กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เรื่องธรรมะ และการปฏิบัติ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=20)
-   -   เล่าสู่กันฟังภาค ๔ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2885)

เถรี 07-09-2011 19:36

1 Attachment(s)
เคยได้ยินพระอาจารย์ท่านท่องกลอนให้ฟังดังนี้


"บวชทั้งนอกบวชทั้งในนั้นดียิ่ง
บวชแต่ในนอกทิ้งท่านไม่ห้าม
บวชแต่นอกในงดก็หมดงาม
ไม่บวชเลยเลวทรามอย่างแน่นอน"


รู้สึกประทับใจจึงเก็บมาฝาก



ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา



พระเมตตาและพระอาจารย์ ณ บ้านสุมโน

เถรี 07-09-2011 20:04

พระอาจารย์ท่านกรุณาตักเตือนว่า "ถ้าคุณเห็นใครทำอะไรไม่ถูก ให้กองเอาไว้ตรงนั้น เรามีหน้าที่แค่ช่วยยกกำลังใจของเขาไม่ให้ตก ไม่ให้ออกนอกทางเท่านั้น นอกนั้นเป็นเรื่องของเขา ไม่เกี่ยวกับเรา ถ้าปล่อยวางได้ ก็จะไม่เสียกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรรมของเรา"

คำสั่งสอนเพียงเท่านี้ ถ้าคิดให้ดี สามารถเข้าสู่คุณธรรมระดับปรมัตถ์ได้เลย โอวาทนี้จึงถือเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามาก เห็นว่ามีประโยชน์ จึงเก็บมาฝาก


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา

เถรี 07-09-2011 22:01

วิธีทำให้ ว่าง พระอาจารย์เคยแนะนำว่า "ให้ตัดไม้เอกออกซะ"

ส่วนการทำดีเพราะอยากทำ ถึงเวลาความดีจะปรากฏ แต่ถ้าทำดีเพราะอยากดี นานไปความดียังไม่ปรากฏ เมื่อนั้นเราเองจะท้อถอย แย่เสียเอง พระอาจารย์กล่าวพร้อมกับสรุปว่าจงทำดีเพราะอยากทำ แต่อย่าทำเพราะอยากดี


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา

เถรี 08-09-2011 09:14

ไหว้พระพุทธ อย่าติดอยู่ที่ทองคำ ไหว้พระธรรม อย่าติดอยู่ที่ใบลาน ไหว้พระสงฆ์ อย่าติดที่เป็นลูกหลานชาวบ้าน" เคยได้ยินพระอาจารย์ท่องให้ฟัง และท่านก็ให้โอวาทอีกพอสมควร แต่สุดท้ายท่านเลี้ยวเข้ามาหา การไม่ติดใจในสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ พร้อมทั้งพูดอีกว่า เห็นอะไรใครไม่ดีอย่าว่าหรือซ้ำเติมเขา แต่ให้เอาสิ่งเหล่านั้นมาปรับปรุงตัวเราแทน

หรือแม้แต่การวิพากษ์วิจารณ์คน ให้พูดทั้งในด้านดีและไม่ดีไปด้วยจะได้ยุติธรรมที่สุเพราะส่วนใหญ่เรามักจะพูดเพียงด้านเดียว มองเพียงด้านเดียว ซึ่งพระเมตตาก็เห็นจริง พร้อมรับโอวาทแล้วน้อมนำไปปฏิบัติ


พระอาจารย์ท่านสอนอีกว่า การกิน การนอน การเสพกาม การเสวยอำนาจ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่มีความอิ่ม ไม่มีความเบื่อ ดังนั้น...ถ้ามีใครคิดว่าจะทำสิ่งเหล่านี้ให้มาก ๆ จะได้เบื่อไม่ทำอีก ท่านว่าต้องระวังให้ดี ส่วนใหญ่เสร็จกิเลสทุกราย


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา

เถรี 08-09-2011 09:17

พระพุทธวจนะ

อานันทะ...ดูกร อานนท์....ตถาคตจักไม่ปฏิบัติต่อเธอทั้งหลายอย่างทะนุถนอม ประดุจช่างหม้อที่ปฏิบัติต่อหม้อดินที่ยังเปียกยังดิบอยู่

อานันทะ...ดูกร อานนท์...เราจักกระหนาบแล้วกระหนาบอีก ชี้โทษแล้วชี้โทษอีก ผู้ใดมีมรรคผลเป็นแก่นสารผู้นั้นจึงจักทนอยู่ได้

เป็นหนึ่งในพุทธพจน์ที่พระอาจารย์ติดไว้ตามผนังในเกาะพระฤๅษี เป็นสิ่งที่คอยเตือนใจเราให้ตระหนักถึงหน้าที่และพระคุณของครูบาอาจารย์ ตลอดจนถึงหน้าที่ของพวกเราด้วย


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา

เถรี 08-09-2011 09:18

ถ้าเป็นเรื่องของการพูดสอนพระอาจารย์ท่านได้แนะนำ ดังนี้
๑. พูดเน้นการปฏิบัติ
๒. พูดให้เคารพพระรัตนตรัย
๓. พูดให้คลายกำหนัด
๔. พูดให้ห่างจากการครองเรือน เป็นต้น

ขอเป็นกำลังใจให้ญาติโยมทุกคนผ่านพ้นอุปสรรคทั้งหลายในยุคนี้ไปได้อย่างสะดวก


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา

เถรี 08-09-2011 09:31

วิธีการบรรลุมรรคผลนั้น มีด้วยกัน ๔ วิธี คือ

๑. ปฏิบัติลำบากบรรลุช้า
๒. ปฏิบัติลำบากบรรลุเร็ว
๓. ปฏิบัติสบายบรรลุช้า
๔. ปฏิบัติสบายบรรลุเร็ว

ถ้าว่าไปแล้วพวกเราในสายของหลวงพ่อฤๅษีฯ น่าจะถือว่าเป็นแบบสุดท้ายได้ โดยเฉพาะวิชามโนมยิทธินั้น ถ้าวางกำลังใจได้ตามที่ครูบอกแล้วต้องถือว่าไม่ยาก เพราะมโนมยิทธิไม่ต้องใช้กำลังใจสูงมากนัก เพียงแค่อุปจารสมาธิผลก็เริ่มปรากฏ

ทุกวันนี้ไม่ใช่แค่ผ้าเหลืองเท่านั้น ผ้าลายก็มีมากที่สามารถทรงอภิญญาสมาบัติกันได้เป็นปกติ เขาเหล่านั้นไม่ได้หายไปไหน หากแต่อยู่รวมปะปนกับเราในชีวิตประจำวันนี่เอง ถ้าเรามีกำลังใจไม่เหนือไปกว่าเขาหรือเท่าเขา เราก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าใครเป็นเช่นไร

เถรี 08-09-2011 10:15

การเห็นพระนิพพานได้จัดเป็นอุปจารสมาธิ แต่ถ้าไปได้ จัดเป็นฌาน ๔ บางทีก็เป็นฌานแบบใช้งาน อาจไม่หนักแน่นนัก หรือคนที่ได้ก็อาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองได้แล้ว

ในขณะฝึก บางคนจึงรู้สึกเหมือนกับว่าครึ่งหลับครึ่งตื่น เรียกว่าเป็นฌาน ๔ อย่างหยาบ ครูจึงต้องหมั่นนำให้เราอธิษฐานขอบารมีพระพุทธเจ้าบ่อย ๆ และที่สำคัญ ศีลต้องดีจะส่งผลถึงวิปัสสนาญาณที่เด็ดขาดและชัดเจน

คำว่า "เด็ดขาด" นั้นอยากจะบอกญาติโยมทั้งหลายว่า เป็นเรื่องของการตัดสินใจนั่นเอง คือการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดมั่นคง เชื่อตามนั้นไม่ลังเลสงสัย ครูว่าอย่างไรว่าตามกัน เหมือนคนในสมัยพุทธกาล เขาฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าเพียงจบเดียวหรือประโยคเดียวก็สามารถบรรลุมรรคผลได้ ทั้งนี้ก็เพราะเขาเชื่อตามสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าเป็นเรื่องจริง ธรรมะนั้นเข้าไปในใจ คือเข้าใจและยอมรับจากใจจริง ๆ ผลจึงเกิดทันที อย่างนี้เป็นต้น

เถรี 08-09-2011 10:21

การภาวนา คือสิ่งที่สำคัญมากสำหรับนักปฏิบัติ ถ้าเราภาวนาอยู่ตลอดจนกระทั่งหลับไป จิตอาจยังตื่นโพลงอยู่ เราจะรู้สึกเหมือนกับว่าเราไม่ได้หลับ บางคนถึงขนาดได้ยินเสียงกรนของตัวเอง

ความจริงร่างกายได้พักและหลับไปแล้ว ซึ่งถ้าเรามัวแต่กังวลว่าเรายังไม่ได้นอน เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า เกรงจะลุกไม่ไหว หรือคอยสั่งบังคับฝืนให้หลับไปอะไรทำนองนี้ เราจะรู้สึกเหนื่อยและทรมาน ไม่สดชื่นเมื่อตื่นขึ้น ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ให้รู้ไว้ว่าร่างกายได้พักแล้ว ปล่อยให้เขานอนไปไม่ต้องกังวล ถ้ารู้ตัวอยู่ตลอดก็ให้ภาวนาต่อเนื่องไปเลย ถือว่าไม่ขาดทุน ตื่นมาก็จะรู้สึกสดชื่น เพราะที่เหนื่อยก็เนื่องจากเราไปฝืนให้หลับนั่นเอง

พระอาจารย์ท่านเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนท่านฟังเทปหลวงพ่อจนเคลิ้มจะหลับ วินาทีนั้นเองที่ท่านพยายามกระชากและดึงความรู้สึกของท่านให้ตื่นขึ้นมา ไม่ยอมให้หลับ ใหม่ ๆ ท่านว่ามันหลับไปก่อนทุกที เมื่อพยายามฝึกเข้าบ่อย ๆ สติก็เริ่มตามทัน ในที่สุดก็ไม่หลับ

แต่ความจริงร่างกายหลับไปแล้ว จิตที่ประกอบไปด้วยสติสัมปชัญญะต่างหากที่ไม่หลับ กลายเป็นผู้ตื่นตลอดเวลา ช่วงนี้เอง ท่านว่าเราจะได้ยินธรรมะที่เราไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนบางทีก็เป็นธรรมะเฉพาะกิจ คือสอนเฉพาะเราเท่านั้นก็มี

เถรี 08-09-2011 10:37

แต่ท่านกระซิบบอกว่าคุณเอ๋ย..วิธีนี้ฝึกยากมาก เพราะคุณจะต้องหาจุดที่กำลังจะหลับให้ได้พอดี ๆ แล้วพยายามกระชากหรือฝืนความรู้สึกไม่ให้หลับไป พยายามประคองสติให้ทันช่วงนั้น ต้องยอมรับว่ายากจริง ๆ เพราะบางครั้งเราอาจเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้ากับงานในระหว่างวัน ขนาดผมยังใช้เวลาฝึกถึง ๓ ปี ฟังเทปหลวงพ่อขาดเป็นม้วน ๆ ไปแล้ว

เมื่อฟังแล้วจงอย่าเพิ่งท้อ จงมองว่าเป็นแนวทางและกำลังใจให้เรารู้ว่า เมื่อเราเอาจริงอย่างที่พระอาจารย์ท่านทำ ผลย่อมต้องเกิดอย่างแน่นอน โดยที่ไม่ต้องให้ท่านมาคอยรักษากำลังใจให้เราอยู่ตลอดเวลา


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา

เถรี 08-09-2011 17:20

การระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์ถือได้ว่าเป็นอนุสติอย่างหนึ่ง การตามระลึกถึงคุณของครูบาอาจารย์อย่างคนผู้ไม่ขาดทุนนั้น เราต้องพยายามนึกถึงความดี หรือคุณธรรมของท่าน ปฏิปทาของท่านที่ทำให้ท่านเป็นที่ชื่นชมโสมนัสแก่ลูกศิษย์ แล้วเร่งปฏิบัติตาม จงอย่ามองแต่ความเก่งของท่าน แต่จงมองว่าท่านเก่งเพราะอะไร และทำอย่างไรเราจึงจะเก่งได้เท่าท่าน

พระอาจารย์กล่าวเสมอ ๆ ว่า
ธรรมะหรือวิชาทุกอย่างที่ท่านได้มาจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ เป็นธรรมะที่เปิดเผย ไม่มีการปิดบัง เมื่อท่านได้มาเช่นไร ท่านก็จะปฏิบัติเช่นนั้นคือ ถ่ายทอดหมดทุกอย่าง ไม่หวงวิชา ศิษย์รู้มากเท่าไรท่านก็เหนื่อยน้อยเท่านั้น อยู่ที่ว่าเราจะรับได้แค่ไหน ?

เหมือนดังที่พระอาจารย์ท่านเคยเล่าว่า ท่านออกจากวัดท่าซุงมาตัวเปล่า แทบไม่ได้เอาอะไรออกมาจากวัดเลย แต่สิ่งที่หล่อหลอมอยู่ในตัวท่าน ในจิตวิญญานของท่าน นั่นก็คือธรรมะอันประเสริฐขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ถ่ายทอดโดยพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ตลอดจนถึงปฏิปทาต่าง ๆ ตกทอดมาถึงพวกเรา ซึ่งถือว่าเป็นผู้โชคดีที่สุด เพราะครูบาอาจารย์ท่านคัดสรรธรรมะมาอย่างดีแล้วก่อนจะมาถึงพวกเรา

เถรี 08-09-2011 17:22

ดังนั้น..การเดินทางของเราจึงแทบไม่ต้องคิด เนื่องจากมีคนลองผิดลองถูกมาก่อนเรา เหลือแต่ทำจริง ๆ พระอาจารย์เคยพูดว่า กว่าจะมาเป็นครูบาอาจารย์คนได้ ต้องเลือดโชกแผลเหวอะทั้งตัวประเภทหมอไม่รับเย็บมาก่อนแล้วทั้งนั้น พวกเราจึงถือว่ามีผู้ประกันความเสี่ยงให้เรามาก่อนแล้ว จงมุ่งหน้าต่อไป

พูดถึงความศรัทธาก็เป็นอีกสิ่งที่มีความสำคัญมาก เป็นข้อที่หนึ่งในอินทรีย์ ๕ และพละ ๕ ซึ่งถ้าเราไม่มีความศรัทธาเป็นตัวนำ ย่อมหาความสำเร็จไม่ได้ในที่สุด และพลังแห่งความศรัทธานี่เองที่ทำให้เกิดปาฏิหาริย์อย่างมากมาย เช่นเรื่องที่พระอาจารย์เคยเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับคำบริกรรมว่า "นะ โม พุท ธา แยะ"

มีพระรูปหนึ่งเรียนกรรมฐานจากพระอาจารย์ท่านหนึ่ง โดยให้บริกรรมว่า "นะ โม พุท ธา ยะ" แต่พระรูปนั้น ท่านจำผิดว่า "นะ โม พุท ธา แยะ" เมื่อท่านเข้าไปบำเพ็ญเพียรในป่า ด้วยคาถา นะ โม พุท ธา แยะนี้ ท่านสามารถเนรมิตสิ่งต่าง ๆ ได้ สามารถแสดงปาฏิหาริย์ได้

ถึงแม้ว่าจะเป็นคำบริกรรมที่ผิด แต่เพราะความศรัทธาและมั่นใจในตัวคาถาตลอดจนครูบาอาจารย์ จึงทำให้ท่านไม่มีความลังเลสงสัยใด ๆ ทั้งสิ้น ทุกอย่างจึงสัมฤทธิ์ผล

เถรี 08-09-2011 17:25

จนกระทั่งวันหนึ่ง มีคณะพระภิกษุเข้าไปธุดงค์ในป่า ไปพบภิกษุรูปนี้เข้า ท่านเองจึงเนรมิตสิ่งต่าง ๆ ถวายด้วยฤทธิ์ที่เกิดจากการบริกรรมพระคาถา "นะ โม พุท ธา แยะ" นี้เอง เพื่อเป็นการต้อนรับ ทำให้คณะพระธุดงค์เกิดความเลื่อมใส จึงถามว่าท่านบริกรรมคาถาอะไรถึงได้เก่งขนาดนี้

พระองค์นี้จึงตอบว่า นะ โม พุท ธา แยะคณะพระธุดงค์ถึงกับตกใจ และตอบไปว่า ท่านท่องคาถามาผิดแล้วนะ อันที่จริงต้องท่องว่า นะ โม พุท ธา ยะ ต่างหาก พระรูปนี้ถึงกับจิตตกที่ตนท่องผิด เมื่อจิตมีความเศร้าหมอง การแสดงปาฏิหาริย์ต่าง ๆ จึงไม่เป็นผล ท่านเกิดความร้อนใจจึงรีบออกจากป่าไปหาพระอาจารย์ที่เคยเรียนวิชามา

เมื่อไปถึง ท่านจึงถามพระอาจารย์ว่า "ผมท่องคำบริกรรมผิดหรือครับ ?" ด้วยความฉลาดของพระอาจารย์ ท่านรู้ว่าถ้าตอบตรง ๆ จะทำให้เสียหายใหญ่ จึงตอบว่า นะ โม พุท ธา ยะ นั้นเป็นตัวผู้ นะ โม พุท ธา แยะนั้นเป็นตัวเมีย จะใช้อย่างไหนก็ได้เหมือนกัน" ที่ตอบอย่างนี้ก็เป็นการรักษากำลังใจไม่ให้จิตตก

เถรี 08-09-2011 17:27

เมื่อพระลูกศิษย์ได้รับคำตอบแล้ว รู้สึกดีใจ จึงรีบกลับเข้าไปในป่าอีกครั้งหนึ่ง ในเมื่อท่านเข้าใจว่าคำบริกรรมทั้งสองนั้นไม่ผิด จิตของท่านจึงไม่มีความกังวลใด ๆ ความผ่องใสแห่งจิตจึงเกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ไม่ว่าจะบริกรรมด้วยคาถาใดก็ตามสามารถแสดงฤทธิ์ได้ทั้งนั้น

ดังนั้น..ความศรัทธาและความมั่นใจจึงมีความสำคัญและจำเป็นสำหรับนักปฏิบัติ ที่สำคัญศรัทธาจะต้องมาคู่กับปัญญาด้วยจึงจะไม่เดือดร้อน

อีกอย่างหนึ่ง คือ การรักษาความผ่องใสของจิตที่เราสร้างมาได้ให้ต่อเนื่องยาวนานที่สุด พระอาจารย์ท่านจะพูดเสมอว่า "จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม สำคัญต้องรักษากำลังใจเราไว้ให้ทรงตัว"

และอีกหนึ่งคำพูดที่พระเมตตาประทับใจมาก ๆ ก็คือ "ผมไม่ยอมให้จิตที่ผ่องใส ที่ผมสู้อุตส่าห์บำเพ็ญมานับอสงไขย จะต้องขุ่นมัวเศร้าหมองเพราะเรื่องพวกนี้หรอก ไม่คุ้มกัน" คิดเห็นเช่นไรลองพิจารณาดู


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา

เถรี 08-09-2011 21:48

"ชนเหล่าใด ถูกราคะย้อมแล้ว ย่อมตกไปตามกระแส เหมือนแมงมุมตกไปตามใยข่ายที่ตนเองทำไว้
ชนเหล่าใด ตัดกระแสราคะได้แล้ว ไม่เยื่อใย ย่อมละจากกามสุข แล้วออกบวช "


พุทธพจน์แห่งพระบรมศาสดา ตรัสสอนพระนางเขมาเทวี เมื่อจบพระคาถา พระนางบรรลุเป็นพระอรหันต์พร้อมไปด้วยปฏิสัมภิทาญาณ


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา

เถรี 27-09-2011 18:32

ครั้งหนึ่งท่านอาจารย์ถามว่า อะไรเป็นสิ่งที่จะประกันคุณภาพของพระพุทธศาสนา? ทุกคนนั่งนิ่ง ตัวอาตมาเองอยากจะตอบว่าศีล แต่ท้ายสุด ท่านอาจารย์ก็เป็นคนเฉลยเองว่า สัมมัปปธาน ๔ หรือความเพียร ๔ ประการนั่นเอง ได้แก่

๑. เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นในจิตใจ (สังวรปธาน)
๒. เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว (ปหานปธาน)
๓. เพียรให้กุศลเกิดขึ้นในจิตใจ (ภาวนาปธาน)
๔. เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วมิให้เสื่อม (อนุรักขณาปธาน)

ท่านว่าความเพียรเหล่านี้จะเป็นเครื่องรับประกันคุณภาพของพระพุทธศาสนาไว้ได้ ถ้าเราจะพิจารณาให้ดี สัมมัปปธาน ๔ จะครอบคลุมคุณธรรมแทบทุกเรื่อง เพราะที่สุดก็คือการทำจิตของตนให้บริสุทธิ์ผ่องใสนั่นเอง จึงรวมทั้งศีล สมาธิและปัญญาเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดก็อยู่บนพื้นฐานของความเพียรเป็นสำคัญ

ญาติโยมลองพิจารณาตามดูนะว่า จริงอย่างที่ท่านว่าหรือเปล่า? ความเพียรเป็นสิ่งที่สำคัญมาก พระพุทธเจ้าท่านทรงชี้แนะแนวทางของการทำความเพียรให้ถูกทางไว้แล้ว เหลือแต่เราเท่านั้นที่จะเป็นผู้ปฏิบัติตาม

พระเมตตาได้สังเกตญาติโยมส่วนใหญ่ที่บอกว่าเป็นนักปฏิบัติมานาน ทำมานาน แต่ไม่เกิดผล โดยมากมักขาดความเพียร ซึ่งถ้าพูดกันตามตรงก็คือขี้เกียจ เหมือนการลงทุนน้อยแต่ต้องการกำไรมาก ๆ ลองนึกดูว่าจริงหรือไม่? อันนี้ไม่ใช่มาว่ากันนะ เป็นห่วงญาติโยมจริง ๆ ส่วนใหญ่เป็นอย่างนี้ เพราะสังเกตมาตลอด แต่คนอื่นที่ตั้งใจปฏิบัติเอาจริงเอาจังแต่ยังไม่เกิดผล ก็ขอยกไว้ก่อน

อย่างไรก็ให้มาปรึกษาท่านอาจารย์ช่วงที่ท่านรับแขกตอนต้นเดือนแล้วกันนะ ท่านอาจารย์ท่านคงมีเหตุผล ที่อยู่ ๆ ท่านก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อาจเพราะทนญาติโยมไม่ไหว ที่คอยมานั่งถามอย่างเดียวโดยไม่นำไปปฏิบัติ พระเมตตาเห็นว่ามีประโยชน์ จึงเก็บมาฝากกัน


ด้วยความปรารถนาดี
พระเมตตา

เถรี 05-01-2012 11:33

โลกเราทุกวันนี้ จะเห็นได้ว่าหลายสิ่งหลายอย่างนับวันจะมีแต่ความเร่าร้อนรุนแรงขึ้นทุกวัน ซึ่งอาจจะกระทบต่อประเทศชาติบ้านเมือง ส่วนรวม จนกระทั่งถึงตัวเราเองมากบ้างน้อยบ้าง

โดยเฉพาะตัวเราเองอาจจะกระทบถึงจิตใจ
ซึ่งหากเราไม่มีจิตใจที่เข้มแข็งพอ ก็อาจจะหลงเข้าวังวนจมปลักอยู่ในกระแสโลกอันเร่าร้อนนี้ได้ ฉะนั้น เราจึงควรไม่ประมาท เราควรที่จะรีบขวนขวายหาวิธีที่จะทำให้จิตใจของเรามีความเข้มแข็งมั่นคง ไม่หวั่นไหวไปตามกระแสโลกให้จงได้

วิธีที่จะทำให้จิตใจของเราเข้มแข็งมั่นคง
ตามแนวทางการปฏิบัติในสายครูบาอาจารย์ของเรา มีพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุง ท่านพระอาจารย์เป็นที่สุด ก็คือ การมั่นคงในทาน ศีล ภาวนา และมั่นคงในพระรัตนตรัย ครูบาอาจารย์

ซึ่งหากเรามั่นคงในทาน ศีล ภาวนา
มั่นคงในพระรัตนตรัย มั่นคงในครูบาอาจารย์อย่างแท้จริงแล้ว กระแสแห่งความดีเหล่านี้ก็จะปรากฏเข้าสู่จิตใจของเรา ทำให้จิตใจของเรามีความเข้มแข็ง มีความมั่นคงขึ้น ทำให้จิตใจของเราไม่หวั่นไหวไปตามกระแสโลก และเมื่อจิตใจของเราเข้มแข็งมั่นคงแล้ว เราก็จะเป็นที่พึ่งของตนเองได้ และยังเป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้อีกด้วย

พระอาจารย์ เคยกล่าวไว้ว่า "ท้อได้ แต่ห้ามถอย ถ้าถอย เราจะแพ้ยาวเลย.." ขอให้ทุกท่านจงจดจำคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์ไว้ให้ขึ้นใจ

ป.ล. ถ้าหากไม่ติดภารกิจ ทุกวันพระพระวิริยาจะนำสิ่งที่ดีเช่นนี้มาบอกกล่าวทุกท่าน เพื่อประโยชน์และเป็นธรรมทานต่อไป


หมายเหตุ : ข้อความนี้เป็นของพระวิริยาค่ะ :4672615:

เถรี 05-01-2012 12:33

พระอาจารย์ปรารภบทสวดพาหุง ท่านว่ามีคนสวดแยกแต่ละบทสำหรับอุปสรรคแต่ละอย่างด้วยค่ะ ท่านว่า

๑) พาหุง...........ปราบพญามาร
๒) มาราติเรก...... ปราบพวกยักษ์
สองบทนี้ใช้สวดเพื่อเอาชนะพวกมิจฉาทิฐิ

๓) นาฬาคิริง........ปราบช้างนาฬาคิรี - เอาชนะสัตว์ร้าย
๔) อุกขิตตะ..........ปราบองคุลีมาล - เอาชนะคนร้าย
๕) กัตวานะ..........ปราบนางจิญจมานวิกา - เอาชนะเมื่อโดนกล่าวหา

๖) สัจจังวิหายะ........ปราบสัจจกนิครนถ์ - ใช้โต้วาที ถกเถียงคน
๗) นันโทปนันทะ........ปราบนันโทปนันทนาคราช - ใช้เมื่อเผชิญกับสัตว์เลื้อยคลาน
๘) ทุคคาหะ.............ปราบท้าวผกาพรหม - ใช้เมื่อเผชิญกับเจ้านายที่ไม่ฟังใครเลย
๙) ชยปริตร - พระพุทธเจ้าประกอบไปด้วยชัยชนะ


อ้างอิงข้อความมาจาก พี่นางมารร้าย

หมายเหตุ : ตั้งแต่ข้อความนี้เป็นต้นไป พี่นางมารร้ายเป็นคนโพสต์ในเว็บกระโถนข้างธรรมาสน์ค่ะ

เถรี 05-01-2012 13:14

พระอาจารย์เตือนสติว่า การเตรียมรับมือวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้ ให้พวกเรามีสติ ซื้อแต่ของที่จำเป็นจริง ๆ และซื้อของที่คุณค่าใช้สอยที่แท้จริงของมัน

สังเกตไหมว่ามือถือรุ่นใหม่ ๆ ทำได้สารพัดอย่าง แต่คุณค่าใช้สอยของมันจริง ๆ อยู่ที่การรับเข้าโทรออกใช่ไหม? สินค้าอื่น ๆ เช่นกัน อย่าไปหลงกระแสโฆษณา ซื้อของแพงเพื่อเอาคุณสมบัติอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็นมาให้สิ้นเปลือง

มีโยมคนหนึ่งถามว่า ปีหน้าเศรษฐกิจไม่ดี ธุรกิจแกจะดีไหม? ได้ยินพระอาจารย์ตอบว่า ถ้าท่องคาถาเงินล้านได้วันละ ๑๐๘ จบละก็...จะดีกว่าปีที่แล้วอีก


คัดลอกจากเว็บกระโถนข้างธรรมาสน์

เถรี 05-01-2012 13:16

ในจำนวนครูบาอาจารย์ที่หลวงพ่อแนะนำในยุคแรก หลวงปู่ครูบาชัยวงศ์งานหนักที่สุด ไปช้าที่สุด..!

จะเห็นได้ว่า หลวงพ่อฤๅษีท่านไม่ได้ผูกขาดลูกศิษย์ ครูบาอาจารย์ที่ไหนดีท่านก็แนะนำให้ไปหา ใครที่ว่าเป็นลูกศิษย์ท่าน ถ้ายังหวงวิชา หวงครูบาอาจารย์ ผูกขาดเฉพาะที่ คงต้องทบทวนตัวเองใหม่แล้ว..!


คัดลอกจากเว็บกระโถนข้างธรรมาสน์


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:08


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว