เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๖๐
ถาม : หลวงพ่อสามารถปฏิบัติภารกิจได้มากในวันหนึ่ง ๆ ทั้งการงานและการปฏิบัติ จึงขอเรียนถามวิธีในการบริหารเวลาของหลวงพ่อครับ ว่ามีแนวทางอย่างไรจึงสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้มาก และมีประสิทธิภาพครับ ?
ตอบ : อะไรมาก่อนก็ทำอย่างนั้นก่อน |
ถาม : โดยปกติแล้วประสิทธิภาพในการเรียน การทำงาน และสมาธิในการทำสิ่งต่าง ๆ จะขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย กล่าวคือ หากสภาพร่างกายไม่พร้อม เช่น เจ็บป่วย ประสิทธิภาพจะลดลง ขอเรียนถามครับว่า มีวิธีการอย่างไรที่ทำให้ประสิทธิภาพในการเรียนและการทำงานดีอยู่ตลอด โดยไม่ถูกรบกวนจากสภาพร่างกายที่ไม่พร้อมครับ ?
ตอบ : ซักซ้อมการปฏิบัติจนสามารถทรงฌานได้ทุกเวลาที่ต้องการ |
ถาม : กราบเรียนถามถึงวิธีการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเรียนรู้ได้อย่างแตกฉานครับ ?
ตอบ : เรียนตั้งแต่อดีตหลาย ๆ ชาติมาจนถึงชาติปัจจุบัน เดี๋ยวก็แตกฉานไปเอง |
ถาม : จากกาลามสูตร ข้อที่ห้า กล่าวไว้ว่า "มา ตกฺกเหตุ" แปลไทยคือ อย่าปลงใจเชื่อเพราะตรรก หรือเพราะคิดว่าเป็นเหตุเป็นผลกัน ผมยังไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง จึงขอกราบเรียนพระอาจารย์เมตตาอธิบายความในข้อนี้เพิ่มเติมได้หรือไม่ครับ
ตอบ : อย่างเช่น ๒+๒ = ๔ แต่ถ้าเขาบอกว่า ๓+๑ = ? ถาม : เท่ากับ ๔ ? ตอบ : เราจะไปปักใจว่า ๒+๒ = ๔ เป็นตรรกะที่แน่นอนได้ไหม ? |
ถาม :ในประเทศทางตะวันตก อยู่นอกพระพุทธศาสนา เหตุใดจึงมีมหาเศรษฐีอยู่มาก และร่ำรวยกว่าประเทศในเขตพุทธศาสนาครับ ?
ตอบ : เพราะเขาเคยสร้างทานในอดีตมาก่อน |
ถาม : ในประเทศทางตะวันตก การดื่มแอลกอฮอล์ หรือเครื่องดื่มมึนเมาต่าง ๆ มีมากกว่าประเทศในเขตพุทธศาสนา แต่เหตุใดจึงมีนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย และผู้ที่มีสติปัญญามาก มากกว่าประเทศไทยและประเทศใกล้เคียง จนทำให้มีความเจริญแตกต่างกันมากครับ ?
ตอบ : อย่าลืมว่าสิ่งที่เป็นผลในปัจจุบันสืบเนื่องมาจากอดีต ไม่ได้แปลว่ากินเหล้าชาตินี้แล้วคุณเก่งในชาตินี้ |
ถาม : การประพฤติผิดศีลข้อสามนั้น รวมไปถึงการล่วงละเมิดในหญิง ๒๐ จำพวก (อคมนียฐาน) มีหญิงที่มารดารักษาและหญิงที่กฎหมายรักษา เป็นต้น แต่ในสังคมตะวันตกที่มีค่านิยมยอมรับการมีปฏิสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน และยอมรับการเปลี่ยนคู่นอนก่อนแต่งงานนั้น จะถือเป็นการประพฤติผิดศีลข้อสาม และเป็นบาปเท่ากันกับสังคมที่ไม่ยอมรับค่านิยมเช่นนั้นหรือไม่ครับ ?
ตอบ : การยอมรับของสังคมไม่ใช่การยอมรับของศีลธรรม ถ้าผิดจากหลักศีลธรรมแปลว่าผิดทั้งนั้น |
ถาม : กราบเรียนถามพระอาจารย์ครับว่า การบูชาวัตถุมงคลจากวัดต่าง ๆ นั้น นับเป็นสังฆทานหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต้องดูว่าแต่ละวัดนั้นเขาออกวัตถุมงคลมาโดยเจตนาอะไร ถ้าตั้งใจจะหาเงินเข้ากระเป๋าก็ไม่ใช่สังฆทาน ถ้าตั้งใจจะสร้างโบสถ์สร้างศาลาก็เป็นวิหารทาน ต้องดูวัตถุประสงค์ของเขาเป็นหลัก ถาม : และหากเราตั้งใจให้เป็นวิหารทาน จะได้อานิสงส์เป็นวิหารทานหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ถ้าเขาไม่ได้ตั้งใจเอาไปทำแบบนั้น แล้วเราจะได้อานิสงส์นั้นได้อย่างไร ? |
ถาม : ตอนที่บวชอยู่ ในระหว่างบิณฑบาตตอนเช้าได้เห็นขอทาน คนพเนจร คนเก็บของเก่า หรือแม้แต่แม่ค้ารถเข็น ได้ให้อาหารโยมตามทางก่อนถึงวัดเพียงเหลือแค่พอฉัน เรียนถามหลวงพ่อครับ สิ่งที่ผมกระทำเป็นเหตุที่พึงสมควรกระทำหรือไม่ ?
ตอบ : เป็นเหตุที่ทำให้โยมทั้งหมดต้องลงนรก พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระภิกษุเลี้ยงได้เฉพาะพ่อแม่เท่านั้น ส่วนที่เหลือถ้าต้องการจะเลี้ยงต้องเป็นวิทาสาโท คือ เหลือจากพระฉันแล้ว ใช้แล้ว ไม่ใช่พระยังไม่ทันฉัน ไม่ทันใช้ ก็เอาไปให้เขา จะมีโทษในการทำให้คนเสื่อมศรัทธาด้วย เพราะว่าเจตนาของเขาคือถวายพระ ไม่ได้เอาไปให้คนอื่น ถาม : หากเกิดโทษสามารถระงับโทษนั้นได้อย่างไรบ้าง ? ตอบ : บอกให้โยมชำระหนี้สงฆ์ แต่ถ้าหากไปบอกโยมคงเจอกำปั้นแน่..! เพราะดันทะลึ่งเอาไปให้เขาเอง |
ถาม : หากเราใช้ยารักษาเหา อย่างนี้จะเป็นบาปและผิดศีลหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เหามีชีวิตไหม ? ถาม : มีค่ะ ตอบ : ถ้ามีก็ผิด ถาม : ถ้าน้องเป็นเหาจะทำอย่างไรคะ ? ตอบ : โกนหัว...! |
ถาม : ทำงานให้คนอื่นฟรีเพราะอยากช่วยเขา กับทำงานแล้วได้เงินมา แล้วนำเงินไปทำบุญ อย่างไหนดีกว่ากันครับ ?
ตอบ : ขึ้นอยู่กับสภาพตอนนั้น ถ้าอยากช่วยเขาก็ช่วย ถ้าได้เงินแล้วอยากทำบุญก็ทำบุญ ไม่ใช่ไปรอที่ดีกว่าแล้วค่อยทำ ถ้าตายเสียก่อนก็พอดีไม่ต้องทำอะไรเลย |
ถาม : ทำไมคนเข้าวัดทำบุญถือศีล จึงหาคู่ครองได้ยากกว่าคนทั่วไปที่ไม่ได้เข้าวัดครับ ?
ตอบ : ไม่จริง...ขนาดบวชพระแล้วยังได้คู่ครองง่าย ๆ เลย..! ถาม : เพื่อนผมสมัยเรียนแต่งงานมีลูกกันไปหมดแล้ว ส่วนผมเองกลับหาคู่ไม่ได้ หรือพอเจอคนถูกใจ สักพักก็มีเหตุให้ไม่สมหวัง ผมโดนตีกรอบให้ต้องอยู่คนเดียวหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ไม่ใช่หรอก เป็นที่ตัวของเอ็ง...! การกระทำ รูปร่าง ฐานะ ไม่เป็นที่ถูกใจของผู้หญิงต่างหาก |
ถาม : ผมสงสัยครับว่า คนที่เกิดมามีวิสัยเพื่อบวชโดยเฉพาะ จะมีลักษณะพิเศษอะไรที่แตกต่างไปจากคนอื่นไหมครับ ?
ตอบ : ส่วนใหญ่แล้วไม่มี ก็เป็นมนุษย์ปกติทั่ว ๆ ไปนั่นเอง เพียงแต่ว่าเขามีความดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ จะทำอะไรก็ทำจริง ถาม : เนกขัมมบารมี เกี่ยวไหมครับว่าเป็นบารมีสำหรับคนที่บำเพ็ญมาเยอะพอควรแล้ว คนบารมีต้นไม่สามารถจะบำเพ็ญเนกขัมมบารมีได้ ? ตอบ : เนกขัมมบารมีก็มีบารมีต้น มีบารมีกลาง มีบารมีปลายเหมือนกัน บารมีต้นก็บำเพ็ญแบบต้นสิ ถาม : คนที่อยู่ในเพศนักบวช เช่น อยู่ในผ้าเหลืองได้นาน แสดงว่าเขาต้องภาวนาเยอะหรือครับ จึงอยู่ในเพศนั้นได้นาน ? ตอบ : บางคนอยู่เพราะอยากเป็นเจ้าคุณ...! ถาม : ผมขอคำแนะนำสำหรับคนที่ต้องการอยู่ในผ้าเหลืองให้นาน ๆ ด้วยครับ ตอบ : เอาผ้าเหลืองห่มตัวไว้ อย่าให้ใครเอาไปได้...! |
ถาม : ตอนนี้อยู่กับแม่และพี่ แต่มักมีเรื่องให้ทะเลาะกันกับแม่ ข้าพเจ้าก็พยายามไม่พูดไม่เถียง แต่บางครั้งคำพูดของแม่ก็ทำให้มีอารมณ์โกรธขึ้นมาบ้าง ก็จะพูดกับแม่ด้วยเสียงดังตะคอก อยากทราบว่าทำเช่นไรจึงจะระงับความโกรธนี้เสียได้ แล้วการทำเช่นนี้กับแม่เป็นบาปมากหรือไม่ ?
ตอบ : บาปไม่มากหรอก เพราะว่าคุณบาปแค่คนเดียว...! รู้ตัวขึ้นมาก็พยายามเลี่ยงเสีย ถ้ารู้ว่าระงับอารมณ์ไม่อยู่ก็ยอมเสียมารยาทเดินหนีไปเลย |
ถาม : ผมสงสัยบัว ๔ เหล่าที่พระพุทธเจ้าท่านแยกไว้ ประเภทที่ ๔ ปทปรมะที่มากไปด้วยบทบาท คือ ไม่ยอมรับฟังความเห็นคนอื่น แปลว่าสังโยชน์ข้อมานะทิฐิท่านมีมากใช่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : โปรดเข้าใจเสียใหม่ พระพุทธเจ้าเทศน์ถึงบุคคลสี่จำพวกและบัวสามเหล่า แต่กลับมีคนรู้ดีและเอาไปยำรวมกัน จนกลายเป็นบัวสี่เหล่า บุคคลสี่จำพวก คือ อุคฆติตัญญู เป็นผู้ที่ฟังข้อธรรมก็สามารถบรรลุมรรคผลได้เลย วิปจิตตัญญู ฟังหัวข้อธรรมและได้รับการขยายความเล็กน้อย ก็สามารถเข้าถึงมรรคผลได้ เนยยะ เป็นผู้ที่ต้องปากเปียกปากแฉะ จ้ำจี้จ้ำไชอยู่เสมอ ปทปรมะ เป็นบุคคลที่ไม่ยอมรับความคิดของคนอื่น ก็เลยไม่ได้ผลอะไร คราวนี้ในเรื่องของบัว ท่านเปรียบไว้บัวสามเหล่า คือ บัวพ้นน้ำ กระทบแสงแดดก็บานเลย ประเภทที่สอง บัวปริ่มน้ำ พร้อมที่จะโผล่พ้นขึ้นมาบานในวันรุ่งขึ้น ประเภทที่สาม บัวใต้น้ำ รอที่จะโผล่ขึ้นมาในวันต่อ ๆ ไป ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะเอาไปรวมกันเป็นบัวสี่เหล่า แต่ในพระไตรปิฎกมีแค่บัวสามเหล่า และบุคคลสี่เหล่า ในส่วนของปทปรมะนั้นไม่ใช่แต่มากด้วยทิฏฐิมานะเฉย ๆ สักกายทิฏฐิยังเต็ม ๆ อีกด้วย ก็เลยทำให้ไม่ยอมรับคนอื่น คิดอยู่แต่ว่ากูดี กูแน่แล้ว ถาม : แล้วบุคคลประเภทปทปรมะ ถ้าเขาต้องการเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า ท่านเหล่านี้ต้องโดนทำให้หมดมานะทิฏฐิก่อนหรือเปล่าครับ ? ตอบ : เป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นปทปรมะจริง ๆ ต้องรออีกหลายชาติ |
ถาม : ผมสงสัยว่าพระอนาคามีที่ท่านยังมีสังโยชน์เบื้องสูง ๕ ประการอยู่ ตัวสุดท้ายคืออวิชชา แปลว่ารู้ไม่หมด พระอนาคามีท่านรู้ไม่หมดในเรื่องอะไรครับ ?
ตอบ : ในเรื่องของการที่จะไปพระนิพพาน ถาม : แล้วท่านทำให้อวิชชาหมดไปจนได้เป็นพระอรหันต์อย่างไรหรือครับ ? ตอบ : ก็แค่ "ละวาง" เท่านั้น |
ถาม : ผมอ่านประวัติพระพุทธเจ้าแล้วไปสงสัยเรื่องอสิตดาบส ที่ท่านมีฤทธิ์มาก ทรงฌานสมาบัติ ๘ เป็นปกติ แล้วท่านทำนายว่าพระโพธิสัตว์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า อสิตดาบสก็ร้องไห้เพราะรู้ว่าตัวเองจะตายก่อนที่พระโพธิสัตว์จะตรัสรู้ พอท่านตายก็ไปเกิดเป็นอรูปพรหม ในจุดนี้ผมสงสัยในเมื่อท่านเข้าทรงฌานสมาบัติเป็นปกติและเก่งมาก ทำไมอสิตดาบสท่านไม่เข้าฌาน ๑-๕ จะได้เป็นรูปพรหมแล้วได้ฟังธรรมละครับหลวงพ่อ ?
ตอบ : คุณตีตั๋วเครื่องบินจะไปเชียงใหม่ พอขึ้นเครื่องบินไปแล้วบอกว่าจะลงแค่พิษณุโลก จะมีใครให้คุณลงไหม ? อย่าลืมว่าฌานคือความเคยชิน เมื่อทำจนเคยชินจะเข้าไปสู่จุดที่ตนเองเคยชินโดยอัตโนมัติ เหมือนกับคนที่ประกอบไปด้วย รัก โลภ โกรธ หลง เป็นปกติ ถึงเวลาจิตก็วิ่งไปหากิเลสโดยอัตโนมัติ ลักษณะเดียวกัน ดังนั้น...จึงไม่สามารถที่จะระงับยับยั้งตัวเองไม่ให้ไปเกิดเป็นรูปพรหมได้ ถาม : ผมตั้งใจว่าชาตินี้อยากจะทรงสมาบัติ ๘ แต่ผมเกรงว่าก่อนตายผมพลาดดันไปเข้าอรูปฌานแล้วเกิดเป็นอรูปพรหม โดยเฉพาะในกัปนี้ถ้าพลาดเข้าอรูปฌาน ผมพลาดพระพุทธเจ้าถึง ๕ พระองค์เลย เลยอยากถามหลวงพ่อว่าพอจะมีวิธีแก้การเข้าฌานพลาดหรือเปล่าครับ ? ตอบ : ทรงสมาบัติ ๘ เกาะพระนิพพานเป็นปกติ |
ถาม : การที่จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้ต้องมีแก้ว ๗ อย่าง ๑ ในนั้นคือนางแก้ว ผมสงสัยว่าทำไมนางแก้วถึงสำคัญขนาดว่าจำเป็นที่ต้องมีถึงจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ? แล้วพระเจ้าจักรพรรดิสามารถเกิดในยุคที่มีพระพุทธเจ้าได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าบอกว่านางแก้วไม่สำคัญ เอ็งก็ลองดูซิว่า ถ้าไม่มีแม่แล้วเอ็งจะเกิดได้ไหม ? พระเจ้าจักรพรรดิจะเกิดเฉพาะช่วงโลกว่างจากพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะท่านเป็นผู้นำในหมู่ชน ถ้าเกิดยุคเดียวกันจะเป็นการแข่งบุญกัน และทำให้คนจำนวนหนึ่งเสียโอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลได้ เพราะไปยึดในตัวท่านแทนที่จะไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า |
ถาม : คุณยายอายุ ๘๐ ปีกว่า ต้องการถวายที่ดิน ๒ แปลงให้วัด แต่ละแปลงเนื้อที่ไม่ถึง ๑ ไร่ มีบ้านเช่า ให้ญาติพักอยู่ดูแลให้ (แต่ไม่ค่อยเก็บเงินส่งให้คุณยาย) ทั้งสองแปลงอยู่คนละจังหวัด มีราคาสูงพอสมควร พอไปเสนอเจ้าอาวาสวัดหนึ่ง ท่านให้จดทะเบียนเป็นของวัดเลยเพื่อที่วัดจะได้ไม่ต้องมีปัญหาฟ้องร้องเป็นคดีในอนาคต โดยทางเจ้าอาวาสจะให้ลูกศิษย์มาพักดูแลให้ คุณยายตกลงใจจะจดทะเบียนโอนให้วัด แต่ขอทำสัญญาให้คุณยายมีสิทธิ์เก็บค่าเช่า ให้คนดูแล (ที่วัดมอบหมาย) โอนเงินค่าเช่าเข้าบัญชีจนกว่าคุณยายจะเสียชีวิต และหากญาติที่อยู่ปัจจุบัน ถ้าหาที่อยู่ไม่ได้ ก็ให้มีสิทธิ์เข้ามาอยู่ในที่ดินได้
ตอนแรกข้าพเจ้าเห็นคุณยายกังวล จึงอยากจะช่วยให้สบายใจ แต่มาคิดรู้สึกสงสัย การจดทะเบียนตามความประสงค์ของคุณยายไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่การที่คุณยายยกถวายจดทะเบียนที่ดินให้วัดไปแล้ว ที่ดินต้องเป็นธรณีสงฆ์ เป็นของวัด ไม่ใช่ของคุณยาย คุณยายได้ค่าเช่ามาใช้จะเป็นหนี้สงฆ์หรือไม่ ? ตอบ : ไม่เป็น...เพราะก่อนจะเป็นของสงฆ์ยังเป็นของยายอยู่ และมีการระบุเจตนารมณ์ในสัญญาชัดเจนอยู่แล้ว แต่ถ้าทำอย่างที่ว่ามาจะมีปัญหาภายหลังตรงญาติ เพราะดันไประบุว่าถ้าญาติเดือดร้อนก็เข้ามาอยู่ได้ ต่อให้ยายตายไป ๕ ปี หรือ ๑๐ ปี สัญญานั้นก็ยังมีผลอยู่ เพราะฉะนั้น...การจดทะเบียนต้องระบุว่าทุกอย่างจะสิ้นสุดลงเมื่อยายเสียชีวิตแล้ว ไม่อย่างนั้นญาติสามารถอ้างสิทธิ์แล้วเข้ามาอาศัยอยู่ได้ตามสัญญา พระท่านก็ไม่รู้จะไปคัดง้างอย่างไร เพราะว่าในสัญญาระบุไว้ชัดอย่างนั้น |
ถาม : ถ้าอาหารวัดมีมากพอ (จนน่าจะเหลือ) แต่เรายังคิดห่วงกังวลกลัวอาหารที่ชอบ ๆ จะโดนคนอื่นตักไปหมดก่อน หรือการเลือกรับประทานอาหารที่เราชอบและอร่อย โดยไม่ใช่เพื่อรักษาร่างกาย ดูแลสุขภาพหรือป้องกันโรค แบบนี้เป็นกิเลสใช่หรือเปล่า ?
ตอบ : นอกจากจะเป็นกิเลสแล้วยังพาให้ลงนรกด้วย แสดงว่าไม่เคยพิจารณาในอาหาเรปฏิกูลสัญญาเลย ถาม : ขอพระอาจารย์แนะนำวิธีแก้ไข ตัดใจในเรื่องนี้ด้วยครับ ? ตอบ : พยายามพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญาให้มาก ๆ เข้าไว้ กินดีแค่ไหนท้ายสุดก็เป็นขี้เหมือนกัน..! |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:02 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.