กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=18)
-   -   เรายืนอยู่ตรงจุดไหน? (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1059)

เถรี 14-09-2009 13:25

เรายืนอยู่ตรงจุดไหน?
 
ช่วงที่เรียนหนังสืออยู่ ๔ ปีด้วยกัน ใหม่ ๆ เข้าไปอาตมาก็ปิดตัวเอง ไม่อยากให้เพื่อน ๆ รู้ว่าเป็นอะไร ไม่เช่นนั้นแล้ว ถ้าไม่ใช่งานมาก..ก็เรื่องมาก พอเรียนไป ด้วยความที่อาตมาทำอะไรสม่ำเสมอแล้วได้ผลดี ก็ปรากฏชัดออกมาเรื่อย ๆ แล้วท้ายสุดก็มาอยู่ในจุดที่ว่า อาตมาทิ้งห่างเพื่อนไกลมาก พอมาพิจารณาดูตัวเองแล้วว่า ที่ทิ้งห่างเขาไกลเป็นเพราะอะไร พอดูจริง ๆ แล้วอาตมาแทบไม่ได้มีอะไรเพิ่มขึ้น แต่คนอื่นเขาถอยหลัง พอคนอื่นถอยหลังต่อให้อาตมาอยู่เฉย ๆ ก็จะห่างกันไปเรื่อย ตรงจุดนี้อยากให้พวกเราทุกคนพิจารณาดูว่า เราเข้ามาปฏิบัติแล้ว มีความก้าวหน้าหรือว่าถอยหลังอย่างไรบ้าง ?

อย่างเมื่อเช้านั่น ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดท่าซุงตั้งแต่ก่อนสมัยที่จะบวชเสียด้วยซ้ำ จนป่านนี้ก็ยังกลัวตายจนไม่เป็นผู้เป็นคน แล้วอย่างคนเมื่อครู่นี้ ก็รู้จักกันตั้งแต่ก่อนบวช แต่ก็ได้แค่อย่างที่เห็น เพราะฉะนั้น..เราจะเห็นว่าในการปฏิบัติของบางคนจะมีความสม่ำเสมอ แต่สม่ำเสมออยู่ในระดับไหน ? อยู่ในระดับของทานหรือเปล่า ? อยู่ในระดับของศีลหรือเปล่า ? หรือว่าอยู่ในระดับของการภาวนา แล้วถ้าหากว่าทั้ง ทาน ศีล ภาวนา มีความสม่ำเสมอ คราวนี้ก็ต้องมาวัดกันว่า แล้วมีความก้าวหน้าขึ้นไปถึงระดับกัลยาณชนหรืออริยชนหรือเปล่า ? ไม่อย่างนั้นก็ยังเป็นโลกียชน จะเป็นผู้ทรงฌานได้อย่างไร ?

อาตมาถึงได้บอกกับพระที่วัดอยู่เสมอว่า พวกคุณบวชเข้ามาใหม่ ๆ ตั้งใจไว้ว่าอย่างไร ? แล้วตอนนี้ยืนอยู่ตรงจุดไหน ? ยังตรงเป้าหมาย ตรงทิศตรงทางที่ตั้งใจอยู่หรือเปล่า ? ก้าวมาได้ระยะทางเท่าไร ? เหลือระยะทางใกล้ไกลอีกเท่าไรกว่าจะไปถึงเป้าหมาย ? เคยพิจารณาบ้างไหม ? ไม่ใช่พอถึงเวลาบ่นทีด่าทีหนึ่ง ก็รู้สึกขึ้นมาหน่อยหนึ่ง พอเลิกบ่น เลิกด่าก็ละลายหายไปอีก ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ได้ต่างจากควายเท่าไรนัก โดนปฏักทีหนึ่งก็สะดุ้งทีหนึ่ง พอไม่มีปฏักแทงก็เอ้อระเหยลอยชายไป ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังมุ่งหน้าไปสู่โรงฆ่าสัตว์หรือมุ่งหน้าไปสู่ทางหลุดพ้นกันแน่..!

เถรี 14-09-2009 13:30

คราวนี้เรามาดูว่าในสภาพไหนก็ตาม จริง ๆ แล้วเราสามารถจะปฏิบัติได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าการปฏิบัติของเราตอนนี้อยู่ในระดับไหน ถ้าเราไม่มีการไตร่ตรองทบทวนอย่างนี้ โอกาสที่จะก้าวหน้าก็จะมีน้อย เพราะเราจะไม่รู้จักตัวเอง คนที่ไม่รู้จักตัวเองก็เหมือนกับหมอที่ไม่รู้จักสมุฏฐานของโรค รักษาโรคไม่ได้ ยกเว้นว่าบัง้อิญรักษาถูก แต่ก็ไม่แน่ว่าคราวต่อไปเป็นแล้วจะรักษาได้อีกหรือเปล่า เพราะฉะนั้นจึงต้องดู ต้องรู้จักตัวเองให้ดีที่สุด ควบคุม กาย วาจา ใจ ของตนเองให้ดีที่สุด สิ่งใดก็ตามที่ก่อเวรก่อกรรม สร้างทุกข์สร้างโทษให้แก่คนอื่น ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ถ้าไม่จำเป็นเว้นได้ก็เว้น ไม่อย่างนั้นแล้ว อาจจะก่อเวรก่อกรรมให้กับเรามากกว่าที่คิดในภายหลัง

ตอนที่ออกจากวัดท่าซุงมา มีคนถามว่าคิดอย่างไร ? อาตมารู้สึกว่าถ้าอยู่วัดท่าซุงต่อไปความก้าวหน้าจะไม่มี เพราะว่าสิ้นหลวงพ่อแล้ว พระทั้งวัดนอกจากจะเอาอาตมาไม่อยู่แล้ว รู้สึกว่าคนที่จะตามอาตมาจะเยอะมากขึ้นทุกที ช่วงนั้นพระมีอยู่ ๔๐ กว่ารูป ถ้าจะสั่งซ้ายหันขวาหันก็พร้อมที่จะตามมาประมาณ ๓๐ รูป แล้วบรรดาฆราวาสต่าง ๆ เขาก็เห็นความสม่ำเสมอ และช่วงท้าย ๆ หลวงพ่อก็เรียกใช้งานประจำ ก็ให้ความสำคัญ มาคิดว่าถ้าอยู่ตรงจุดนั้นอาตมาจะหาความก้าวหน้าไม่ได้แน่นอน เพราะเท่ากับโดนคนอื่นเขาดันไปอยู่ที่สูงแล้ว คนที่ไปอยู่ในที่อย่างนั้น ถ้าขาดความรู้ตัวแม้แต่นิดเดียว จะไม่แสวงหาความก้าวหน้าอีกเลย เพราะคิดว่าเหนือกว่าเขาแล้ว จึงได้ทิ้งออกมา มาดิ้นรนอยู่ข้างนอก เพื่อที่ว่าจะได้ฝึกฝนอบรมตัวเองต่อไปได้ ไม่อย่างนั้นก็จะขาดความพยายาม

จึงขอให้ทุกคนดูว่า ตอนนี้ความรู้สึกของเราก็ดี ความคิดของเราก็ดี อยู่ในลักษณะที่เห็นว่า เราดีกว่าคนอื่นแล้ว เราเหนือกว่าคนอื่นแล้ว โดยเฉพาะในแวดวงเพื่อนฝูงหรือในครอบครัว เรามีความคิดอย่างนั้นไหม ? ถ้ามีเมื่อไรเราจะแสวงหาความก้าวหน้าไม่ได้ เพราะเท่ากับบอกตัวเองว่า เรามาไกลกว่าคนอื่นเขาแล้ว แล้วถ้ากิเลสชวนให้ขี้เกียจ เราจะยิ่งไม่ก้าวหน้าเข้าไปใหญ่ และท้ายสุดก็จะมีลักษณะเดียวกับเท่าที่พบมาก็คือ ระยะเวลาผ่านไป ๔ ปี อาตมาไม่ได้มีความก้าวหน้าอะไรขึ้นมา แต่ทิ้งห่างเพื่อนไปเรื่อย เพราะเขาถอยหลังกันเอง..!

ดังนั้น ถ้าจะมอง..ต้องมองไกลไปข้างหน้า จะได้มีความพยายาม ความมุ่งมั่นบากบั่นที่จะก้าวต่อไป ถ้าหากเรามองไปข้างหลัง โอ๊ย..อย่าเพิ่งลุกขึ้นเดินเลย รายนั้นก็ขี่จักรยานโปเกอยู่ อย่างไรก็ไล่เราไม่ทันแล้ว ระวังจะไปเจอรถสปอร์ต ๓,๐๐๐ ซี.ซี. แซงพรวดเดียวไปถึงไหนก็ไม่รู้..?!

เถรี 14-09-2009 13:35

พอเห็นเรื่องทั้งหลายเหล่านี้อาตมาก็มานั่งคิดว่า เออ..ก่อนหน้านี้ก็เดินมาพร้อม ๆ กัน แล้วทำไมตอนนี้ห่างกันไกลมากเลย ? แต่ก็ยังดีที่เขายังเดินอยู่ ยังไม่หยุด บอกว่าเขารู้หรือเปล่าว่าตอนนี้เดินอยู่ที่ไหน ? สมมติว่าทางอยู่ตรงนี้ เราเดินอยู่นี้ เขาเดินอยู่นี่ หรือเขาเดินอยู่นั่น แต่ละระดับของการเดินก็มุ่งหน้าเหมือนกัน แต่ว่าเป้าหมายเป็นคนละระดับชั้นกัน

ดังนั้น..ในเรื่องของอิทธิบาท ๔ ตัววิมังสา การไตร่ตรองทบทวน จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าขาดการไตร่ตรองทบทวน ขาดการรู้ตัวเอง นอกจากจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาตัวเองได้แล้ว ยังไม่สามารถแสวงหาความก้าวหน้าเพิ่มขึ้นให้กับตัวเองอีกด้วย

เรื่องหนักไปหรือเปล่า ? สมัยอยู่วัดท่าซุง อาตมาเป็นพวกรุ่นใหม่มาแรง แซงเขาไปเรื่อย ท่านไหนกำลังใจดีก็โมทนาด้วย ท่านไหนกำลังใจไม่ดีก็อาจจะมีการด่าตาม ยื่นขาเตะสกัดก็มี มาดูแล้วเหตุที่เป็นอย่างนั้นเพราะอะไร ? เท่าที่วิเคราะห์กับตัวเองก็คือ เป็นคนที่ชอบทำอะไรจริงจังและสม่ำเสมอ ไม่เคยหมดไฟกับใคร บางคนตั้งใจเสียดิบดีบวชเข้ามา ๒ พรรษาหมดไฟแล้ว บางคนแย่กว่านั้นอีกบวชเข้ามาเดือนกว่า ๆ หมดไฟแล้ว แต่ที่ทนอยู่เพราะรู้ว่าเป้าหมายดี แต่กลับไม่พยายามตะเกียกตะกายไปให้ถึงเป้าหมาย กลายเป็นทนอยู่ไปวัน ๆ ซึ่งการทนอยู่ในสภาพอื่นยังพอไหว แต่การทนอยู่ในผ้าเหลืองรังแต่จะขาดทุนไปทุกวัน ฉะนั้น..การวิเคราะห์วิจัยเรื่องของตนเองจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และสำคัญตรงที่ว่าต้องไม่เข้าข้างตัวเองด้วย



เทศน์ช่วงบ่าย ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันจันทร์ที่ ๗ กันยายน ๒๕๕๒


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:18


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว