนโบราณ แปลว่า อย่าหาเรื่องเดือดร้อนโดยใช่เหตุ ใครเคยเห็นเขาคั้นน้ำอ้อยไหม ? เครื่องคั้นน้ำอ้อยเขาเรียกว่าหีบ ลองเอามือแหย่เข้าไปแทนอ้อยดูสิ เดือดร้อนแน่ ๆ

คำว่า หีบ ของคนโบราณก็คือ หนีบ บด อัด ไม่ใช่หีบห่อใส่ของ เพราะฉะนั้นคำว่า อย่าเอามือไปซุกหีบ ก็คืออย่าหาเรื่องเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น

จะบอกว่าจริง ๆ แล้วอาตมาเองถ้าจับไมค์ขึ้นมา แล้วมีคนคอยสะกิดอยู่ข้าง ๆ สามารถพูดได้ทั้งคืน คำว่าสะกิด ก็คือ ให้ถามสักนิดหนึ่ง เพราะมีข้อมูลที่บันทึกอยู่ในศีรษะตัวเองอยู่หนึ่งห้องสมุด ตั้งแต่ตอนเรียนอยู่ชั้น ป. ๒

ตอนอยู่ชั้น ป.๒ อาตมาอ่านหนังสือหมดไปหนึ่งห้องสมุด ตอนนั้นไม่ได้คิดจะจำ อ่านเอาความแตกฉานเท่านั้น สมัยนั้นท่านบอกว่าอ่านหนังสือให้แตก แต่คราวนี้ไม่รู้สมองทำด้วยอะไร ดันจำได้หมด

อาตมาปีนี้อายุ ๕๑ เต็มขึ้น ๕๒ แล้ว อีกไม่กี่วันจะไปรับปริญญา เพราะเขาบังคับให้เรียนตอนแก่ ๆ ปริญญาตรีของพระเขาบังคับให้เรียน ๔ ปี บวกปฏิบัติธรรมอีก ๑ ปี แต่อาตมากวาดเรียบภายใน ๒ ปี ๑๑ เดือน ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งของทุกสาขา แปลว่าไม่มีใครได้เยอะกว่านี้อีกแล้ว นี่เป็นแค่ส่วนเดียวเท่านั้นของสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนเรา คือ สมาธิ

เถรี 12-05-2010 11:45

ถ้าสมาธิของเราทรงตัว สภาพจิตจะนิ่งเหมือนกับน้ำนิ่ง น้ำที่นิ่งจะสะท้อนเงาทุกอย่างรอบข้างลงไปได้ เห็นทุกอย่างชัดเจน สิ่งที่เข้ามาทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะเห็นชัดเจนมาก สิ่งใดที่ทำให้ธรรมะเจริญเราก็ประคองรักษาสิ่งนั้นไว้ สิ่งใดที่จะทำให้อธรรมเจริญเราก็ขับไล่ออกไป

พระพุทธเจ้าท่านสอนเราเพื่อประโยชน์ในปัจจุบัน คือ ถ้าจิตใจเราสงบนิ่ง จะมีความสุข มีความเยือกเย็นมาก

ประโยชน์ในอนาคต คือ ถ้ากำลังใจของเราทรงตัว ไปสุคติ ไปเป็นเทวดาเป็นพรหมแน่นอน

ประโยชน์สูงสุด ถ้าปัญญาถึง เห็นความไร้แก่นสารของร่างกายนี้และโลกนี้ ตลอดจนกระทั่งโลกความเป็นทิพย์ทั้งปวง ถอนความต้องการออกไปได้ ก็จะเกิดประโยชน์สูงสุด คือ หลุดพ้นไปนิพพาน

เถรี 12-05-2010 11:45

พระพุทธเจ้าสอนเราโดย ๓ สถานะนี้เท่านั้น คือ ประโยชน์ในปัจจุบัน ประโยชน์ในอนาคต และประโยชน์สูงสุด ถ้าจะเอาบาลีก็ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ ที่เราเรียกประโยชน์ในชาติปัจจุบัน ว่าไปแล้วแปลผิด ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ แปลว่าประโยชน์ที่เห็นทันตา ทิฏฐะหรือทิฏฐิ คือ ความเห็น แต่เขาแปลเอาง่าย ๆ ว่าประโยชน์ในปัจจุบัน

สัมปรายิกัตถประโยชน์ คือ ประโยชน์ในโลกหน้า เขาไปแปลว่าประโยชน์ในอนาคต

และปรมัตถประโยชน์ คือ ประโยชน์สูงสุด อันนี้แปลตรง แต่ความหมายยังไม่ถึง จึงต้องมาแปลว่า หลุดพ้นไปนิพพาน

เราจะเห็นได้ว่าการเรียนปริยัติอย่างที่อาตมาเรียน ต่อให้ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่งก็ตาม ก็ยังยัดไม่เต็มอย่างที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านบอกไว้ เพราะว่าสักแต่ยัด ๆ เข้าไปเต็มท้องโดยที่ไม่ได้ย่อยเลย เอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้

เถรี 12-05-2010 11:51

ในช่วงพิธีพุทธาภิเษก พระสงฆ์ได้นำสวดอิติปิโส ๒๑ จบ ตามกำลังวัน(วันศุกร์) เมื่อสวดจบแล้ว พระอาจารย์ได้ขอโอกาสคณะสงฆ์ เพื่อบอกกล่าวกับญาติโยม ดังนี้

ความจริงในส่วนของพุทธานุภาพ ที่แผ่ปกคลุมมายังวัตถุมงคล เต็มครบถ้วนสมบูรณ์บริบูรณ์ ตั้งแต่ตอนที่เราสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยจบที่เจ็ดแล้ว

แต่องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าต้องการให้พวกเราทุกคน เข้าใจถึงวิธีในการเจริญภาวนาคาถาเงินล้าน เพื่อให้เกิดผลสูงสุด ที่จะพึงมีพึงได้ตามวาสนาบารมีของแต่ละคน ดังนั้นขอให้ทุกท่านตั้งกายให้ตรง แต่ไม่ใช่เกร็ง เวลาหายใจเข้า นึกถึงคาถาเงินล้านที่เราภาวนา ไหลตามลมหายใจเข้าไป จนสุดลมหายใจของเรา ให้อยู่ตรงนั้น นั่นคือศูนย์กลางกาย

ให้ทุกคนขยับโยกหน้าโยกหลัง หาความตรงพอดี ๆ ให้เป็นศูนย์กลางของเรา เสร็จแล้วคำภาวนาทั้งหมดของเรา ให้กำหนดจดจ่อลงตรงนั้น โดยใช้สมาธิเพียงเบา ๆ ท่านที่ทรงสมาธิในระดับใช้งานได้จะเข้าใจตรงจุดนี้เลย แต่ถ้าหากว่าท่านที่ยังไม่เข้าใจ ให้รู้สึกเหมือนลมหายใจแตะแผ่ว ๆ อยู่ตรงศูนย์กลางกาย แล้วภาวนาคาถาเงินล้านของเราไปเรื่อย ๆ

เถรี 12-05-2010 11:53

องค์พระปัจเจกพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า ถ้าใครสามารถทำอย่างนี้ได้ต่อเนื่องกัน วันละประมาณ ๑ ชั่วโมง จะมีความคล่องตัวมาก จะทำงานใหญ่ขนาดไหน เงินทองก็จะไม่ขาดมือ ยิ่งถ้าเป็นบุคคลที่เริ่มด้วยทานบารมีมาตั้งแต่อดีต ทรัพย์สินเงินทองจะไหลมาเทมามากเป็นพิเศษ

ดังนั้น..ให้ทุกคนขยับหาจุดกึ่งกลางของเราที่พอดี โดยไม่ต้องเกร็งตัวเอง กำหนดความรู้สึกทั้งหมด พร้อมลมหายใจและคาถาเงินล้านของเรา ให้ลงไปที่กึ่งกลาง ให้ออกมาจากกึ่งกลาง โดยให้สัมผัสเพียงเบา ๆ เท่านั้น ให้รักษาอารมณ์ใจอย่างนี้ไว้จนกว่าจะได้ยินเสียงสัญญาณบอกหมดเวลา


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:15


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว