กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5567)

เถรี 21-04-2017 13:25

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๐
 
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติหรือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจออกมา ให้ใช้คำภาวนาที่มีความถนัด มีความคล่องตัวมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๐ จากวันนี้มีหลายท่านที่ถามคำถาม ทำให้เห็นได้อย่างหนึ่งว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้นกำลังเสียเวลาเปล่า เพราะตีความคำว่าศึกษาของพระพุทธเจ้าผิด

พระพุทธเจ้าให้เราศึกษา ๓ อย่าง เรียกว่า ไตรสิกขา ประกอบไปด้วย สีลสิกขา ศึกษาในศีล จิตสิกขา ศึกษาในสมาธิ ปัญญาสิกขา ศึกษาในเรื่องของปัญญา การศึกษานั้นคือลงมือทำ ไม่ใช่ไปอ่านตำราแล้วรู้ได้ อ่านตำราแล้วรู้เป็นแค่สุตมยปัญญา ก็คือสิ่งที่เกิดจากการฟังการอ่าน ยังต้องมาขบคิดเพื่อให้เกิดความเข้าใจ เรียกว่าจินตมยปัญญา สำคัญที่สุดคือเราต้องทำให้เกิดผลเรียกว่า ภาวนามยปัญญา

ฉะนั้น...ในการศึกษาจึงไม่ใช่อ่านตำราไปเรื่อย ๆ อ่านตำราไปมาก ๆ แล้วจะสามารถเข้าถึงมรรคถึงผลได้ ตำราเป็นเพียงแผนที่นำทางเราเท่านั้น ถ้าหากว่าเรายึดติดในตำราในแผนที่ จะมีผลเสียมากกว่าผลดี เพราะความสงสัยจะมีมาก

อย่างเช่นว่า ถนนที่ผ่านหน้าบ้าน ในแผนที่จะเป็นเส้นขีดยาว ๆ เท่านั้น พอเราเดินทางไปก็จะสงสัยว่าทำไมไม่เป็นเส้นขีดยาว ๆ แบบในแผนที่ ทำไมต้องมีทางรถไฟฟ้า ทำไมต้องมีห้างสรรพสินค้า ทำไมต้องมีเรือนชานบ้านช่อง มัวแต่สงสัยอยู่ไม่ได้ลงมือปฏิบัติจริง ก็สูญเสียโอกาสที่เราจะได้มรรคได้ผลไปอย่างน่าเสียดาย โดยเฉพาะกำลังใจของท่านทั้งหลายนั้น สามารถเข้าถึงมรรคถึงผลได้อยู่แล้ว

เถรี 21-04-2017 13:27

ทำไมถึงกล่าวเช่นนั้น ก็เพราะว่าท่านทั้งหลายมีสติสมาธิเพียงพอ แต่ขาดปัญญา รู้ได้อย่างไรว่าสติสมาธิเพียงพอ ? ก็ดูจากเวลาเราโกรธคนอื่น สมมติว่าเราไม่ชอบใจเพื่อนของเราคนหนึ่ง เมื่อเพื่อนคนนั้นมาพูดด้วย เราก็ระลึกได้ทันทีว่าเราโกรธเพื่อนคนนี้ เพราะฉะนั้นเราจะไม่พูดด้วย นั่นคือเรามีสติสมบูรณ์ รู้ว่าเราโกรธเพื่อนคนนี้ รู้ว่าเราต้องไม่พูดด้วย แต่เราใช้ในทางที่ผิด กลายเป็นมิจฉาสมาธิไป

ทุกครั้งที่เพื่อนคนนี้มาพูดกับเรา ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพไหน จะกินจะนอน จะทำงานหกคะเมนตีลังกาอย่างไร เราจะมีสติรู้ตัวทันทีว่าเราจะไม่พูดด้วย นั่นก็แสดงว่าสติของเราจริง ๆ แล้วสมบูรณ์มาก แต่เอาไปใช้ในด้านที่ผิด ทำอย่างไรที่เราจะมีสติระลึกรู้อยู่เสมอว่าเราจะละ รัก โลภ โกรธ หลง จากใจของเรา แค่เราเปลี่ยนมุมเท่านั้น กำลังของเราก็เพียงพอที่จะถึงมรรคถึงผลได้แล้ว

เถรี 22-04-2017 14:44

เอาสตินั้นมาระลึกรู้ว่า เราต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เราจะไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล เราจะรักษาสมาธิภาวนาของเราอยู่เฉพาะหน้า สติจะจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออกนี้ จะไม่ไหลไปสู่ รัก โลภ โกรธ หลง ไม่ส่งใจไปทั้งในอดีตและอนาคต เราจะอยู่กับปัจจุบันเฉพาะตรงหน้า อยู่กับลมหายใจเข้าออกนี้เท่านั้น

ท้ายสุดมีสติระลึกรู้อยู่เสมอว่าเราจะต้องตาย ชีวิตนี้ต้องตายลงไปแน่นอน ถ้าตายแล้วขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่มามีความทุกข์เช่นนี้จะไม่มีสำหรับเราอีก เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน

ถ้าสติของเราสามารถจดจ่อปักมั่นอยู่แค่นี้ สมาธิย่อมเกิดขึ้น ปัญญาก็จะตามมาว่าในส่วนของ รัก โลภ โกรธ หลง เราไม่ควรที่จะไปแตะต้อง เราควรที่จะเกาะศีล เกาะสมาธิ เกาะปัญญา เกาะพระนิพพาน ปล่อยวางซึ่งร่างกายนี้ เมื่อท่านทั้งหลายทำอย่างนี้ การปฏิบัติของเราจึงจะมีผลก้าวหน้าให้เห็นได้

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านภาวนาพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๐

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้า)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:36


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว