กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=43)
-   -   ของจริงในพุทธศาสนา ต้องถูกกระทบก่อน (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1897)

ลัก...ยิ้ม 07-06-2010 14:59

ของจริงในพุทธศาสนา ต้องถูกกระทบก่อน
 
ของจริงในพุทธศาสนา ต้องถูกกระทบก่อน



เมื่อวันอังคารที่ ๒๙ มิ.ย. ๒๕๓๖ เพื่อนผู้ร่วมปฏิบัติธรรมของผม ท่านเล่าให้ผมฟังเกี่ยวกับเรื่องอารมณ์ของท่านกดไม่อยู่ เมื่อถูกกระทบ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าไม่ดี จึงถูกอุปกิเลสเล่นงานเอาครบเครื่อง คือ ทั้งเสือก ทั้งซ่า ทั้งหลง ทั้งเป็นตำรวจและชอบเป็นผู้แทน ผมจะไม่ขอเขียนรายละเอียด สรุปว่าสอบตกตลอด สมเด็จองค์ปฐม ท่านก็ทรงพระเมตตาตรัสสอนให้ ดังนี้

๑. ทรงตรัสถามว่า “ระงับความฟุ้งซ่านไม่อยู่หรือ” (ก็รับว่า ไม่อยู่ ซ้ำร้ายบางครั้งจิตมันคัดค้าน และปรามาสพระรัตนตรัยอย่างไม่มีเหตุผลด้วย) ทรงตรัสว่า “ก็เป็นธรรมดาของกิเลสมารแทรก เจ้าก็จงหมั่นขึ้นมากราบขอขมาพระรัตนตรัยให้ทุกครั้ง มีธรรมนิมิตเตือนแล้ว ให้เจ้าระวังโทสะจริตไว้ให้ดี ๆ จักพาจิตเจ้าหลงทาง เป็นมิจฉาทิฏฐิได้”

๒. “ราคะเบาลง ปฏิฆะก็จักเล่นงาน เพราะฉะนั้น กรรมฐานแก้อารมณ์ทั้ง ๒ อย่าง ห้ามทิ้งเป็นอันขาด แล้วจงหมั่นนึกถึงอุปสมานุสติ อันเป็นจุดหมายปลายทางของการปฏิบัติพระกรรมฐานทั้งหมดด้วย”

๓. “ฟุ้งก็ให้รู้ว่าฟุ้งด้วยสาเหตุอันใด แล้วจงหมั่นระงับที่สาเหตุอันนั้น”

๔. “อย่ากลัวอารมณ์กระทบ เพราะจักเป็นเครื่องวัดทดสอบจิต ว่าปฏิบัติธรรมไปได้ถึงระดับใดแล้ว หากไม่มีอารมณ์กระทบ ไฉนเลยจักทราบอารมณ์หวั่นไหวของจิตตนได้ ธรรมของตถาคตมิใช่สิ่งเนิ่นช้า ยิ่งกระทบมากเท่าไหร่ จักได้ล่วงรู้การปฏิบัติธรรมมีผลหรือไม่ มากขึ้นเท่านั้น จักละราคะ ราคะกระทบ จักละปฏิฆะ ปฏิฆะกระทบเป็นเรื่องธรรมดา ทรงสติไว้ให้ดี ๆ กรรมฐานแก้จริตมีอยู่แล้ว ต้องหมั่นใช้ให้ถูกกอง

เหมือนดาบคมอยู่ในฝัก ไม่หมั่นลับ ไม่หมั่นซ้อม จักชักออกมาฟาดฟันศัตรู คือ ข้าศึกกิเลสของใจได้ว่องไวทันการณ์หรือไฉน มัวแต่อืดอาด ดาบก็เป็นสนิมเขรอะ สิ้นคม สิ้นกระบวนท่า ฉะนั้นและเจ้า เข้าใจไหม” (ก็ยอมรับว่าเข้าใจ แต่ทำไมตอนนั้น ทำไมเราจึงไม่คิดอย่างนี้)

๕. ทรงตรัสว่า “ก็เป็นเรื่องธรรมดา จิตเจ้ายังมีกิเลส คบกับกิเลสมานานนับอสงไขยกัปไม่ถ้วน จู่ ๆ จักให้ออกจากห้วงกิเลสเหล่านี้ได้อย่างง่ายดายนั้น มันเป็นไปไม่ได้ เจ้าจักต้องพยายามกำหนดรู้อารมณ์ของจิต เพียรใช้กรรมฐานแก้อย่างหนัก ไปจนกว่าอารมณ์นั้นถูกละ ถูกวาง ถูกตัดออกไปจากจิตจริง ๆ มันก็ต้องใช้เวลา อย่าใจร้อนให้เสียผลของการปฏิบัติก็แล้วกัน จำไว้ ความใจร้อนคืออารมณ์ปฏิฆะอันหนึ่งนั่นแหละ”

๖. “ขอให้ระวังอารมณ์ใจร้อนเอาไว้ให้ดี ๆ มันทำให้เสียผลของการปฏิบัติธรรมมามากต่อมากรายแล้ว คิดมันไว แต่ใจมันไม่ได้มรรคผลจริงก็ไม่มีประโยชน์ ต้องใจเย็นคิดใคร่ครวญด้วยปัญญา ที่เห็นความจริงตามอริยสัจ จนจิตยอมรับ ปฏิบัติไปตามนั้นอย่างมั่นคง แน่วแน่ไม่แปรปรวน นั่นแหละจึงจักเป็นของแท้ ของจริง”

ลัก...ยิ้ม 08-06-2010 09:28

จากนั้น หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ท่านก็มาขออนุญาตอบรม (ผมขออนุญาตตั้งชื่อว่า อารมณ์ปรามาสพระรัตนตรัย) มีความสำคัญ ดังนี้

๑. “เอ็งด่าพระ ตำหนิธรรม ก็เพราะใจร้อน เรื่องพ่อจะกลับเมื่อไหร่ใช่ไหม” (ก็ยอมรับว่าใช่ แต่พอมีเรื่องอื่นมากระทบ จิตมันเลยพาลเป็น ๒ เท่า เกิดมิจฉาทิฏฐิ แต่ก็สงสัยว่า ไม่จริงแล้วพระท่านตรัสทำไม ธรรมอื่น ๆ จริงทุกอย่าง พระท่านคงไม่ทำร้ายจิตเรา ด้วยเรื่องหลวงพ่อไม่จริงหรอก แล้วพาลไปตำหนิพระท่านว่า ทำร้ายเรายังไม่พอ พลอยให้คุณหมอถูกทำร้ายไปด้วย แต่พอได้สติ ก็ทราบว่าอารมณ์จิตของเราเอง ทำร้ายจิตเราเอง ขาดเมตตาตนเอง จุดไฟเผาใจตนเองตลอด ก็ขึ้นไปกราบขอขมาพระทันที แต่พอเผลอ มันก็เอาใหม่อีก ก็กลับขึ้นไปขอขมาอีก พอลงมาก็ด่ามัน มึงอยากลงนรกหรืออย่างไร

ขนาดท่านสุปพุทธกุฏฐิ ซึ่งเป็นพระโสดาบันท่านก็เว้นขาดจากการปรามาสพระรัตนตรัย แม้พระอินทร์จะมาทดสอบท่าน ท่านก็สอบผ่านได้ กว่าจะสงบอารมณ์ลงได้ก็แสนยาก)


๒. หลวงพ่อฤๅษีท่านก็หัวเราะ กล่าวว่า “ยังรู้เรื่องอยู่ ก็ยังไม่เป็นไร ระวังให้ดี พ่อเคยเป็นมาแล้ว เผลอ ๆ ด่าพระพุทธเจ้าเข้าให้ เอ็งต้องพยายามระงับอารมณ์ของจิตตัวนี้ให้ดี ๆ อยู่ ๆ มันเกิดอยากด่าพระขึ้นมาเฉย ๆ โดยไม่มีเหตุผล และไม่ทันได้คิดตั้งสติด้วย” (ฟังท่านแล้วชักกลัว ถามว่าหากเกิดอารมณ์แบบนี้ แล้วจะแก้ไขอย่างไร)

๓. “ก็ให้รีบกำหนดรู้ลมหายใจ ควบมรณานุสติ คิดว่าความตายมันเข้าถึงแล้วในขณะนี้ คือ ขณะเกิดปรามาสพระรัตนตรัย *ถามจิตมันว่าตายคราวนี้ เอ็งลงนรกแน่* ให้จิตมันเห็นภาพนรกควบคู่กันไปด้วยเลย รับรองชะงัก อยู่ที่ใช้ความตายนี่แหละ จิตมันจะชะงักตีตื้นขึ้นมา ก็ให้รีบจับภาพพระขึ้นกราบขอขมาพระรัตนตรัย มันเกิดบ่อยเราก็ต้องทำบ่อยให้มันชิน จิตจะได้มีกำลังต่อสู้กับอารมณ์ปรามาสพระรัตนตรัย”

๔. “อย่าท้อถอยเพราะมันเป็นของจริง กิเลสมารมันจะเข้ามาเล่นงานเอ็งทุกอย่าง รวมทั้งขันธมารด้วย ต้องรู้จักแก้ ต้องรู้จักต่อสู้กับอารมณ์”

๕. “ขันธมารก็เหมือนกัน ปวดตรงไหน เจ็บตรงไหน เอาจิตผ่าออก แยกส่วนออกให้หมด ถ้าระงับไม่ไหว ก็หลบเข้าฌานเสียบ้าง ตั้งใจไว้เลยขันธมารอย่างนี้ ขอทนเป็นชาติสุดท้าย เอ็งตายเมื่อไหร่ ข้าขอไปพระนิพพานเมื่อนั้น”

๖. “อย่าไปคิดว่าสำคัญนัก ขันธมารเล่นงานเราได้ก็ตอนที่เรามีร่างกายเท่านั้น ศัตรูหรือข้าศึกตัวสำคัญ คือ กิเลสมาร ต้องขจัดมันทิ้งไปจากจิตให้ได้ ร่างกายมันเกิดแล้วก็แก่ เจ็บ ตายไปในที่สุด แต่กิเลสมาร ถ้าขจัดมันไม่ได้ ร่างกายตาย กิเลสมันไม่ได้ตายไปด้วย ตัวนี้สิสำคัญ มันจะพาเราไปเกิด ไปเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะสงสารอีกต่อ ๆ ไป”

ลัก...ยิ้ม 09-06-2010 17:08

๗. “เอ็งต้องแยกให้ถูก เรื่องของจิตหรือเรื่องของกาย จิตเกาะกายก็ต้องใช้กายคตา, อสุภะ มรณาและอุปสมานุสติ จิตเกาะอารมณ์เลวก็ต้องใช้อริยสัจ วิปัสสนาให้เห็นทุกข์ของอารมณ์นั้น ๆ อันจะส่งผลให้เอ็งต้องโคจรไปตามกรรมนั้น ๆ อีก มโนกรรมนี่แหละ เป็นตัวส่งผลให้เกิดภพตามชาติต่าง ๆ ระวังเอาไว้ให้ดี”

๘. “การระงับความคิดต้องใช้อานาปานุสติกรรมฐาน ทำจิตให้มีสติทรงตัว รู้เท่าทันความคิดหรือมโนกรรมนั้น ๆ”

๙. “แล้วเอ็งก็อย่าใจร้อน ความที่เอ็งใจร้อน ก็คือจิตที่ขาดสติ คือ ทิ้งอานาปาและมรณานุสติ เท่ากับประมาทนั่นแหละ ขอให้คิดให้ดี ๆ ผลร้ายของความใจร้อนมันมีมาก ถ้าเกิดตายตอนนั้น เอ็งจะต้องเสียใจ เพราะกิเลสมารยังไม่หมดจากใจ เอ็งก็ต้องจุติไปตามอารมณ์ใจร้อนนั้น”

๑๐. “จำเรื่องหลวงปู่อี๋เตือนเรื่องความตาย ไม่กำหนดรู้เอาไว้ให้ดี ๆ ประเดี๋ยวเอ็งก็จะเหมือนขึ้นรถ ๒ แถว ที่ออกจากป้ายไปอย่างไม่ทันรู้ตัว ไม่รู้จุดหมายปลายทาง”

ลัก...ยิ้ม 10-06-2010 12:11

จากนั้น หลวงปู่อี๋ ท่านก็มากับหลวงปู่จง และขออนุญาตสมเด็จองค์ปฐม สอนต่อดังนี้

๑. “เอ็งอย่าประมาทในความตาย รู้ลมทุกครั้งให้รู้ความตายไปด้วยทุกครั้ง คนมันตายให้เห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ร่างกายมันมาตามกรรม มันก็ไปตามกรรม เราจะรู้มันได้อย่างไรว่า เมื่อไหร่กรรมมันจะมาทำให้ร่างกายมันตาย ตายเมื่อไหร่มันไม่แน่ แต่ที่แน่ ๆ คือ ร่างกายมันต้องตาย เพราะฉะนั้น เอ็งจะต้องพร้อมตายอยู่เสมอ รู้ลม รู้ตาย รู้พระนิพพานไปด้วย อันนี้มันจะตัดกิเลสมารทุกตัวได้ชะงัดนัก ถ้าเอ็งไม่โง่จนเกินไป”

๒. “หมั่นคิด หมั่นซ้อม หมั่นทำให้มันเป็นฌาน เป็นได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ เอาแค่ให้จิตมันชิน และยอมรับความพร้อมตาย พร้อมจะไปนิพพานก็แล้วกัน”

๓. “จำไว้มาถึงขั้นนี้แล้ว รบกับธรรมในจิต จะต้องเข้มแข็ง ไม่ใช่ปากแข็งใจอ่อน ไม่มีใครช่วยเอ็งได้ เอ็งต้องช่วยตัวเอ็งเอง เตือนสติ เตือนใจเอาไว้เสมอ ๆ รู้ลม รู้ตาย รู้นิพพาน

๔. “อย่าเที่ยวปล่อยจิต ให้มันไหลออกไปนอกเส้นทางพระนิพพานให้มากนัก หมั่นดึงจิตเข้าไว้ ชักคะเย่อกับความชั่วของจิตด้วยความเพียร อย่าให้จิตขาดจากความดี ชนะความชั่วเข้าไว้จนความชั่วมันขาดจากจิตได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นแหละ เอ็งก็ถึงเส้นชัยนิพพานเมื่อนั้น”

ลัก...ยิ้ม 11-06-2010 15:01

จากนั้น หลวงปู่จง ท่านก็มาสอนว่า

๑. “ความชั่วในที่นี้ คือ กิเลสมารมันชั่ว การมีร่างกายมันก็ชั่ว เพราะอารมณ์จิตมันมีความทะยานอยาก อยากมีร่างกาย ขันธมารมันเล่นงานเราได้เพราะจิตเกาะในร่างกาย มันชั่วเพราะสภาพร่างกาย มันมีแต่เกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพรากจากของรักของชอบใจ ปรารถนาไม่สมหวัง มีการกระทบกระทั่งอยู่ตลอดเวลา มันไม่ดี แต่จิตเรามันโง่ไปหลงคิดว่าดี มันมีแต่ความทุกข์ แต่จิตหลงคิดว่ามันมีความสุข”

๒. “เวลานี้พวกเอ็งมันรู้กันแล้วว่า ทุกข์ของการมีร่างกายมันทุกข์ขนาดไหน ขอให้รู้เอาไว้ก็แล้วกัน”

๓. “แยกธาตุ ๔ ให้เป็นอาการ ๓๒ อยู่เรื่อย ๆ อย่าทิ้ง เกาะบ้าง แกะบ้างก็ไม่เป็นไร อย่าไปหลงยึดว่ามันเป็นเรา เป็นของเราเสียสนิทก็แล้วกัน กำหนดรู้ไว้เนือง ๆ ไอ้ซากผีดิบนี่มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา”

๔. “รู้ไว้เสมอว่า มันต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย จิตพร้อมที่จะไปจากมันอยู่เสมอ ถ้ามันมีอาการแสดงออกจะแก่ จะเจ็บ จะตาย ก็จงยิ้มรับ รู้เอาไว้เสมอว่า "อ้อ! มึงก็เป็นอย่างนี้ของมึงเป็นธรรมดา" อย่าไปอิงนังขังขอบมันให้มากนัก เราพร้อมที่จะไปนิพพานอยู่เสมอ ๆ”

๕. “อุปสมานุสติจับไว้ให้เที่ยง อย่าให้คลาดไปจากจิต จะทำอะไรก็ต้องรู้ พร้อมตาย พร้อมไปนิพพานอยู่ตลอดเวลา”

ลัก...ยิ้ม 14-06-2010 11:05

จากนั้น หลวงปู่ตื้อ ท่านก็มาสอนว่า “ทุกขณะจิตนะโว้ย” (ก็นึกในใจว่า ต่อหน้าสมเด็จองค์ปฐม หลวงปู่ยังโว้ยเลย) หลวงปู่ท่านก็กราบองค์สมเด็จ แล้วหันมาสอนว่า

๑. “ภาษาเป็นสิ่งสมมติ ในบรรดาพวกท่านที่จิตวิมุติแล้ว ย่อมไม่ติดอยู่ในสิ่งสมมตินั้น” (ก็ยอมรับคำสอนของท่านแต่โดยดี และขอขมาท่านที่คิดตำหนิท่าน)

๒. “ไม่เจอกันนาน เอ็งดีขึ้นหรือเลวลง” (ยอมรับว่าเลวลง) “เออ เมื่อยังเลวอยู่ ก็หาดีต่อไป ถ้าเอ็งเลิกหาเมื่อไหร่ เอ็งก็เลวเมื่อนั้น”

๓. “อย่าลืม ขยันหาให้ทุกขณะจิตนะ เวลาทางธรรมมีเวลาเดียว คือ ขณะจิตในธรรมปัจจุบัน ที่เอ็งยุ่งอยู่ทุกวันนี้ เพราะเสือกเอาเวลาที่มันล่วงไปแล้ว เป็นอดีตธรรมบ้าง เอาเวลาที่ยังไม่ถึง เป็นอนาคตธรรมบ้าง ให้มันมาตีรวนอยู่ในอารมณ์ปัจจุบัน อย่างนี้เขาเรียกว่าโง่หรือฉลาด” (ก็ยอมรับว่าโง่)

๔. “โง่สิ เพราะเสือกรู้ไม่เท่าทันสันตติ ขณะจิตมันเคลื่อนไป ธรรมมันก็เคลื่อนไป จิตมันเสือกไปดึงมันเข้ามาเก็บไว้ อย่างนี้เมื่อไหร่มันจะรู้เท่าทันของจริงได้ โง่อย่างนี้ต้องเรียกว่าโง่บัดซบ โง่บรรลัย” (ก็ยอมรับว่าโง่จริง ๆ)

๕. “ไม่ต้องบอกก็รู้ ใครในที่นี้เขารู้หมดว่า เอ็งมันโง่ขนาดไหน เกิดอารมณ์ยึดอดีต ยึดอนาคต แทนที่จะรีบผลักไสมันทิ้งไปจากจิต เสือกไปกอดมันเสียแนบแน่น เสียดายขี้อยู่นั่นแหละ เหม็นตายห่า แล้วยังไม่รู้สึก”

๖. “มีแต่เขาจะรีบทิ้ง รีบล้างมันออกไป นี่รู้ว่าอารมณ์มันเศร้าหมอง ก็ยังไม่ยอมทิ้ง ไม่ยอมล้าง ปล่อยให้มันกินใจจนตายหรืออย่างไร” (ก็ยอมรับกับท่าน ทุกข้อหา)

๗. “เอ็งไม่ต้องว่าแล้ว ให้รีบทิ้ง รีบล้างความเหม็นของขี้ลูกเดียว มัวแต่เสียดายขี้ ประเดี๋ยวก็ตายเสียก่อนหรอก อยากจะมาพระนิพพานกับเขาบ้าง ถ้าทิ้ง ถ้าล้างใจไม่เป็น ก็เห็นจะมาได้ยาก พยายามเข้านะ” (ก็รับปากท่าน)

ลัก...ยิ้ม 14-06-2010 11:07

จากนั้น สมเด็จองค์ปฐม ทรงแย้มพระโอษฐ์ ทรงตรัสว่า

“เจ้าจงจำคำสอนนี้ไว้ให้ดี ๆ ทบทวนเสมอ ๆ จิตจักเกิดปัญญา รู้เท่าทันความเป็นจริงของธรรมทั้งปวง”

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๕
รวบรวมโดย พล.ต.ท. นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่ www.tangnipparn.com


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 10:42


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว