กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6059)

เถรี 12-02-2018 20:56

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑
 
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๑ ดินฟ้าอากาศในวันนี้ก็ค่อนไปทางเริ่มหนาวอีกรอบหนึ่ง ในขณะที่สภาพร่างกายของเรานั้น ถ้าไม่ได้อากาศที่พอดี การปฏิบัติธรรมก็จะพบกับความยากลำบาก เพราะว่าอุตุสัปปายะ คือ ความพอดีพอเหมาะของอากาศ เป็นหนึ่งในสัปปายะ ๗ อย่างสำหรับนักปฏิบัติธรรม

เพียงแต่ว่าสภาพร่างกายของเรานั้น เรามีหน้าที่บริหารร่างกายให้เป็นไปเพื่อปฏิบัติธรรม หรือถ้าอย่างภาษาบาลีที่ว่า พรหฺมจริยานุคหายะ ก็คือเพื่ออนุเคราะห์ต่อการประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ใช่ว่านักปฏิบัติทำไปถึงระยะหนึ่ง เห็นทุกข์เห็นโทษของร่างกายแล้ว ก็ปล่อยปละละวางไม่ได้ให้ความใส่ใจดูแล ถ้าลักษณะอย่างนั้นเป็นการกระทำที่ผิด

ร่างกายของเราจะหนาว จะร้อน จะหิว จะกระหาย จะเจ็บไข้ได้ป่วย เราซึ่งอาศัยร่างกายนี้อยู่ปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น ก็ต้องดูแลเต็มความสามารถ หนาวก็หาเครื่องนุ่งห่มมาให้เพียงพอ ร้อนก็หาความเย็นให้ ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำ การใช้พัดลมหรือใช้เครื่องปรับอากาศ หิวก็หาให้กิน กระหายก็หาให้ดื่ม เจ็บไข้ได้ป่วยก็รักษาพยาบาล

เพียงแต่ว่าเราทำหน้าที่โดยมีความรู้ตัวอยู่เสมอว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราจะแบกภาระดูแลร่างกายที่เต็มไปด้วยทุกข์ด้วยโทษนี้แค่ในชาตินี้เท่านั้น ขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่มาในร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้เราไม่ต้องการอีก การเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนนี้ เราก็ไม่ปรารถนาอีกแล้ว เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน

เถรี 13-02-2018 19:23

ถ้าท่านทั้งหลายสามารถทำใจอย่างนี้ได้ เราก็มากวดขันกฎเกณฑ์กติกาของเราว่า ทำอย่างไรเราถึงจะมีสิทธิ์ล่วงพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ ?

เบื้องต้นเราก็ต้องมากวดขันศีลของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ ก็ดี ศีล ๘ ก็ดี ท่านที่เป็นสามเณรก็ศีล ๑๐ เป็นพระภิกษุสงฆ์ก็ศีล ๒๒๗ พยายามระมัดระวังไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล

หลังจากนั้นก็ทำความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างแน่นแฟ้นจริงใจ ไม่ล่วงล้ำก้ำเกินด้วยกาย ด้วยวาจา หรือด้วยใจก็ตาม ซึ่งในจุดนี้ท่านที่มีการภาวนาอยู่แล้ว แค่เข้าถึงในส่วนของปีติหรือสุข ยังไม่สามารถที่จะเข้าถึงปฐมฌานได้ เป็นแค่อารมณ์เฉียด ๆ จะเป็นปฐมฌานเท่านั้น เราก็จะรู้สึกว่าปีติ ร่าเริง สุข เยือกเย็นอย่างบอกไม่ถูก

แบบนั้นให้ลองใช้ปัญญาน้อย ๆ ตรองดูว่า เราที่เป็นปุถุชนธรรมดาหนาแน่นไปด้วยกิเลส ทรงอารมณ์สมาธิเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ยังมีความสุขขนาดนี้ แล้วบุคคลที่สามารถทรงปฐมฌานได้ จะมีความสุขขนาดไหน ? บุคคลที่ทรงฌาน ๒ ฌาน ๓ ฌาน ๔ ได้จะยิ่งมีความสุขเท่าไร ? แต่ว่าบุคคลที่ทรงฌานได้ในลักษณะของโลกียฌานนั้น ถึงจะมีความสุขก็ยังมีโอกาสที่พบกับทุกข์หนัก เพราะว่าไม่สามารถที่จะปิดอบายภูมิได้ พลั้งเผลอเมื่อไร ก็อาจจะตกนรก หรือเกิดเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน เป็นต้น

ฉะนั้น...ความสุขในระดับนี้เป็นความสุขที่สุ่มเสี่ยงต่ออบายภูมิเป็นอย่างยิ่ง ก็ต้องไขว่คว้าหาความเป็นพระโสดาบัน ถ้าบุคคลที่เป็นโลกียฌานยังมีความสุขขนาดนี้ พระโสดาบันที่พ้นแล้วจากอบายภูมิทั้ง ๔ จะมีความสุขขนาดไหน ? เนื่องจากไม่ต้องหวั่นเกรงว่าจะตกลงไปในที่ต่ำอีก

เถรี 16-02-2018 16:47

แล้วพระสกทาคามีที่ทำให้ราคะโทสะเบาบาง จางลงจนเหมือนกับไม่มี จะมีความสุขขนาดไหน ? พระอนาคามีที่ตัดราคะกับโทสะได้อย่างเด็ดขาดแล้ว ไม่ต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์อีกแล้ว จะมีความสุขเพียงไร ? แล้วพระอรหันต์ที่พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดทั้งปวงจะมีความสุขเท่าไร ? พระพุทธเจ้าที่เป็นจอมของพระอรหันต์ เป็นผู้นำความรู้มาสั่งสอนจนบุคคลเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ ท่านจะมีความสุขมากเท่าไร ?

ใช้ปัญญาเพียงเล็กน้อยพิจารณาในลักษณะอย่างนี้ เราจะเห็นคุณของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ชัดเจนหนักแน่นยิ่งขึ้น ความเคารพในพระรัตนตรัยจะแน่นแฟ้นอยู่ในใจของเรา การที่จะล่วงเกินด้วยกายด้วยวาจาก็จะค่อย ๆ หมดไปตามลำดับที่เราเข้าถึงความดี

เราก็แค่ใช้ปัญญาเพิ่มเติมว่า สภาพร่างกายนี้มีแต่ความทุกข์เป็นปกติ มีความเสื่อมสลายเป็นปกติ ขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่เช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีกแล้ว ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว มีความรู้ตัวอยู่เสมอว่าเราจะต้องตายแน่นอน พูดง่าย ๆ ว่าทุกลมหายใจเข้าออกอยู่กับความตาย หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายเช่นกัน เราต้องทำความรู้ตัวอยู่เสมอว่า การตายของเราครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย ขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่จะไม่มีสำหรับเราอีก

แล้วเอาสภาพจิตของเราเกาะพระหรือเกาะพระนิพพานเอาไว้ พยายามรักษาอารมณ์ใจของเราให้ได้เช่นนี้ทุกวัน กฎเกณฑ์กติกาขั้นแรกที่จะพาเราพ้นจากอบายภูมิก็จะเป็นของเรา

ต่อไปขอให้ทุกท่านภาวนาพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้า)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 17:11


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว