กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   กระทู้ธรรม (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=2)
-   -   สิ่งที่พระอาจารย์ กล่าว สอน ไว้ดีแล้ว (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=37)

วาโยรัตนะ 27-01-2009 08:50

คนเรามีปัญญามันต้องแก้ไข แก้ไขให้สิ้นกำลังตัวเอง สิ้นกำลังปัญญา สิ้นกำลังคน สิ้นกำลังทรัพย์ ถ้าแก้ไขไม่ได้ แล้วค่อยยอมรับว่ามันเป็นกฏของกรรม ถ้ายังมีช่องทางให้ดิ้นรนแม้แต่นิดเดียว ก็ต้องทำก่อน

วาโยรัตนะ 27-01-2009 08:56

ตัวการเข้าสู่มรรคผลนิพพานจริงๆ ไม่จำเป็นต้องได้อภิญญา ไม่จำเป็นต้องได้วิชาสอง ไม่จำเป็นต้องได้สมาบัติแปด
หากแต่ท่านบอกว่าให้

เคารพพระพุทธเจ้าจริง ๆ
เคารพพระธรรมจริง ๆ
เคารพพระสงฆ์จริง ๆ
ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์
คิดว่าตายเมื่อไหร่จะไปพระนิพพาน

มีข้อไหนที่บอกว่าต้องได้อภิญญา

วาโยรัตนะ 27-01-2009 09:06

อภิ-ยิ่งกว่า อัญญา-ความรู้ รวมเป็น อภิญญา

ไม่มีอะไรรู้เกินกว่า การตัดกิเลส อย่างต่ำ ๆ ให้รู้ว่าพระโสดาบันมีคุณสมบัติอย่างไรแล้วตั้งหน้าตั้งตาทำคุณสมบัตินั้นไป

วาโยรัตนะ 14-02-2009 10:12

คนเราควรจะมีปัญญา รู้อยู่ว่าเวลาไหนวาระไหนควรจะหลบจะเลี่ยงอะไร เราดำรงชิวิตอยู่ในลักษณะของความเป็นมนุษย์ ถ้าปล่อยให้"กรรมเก่า"ตามทัน มันจะเกิดความทุกข์ยากลำบากมาก
แล้วเรื่องของอกุศลกรรมนั้นแปลก ถ้ามันมีโอกาสเข้ามาแทรกได้ครั้งหนึ่งพรรพวกของมันมีเท่าไหร่มันก็ระดมมาหมด จะสังเกตุว่าบางที่พอเราอยู่ในลักษณะที่ช่วงอกุศลกรรมเข้า
ที่ชาวบ้านเรียกว่า"ดวงตก" เรารู้ว่าผีซ้ำด้ำพลอย อะไรต่อมิอะไรมันก็มะรุมมะตุ้มมาในเวลาเดียวกัน
เพราะฉะนั้นอย่าเปิดโอกาศให้เขาเป็นอันขาด หนีได้หนีไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเข้าพระนิพพานได้
ไม่ต้องใช้มันเลยยิ่งดี

วาโยรัตนะ 14-02-2009 16:28

ท่านลุงพระยายมบอกไว้ว่า บุคคลที่เคยถวายทองคำบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ถ้าไม่ทำอนันตริย
กรรมทั้งห้า คือ ฆ่าพ่อแม่ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าถึงห้อพระโลหิต และ ทำสังฆเภท
คือยุสงฆ์ให้แตกกัน ไม่ว่าอย่างไร ก็จะพยายามดลใจให้นึกถึงความดีให้ได้ในวาระสุดท้ายของชีวิต
ให้ไปรับกรรมดีก่อน

วาโยรัตนะ 14-02-2009 16:42

โดยเฉพาะนักปฏิบัติ พอเริ่มเข้า"เขตอุปจารสมาธิไปแล้ว"
มารเขารู้ว่าเราจะหนีห่างไปแล้ว เขาจะหาวิธีขวางเราไว้ทุกวิถีทาง วิธีที่ขวางได้ง่ายที่สุดคือ ทำให้เราเกิดการลังเลสงสัย หรือทำให้เรามีความคิด มีคำพูด มีการกระทำ ที่เป็นการปรามาสในพระรัตนตรัย
พอเราเกิดความคิด มีคำพูด หรือมีการกระทำอย่างนั้น อย่าไปเสียอกเสียใจ อย่าไปหนีห่างจากความดีตรงจุดนั้น

ให้คิดว่า ถ้าสติสัมปชัญญะของเราสมบรูณ์ ขึ้นชื่อว่าสิ่งที่ไม่ดีทั้งหลายเหล่านี้ เราไม่ทำอยู่แล้ว
แต่ว่าขณะนี้ด้วยการชักนำของ กิเลส ตัณหา ของอุปทาน ของอกุศลกรรม พาเราไป
พาให้เราทำสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังเช่นนี้ ถึงไม่ใช้เจตนาโดยตรงของเราก็เถิด
แต่เราก็เต็มใจกราบขอขมาพระรัตนตรัย แล้วก็ตั้งใจกราบขอขมาไป

วาโยรัตนะ 14-02-2009 16:58

เรื่องของธรรมะเป็นสากล ใครก็ตามที่เห็นตัวทุกข์เห็นธรรมเป็นปกติอยู่แล้ว ถ้ารับไปปฏิบัติต่อเนื่องไปอารมณ์มันจะทรงตัว มันก็ได้เลย
ส่วนใหญ่พวกเรามันจะเห็นเป็นพัก ๆ ถ้าทุกข์มาก ๆ ขึ้นมาก็กำลังใจดีหน่อย พอความทุกข์เลยไปก็เริ่มเละใหม่ มันทำไม่ต่อเนื่อง

การปฏิบัติทุกอย่างทั้ง ทางโลก ทางธรรม ถ้าขาดการต่อเนื่องผลงานจะไม่ดี โดยเฉพาะเรื่องของทางธรรม ถ้าขาดการต่อเนื่องกำลังของ "อกุศลกรรม" มันแทรกได้เมื่อไหร่นี่ ตีคืนได้ยากแล้ว เหนื่อยสาหัสเลย

วาโยรัตนะ 15-03-2009 20:21

การคิดพึ่งพิงคนอื่นเป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างยิ่ง

พระพุทธเจ้าสอนว่า "อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน" ขนาดพระองค์ท่านยังไม่สามารถจะตั้งอยู่ได้แล้วใครจะอยู่ให้เราพึ่งได้
อัตตาหิ สุทันเตนะ นาถังลภติ ทุลลภัง ถ้าหากว่าตัวของเราฝึกดีแล้ว จะเป็นที่พึ่งที่ไม่มีใครพึ่งได้มากยิ่งไปกว่านี้แล้ว
ถ้าจะเกาะพระให้เกาะความดีของท่านที่เป็นสังฆานุสสติ ไม่ใช่ไปเกาะองค์ท่าน เกาะร่างท่าน พระพุทธเจ้าก็ปรินิพพานให้เห็นแล้ว พระอรหันต์ทุก ๆ องค์ก็ไปให้เห็นแล้ว หลวงปู่หลวงพ่อก็ไปให้เห็นแล้ว ถ้ายังขืนเกาะต่อไป ก็เตรียมพลาดหวังต่อไปอีก ให้เกาะในส่วนความดี พยายามพึ่งตนเองยืนหยัดด้วยตนเองให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อย่าทำตัวเป็นภาระของใครให้เป็นภาระของตัวก็พอ

วาโยรัตนะ 15-03-2009 20:23

พระพุทธเจ้า แต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไร นอกจากระยะเวลาในการบำเพ็ญแล้ว
ปัญญาธิกะบำเพ็ญบารมี ๔ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารของท่าน มีดี มีชั่ว มีรวย มีจน มีสวย มีอัปลักษณ์ ปะปนกันไป ถ้าหากว่าเป็น ศรัทธาธิกะ ๘ อสงไขยกับแสนมหากัป บริวารของท่านก็จะ ดี รวย สวย เสมอกันหมด เขตที่ท่านประกาศพระศาสนาคนชั่วจะเข้าไม่ได้ แต่ถ้าหากเป็นพระพุทธเจ้าวิริยาธิกะ ๑๖ อสงไขยกับแสนมหากัป นอกจากบริวารจะดีรวย สวย เสมอกันหมดแล้ว โลกยุคนั้นคนชั่วไม่ได้เกิด ตกลงที่ท่านต้องเหนื่อยกว่าคนอื่นเขาเป็นเท่าตัวไป เหนื่อยเพื่อบริวารของตัวเอง แต่ว่าสิ่งที่ท่านทำก็จะทำให้บุญญาบารมีท่านมากกว่าองค์อื่นที่ทำมาน้อยกว่า ถ้าหากว่าอยู่ข้างบนพระวรกายของท่านจะใหญ่โตกว่าเขา

วาโยรัตนะ 15-03-2009 20:25

ทำดีส่วนทำดี ทำชั่วส่วนทำชั่ว มันหักกลบลบล้างกันไม่ได้ แต่ถ้าอำนาจของความดีมีสูงกว่ามันสามารถจะหนีความชั่วได้อย่างพระองคุลีมาล
ถ้าหากว่าคนไหนติว่าตัวเองชั่วต้องถามว่าขนาดพระองคุลีมาลหรือเปล่า ?
ฆ่าคนมาเป็นพันเสร็จแล้วพอท่านตั้งหน้าตั้งตาทำเพื่อความเป็นพระอรหันต์ กลายเป็นพระอรหันต์ไปได้ พระอรหันต์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี ที่เข้าพระนิพพานไปแล้ว ไม่มีใครใช้กรรมเก่าหมด ส่วนใหญ่ความดีของท่านมากกว่าจนหลุดพ้นไปพระนิพพานเพราะฉะนั้น “ความดีส่วนความดี ความชั่วส่วนความชั่ว”

วาโยรัตนะ 15-03-2009 20:31

ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ท่านเป็นพระอริยเจ้าแล้วมีแต่เจริญขึ้นไม่มีต่ำลง อริยะคือเจริญขึ้นโดยฝ่ายเดียว คราวนี้ท่านเปรียบเอาไว้ว่า
ความสุขของพระเจ้าจักรพรรดิที่อยู่สุขอยู่เย็น มั่นใจว่า โลกนี้ไม่มีใครเป็นศัตรูของท่านได้ มีความสุขเท่าไรไม่ได้เศษหนึ่งส่วนสิบหกของพระโสดาบัน
พระเจ้าจักรพรรดิท่านเป็นหนึ่งในสี่ประเภทที่กลัวอะไรไม่เป็นจำได้ไหม ?
สี่ประเภทที่กลัวอะไรไม่เป็น คือ
หนึ่งช้างศึก
สองม้าอาชาไนย
สามพระเจ้าจักรพรรดิ
สี่พระอรหันต์
สี่ประเภทนี้กลัวอะไรไม่เป็น

พระอรหันต์ท่านกลัวอะไรไม่เป็นเพราะ ท่านไม่เป็นทุกข์เป็นโทษกับใครอยู่แล้ว ใครจะเป็นทุกข์เป็นโทษกับท่านๆก็ไม่สนใจ เพราะมันเบียดเบียนได้แค่ร่างกาย เบียดเบียนจิตใจท่านไม่ได้
ส่วนพระเจ้าจักรพรรดิท่านปราบได้ในทวีปทั้งสี่ไม่มีใครเป็นศัตรูกับท่าน คนที่มั่นใจได้ขนาดนั้นจะไปกลัวอะไร
เรื่องของช้างศึกกับม้าอาชาไนยเขาผ่านการฝึกฝนมาดี ผ่านการเคี่ยวกรำมาอย่างสาหัสสากรรจ์จนกลัวอะไรไม่เป็น เสียงดังแค่ไหนก็ปลุกไปข้างหน้าอย่างเดียว อาวุธขนาดไหนก็บุกไปข้างหน้า เจ็บแค่ไหนก็บุกไปข้างหน้า

วาโยรัตนะ 23-03-2009 08:52

"จำเอาไว้ว่าเราไม่สามารถจะแก้ไขคนรอบข้างได้ เพราะนั่นเป็นเรื่องของโลก เราแก้ไขได้เฉพาะเรื่องของเรา เพราะฉะนั้นอย่าไปเอาเรื่องของโลกมาเป็นเรื่องราวของเรา กอง ๆ ไว้ตรงนั้นแหละ รู้ก็สักแต่รู้ว่าไม่ต้องรับเข้ามาเลย ตัวนี้เป็นกิเลสมารอย่างหนึ่ง ให้เรารู้ว่ากิเลสแท้จริงของมารเป็นอย่างนี้"

วาโยรัตนะ 23-03-2009 08:54

ตอนฝึก ตรงนั้นศีลมันไม่ขาด เรานั่งอยู่ตรงนั้นจะไปฆ่าใคร นั่งอยู่ตรงนั้นเราไปขโมยของใคร นั่งอยู่ตรงนั้นเราจะไปแย่งคนรักใคร นั่งอยู่ตรงนั้นเราจะไปโกหกใคร นั่งอยู่ตรงนั้นเราจะไปกินเหล้าได้อย่างไร ตอนช่วงนั้นเวลานั้นเราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ อย่าลืมว่ามโนมยิทธิสำหรับพวกเราคือ โลกียอภิญญา ถ้ารวบรวมความมั่นใจได้เมื่อไหร่มันก็ได้เมื่อนั้น มันก็ได้ตอนนั้น มันก็ได้เดี๋ยวนั้น แต่ในขณะเดียวกันถ้าศีลบกพร่องมันก็เสื่อม มันก็คลายตัวไป เรามั่นใจใหม่เมื่อไหร่มันก็ได้อีกเมื่อนั้น เรื่องของอภิญญาโลกีย์ มันเป็นอย่างนี้

ถามว่าในเมื่อเป็นอภิญญาโลกีย์ ทำไมถึงไปพระนิพพานได้เพราะว่าตอนช่วงนั้นครูฝึกจะสอนให้เราตัดกิเลสให้วางกำลังใจเราเทียบเคียงพระโสดาบัน พระโสดาบันแปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน เราก็เลยไปนิพพานได้ แต่ของเราไปได้แค่ชั่วคราวถึงเวลาเขาไล่กลับ เขาไม่ให้อยู่ เพราะฉะนั้น ทำเอาไว้เถอะ เพราะว่าเราทำมโนมยิทธิได้แล้วให้เกาะพระนิพพานโดยตรง ให้เกาะพระพุทธเจ้าบนนิพพานโดยตรง อันนั้นเป็นวิธีตัดกิเลสโดยอัตโนมัติที่สุด
รู้สึกว่าโกรธใครก็วิ่งไปกราบพระบนนิพาน รู้สึกว่าราคะเกิดก็วิ่งไปกราบพระบนนิพาน หากว่าราคะ โลภะ โทสะ โมหะ ขึ้นอยู่กับตัวของเรานี้ไม่มีจิตปรุงแต่ง มันเจริญงอกงามไม่ได้ มันจะเฉาตายไปในเวลาอันรวดเร็วไม่เกินนาที สองนาที ถ้าเราทำอย่างนี้บ่อยๆจะเป็นการตัดกิเลสอัตโนมัติ ถ้ามันเคยชินจะเป็นพระอรหันต์ไปเลย

มโนมยิทธิที่หลวงพ่อสอน จุดสำคัญที่สุดมันอยู่ตรงจุดนี้ อย่าไปใช้ผิดจุด

วาโยรัตนะ 30-03-2009 18:41

:af48944b:สาธุ ขอความมีสติจงบังเกิดแก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ

ฅนเมืองพริบพรี 06-05-2009 14:43

โมทนา สาธุธรรม คุณwonderislandที่นำธรรมทาน
จากพระอาจารย์มาลงในกระทู้นี้ครับ

ขออนุญาตคัดลอก ไว้อ่าน คิดตาม และ ปฏิบัติ ต่อไปนะครับ
กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ

วาโยรัตนะ 06-05-2009 16:06

ขอบพระคุณมาก ๆ เลยครับ แล้วจะรีบแก้ไขให้
แต่หากเจออีกก็ขอความกรุณาแก้ไขลงไปในกระทู้เลยครับ จะมีช่อง Reason for Editing ให้ใส่เหตุผลว่าทำไม อย่างไร จะได้ไม่สิ้นเปลืองข้อความครับผม

ชยาคมน์ 29-01-2013 12:48

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ วาโยรัตนะ (โพสต์ 227)
หายใจเข้าครั้งหนึ่ง หายใจออกครั้งหนึ่ง นึกถึงภาพพระองค์ท่าน นึกถึงคำภาวนา ก็คือเราใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง หายใจเข้าใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง หายใจออกใกล้พระนิพพานไปก้าวหนึ่ง
ให้ตั้งใจว่า...ขึ้นชื่อว่าร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์นี้ เราไม่ขอเกิดมามีมันอีก ขึ้นชื่อว่าโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนนี้ เราไม่ขอมาเกิดอีก การเป็นเทวดาเป็นพรหม ที่มีสุขชั่วคราว เราก็ไม่ปรารถนา ตายเมื่อไร เราขอไปอยู่พระนิพพาน กับพระองค์ท่านเท่านั้น

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ วาโยรัตนะ (โพสต์ 2557)
"จำเอาไว้ว่าเราไม่สามารถจะแก้ไขคนรอบข้างได้ เพราะนั่นเป็นเรื่องของโลก เราแก้ไขได้เฉพาะเรื่องของเรา เพราะฉะนั้นอย่าไปเอาเรื่องของโลกมาเป็นเรื่องราวของเรา กองๆไว้ตรงนั้นแหละ รู้ก็สักแต่รู้ว่าไม่ต้องรับเข้ามาเลย ตัวนี้เป็นกิเลสมารอย่างหนึ่ง ให้เรารู้ว่ากิเลสแท้จริงของมารเป็นอย่างนี้"

ผมขอกราบอาราธนาธรรมไปโพสต์ในเฟซบุ๊กชมรมโมทนาบุญ เว็บพลังจิตครับ

โมทนา

ชยาคมน์ 06-02-2013 09:30

ผมขอกราบอาราธนาธรรมทั้งกระทู้ไปโพสต์ในเฟซบุ๊กชมรมโมทนาบุญ เว็บพลังจิตครับ

โมทนา


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 12:26


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว