กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   กระทู้ธรรม (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=2)
-   -   สิ่งที่พระอาจารย์ กล่าว สอน ไว้ดีแล้ว (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=37)

วาโยรัตนะ 21-01-2009 09:32

แม้มันจะดีถึงที่สุดไม่ได้ ก็ให้มันดีในลักษณะของ
"พระโยคาวจร" คือ ผู้ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น แม้จะไม่ได้เป็นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี หรือพระอรหันต์
ขึ้นชื่อว่าพระโยคาวจร ก็ยังไม่ขาดทุนมาก

วาโยรัตนะ 21-01-2009 09:36

สภาพของเราก็ดี ของเขาก็ดี ของคนหรือสัตว์ก็ตาม
เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุดดังนี้ ไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายได้
เกิดใหม่เมื่อไร ก็เป็นอย่างนี้เมื่อนั้น ดังนั้น ขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่ ไม่ควรจะมีสำหรับเราอีก เราก็เอาใจเกาะพระนิพพานเข้าไว้ ตั้งใจว่า เราตายเมื่อไร ขอไปพระนิพพานแห่งเดียว

วาโยรัตนะ 21-01-2009 09:37

สมถกรรมฐานเป็นการเพาะกำลังให้แข็งแรง
วิปัสสนากรรมฐานเหมือนกับอาวุธที่คมกล้า


เมื่อมีกำลังมีอาวุธแล้ว การจะตัดกิเลสก็เป็นเรื่องง่าย

ในเมื่อเรารู้ว่า ทั้งสองอย่างต้องทำสลับกันไป แต่บางทีมันก็ยังไม่ไหว มันก็ยังรู้สึกว่าไปได้ไม่ดี ไม่คล่องตัว
อาจจะเกิดจากอิริยาบถของเรา
ที่มันซ้ำ ๆ อยู่กับที่ ไม่ใช่ว่านั่งก็นั่งมันอย่างเดียวไปตลอด ยืนก็ยืนมันอย่างเดียวไปตลอด เดินก็เดินมันอย่างเดียวไปตลอด
นอนก็นอนมันอย่างเดียวไปตลอด
มีน้อยคนที่ทำอยู่อิริยาบถอย่างเดียว แล้วอารมณ์ใจจะตั้งมั่น


"ให้เราเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง
เมื่อเราเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนอิริยาบถ มีสิ่งที่แปลกใหม่เข้ามา สภาพจิตก็จะไม่เบื่อหน่าย มันก็จะเริ่มปฏิบัติในอิริยาบถใหม่
หรือว่าเริ่มปฏิบัติในสถานที่ใหม่ เพื่อที่จะให้กำลังใจ ทรงตัวเท่ากับที่เราเคยทำมา หรือว่าอาจจะดีขึ้นกว่าเดิมก็ได้ เพราะว่ามันไม่ซ้ำซากจำเจแล้ว
"

วาโยรัตนะ 21-01-2009 10:47

สมาธิทรงตัวสูงมากเท่าไร กำลังการสละออกของเราก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น สามารถที่จะให้ได้ตลอดเวลา แม้แต่ชีวิต เลือดเนื้อ ร่างกาย ถ้ามีคนต้องการมันก็สละให้ได้ เพราะเรารู้ว่าเราตาย เราก็ไปพระนิพพาน ก็ให้เอาใจเกาะพระนิพพานเป็นจุดสุดท้าย จับอารมณ์ภาวนาให้ทรงตัว ให้กำลังมันสูงที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ จาคานุสติกรรมฐาน ก็จะสามารถทรงตัวอยู่ ตราบใดก็ตามที่เรายังคิดจะสละออก ตราบนั้นตัวอนุสติตัวนี้ก็ตั้งมั่นอยู่กับเราตลอดไป

วาโยรัตนะ 21-01-2009 12:06

มาว่าเรื่องกรรมฐานของเราต่อ จริง ๆ แล้วการปฏิบัติกรรมฐานนั้น เราต้องเป็นคนจริงจัง สม่ำเสมอ และต้องมีปัญญาประกอบด้วย การที่เราจริงจังสม่ำเสมอ ผลของการปฏิบัติถึงจะมี เพราะว่าการที่เรามาปฏิบัติกรรมฐานกัน เป็นการฝืนกระแสโลก เหมือนกับการว่ายทวนน้ำ ถ้าหากว่าเราไม่พยายามว่ายเข้าไว้ให้ตลอดเวลาอย่างสม่ำเสมอ มันก็จะลอยตามกระแสไป

วาโยรัตนะ 21-01-2009 12:06

รัก โลภ โกรธ หลง เป็นสมบัติของร่างกาย ถ้าไม่มีจิตไปคอยปรุง คอยแต่งกับมัน มันก็ไม่สามารถทรงตัวได้ มันก็สลายตัวของมันไปเอง
เมื่อ รัก โลภ โกรธ หลง สลายตัวไป เราก็เข้าถึงอุปสมานุสติที่แท้จริง
"นี่คือมโนมยิทธิที่หลวงพ่อท่านต้องการ"

วาโยรัตนะ 21-01-2009 12:07

เรื่องของอนุสติ คือ การตามระลึกถึงความดีในจุดใดจุดหนึ่ง สำหรับวันนี้จะสรุปลงที่อานาปานสติ อย่าลืมว่าอานาปานสตินั้นเป็นกรรมฐานใหญ่ เป็นพื้นฐานของกรรมฐานทุกกอง

วาโยรัตนะ 21-01-2009 12:08

อาหาเรปฏิกูลสัญญา คือเราจะต้องพิจารณาให้เห็นว่า อาหารที่เราฉันไปทุกวัน จริง ๆ แล้วมันเป็นของสกปรก
เขาไม่ต้องการให้เรากินอาหารเข้าไปเพื่อความอ้วนพีของร่างกาย เพื่อความผ่องใสของผิวพรรณ เพื่อไปกระตุ้นกิเลสให้เกิดขึ้น
จุดมุ่งหมายของการกินจริง ๆ ก็คือ กินเพื่อยังอัตภาพร่างกายนี้ให้อยู่ได้เท่านั้น
"เป็นการระงับดับความกระวนกระวาย ที่จะเกิดขึ้นจากอาการหิวกระหายของร่างกาย เพื่อที่จะประคับประคองร่างกายนี้ไว้
ใช้ปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป"

วาโยรัตนะ 21-01-2009 12:08

เราอาศัยอยู่กับเปลือกนี้ ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ เรามีความสุขหรือไม่ ?
มันมีแต่ความทุกข์อยู่ตลอดเวลา

มันหิว มันกระหาย มันร้อน มันหนาว มันเจ็บไข้ได้ป่วย
มันสกปรกโสโครกเป็นปกติ
เราก็ต้องลำบากยากแค้น ในการหาให้มันกิน หาให้มันดื่ม
พามันไปถ่ายอุจจาระถ่ายปัสสาวะ รักษาพยาบาลมันยามเจ็บป่วย
ดูแลทำความสะอาดมัน ไม่ให้มันสกปรกโสโครกจนกระทั่งเราเองถึงกับทนไม่ได้
มันมีความทุกข์ของมันอยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่เรายังเกิดมามีร่างกายนี้ มันก็ยังทุกข์อีก
ถ้าธาตุใดธาตุหนึ่งมันบกพร่อง อาการเจ็บป่วยเกิดขึ้นกับร่างกาย
ก็ต้องมาลำบาก ต้องมาทุกข์ยากอยู่กับมัน เสียเวลารักษาพยาบาลดูแลเอาใจใส่มัน นั่นก็ยังไม่เท่าไร ถ้ามันบกพร่องมาก ๆ
เติมให้มันไม่ไหว หนุนมันเท่าไหร่ก็ไม่ขึ้น มันก็หมดสภาพ"ตาย"

วาโยรัตนะ 21-01-2009 12:09

ในการปฏิบัติธรรมของเรานั้น เราจะพบกับอารมณ์ใจในระดับต่าง ๆ ที่ความจริงแล้วเป็นสิ่งที่ดี
แต่ถ้าเราขาดปัญญากับการพิจารณา ไปน้อมใจเชื่อเข้าว่านั่นเป็นธรรมะแท้ นั่นเป็นมรรค นั่นเป็นผล นั่นเป็นที่สุดของการปฏิบัติ
มันก็จะกลายเป็นกิเลสทันที "บาลีเรียกว่าอุปกิเลส"

วาโยรัตนะ 21-01-2009 12:10

หลักการปฎิบัติในพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้สามขั้นคือ

ศีล เป็นการควบคุมกายวาจาให้เรียบร้อย
สมาธิ เป็นการควบคุมกายวาจาให้เรียบร้อยและสร้างความมั่นคงทางใจ
ส่วนปัญญา เป็นผลสืบเนื่องมาจากศีลและสมาธิ ที่ควบคุมกายวาจาและใจให้สงบ เมื่อสงบลงก็เหมือนกับน้ำที่นิ่ง ก็จะสามารถสะท้อนภาพสิ่งต่าง ๆ ให้เห็นบนผิวน้ำนั้นได้ให้เกิดประโยชน์ได้


ตัวสมาธิภาวนาจะเป็นคำตอบที่สำคัญที่สุด


ในขั้นตอนของการปฎิบัติทุกระดับแม้กระทั่งระดับสุดท้าย เพราะกำลังของสมาธิจะช่วยให้ รักษาศีลได้สมบูรณ์และคงตัวมากขึ้นในขณะเดียวกัน ขณะเดียวกันความนิ่งของจิตที่มีสมาธิ ก็จะทำให้เกิดปัญญาขึ้นได้ง่าย
สมาธิจะทรงตัวหรือไม่ทรงตัวสำคัญอยู่ที่ ลมหายใจเข้าออกของเรา การสงบระงับของจิตแต่ละระดับชั้นนั้นเป็นของละเอียด เราต้องอาศัยของหยาบ คือลมหายใจเข้าออก เป็นเครื่องโยงไปหาความละเอียด คือ ความสงบของจิตให้ได้ การปฎิบัติสมาธิไม่ว่าจะรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งก็ตาม

วาโยรัตนะ 21-01-2009 12:12

พระพุทธเจ้าทรงเป็นอัจฉริยะมนุษย์สุดประเสริฐ มีพระปัญญาคุณอันอันล้ำเลิศ สามารถตรัสรู้พบเห็นอริยสัจที่ไม่มีใครพบเห็นได้

พระองค์มีพระกรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ ทรงตรากตรำพระวรกายสั่งสอนสัตว์โลกอยู่ ๔๕ ปีเต็ม ๆ
๔๕ ปีที่พระองค์ท่าน อดตาหลับขับตานอนสอนพวกเรา เนื่องจากเพราะเห็นว่าพวกเราโปรดได้สงเคราะห์ได้
ในแต่ละคืน พระองค์ท่านจะได้บรรทมสักชั่วโมง สองชั่วโมงก็แสนยาก ในบาลีกล่าวถึง พุทธกิจ ๕ ประการ ไว้ว่า



“ปุพพัณเห ปิณฑปาตัญ จะ”
เช้าขึ้นมาเสด็จออกบิณฑบาต พระองค์ท่านเสด็จบิณฑบาตตลอดพระชนม์ชีพ

“สายัณเห ธัมมเทสนัง” ตอนบ่ายทรงเทศน์โปรดสั่งสอนประชาชน

“ปโทเส ภิกขุโอวาทัง” ค่ำลงมาให้โอวาทสั่งสอนพระภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี และสิกขมานาทั้งหลาย

“อัฒฑรัตเต เทวปัญหะนัง” เที่ยงคืนไปแล้วแก้ปัญหาให้กับเทวดา พรหม ที่เขาสงสัย หรือเทศน์โปรด เทวดา พรหม ที่มาขอฟังธรรม

“ปัจจุเสว คเตกาเล ภัพพาภัพเพ วิโลกะนัง” พอใกล้รุ่ง อย่างเช่นตอนนี้ เวลานี้ พระองค์ท่านก็จะสอดส่อง ตรวจดูอุปนิสัยสัตว์โลก
ว่าสมควรจะเสด็จไปโปรดผู้ใด สรุปแล้วลองคิดง่าย ๆ ดูว่า พระองค์ท่านมีเวลาบรรทม คือนอนอย่างพวกเราคืนหนึ่งกี่ชั่วโมง

พระองค์ทรงตรากตรำพระวรกายลักษณะนี้ ๔๕ ปีเต็ม ๆ ด้วยพระกรุณาคุณอันยิ่งใหญ่
เพื่อสงเคราะห์พวกเรา เห็นว่าพวกเราสอนได้ มีโอกาสที่จะทำเพื่อความหลุดพ้นได้ พระองค์ท่านทุ่มเทชีวิต จนกระทั่งวาระสุดท้ายก็เพื่อพวกเรา และขณะนี้พระองค์ท่าน เสด็จอยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าของเรา พร้อมที่จะสนับสนุนความดีในทุก ๆ ด้านของเรา พร้อมที่จะรับเราไปสู่
"พระนิพพาน"

วาโยรัตนะ 21-01-2009 12:13

การปฏิบัติ เรามักจะไปตามดูตามจี้มันอยู่ตรงนั้น ซึ่งอันนี้ผิด อย่างการทรงปฐมฌาน มันจะผ่านอารมณ์วิตกคือนึกอยู่ว่าภาวนา วิจารณ์คือ รู้อยู่ว่าตอนนี้ภาวนาอยู่ ลมหายใจแรงหรือเบา ยาวหรือสั้น คำภาวนาว่าอะไรรู้อยู่ ปิติ มี อาการ ต่าง ๆ ๕ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น คือขนลุก น้ำตาไหล ร่างกายโยกโคลง ร่างกายลอยขึ้น หรือว่าพองตัวใหญ่ ตัวรั่วเป็นรูมาก ๆ หรือว่าแตกไปเลย ถัดไปคือสุข ความเยือกเย็นใจเนื่องจากกำลังใจปนเปอยู่เฉพาะหน้า ทำให้รัก โลภ โกรธ หลง ที่แผดเผาเราอยู่ต้องตัดลงชั่วคราว มันเย็นกายเย็นใจบอกเป็นภาษาคนไม่ถูก อันดับสุดท้ายคือเอกัตถตา อารมณ์ตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียว ไม่เคลื่อนคล้อยไปที่อื่น

วาโยรัตนะ 21-01-2009 12:14

"สิ่งที่ตถาคตรู้ คือใบประดู่ในป่า แต่สิ่งที่ตถาคตสอนพวกเธอคือใบประดู่กำมือเดียว
ท่านเลือกเอาใบประดู่กำมือเดียวที่เกี่ยวข้องกับประโยชน์สุขในปัจจุบันและประโยชน์สุขในอนาคต โดยเฉพาะการหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานมาสอนเราเท่านั้น กำมือเดียวนี่แปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์"

วาโยรัตนะ 21-01-2009 12:14

พระอาจารย์เล็กเคยกล่าวเกี่ยวกับการปฏิบัติไว้ว่า
"เราต้องคอยตรวจต้องทบทวนกำลังใจของตัวเองไว้เสมอ ๆ ว่ากำลังใจของเราตอนนี้ดีหรือว่าเลว ต้องรู้ตัวโดยที่ไม่เข้าข้างตัวเองด้วย
เช็คอยู่เสมอว่าตอนนี้ความดีในใจของเรามีหรือไม่?
ถ้าไม่มีทำให้มันมีขึ้นมา ถ้ามันมีอยู่แล้วทำให้มันยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ตอนนี้ความชั่วในใจของเรามีหรือไม่?
ถ้ามันมีขับไล่มันออกไปแล้วคอยระวังไว้อย่าให้มันเข้ามา ต้องคอยเตือนตัวเองเสมอ ๆ อยู่ตลอดเวลา"

วาโยรัตนะ 21-01-2009 20:58

ถ้าหากว่าเราทำกำลังใจของเราในด้านมโนมยิทธิไปเรื่อย เกาะพระไปเรื่อย เดี๋ยวพอกำลงใจมันทรงตัว ของเก่ามันมาทั้งหมดเอง ตอนนี้เราไม่สามารถใช้อภิญญาเต็มที่ได้ทั้ง ๆ ที่อดีตเราเคยทำมาแล้วเพราะว่า เรายังไม่ยอมรับกฏของกรรมอย่างจริงจัง

อภิญญานี่ถ้ามันเต็มสภาพเต็มกำลังของมันนี่มันฝืนกฏของกรรมได้ เห็นคนป่วยมาคิดให้เขาหายป่วยก็หาย เห็นคนง่อยมาคิดให้เขาหายง่อยก็หาย มันหายเดี๋ยวนั้นเลยเพราะเป็นการอธิษฐานอำนาจของกสิณโดยเฉพาะธาตุ ๔ คราวนี้พวกเราถ้าไม่ยอมรับกฏของกรรม เห็นปั๊บสงสารช่วยเขา จะทำเอากฏของกรรมอลเวงไปหมด เพราะว่าเราลืมดูไปว่าเขาเป็นอย่างนั้น เพราะอดีตทำอะไรมา เขาก็มีกรรมที่จำเป็นที่เขาจะต้องรับ ดังนั้นว่าตราบใดที่เรายังไม่ยอมรับกฏของกรรมอย่างจริงจังนี่โอกาสจะใช้อำนาจอภิญญาได้เต็มที่อย่างอภิญญาใหญ่นั้นอย่าหวังเลย โดนล๊อคหมด จะได้โล่งใจซะที ไม่งั้นมันจะคิดอยู่นั้นละ เอ๊ะ ....ทำได้ขนาดนี้ อภิญญาไม่เกิดซะที เกิดเมื่อไหร่บรรลัยเมื่อนั้นล่ะ โดยเฉพาะพวกเรามันเชื้อสายพุทธภูมิเก่า คือผู้ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้า คนที่ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้านี่ คนอื่นลำบากแค่ไหนตัวเองก็ยอมช่วยเขา ช่วยเขาโดยไม่เห็นแก่ความลำบากของตัวเอง ในเมื่อทำในลักษณะนั้นมันจะเผลอไปฝืนกฏของกรรม ลองดูซิพอได้แล้วลองไปช่วยใครเข้าซักยกหนึ่งเดี๋ยวมันก็เสื่อม นี่ไม่ใช่กำลังใจเราเสียเอง บางที่ท่านตัดผลมันไปเสียดื้อๆ ถ้าหากไปฝืนกฏของกรรม

วาโยรัตนะ 22-01-2009 07:19

สมมติว่าถ้านรกสวรรคไม่มี ชาติหน้าไม่มี คุณตั้งใจทำความดีก็เสมอตัว
แต่ถ้านรกมี สวรรค์มี ชาติหน้ามี คุณตั้งใจทำความดีคุณกำไร
แต่ถ้านรกสวรรคไม่มี คุณทำชั่ว คุณก็เสมอตัว
แต่ถ้านรกมี สวรรค์มี ชาติหน้ามี คุณทำชั่ว คุณก็ขาดทุน
เพราะฉะนั้นคุณก็เลือกเอาด้วยปัญญาของคุณเองว่า คุณจะเอาเสมอตัวแล้วกำไรดี หรือ ว่าเสมอตัวแล้วขาดทุนดี
เลือกเอา ๒ ประตู

วาโยรัตนะ 23-01-2009 06:36

ถ้าสติปัญญาสมบรูณ์พร้อมเมื่อไหร่ มันก็จะสามารถที่จะเห็นช่องทางที่ ลด ละ เลิก จนกระทั่งไม่ข้องแวะกับกิเลสได้อีก

ถ้าหากว่าสติมากเกินไป มันจะไปจด ๆ จ่อ ๆ ไม่กล้าตัดสินใจ กลัวผิดกลัวพลาด
ปัญญามากเกินไปเราก็บุ่มบ่ามโฉ่งฉ่าง

สติกับปัญญาเราต้องไปพร้อม ๆ กัน

วาโยรัตนะ 23-01-2009 06:44

ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำอยู่ไม่ว่า จะใหญ่ จะเล็ก ขนาดไหนก็ตาม ท้ายสุดมันให้ผลทั้งสิ้น

วาโยรัตนะ 23-01-2009 06:48

การปฏิบัติทุกอย่างลงมือเมื่อไหร่เป็นคุณแก่ตัวเมื่อนั้น


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:19


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว