กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=805)

เถรี 04-08-2009 12:58

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๒
 
ช่วงเช้าของวันเสาร์ มีหลายท่านมาถามปัญหาเกี่ยวกับเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ดังนี้

รายแรกเป็นมะเร็งตับ ถามหลวงพ่อว่าควรจะทำอย่างไรดี หลวงพ่อบอกว่า "อ๋อ..ไปนั่งภาวนาพุทโธอย่างเดียว ตั้งใจว่า ตายแน่..! ตายแน่..!"

แล้วท่านก็กล่าวต่อไปว่า "ลองไปหาน้ำมันชาตรีของวัดท่าซุงมาแล้วอธิษฐานกินดู อธิษฐานขอบารมีจากพระท่าน ว่าถ้าหายจากโรค สามารถมีชีวิตอยู่ต่อเพื่อทำประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาได้ ก็ขอให้รักษาแล้วหาย จากนั้นกินน้ำมันชาตรีไปทั้งขวด ถ้าหายก็ไปบวชสักพรรษาหนึ่ง"

เถรี 04-08-2009 13:02

รายที่สอง บอกกับหลวงพ่อว่า หาสาเหตุของโรคไม่เจอ ให้หมอวินิจฉัยแล้วก็ไม่สามารถหาสาเหตุได้

หลวงพ่อบอกว่า "น่าเสียดาย โรคบางอย่างเกิดจากไสยศาสตร์จึงหาสาเหตุไม่ได้ ถ้าไปเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรแล้วจะหาย แต่พิธีเลยไปแล้ว ทำไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ยังไม่รู้ว่าครั้งหน้าจะมีอีกเมื่อไหร่

ทนเอาหน่อยก็แล้วกันนะ ถ้าหากปีหน้ามีพิธีแล้วค่อยไปเข้ากับเขาด้วย

เถรี 04-08-2009 13:04

แม่ของคนป่วยรายแรกบอกกับหลวงพ่อว่า "ทำให้คนนี้ด้วยค่ะ " (สะเดาะเคราะห์ให้ลูกชายเขา)

หลวงพ่อก็บอกว่า "จะทำก็ทำให้ได้ แต่ผลจะเกิดหรือไม่ ขึ้นอยู่ที่เราเหมือนกัน โรคบางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็หาย เพราะว่ากรรมไม่หนัก โรคบางอย่างรักษาจึงจะหาย ถ้าไม่รักษาจะตาย แล้วโรคบางอย่างรักษาหรือไม่รักษาก็ตาย"

เถรี 04-08-2009 13:06

รายที่สาม บอกกับหลวงพ่อว่า "เป็นโรคปวดหัวเข่ามาตั้งแต่เกิด ไม่ทราบว่าเป็นโรคกรรมอะไรคะ ?"

หลวงพ่อบอกว่า
"ลองไปปล่อยปูทะเลสัก ๑-๒ ตัว ที่เขามัด ๆ เอาไว้ อธิษฐานขอให้บุญที่เราช่วยให้ปูพ้นจากการที่โดนมัดไว้ ปูเขาหายจากการปวดเมื่อยทรมานอย่างไร ก็ขอให้อาการป่วยของเราเบาลงอย่างนั้น"

เถรี 04-08-2009 13:10

คนป่วยรายแรกถามว่า "ผมอยากทราบว่าที่ผมเป็น เป็นเพราะโรคกรรมหรือเปล่าครับ ?"

หลวงพ่อบอกว่า "ไปให้หมอเขาตรวจดู ตรวจเสร็จแล้วค่อยว่ากัน เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเรื่องของเศษกรรมทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้น..ถามว่าเป็นโรคกรรมหรือเปล่า ก็เป็นทุกโรคนั่นแหละ "

เถรี 04-08-2009 13:21

ถาม : ผมมีคำถามเรื่องคุณไสย ผมรู้สึกว่าผมโดนคุณไสยครับ ?
ตอบ :
ของพรรค์นี้รู้สึกได้ที่ไหนวะ ? โดนก็โดน ไม่โดนก็ไม่โดน

ถาม : อาการรู้สึกว่าน่าจะใช่ แล้วก็เคยให้น้องเขาใช้พระขรรค์ไล่แล้วอาการดีขึ้น ?
ตอบ : ต่อไปถ้าเขาไล่ ให้เราภาวนาจับภาพพระให้เป็นปกติ ของที่เขาจ้องเล่นงานเราโดยเฉพาะ เผลอเมื่อไหร่ก็จะโดนเมื่อนั้น อธิษฐานภาพพระคลุมตัวเราไว้เลย ลองลุ้นดูว่าใครจะแน่กว่ากัน

เขามีปัญญาทำ เราก็มีปัญญากัน ก่อนจะนอนและตื่นขึ้นมา ให้นึกถึงภาพพระองค์ใหญ่ ๆ คลุมเราลงมาเลย ภาวนาพุทโธหรือ อิติปิ โสฯ โดยเฉพาะช่วงวันอังคารหรือวันเสาร์จะเป็นวันแข็ง พวกนี้เขาจะปล่อยของ..ต้องระวังเอาไว้

ความจริงก็ดี ปกติข้าวของคนเขาหวงจะตาย นี่เขาอุตส่าห์มาแบ่งให้เรา..!

ตัวเล็ก 04-08-2009 13:27

ตัวเล็กและเพื่อน ๆ ได้ไปปล่อยปูทะเลมาเมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคมที่ผ่านมาค่ะ จำนวน ๑๙ ชีวิต บริเวณที่ปล่อยคือจุดชมปลาโลมาใกล้ ๆ วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ และที่ท่าน้ำวัดศาลพันท้ายนรสิงห์ มีทั้งตัวใหญ่ตัวเล็กครบถ้วนค่ะ

ขอฝากบุญนี้ไว้ให้ท่านทั้งหลายโมทนาด้วยนะคะ จะได้หายปวดหายเมื่อยโดยทั่วกัน ถ้ามีโอกาสอยากแนะนำให้ไปปล่อยเองค่ะ จะเห็นภาพเลยว่าการหายปวดเมื่อยเป็นอย่างไร เวลาน้องปูทั้งหลายยืดแขน ยืดขา ยืดก้ามโต ๆ ออกมา...
:fea27916: :msn_smilies-22:

เถรี 05-08-2009 09:46

หลวงพ่อบอกว่า "ร่างกายถ้าธาตุใดธาตุหนึ่งพร่องก็จะป่วย ถ้าหากว่าธาตุเสมอ ก็จะไม่ป่วย"

เถรี 05-08-2009 09:48

หลวงพ่อบอกว่า "วันทำพิธีโสฬส อาตมา นั่งมองอย่างเดียวเลย เพราะว่าทำไม่เป็น หลังจากที่พระท่านเสด็จไปแล้ว ก็เหลือหลวงปู่ศุข หลวงตาแวว เสด็จในกรมฯ และพ่อปู่ขุนพันธ์ฯ ยืนล้อมกองพระขรรค์ อาตมาก็มอง ท่านบอกให้เลิกเมื่อไหร่ก็เลิก"

พี่มะลิแก้วบอกว่า "นานมากเลย กว่าจะเลิก"

หลวงพ่อบอกว่า "นานหรือ ? ดูเพลินไปหน่อย"

เถรี 05-08-2009 09:55

แล้วท่านก็เล่าต่อว่า "ขำตรงที่พ่อปู่ขุนพันธ์ฯ ตามพระขรรค์โสฬสมาทั้งชีวิต ท้ายสุดก็ต้องมาทำให้อาตมาเสียเอง..สะใจจริง ๆ

สมัยนั้นท่านอยากได้มาก แต่ปรากฏว่าของก็สุดที่จะหายาก ที่อัศจรรย์กว่านั้นก็คือว่า เสด็จในกรมฯ ท่านเคยใช้พระขรรค์โสฬสทดสอบนักโทษคนหนึ่ง แต่ฟันเขาไม่เข้า อะไรเขาจะสุดยอดขนาดนั้น

นักโทษคนนี้เขาเป็นคนที่ตรงไปตรงมา ใครรังแกเขา เขาสู้ทุกคน ปรากฏว่าหนังดี คนอื่น ทำอะไรไม่ได้เลย เสด็จในกรมฯ ท่านให้พวกลูกน้องคอยฟังข่าว พอรู้ว่ามีคนประเภทนี้อยู่ก็เสด็จไปหา สอบถามประวัติแล้วพบว่าเขาโดนใส่ความว่าเป็นผู้ร้ายฆ่าคน ประเภทไปขัดหูขัดตาผู้เป็นใหญ่ แล้วเขาทำอะไรไม่ได้ก็ใช้วิธีนี้

เสด็จในกรมฯ ถามว่า "วิชาคงกระพันนี่ลองได้ไหม ?"
เขาบอกว่า "ลองได้"
เสด็จในกรมฯ ก็ถามว่า "จะใช้พระขรรค์นี่นะ ?"
เขาบอกว่า "ได้"
เสด็จในกรมฯ บอกว่า "ถ้าหากว่ามีอันเป็นไปถึงชีวิต ให้มาอาศัยอยู่ในพระขรรค์นี้ จะได้ใช้งานต่อ แล้วอโหสิกรรมให้ด้วย แต่ถ้าลองแล้วไม่เป็นไร จะพยายามทูลขอพระราชทานอภัยโทษ แล้วจะเอาตัวไปใช้งาน"

เขาก็ตกลง ปรากฏว่าฟันเขาสามที ไม่เข้าเลย ฟันคอด้วย เสด็จในกรมฯ ท่านบอกว่า ขอดูหน่อยว่ามีอะไรที่เป็นของขลัง ปรากฏว่าเขามีรอยสักเป็นรูปดอกบัวเล็ก ๆ อยู่ตรงท้ายทอย ถ้าไม่ชี้ให้เห็นก็ไม่รู้ ซ่อนอยู่ที่ตีนผม

คนที่ขลังขนาดพระขรรค์โสฬสเอาไม่อยู่ก็มีเหมือนกัน แต่อย่าลืมว่านั่นเขาเป็นคนดี ถ้านึกดูก็คือว่า คนดีประเภทนั้น บรรดาพรหมเทวดาที่รักษาพระขรรค์ก็ไม่อยากทำอะไรเหมือนกัน ที่โบราณเรียกว่าศรศิลป์ไม่กินกัน

เถรี 05-08-2009 10:00

ศรศิลป์ไม่กินกัน สมัยหลังความหมายผิดไป หมายความว่าไม่ถูกกัน แต่สมัยนั้นไม่ใช่

พระบุตร (ลูกของพระราม) ไปรบ เมื่อยกกองทัพไป พระรามก็ออกมารบด้วย โดยที่ไม่รู้ว่าพระบุตรเป็นลูกตนเอง เมื่อพระรามแผลงศรไปก็กลายเป็นขนมนมเนย พระบุตรแผลงศรมาก็กลายเป็นพวงมาลัยดอกไม้ ก็แปลกใจ ถามกันไปถามกันมา เลยรู้ว่าเป็นพ่อลูกกัน

ดังนั้น..ศรศิลป์ไม่กินกัน คือไม่กินในลักษณะที่ว่า เป็นพวกเดียวกัน เป็นญาติกัน ก็เลยไม่มีอันตราย ไม่ทำร้ายกัน สมัยนี้กลายเป็นไม่ถูกกัน ความหมายเปลี่ยนไปเยอะมากเลย

เถรี 05-08-2009 10:04

พี่ชายท่านหนึ่งถามถึงเรื่องสติและสมาธิ

หลวงพ่อบอกว่า "สมาธิจะหนักไปหรือว่าจะเบาไปไม่สำคัญ สำคัญตรงที่ต้องมีสติ สติขาดเมื่อไหร่ สมาธิก็ไปเมื่อนั้น
ถ้าสติทรงตัวอยู่ สมาธิก็จะทรงตัว ถ้าหากสมาธิทรงตัวก็จะไปจะคุมสติอีกที เป็นของที่เกื้อหนุนกัน"

เถรี 05-08-2009 10:15

ในขณะที่อยู่บ้านอนุสาวรีย์นั้น มีเสียงหวอของรถพยาบาลดังขึ้น เป็นเวลานานมาก

หลวงพ่อก็บอกว่า "คนฟังเสียงมันก็ช่างประชด ตายแน่..! ตายแน่..!
อย่างน้อยคนฟังก็ต้องมีมรณานุสติ ทีนี้มรณานุสติของเขาเบาบางผิวเผินมาก ลืมคิดไป หากคิดย้อนเข้ามาหาตัวจะได้ประโยชน์มาก เขาป่วยหนักกำลังไปโรงพยาบาล ไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า ? เราเองก็มีโอกาสที่จะเป็นอย่างนั้น ทั้งเขาและเรายังไม่แน่ว่าใครจะตายก่อนกัน แต่ต้องตายแน่นอน คราวนี้ก็เหลือวาระสุดท้ายว่าตายแล้วจะไปไหน คนที่ไม่ประมาทก็จะเตรียมการไว้"

เถรี 05-08-2009 10:20

หลวงพ่อบอกว่า "คราวเมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลอยู่กับพระพุทธเจ้า มีนักบวชอเจลก (ชีเปลือย) ๗ คนเดินผ่านมา พระเจ้าปเสนทิโกศลก็หันไปนั่งกระหย่งยกมือไหว้ พอเขาผ่านไปก็หันมาทูลพระพุทธเจ้าว่า นักบวชเหล่านั้นล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "บุคคลที่ยังครองเรือนอย่างพระองค์ท่านจะรู้เรื่องของพระอรหันต์ได้อย่างไร ?" พระเจ้าปเสนทิโกศลอับจนด้วยถ้อยคำ จึงต้องสารภาพว่า พวกนั้นคือจารชนที่พระองค์ส่งไปสืบข่าวจากเมืองอื่น แสดงว่าต้นตระกูลเจมส์บอนด์มีมานานจริง ๆ"

เถรี 05-08-2009 10:26

เถรีแอบได้ยินมาว่า มีท่านหนึ่งบูชาตะกรุดไปเป็นเดือนแล้ว ก็ยังไม่โอนเงินค่าบูชามาให้เลย
หลวงพ่อก็บอกว่า "ถ้าหากว่าพระติดหนี้โยม แล้วโยมทอดธุระ พระต้องปาราชิก อันนี้โยมติดหนี้พระ ถ้าพระทอดธุระ โยมก็ไปอเวจีเท่านั้น"

เถรี 05-08-2009 10:29

เนื่องจากเดี๋ยวนี้มีหลายท่านหันมาภาวนาคาถาเงินล้านเป็นจำนวนมาก บางท่านก็ใช้ลูกประคำนับ บางท่านก็ใช้เครื่องนับแบบทันสมัย

เมื่อหลวงพ่อเห็นท่านก็ถามว่า "เดี๋ยวนี้เขาเลิกใช้ลูกประคำนับกันแล้วหรือ ?"
พี่มะลิแก้วก็บอกว่า "เครื่องนี้ไม่ต้องนับครับ เราภาวนาแล้วกดไปเรื่อย ๆ"
หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "แสดงว่าสติก็จะน้อยลงไปส่วนหนึ่ง เพราะว่าไม่ต้องจำเอง สมัยก่อนที่วัดท่าซุงมีท่านรุ่ง (พระรุ่งเรืองศักดิ์) เวลาไปไหนจะมีเข็มกลัด ถึงเวลาที่ต้องทำงานก็จะใช้เข็มกลัดติดลูกประคำไว้ก่อน จะได้รู้ว่าภาวนาไปกี่จบ ไปถึงตรงไหนแล้ว"

เถรี 05-08-2009 17:51

หลวงพ่อเล่าว่า "มี ๓ ท่านที่ไม่ได้รับฎีกามางานวันเกิดหลวงพ่อเจ้าคณะจังหวัด แต่ท่านอยากได้ตาลปัตร อาตมาก็บอกว่ามีให้ แต่ว่าผมไม่วิ่งไปถึงวัดพระแท่นดงรังนะ เพราะว่าออกนอกทางไปไกล อย่างเก่งก็ไปแค่ที่วัดใต้ เพราะว่าผมสอนหนังสืออยู่ที่นั่น ท่านก็บอกว่า "ถ้าเช่นนั้นก็ฝากตาลปัตรไว้ที่วัดใต้เลย" พอเอาตาลปัตรไปที่วัดใต้ อาตมารู้สึกว่าไม่ต้องฝาก เดี๋ยวก็ต้องเอาให้เขาเองเลย ก็เลยติดไว้ในรถ ๔-๕ วัน

เมื่อวานเจอตัวท่านเจ้าคุณพระราชวิสุทธาภรณ์ เจ้าคณะอำเภอท่ามะกา ก็กราบเรียนเรื่องตาลปัตร ท่านก็บอกว่า ผมจะเอาไปให้ที่ปรึกษอาตมาก็บอกว่า ถ้าอย่างนั้นผมถวายหลวงพ่อไปเลยนะครับ ท่านก็ว่าได้ ก็เลยไม่ต้องฝากไว้ที่วัดใต้ ได้ให้กับท่านเองเลย

ความรู้สึกพวกนี้เราต้องเชื่อ เพราะคุ้นเคยจนรู้ว่าถ้าหากเป็นอย่างนี้แล้วจะต้องถูก แต่ตรงจุดนี้ต้องผ่านการซ้อมแล้วซ้อมอีก ซ้อมจนกระทั่งมั่นใจเลยว่า ถ้าอารมณ์นี้มาคือใช่แน่นอน แล้วความเชื่อมั่นจะมีมาก ก็เลยเชื่อจนกลายเป็นดื้อไปเลย ทั้ง ๆ ที่วิ่งไปวัดใต้สองครั้ง แต่ไม่ได้ให้เขาไว้ ท่านให้ฝากไว้ที่นั่น ไป ๆ มา ๆ ก็ไปเดินชนกันในงาน แบบนี้ก็เสร็จเรา เพราะว่าตาลปัตรยังติดรถอยู่พอดี"

เถรี 05-08-2009 17:53

พี่สาวท่านหนึ่งถามหลวงพ่อว่า "บารมีสิบ ถ้าเต็มจะอยู่ที่อุเบกขาใช่ไหมคะ ? ถ้าหากเต็ม จะเต็มแค่บางตัวหรือเปล่าคะ ?"

หลวงพ่อบอกว่า "ถ้าเต็มตัวหนึ่งแล้วก็จะเต็มทั้งหมด พอท้ายสุดก็จะไปลงตรงอุเบกขาจริง ๆ โดยเฉพาะตัวสังขารุเปกขาญาณ"
แล้วท่านก็ยกตัวอย่างให้ฟังว่า "ให้ทาน บางคนให้แล้วก็ยังตัดไม่ได้ อย่างเช่นว่า ถวายของไปก็ยังตามไปดูว่าพระได้ใช้หรือเปล่า ? ประเคนไปก็ยังจ้องว่าท่านฉันของเราหรือเปล่า ? อย่างนั้นคือขาดอุเบกขาในทาน ถ้าหากท่านที่ทำใจได้แล้ว ประเคนแล้วก็แล้วกัน ฉันหรือไม่ฉันก็เรื่องของท่าน พอถึงอุเบกขาสักตัว ตัวอื่นก็ง่ายไปหมด"

เถรี 06-08-2009 10:54

ถาม : มีวัตถุมงคลที่กันโรคหวัดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : กันโรคหวัดไม่ได้ทำไว้

ถาม : แล้ววัตถุมงคลของหลวงพ่อนี่ ?
ตอบ : ถ้าเรามั่นใจจริง ๆ อาราธนาได้
พุทธานุภาพอยู่ที่ความศรัทธาและเชื่อมั่น ถ้ามั่นใจก็ลุยไปเถอะ..!

เถรี 06-08-2009 11:00

มีคนถามถึงคาถาอาราธนาพระขรรค์โสฬส ว่าแท้จริงต้องเป็น จัตตาโร เต อาวุธา หรือ จัตตาโร วา อาวุธา

หลวงพ่อท่านก็บอกว่า "พระท่านบอกอย่างไร อาตมาก็พูดไปแค่นั้น ไม่เคยสงสัยเลย ต่อให้ท่านด่า แล้วบอกว่าเป็นคาถาก็จะใช้ บอกอย่างไร อาตมาก็พูดอย่างนั้น ก็จบแล้ว มัวแต่ไปสงสัย เอ..ไม่เหมือนที่ผมรู้มา ? แบบนั้นก็เจ๊ง อาตมาก็ใช้ เต มาก่อน แต่ท่านบอกว่า วา อาตมาก็ วา ไปเลย"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 16:59


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว