กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=65)
-   -   เก็บตกจากบ้านเติมบุญ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=5466)

เถรี 28-03-2017 19:55

ถาม : ที่ผมเห็นเขาไม่จับจริง ๆ ครับ ?
ตอบ : เขาไม่จับหรอก แต่ว่าโทษผิดก็หนักเท่ากัน จริง ๆ แล้วในพระปาฏิโมกข์บอกไว้ชัดมากเลยนะ รับเองหรือให้ผู้อื่นรับแทน โดนอาบัตินิสสัคคีย์ปาจิตตีย์เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่แล้วเขาก็ไม่ได้แปลบาลีให้ฟัง

เถรี 28-03-2017 20:58

ถาม : ช่วงที่ผมบวชพระ ตอนสึกออกมาทางวัดให้นำพวกจีวร สบงกลับไปด้วย อย่างนี้จะติดหนี้สงฆ์ไหมครับ ?
ตอบ : ติดหนี้สงฆ์ รีบเอาไปคืนก่อนที่จะตาย

ถาม : ทางพระเขาบอกให้นำกลับมาเอง ?
ตอบ : ถ้าคุณไม่บวชเขาก็ไม่ให้คุณหรอก

ถาม : แล้วต้องนำไปคืนวัดนั้นไหมครับ หรือว่าวัดไหนก็ได้ ?
ตอบ : ชำระหนี้สงฆ์วัดไหนก็ได้

เถรี 28-03-2017 21:24

ถาม : ถ้าปฏิบัติธรรม เราจะหน้าเด็กขึ้นไหมครับ ?
ตอบ : อันนี้ไม่มีใครสามารถรับประกันให้คุณได้ แต่ถ้ากำลังใจสามารถทรงฌานสมาบัติได้คล่องตัวจะทำให้แก่ช้า ไม่ใช่หน้าเด็ก เข้าใจคำว่าแก่ช้าไหม ? ไปนั่งเทียบกับรุ่นเดียวกันก็ดูเด็กกว่าเขาหน่อยหนึ่ง

ถาม : รักษากำลังใจไม่ให้กิเลสกินใจ ก็คือเป็นผลพลอยได้หรือครับ ?
ตอบ : ถ้าจะให้ดีที่สุดคือต้องไม่โกรธ เพราะตัวโกรธทำให้คนแก่เร็วที่สุด ความโกรธ ความเครียด ภาษาเก่าเขาบอกว่า ไฟโทสะเผาใจ ทำให้ร่างกายทรุดโทรมเร็ว แต่หมอสมัยใหม่เขาบอกว่าเวลาโกรธ ฮอร์โมนที่ออกมาทำลายเซลล์ร่างกายเร็วมาก

เถรี 28-03-2017 21:42

ถาม : เคยทราบมาจากน้องท่านหนึ่งว่า คำด่าของพ่อแม่มีความแรงมาก เช่น ด่าลูกว่าไม่เจริญ ลูกไม่ดี ก็จะเป็นจริง ๆ แต่ถ้าพูดให้ลูกเจริญ ลูกรวย ก็จะเป็นตามนั้น จริงไหมครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าเป็นส่วนของ “มโนมยา” คือสำเร็จด้วยใจ สภาพจิตของเรารู้สึกว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ดี เราก็จะรู้สึกว่ามีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นในชีวิตของเรา แต่ถ้าเรารู้สึกว่าไม่ดี จิตไปห่วงกังวลอยู่ ก็กลายเป็นแช่งตัวเอง ก็เลยกลายเป็นสิ่งไม่ดีต่าง ๆ เกิดขึ้น ในเมื่อมโนมยา สำเร็จด้วยใจ เราเองคิดดี พูดดี ทำดี อย่างไรก็ต้องได้ดีอยู่แล้ว

ถาม : ถ้าเลือกได้ เราก็บอกพ่อแม่ว่า จะด่าให้ด่าด้วยคำที่เจริญ ๆ ?
ตอบ : ถ้าพ่อแม่ของคุณไม่มีคุณธรรม พูดให้ตายก็ไม่เกิดผล อย่าลืมว่าคนแก่สมัยก่อน ไม่ต้องแก่หรอก แค่รู้ภาษาขึ้นไป ส่วนใหญ่ก็อยู่ในศีลกินในธรรมกันหมด ก็แปลว่าส่วนของคุณวุฒิคือความดีของเขามีมาก ในเมื่อกำลังความดีเขามีสูง ตั้งใจให้คนอื่นเป็นอย่างไร ถ้ากำลังพอก็จะเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าพ่อแม่ของเราเลวจนสุนัขไม่รับประทาน แล้วไปอวยพรให้ลูกเจริญ แบบนั้นจะเจริญหรือ ? จำเป็นต้องมีความดีรองรับอยู่ส่วนหนึ่งด้วย

เถรี 30-03-2017 09:47

ถาม : ขอความรู้เกี่ยวกับธรรมะภิสมัยหน่อยครับ ?
ตอบ : ไม่มีธรรมะภิสมัย มีแต่ธรรมาภิสมัย

ถาม : ที่ผมฟังพระสูตรในธรรมจักร ?
ตอบ : ทุกพระสูตรใช้ได้หมด

ถาม : ผมได้ยินน้องคนหนึ่งบอกว่า เขาสวดธรรมจักร เวลาสวดจะมีอะไรมาขัดขวาง จะต้องตั้งใจสวดมาก อ่านยาก ?
ตอบ : สำคัญที่สุดอยู่ที่ใจของเขา ถ้าใจไม่เอาเสียอย่างก็ยากทั้งหมดนั่นแหละ ในเรื่องของพระสูตร ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ถ้ารวมพระไตรปิฎกทั้งหมดก็ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ จับจุดไหนขึ้นมาถ้าประพฤติปฏิบัติจริงก็ถึงมรรคถึงผลทั้งนั้น เพียงแต่ที่บอกผลเอาไว้ชัด ๆ ว่าทำแล้วได้อะไรบ้างนั้นมีอยู่ไม่กี่พระสูตร นอกนั้นก็อาจจะบอกแค่ว่า “ภิกษุทั้งหลายได้รับฟังภาษิตของพระตถาคตแล้วมีความชื่นชมยินดี” ไม่ได้บอกชัดว่าชื่นชมยินดีแล้วผลเป็นอย่างไร

เราจะไปสรุปว่ามีอยู่แค่ ๖ พระสูตร ถ้าสรุปว่ามีแค่ ๖ พระสูตรทำให้คนบรรลุมรรคผล พระพุทธเจ้าท่านจะเทศน์ไปทำไมตั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ?


ถาม : ที่เป็นธรรมาภิสมัยเพราะได้มีเทวดาได้ฟังแล้วบรรลุเยอะจากพระสูตรนั้น ท่านฟังแล้วชื่นชอบ ถ้าเราสวดแล้วเราจะเป็นที่ชื่นชอบของท่านไหมครับ ?
ตอบ : คุณสวดอะไรท่านโมทนาทั้งนั้นแหละ ขอให้ทำความดีไปเถอะ

เถรี 30-03-2017 09:51

ถาม : อย่างหลวงพ่อฤๅษีท่านจะมีบอกประเภทของลูกศิษย์ ไม่ทราบว่าการเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์เล็กจะต้องมีเงื่อนไขอย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : จะต้องไม่ช่างถาม...! ถ้ามัวแต่ถามอยู่แสดงว่ายังปฏิบัติไม่จริง ในเรื่องของการปฏิบัติถ้าทำจริงจะไม่มีคำถามหรอก

เถรี 30-03-2017 10:02

ถาม : อย่างท่านมเหสักข์รับหน้าที่เป็นพระนารายณ์ อย่างพระศิวะจะเป็นท่านไหนครับ ?
ตอบ : ก็เรื่องของท่านคุณไปยุ่งอะไรกับท่านล่ะ ? รู้แล้วช่วยให้เกิดมรรคเกิดผลบ้างไหม ?

เถรี 30-03-2017 10:05

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลวงปู่ที่ชื่อ รอด ในประเทศไทยมาหลายองค์ แต่ว่าที่ดังที่สุด คือ หลวงปู่รอด วัดนายโรง หลวงปู่รอด วัดโคนอน กับ หลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน

หลวงปู่รอด วัดนายโรง เป็นต้นตำรับเบี้ยแก้ในตำนาน ที่ว่า "เบี้ยขลังวัดนายโรง" ถ้าจะเอากันจริง ๆ แล้ว เบี้ยขลังมีหลายสำนัก แต่ของวัดนายโรงท่านมีชื่อเสียงขึ้นมาก่อน จึงติดอยู่ในตำนานสุดยอดเครื่องราง ๙ ขนิด

หลวงปู่รอด วัดโคนอน เป็นอาจารย์ของหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ถ้าถามอีกว่าหลวงปู่เอี่ยม วัดหนังเป็นใคร ? เป็นพระที่ในหลวงรัชกาลที่ ๕ เสด็จไปหาก่อนไปยุโรป แล้วหลวงปู่เอี่ยมก็ทำนายว่าจะเจอเหตุการณ์อะไรบ้าง พร้อมกับบอกวิธีแก้ไขไว้หมด

ส่วนอีกท่านคือ หลวงปู่รอด วัดบางน้ำวน ต้องบอกว่าเป็นเกจิอาจารย์สายตะวันออกที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุด วัตถุมงคลที่ท่านสร้างโด่งดังที่สุด ต้องบอกว่ามีสิงห์มหาอำนาจกับชูชก บุคคลที่สร้างชูชก ถ้าหากว่าไม่ใช่เข้าถึงเคล็ดลับจริง ๆ ไม่มีใครทำได้ดังแน่ หลวงปู่รอดท่านเข้าถึงเคล็ดลับตรงที่ว่า “ชูชกขออะไรใครก็สำเร็จ แม้กระทั่งลูกสุดที่รักอย่างกัณหาชาลีก็ยังขอไปจากพ่อแม่ได้ เพราะฉะนั้น...สิ่งอื่นที่ขอไม่ได้นั้นไม่มี”

ชูชกอย่าเห็นว่าเป็นขอทานนะ รวยอย่าบอกใครเลย เพียงแต่ว่าเอาเงินฝากเพื่อนไว้แล้วเพื่อนใช้หมด ไม่รู้ว่าจะใช้คืนอย่างไรเพื่อนก็เลยยกลูกสาวให้ นางอมิตดาอายุ ๑๖ ปี ได้ตาชูชกอายุ ๘๐ ปี เขาบอกว่านางอมิตดาถวายดอกไม้เหี่ยว แต่สงสัยว่าชูชกถวายดอกไม้แต่ยังไม่ทันจะมีดอกหรือเปล่า ?"

เถรี 30-03-2017 10:07

"ชูชกเป็นคนฉลาด มีไหวพริบ แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้สุดยอดมาก เจอพรานเจตบุตรก็อ้างว่าเป็นทูตมาทูลเชิญพระเวสสันดร ไม่อย่างนั้นโดนพรานเจตบุตรฆ่าตายไปแล้ว เพราะพรานเจตบุตรรู้ว่าจะมีคนมากวนพระเวสสันดร จึงคอยมาลาดตระเวนป้องทางไว้ ดังนั้น..ชูชกเป็นคนฉลาด เป็นคนรวย เป็นคนที่ขอใครไม่เคยพลาด เคล็ดลับพวกนี้โบราณจารย์ท่านก็เลยเอามาสร้างเป็นชูชก

คราวนี้มีคนถามว่าชูชกเป็นอดีตชาติของพระเทวทัต เราบูชาชูชกไม่เท่ากับบูชาเทวทัตหรือ ? อาตมายืนยันว่าคนบูชาชูชกทุกคนไม่มีใครคิดถึงเทวทัตหรอก มีแต่คิดถึงหลวงปู่ที่สร้าง จึงเป็นสังฆานุสติ ขณะเดียวกันอภิญญาจารย์ระดับอภิญญา ๖ สมาบัติ ๘ อย่างหลวงปู่รอดท่านอธิษฐานอะไรก็ขลังไปหมด"

เถรี 30-03-2017 21:08

ถาม : เวลาเห็นพวกวิญญาณ เทวดา หรือพรหม อยากถามว่า....?
ตอบ : ไม่ใช่...การเห็นมี ๒ อย่าง อย่างแรกคือเราปรับกำลังเพื่อเห็นเขา อย่างที่ ๒ คือเขาปรับมาให้เราเห็น ฉะนั้น...ไม่จำเป็นว่าเราต้องเห็นไปทีละระดับ ถ้าเขาปรับมาจะบนสุดยันล่างสุด เราก็สามารถเห็นได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเราเป็นฝ่ายปรับกำลังใจเข้าไปหา โอกาสที่กำลังใจก้าวกระโดดมีน้อย ก็ต้องค่อย ๆ ปรับไป จึงขึ้นอยู่กับว่าเราปรับไปหรือเขาปรับมา

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ก็ไม่แน่ เพราะว่าบางทีเรานึกถึงภาพก็คือภาพติดตาที่เราจำได้ คราวนี้ก็ต้องคอยดูไปว่ามีการเปลี่ยนแปลงไหม ? ถ้าหากว่าภาพมีการเปลี่ยนแปลงก็คือท่านปรับมา ถ้าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นไปโดยช้า ๆ ก็คือเราปรับไปเอง

เถรี 30-03-2017 21:10

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : ไม่จำเป็นต้องเห็น แค่มั่นใจว่ามีก็ใช้ได้

ถาม : ต้องมั่นใจขนาดไหนครับ หรือมั่นใจในความรู้สึกแรก ?
ตอบ : ความรู้สึกแรกมักจะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ว่าผู้ปฏิบัติมักจะมีจุดบอดอยู่ก็คือว่ามักจะไป “เอ๊ะ” ตัวนี้ก็คือเอาของเก่าไปปนว่า น่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เขาเรียกว่าอุปาทานคือไปยึดของเก่า

เผลอ "เอ๊ะ" เมื่อไรก็คือเรากำลังเอาของเก่ามาปนแล้ว แต่อดไม่ได้หรอก หลังจากที่เรา
"เอ๊ะ" แล้วผิด เราจึงจะรู้ว่า อ๋อ...ที่แท้อันแรกถูกแล้ว ต้องแก้นิสัยจุดนี้กันอีกนานเลย ส่วนใหญ่แล้วมักจะเป็นอย่างนั้นเสียด้วย

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : แค่นั้นก็พอแล้ว ความรู้สึกล้วน ๆ บอกได้ชัดเจนก็เพียงพอแล้ว รายละเอียดทั้งหมดอยู่ตรงนั้นแหละ ความรู้สึกที่เรารู้สึกนั่นแหละคือภาพ แต่เราไม่เข้าใจเองว่าภาพคืออะไร เรารู้สึกจนอธิบายรายละเอียดได้ทำไมจะไม่ใช่ภาพ ? เพียงแต่ว่าไม่ใช่ตาเห็นเราก็เลยนึกว่าไม่ใช่ภาพ

ถาม : บางครั้งอารมณ์หนักครับ ?
ตอบ : ถ้าอารมณ์หนักก็แปลว่าสมาธิหรือวิปัสสนาญาณของเราพร่อง ถ้าสมาธิของเราตก สูงเกินหรือต่ำเกินก็จะหนัก แต่ถ้าหากว่าพอดี ๆ ก็จะรู้สึกว่าเบา สามารถสัมผัสได้ง่าย

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : มีเยอะมากเลย โดยเฉพาะการระงับยับยั้ง กาย วาจา ใจ ของเราไม่ให้ละเมิดศีล พอสติดีขึ้นก็คุมศีลได้ดี สติดีขึ้นสมาธิก็ทรงตัวได้ ถึงได้บอกว่าจำเป็นต้องฝึก

เถรี 30-03-2017 21:23

ถาม : เจอเหตุการณ์ต่าง ๆ แล้วรู้สึกว่าเฉยชา ?
ตอบ : จะเรียกว่าเฉยชาก็ไม่ใช่ อาตมาเองรถคว่ำ ไม่ได้ตกใจ แต่มองว่าจะแก้ไขอย่างไร จะเรียกว่าเฉยชาได้ไหม ? ก็ไม่ใช่หรอก หากแต่ว่าสติอยู่ตัว เลือกว่าเราจะแก้ไขสถานการณ์อย่างไรจึงจะออกมาดีที่สุด

ถ้าถามว่ารถคว่ำขนาดไหน ? หูของอาตมาห่างจากพื้นไม่ถึงศอก ...(หัวเราะ)... ขนาดนั้นแล้วยังไม่ตกใจ คอยนึกอยู่เดียวว่าจะแก้ไขเหตุการณ์อย่างไร เพราะว่าตอนนั้นสติเร็วมาก ๆ เร็วจนกระทั่งรถที่กำลังพลิกคว่ำกลายเป็นของช้าไปเลย


ถาม : พบว่าบางทีเราไม่ตอบสนองครับ ?
ตอบ : ที่เราไม่ตอบสนองเพราะเรายอมรับกฎของกรรมจริง ๆ หรือเกิดเพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้มาจากความด้านชา ? ถ้าเกิดจากความยอมรับกฎของกรรมจริง ๆ ก็เป็นสิ่งที่ดี เพราะถือว่าหมดกันไปตรงนั้น แต่ถ้าหากว่าเป็นความด้านชา เป็นสมาธิที่กดเอาไว้ก็ยังไม่ใช่ ต้องดูว่าต่อไปจะกำเริบใหม่ไหม ?

สมมติว่าเขาด่าเราแล้วเราเฉย ๆ แต่หลังจากนั้นไม่กี่วันนึกได้ก็ไปโกรธเขาใหม่ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าตอนนั้นเกิดจากอำนาจสมาธิกดเอาไว้ เราเลยรู้สึกว่าตายด้าน แต่ความจริงแล้วยังไม่ใช่ แต่ถ้ามาเท่าไรก็เฉย ไม่รับอะไรเลย ถ้าอย่างนั้นก็น่าจะเป็นเพราะว่าสภาพจิตของเรายอมรับแล้วว่า ธรรมดาเป็นอย่างนี้

เถรี 30-03-2017 21:31

ถาม : คนอื่นเขาจะว่าเราบ้า ?
ตอบ : ไปสนใจอะไรกับทางโลก ? เรื่องของทางธรรมทวนกระแสโลกอยู่แล้ว คนอื่นเขาว่าเราบ้านี่นับว่าเกรงใจมากแล้วนะ ส่วนใหญ่จะมีมากกว่านั้นอีก ถ้าอาตมาฟังคำคนอื่นคงไม่ได้มานั่งอยู่ตรงนี้หรอก เพราะว่าโดนมาตั้งแต่เล็ก ๆ

พยายามประคองให้อยู่ในจุดที่ "โลกไม่ช้ำธรรมไม่เสีย" ให้ได้มากที่สุด ถ้ารู้สึกว่าไม่ไหวก็ต้องเลือกทางธรรมแทน ประเภทที่เขาบอกว่าตัวตายดีกว่าศีลขาด อะไรประมาณนั้น

แยกให้ออกนะ อารมณ์ตัวตายดีกว่าศีลขาดเป็นอารมณ์ของพระอริยเจ้า ส่วนอารมณ์ยอมตายตรงนี้ ไม่ยอมมอบตัว เป็นคนละเรื่องกันนะ ประเภทยอมตายตรงนี้ไม่ยอมมอบตัวนั่นเขาเรียกว่าดื้อด้าน

ถาม : กำลังใจเท่ากันใช่ไหมคะ ?
ตอบ : กำลังใจเท่ากัน เพียงแต่เอาไปใช้ผิด น่าเสียดาย ไปเถอะ...เอาทางโลกแค่พอสมควร

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : นึกย้อนไปว่าตอนนั้นเราคิดอย่างไร พูดอย่างไร ทำอย่างไรแล้วก็ทำใหม่ โอกาสที่เข้าถึงจะมีอีก แต่ "อย่าอยาก" ถ้า "อยาก" จะไม่ได้ เพราะว่าถ้าอยากเมื่อไรแสดงว่ากำลังใจเราฟุ้งซ่าน ต้องวางกำลังใจว่าเรามีหน้าที่ทำ จะเกิดไม่เกิดก็ช่างมัน

ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : จะเร็วจะช้าให้เข้าถึงได้ก่อน ถ้าหากว่าเข้าถึงได้ จดจำอารมณ์นั้นได้ต่อไปก็ง่ายแล้ว

เถรี 30-03-2017 21:35

มีโยมพาผู้สูงอายุมาถวายสังฆทาน "เวลาช่วยประคองคนแก่ ต้องรอจังหวะที่ท่านยันตัวเองขึ้นมาแล้วเราค่อยช่วยดึง ถ้าจังหวะที่ท่านยังไม่ดันตัวเองแล้วเราไปประคอง เท่ากับเราไปแบกน้ำหนักทั้งตัวเลย ใครจะไปแบกไหว ?

อาตมาดูแลคนแก่มาเยอะ อุ้มหลวงปู่มหาอำพันจาก ๘๘ กิโลกรัมจนเหลือแค่ ๔๔ กิโลกรัม งานดูแลคนแก่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องเข้าใจว่าคนแก่เป็นอย่างไร

คนแก่กำลังไม่ดีแล้ว ในเมื่อกำลังไม่ดีแล้วเราจะเสริมตรงส่วนไหน แต่คนแก่บางคนประเภทของเก่ามีมาก เราไปยุ่งด้วยมากไม่ได้ แม้กระทั่งหลวงพ่อวัดท่าซุงก็เหมือนกัน ถึงเวลาประคองท่านลงบันได้เพื่อที่จะขึ้นรถไปรับสังฆทาน พอลงพ้นบันไดท่านสลัดมือขอเดินเอง ตอนหลังพอป่วยมาก ๆ พอท่านสะบัดอาตมาก็ล็อคเลย...ห้ามดิ้น

พอหลวงพ่อท่านสะบัดไม่หลุดท่านก็เข้าใจ ก็เลยปล่อย อยากทำก็ทำไป ลักษณะนั้นเรียกว่า "ทิฏฐิพระ มานะกษัตริย์" เคยเป็นใหญ่เป็นโตมามาก แสดงความอ่อนแอต่อหน้าคนอื่นไม่ได้ หลวงลุงสุนทรถามว่า “เฮ้ย...หลวงพี่ ทิฏฐิพระยังมีอีกหรือ ?”
อ้าว...ต้องมีสิ ถ้าไม่มีสัมมาทิฏฐิจะบรรลุได้อย่างไร ?” ไปได้เหมือนกันนะ"

เถรี 02-04-2017 21:17

ถาม : ไปต่างประเทศแล้วนอนไม่หลับค่ะ ?
ตอบ : เวลาของเขาหรือเวลาของเรา ?

ถาม : เวลาของเขาค่ะ ?
ตอบ : ถ้าเวลาของเขา อาจจะเป็นเพราะความเคยชินกับเวลาของเรา ให้ติดน้ำผึ้งไป ๑ หลอด กินก่อนนอน ๑ ช้อนชา หลับเป็นวางยาเลย ตั้งนาฬิกาปลุกด้วยนะ ไม่อย่างนั้นเลยเวลาแน่นอน ๑ ช้อนชาเท่านั้น อย่าเยอะ พูดง่าย ๆ ก็คือ ๒ - ๓ หยดใหญ่ ๆ เท่านั้น

เถรี 03-04-2017 08:36

พระอาจารย์เล่าว่า "วันก่อนไปคุมสอบบาลีที่วัดใต้ มีร้านค้ามาตั้งร้านขายของกันมาก อาตมาไปเดินดู ไปเจอร้านหนึ่งมาขายวัตถุมงคล มองไปแล้วสะดุดตาตะกรุดดอกหนึ่งเก่ามาก ถามคนขายว่าของที่ไหน เขาบอกว่าไม่รู้ อาตมาบอกว่าหน้าตาเหมือนของหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ยนะ เขาก็บอกว่าเขาไม่รู้จัก เลยถามต่อว่าแล้วคิดราคาอย่างไร เขาว่าคิด ๑,๘๐๐ บาท อาตมาถามว่า ๑,๕๐๐ บาท ได้ไหม ? เขาบอกว่าได้

อาตมานึกถึงท่านอาจารย์จำลอง เพ็งคล้าย พวกเราคงหาคนรู้จักท่านยาก ท่านอาจารย์จำลอง เพ็งคล้าย เป็นนักพฤกษศาสตร์ ชำนาญในการแยกแยะชนิดต้นไม้มากที่สุดในประเทศไทย ถ้าถามท่านอาจารย์จำลองว่า "ต้นไม้ต้นนี้คือต้นอะไร" ถ้าท่านบอกว่า "น่าจะเป็นต้นนั้นนะ" คำว่า "น่าจะ" ของท่านก็คือ "ใช่เลย"

อาตมาก็ลักษณะเดียวกันนั่นแหละ ที่บอกว่าดูเหมือนของหลวงปู่ปาน วัดบางเหี้ยนะ ก็คือใช่เลย แต่ปรากฏว่าคนขายก็พาซื่อเหลือเกิน ขนาดยืนยันว่าใช่แล้ว ก็ยังบอกว่าไม่รู้จัก..ก็แล้วแต่มึงเถอะ
" ...(หัวเราะ)...

เถรี 03-04-2017 08:38

"แต่ของอย่างนี้ร้อยวันพันปีจะมีบังเอิญหลุดมาสักทีหนึ่ง เพราะว่าส่วนใหญ่ของที่เอามาก็คือของตลาดสนามหลวงสมัยก่อน บางอย่างก็ทำเทียมกันมานาน พอผ่านไป ๒๐ - ๓๐ ปี ก็กลายเป็นของเก่า... อาตมาเลยบังเอิญได้ของดีมา ๑ อย่างในราคาอนุบาล ไม่ใช่ราคาเยาวชน แต่ถ้าตามท่าพระจันทร์ไม่ต้องไปหวัง ร้อยละ ๑๒๐ ของปลอมล้วน ๆ

พวกที่มาตั้งแผงจำหน่ายจะอยู่ในลักษณะว่า มีนิทานประกอบเยอะมาก เหมาะสำหรับผู้ที่เล่นด้วยหู ไม่ได้เล่นด้วยตา พวกที่เล่นด้วยหู พอฟังนิทานแล้วเชื่อก็ซื้อไป ถ้าพวกที่เล่นด้วยตา ดูพิมพ์ไม่ใช่ เนื้อไม่ใช่ ก็จบ"
...(หัวเราะ)...

เถรี 03-04-2017 08:41

"มีหลายสำนักที่สร้างวัตถุมงคลใกล้เคียงกันมาก ต้องแยกแยะกันนาน อย่างพระปิดตา พระปิดตาที่เป็นที่ต้องการอย่างสูงสุดเลยก็คือ พระปิดตายันต์ยุ่ง หลวงปู่ทับ วัดทอง แต่ก็มีพระปิดตาหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ซึ่งจะอยู่ยุคไล่ ๆ กันนั่นแหละ อันนี้ก็ต้องมาแยกแยะพิมพ์กันก่อน

พระปิดตาของหลวงปู่ทับเขาบอกว่า "ล้วงใน โชว์แข้ง" ก็คือมักจะเหมือนกับคนขัดสมาธิแล้วก็ล้วงผ่านขาตัวเองลงไป ถ้าเป็นของหลวงปู่เอี่ยม ถือว่า "ล้วงนอก โชว์มือ" ก็คือปิดทวารเหมือนกัน แต่เป็นการล้วงแบบเอามือบังแข้งไว้ ต้องแยกพิมพ์ให้ออกก่อน ถ้าแยกไม่ออกก็ไม่รู้ว่าของที่ไหน ถ้าแยกพิมพ์ออกแล้ว ก็ต้องมาดูเนื้อ ดูความเก่า ดูรายละเอียดอื่น ๆ ประกอบเข้าไปอีก"

เถรี 03-04-2017 08:45

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานบรรพชาหมู่สามเณรภาคฤดูร้อนของวัดท่าขนุน เริ่มตั้งแต่ ๓๑ มีนาคม ถึง ๙ เมษายนของทุกปี กติกาเดิมคือ ใครบวชเข้ามาแล้วท่องคำอาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตร และปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะได้ก็รับเงินไป คนเก่าที่ท่องได้แล้วถ้ามาบวช พูดง่าย ๆ ว่าสตางค์อยู่ในกระเป๋าแล้ว ....(หัวเราะ)....

จะมีแค่ไม่กี่คนหรอกที่ตะเกียกตะกายมาบวชเอง เพราะว่าจะหาเงินไปเที่ยว อาราธนาศีลได้ รับไป ๕๐๐ บาท อาราธนาศีล อาราธนาธรรมได้ รับไป ๑,๐๐๐ บาท อาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตรได้ รับไป ๑,๕๐๐ บาท ถ้าอาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตร ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะได้ เอาไป ๒,๐๐๐ บาท

มาบวชแค่ ๑๐ วันเอง ทำไมจะทนไม่ได้ แล้วอยู่วัดก็กินดีอยู่ดี ของบางอย่างเหมือนกับสร้างแรงจูงใจเพื่อให้เด็กอยากบวช แต่สิ่งที่เขาได้ไปจะเป็นสมบัติติดตัวไปตลอดชีวิต เพราะเวลาไปงาน เขาให้อาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตร ก็ทำได้อยู่แล้ว"

เถรี 03-04-2017 08:48

โยมเอาวัตถุมงคลให้ดู "ปกติผงยันต์เกราะเพชรของหลวงปู่ปานจะมี ๒ สี คือ สีออกเหลือง ๆ หน่อย สำหรับพวกที่เป็นเนื้อผงล้วน แล้วก็พวกที่เป็นผงอุดพระด้วยซีเมนต์แล้วเหลือมาจะสีออกเทา ๆ มีอยู่แค่ ๒ แบบเท่านั้น"

เถรี 03-04-2017 08:48

:4672615: เก็บตกเดือนมีนาคม ๒๕๖๐ หมดแล้วค่ะ :4672615:
ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทาริกา คะน้า เถรี เผือกน้อย และรัตนาวุธ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 23:11


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว