กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4381)

เถรี 10-03-2015 06:41

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๘
 
ถาม : เวลาผมกวาดวัด จะมีมดแมลงต่าง ๆ อยู่ที่พื้น เวลากวาดก็กวาดพวกมดแมลงต่าง ๆ ไปด้วย มดตายหรือไม่ตายก็ไม่รู้ ถ้าไม่กวาดก็ไม่สะอาดอีก เราผู้กวาดจะบาปไหมครับ ?
ตอบ : ในเมื่อตายหรือไม่ตายไม่รู้ แล้วจะติดใจไปทำไม ?

ถาม : ของที่อยู่ในวัด เวลาเราไปเอา บางครั้งก็ขอพระในวัดบ้าง บางครั้งก็เอาเองบ้าง แต่เป็นของที่โยมถวายมา แล้วเอามาไว้ที่ห้องเก็บของ ผมจะเอากุญแจมาเปิดเอา และเจ้าอาวาสก็ไม่รู้ ถึงรู้แต่ท่านก็ไม่ว่า ตัวผมผู้เอาจะผิดศีลไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระก็เสี่ยงต่ออาบัติปาราชิกเป็นอย่างยิ่ง อาบัติปาราชิกนี่ถึงขาดความเป็นพระไปเลย ควรแจ้งแก่ผู้ที่ท่านดูแลก่อน เพราะว่าถ้าเกิดเป็นพระแล้วมีไถยจิตคิดจะขโมย แค่หยิบของเคลื่อนออกจากที่แค่เศษ ๑ ส่วน ๑๖ ของเส้นผมก็ขาดความเป็นพระแล้ว ทำให้ถูกต้องจนชินไว้จะดีกว่า

ถาม : บางครั้งเจ้าอาวาสไม่อยู่ ผมก็เข้าไปเอาของกินในห้องของเจ้าอาวาสมากิน ผมสามารถเข้าห้องเจ้าอาวาสได้ ผมผิดศีลไหมครับ ?
ตอบ : ไม่น่าถาม..ถ้าเจ้าของไม่ยินดีก็ผิดแน่ ๆ

เถรี 10-03-2015 06:42

ถาม : ถ้าบวชเป็นพระอยู่แต่ต้องอาบัติ ที่ไม่ใช่ปาราชิกหรือสังฆาทิเสส รู้อยู่หรือไม่รู้ก็ตาม ยังไม่ได้แสดงอาบัติ จะขัดขวางผลแห่งการปฏิบัติหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าท่านที่ได้ทิพจักขุญาณจะเห็นชัดเจนมาก เพราะวันไหนศีลของเราบกพร่อง สภาพจิตจะมัวหมอง ก็แปลว่าถ้าศีลบกพร่องย่อมขวางการปฏิบัติอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น..ควรจะชำระศีลให้บริสุทธิ์ ถ้าเอาตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านแนะนำก็คืออย่าให้ข้ามคืน เพราะเราอาจจะตายคืนนี้ก็ได้

เถรี 10-03-2015 06:50

ถาม : ถ้าในพิธีอุปสมบท มีภิกษุต้องปาราชิกอยู่ด้วย แต่ทั้งหมดนั้นมีภิกษุปกติเกิน ๕ รูป จะเป็นโมฆะหรือสำเร็จแค่สามเณรหรือไม่ ?
ตอบ : เป็นโมฆะ เพราะถือว่าเป็นอนุปสัมบันอยู่ในท่ามกลางอุปสัมบัน ก็คือเป็นผู้ที่มีศีลน้อยกว่าพระแล้วไปอยู่ท่ามกลางพระ สังฆกรรมนั้นไม่เป็นสังฆกรรม แต่ระยะหลังมีคนพยายามแนะนำว่า ถ้าพระที่ศีลบริสุทธิ์ มีครบองค์สงฆ์ก็ไม่เป็นไร จะไม่เป็นไรได้อย่างไร ? ในเมื่อไปนั่งอยู่ท่ามกลางผู้ที่บริสุทธิ์ เราก็เป็นจุดด่างแปดเปื้อนผู้อื่นเขา

เถรี 10-03-2015 06:51

ถาม : อานุภาพของมีดหมอและวัตถุมงคลอื่น ๆ ที่นำเข้าพิธีพุทธาภิเษก วันที่ ๒๔ มกราคมที่ผ่านมา มีอานุภาพเกี่ยวกับเรื่องการป้องกันนิวเคลียร์ ฝนเหลือง เชื้อไวรัส และรังสี หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ไปดูในเว็บ..ที่เขาลงไว้บอกว่ามีหรือเปล่า ?

ถาม : มีดหมอสามารถนำไปช่วยปลดปล่อยภพภูมิจิตวิญญาณที่ลำบากได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเขายินดีและกรรมเขาไม่หนัก หลายครั้งก็สามารถช่วยเหลือปลดปล่อยไปได้ แต่ถ้าเราไม่รู้จริงอย่าไปล่วงกรรมคนอื่นเลย เพราะบางทีตัวเองจะเดือดร้อนเอง

เถรี 10-03-2015 06:52

ถาม : ถ้ามีคนเขานำพระมาร่วมทำบุญกับเรา โดยอนุญาตให้เราบอกบุญให้คนอื่นมาบูชา ซึ่งเจ้าของท่านก็มีเจตนาอันดี แต่เราไปพบในอินเตอร์เน็ตว่า พระที่ได้มานั้นน่าจะเป็นของปลอม เราจึงตัดสินใจว่าจะร่วมบุญด้วยเงินจำนวนหนึ่งที่พอทำได้และเก็บพระไว้เอง ไม่ทราบว่าการทำแบบนี้จะมีความผิดหรือไม่คะ ที่เราไม่ได้นำไปบอกบุญคนอื่น ?
ตอบ : อาตมาทำเป็นประจำ เพราะขี้เกียจบอกบุญคนอื่น เวลาเขาให้ซองมาก็ใส่เองคนเดียว

เถรี 10-03-2015 06:55

ถาม : พระเครื่องหรือวัตถุมงคลบางอย่าง เราไม่ได้เป็นเจ้าของ หรือเราไม่ได้นำติดตัว แต่จำภาพติดตา และรู้สึกดี เราจะอาราธนาจากภาพติดตานี่ได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าสามารถจับภาพพระติดตาได้ ก็มีอานุภาพเหมือนกับพกวัตถุมงคลนั้นเลย

ถาม : ตอนกราบอาราธนาพระบารมีสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็นึกถึงพระพุทธรูปองค์ที่เราชอบและรัก หรือเป็นภาพท่านขึ้นมาในแต่ละครั้ง เป็นกรณีเดียวกันหรือแตกต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : ถ้าองค์ที่ชอบและรักมีมาก ก็ต้องคนละกรณีกันอยู่แล้ว ดูว่าถ้าเราตั้งใจระลึกเฉพาะองค์ใดองค์หนึ่ง แล้วภาพอีกองค์ปรากฏขึ้นมา ถือว่าเป็นพุทธานุสติเหมือนกัน อาจจะได้รับการสงเคราะห์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าครูบาอาจารย์ที่ท่านตั้งใจมาสงเคราะห์ในช่วงนั้น ก็อาจจะเป็นคนละองค์ คนละกรณีกัน

ถาม : หรือแยกเป็นกรณีที่ เทพ พรหม เทวดาที่ดูแลรักษาพระเครื่องหรือวัตถุมงคลนั้น ๆ มีกรรมสัมพันธ์ที่จะต้องช่วยดูแลผู้ที่ครอบครองพระเครื่องหรือวัตถุมงคลนั้นครับ ?
ตอบ : อย่าไปตีขลุมเอากับท่านอย่างนั้น ถ้าเราไม่คิดถึงท่าน ท่านก็ไม่รู้จะช่วยไปทำไม อยากให้ท่านช่วยต้องคิดถึงท่านด้วย วิธีคิดถึงหลัก ๆ ก็คืออาราธนาไว้ทุกเช้าเย็น

ถาม : อย่างนั้นก็คิดถึงพระอาจารย์ไว้บ่อย ๆ นะคะ
ตอบ : ถ้าคิดถึงอาตมาก็ไม่ได้อะไรเลย เพราะอาตมาหลับ..!

เถรี 10-03-2015 12:11

ถาม : ผมเรียนสายกรรมฐานจากอาจารย์ที่เป็นฆราวาสครับ ท่านสื่อญาณกับเบื้องบนบ้างเป็นครั้งคราว เมื่อประมาณปีเศษท่านบอกว่า ในอดีตผมได้เคยเกิดเป็นพระโสดาบันมาหลายชาติแล้ว ชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายที่เป็นมนุษย์ ให้รีบเร่งความเพียร เพราะช่วงก่อนที่ท่านจะทำนาย ผมมีภาระทางโลกค่อนข้างเยอะ นับตั้งแต่บัดนั้นผมก็ภาวนาและเจริญพระกรรมฐานทุกวันครับ ท่านบอกว่าความเป็นพระโสดาบันจะกลับมาอีกครั้ง เมื่อผมกับคู่ครองของผมต้องแยกจากกันก่อน รวมถึงมีความเพียรเจริญกรรมฐาน และปฏิบัติแนวทางอริยมรรคมีองค์แปด รวมถึงข้อปฏิบัติของพระโสดาบันให้ครบถ้วน

ถ้าความเป็นพระโสดาบันไม่ได้ติดตัวมาพร้อมกับการมาเกิดในภพมนุษย์แบบนี้ จะมีครูบาอาจารย์มาบอกให้เราบำเพ็ญตามหลักธรรม จนกว่าจะได้กับมาสู่ความเป็นพระโสดาบันตลอดในทุกชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ชาตินี้ผมก็ไม่เคยได้ทำกรรมหนักอะไร เพิ่งบำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา เคารพศรัทธาไตรสรณคมน์ตลอดชีวิต ผมเข้าใจถูกต้องหรือเปล่าครับ ?

ตอบ : ฟังแล้วมึน..? ที่บอกว่าพระโสดาบันเกิดใหม่แล้ว ไม่ได้เป็นพระโสดาบันจนกว่าจะมีคนบอก แล้วค่อยไปปฏิบัติ หรือไม่ก็ต้องแยกจากคู่ตัวเองก่อน อาตมาไม่เคยได้ยินมา พระอริยเจ้าไม่ว่าจะเป็นพระโสดาบันหรือพระสกทาคามี ถ้าได้เป็นพระอริยเจ้าแล้วลงมาเกิด ความเป็นพระอริยเจ้าจะติดตัวมาด้วย ท่านอาจจะไม่รู้ว่าตนเองเป็นพระอริยเจ้า แต่รักษากติกาความเป็นพระอริยเจ้าครบครัน จนกระทั่งได้ฟังครูบาอาจารย์ หรือแม้กระทั่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสถึงคุณสมบัติของพระโสดาบันหรือพระสกทาคามี แล้วท่านจะรู้สึกว่า "เรามีครบแล้วนี่" แต่ประเภทเกิดมาแล้วความเป็นพระโสดาบันไม่ติดตัวมาด้วย อาตมาไม่เคยได้ยินมาก่อน แปลว่าทั้งหมดที่ว่ามานั้นหลักการดีมาก แต่มีสิ่งที่น่าสงสัย สงสัยว่าเป็นพระโสดาบันภาษาอะไรเกิดใหม่แล้วไม่ได้เป็น ?

ถาม : ในขณะที่เราเกิดมา ไม่ได้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน แต่ถ้าเราตั้งปฏิปทาปรารถนาพุทธภูมิแบบนี้ เราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดได้เกินว่า ๗ ชาติ ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่ได้เป็นก็เกิดไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าเป็นเมื่อไร เต็มที่ก็ไม่เกิน ๗ ชาติ และไม่มีความปรารถนาในพุทธภูมิอีก

ถาม : รวมถึงจะไม่ตกลงสู่อบายภูมิ ใช่หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าเป็นพระโสดาบันจะไม่เกิดเป็นสัตว์นรก ไม่เป็นเปรต ไม่เป็นอสุรกาย ไม่เป็นสัตว์เดรัจฉาน จะเกิดอยู่ระหว่างมนุษย์กับเทวดาหรือนางฟ้า แต่ถ้าไม่ได้เป็น ก็แปลว่าพร้อมที่จะลงทุกประการ..!

ถาม : ถ้าผมเคยปรารถนาพุทธภูมิในอดีตชาติ ผมจะเปลี่ยนความปรารถนาเป็นสาวกภูมิผมต้องแก้ไขอย่างไรครับ ?
ตอบ : ก็ถอนความปรารถนาเก่าเสีย ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอริยเจ้า

ถาม : ขอพระคุณเจ้ากรุณาช่วยตรวจสอบให้ด้วยครับ
ตอบ : ระยะนี้ไม่ได้มีหน้าที่ตรวจสอบ ระยะนี้มีแต่โดนเขาสอบ เมื่อเช้าก็เพิ่งไปสอบมา..! (สอบประชาพิจารณ์วิทยานิพนธ์ปริญญาเอก)

ถาม : พอดีท่านอาจารย์บอกว่า ผมเป็นพระโสดาบันชาติที่ ๖ ซึ่งเป็นชาติสุดท้ายของความเป็นมนุษย์ ชาติหน้าก็คือชาติที่ ๗ อาจจะบำเพ็ญบารมีอยู่ที่สวรรค์ ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ผมอาจจะไม่ต้องได้อยู่ในสุทธาวาสพรหม ก็สามารถเข้าถึงพระนิพพานได้ ถูกต้องหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : น่าจะไปถามอาจารย์ตัวเองนะ ในเมื่อหลักการผิดกันแล้ว พูดไปก็ค้านเขาเสียเปล่า ๆ

ถาม : ขอข้อแนะนำปฏิบัติต่อไปภายภาคหน้าด้วยครับ ถ้าความเข้าใจทั้งหมดที่เล่ามานี้ หากเป็นมิจฉาทิฏฐิ ?
ตอบ : เป็นไปแล้ว..! ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อละสังโยชน์ ๓ ให้ได้ ส่วนจะได้หรือไม่ได้อย่างไรขึ้นอยู่กับความสามารถของเรา อย่าไปเชื่อคำพยากรณ์ของใครอีก หน้าที่การพยากรณ์ถึงความเป็นพระอริยเจ้า เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

เถรี 10-03-2015 12:13

ถาม : ที่พระอาจารย์สอนให้ภาวนาคาถาเงินล้านแล้วจับที่ศูนย์กลางกายนั้น เมื่อจับที่ศูนย์กลางกายแล้ว การภาวนาต้องแบ่งสมาธิมารู้ลมหายใจเข้าออกด้วยหรือไม่ครับ ? และถ้าต้องแบ่งสมาธิมาจับลมด้วย ต้องจับลมให้ได้เพียงแค่รู้การหายใจเข้าหายใจออก หรือว่าต้องรู้ตลอดสายแบบลมสามฐานครับ ?
ตอบ : ดูว่าเราต้องการสมาธิมากเท่าไร ถ้าต้องการสมาธิสูงมากก็จับลม ๓ ฐานจนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวก็จะไม่เหลือสักฐาน แต่ถ้าไม่ต้องการสมาธิสูงมาก ก็จับแค่ฐานเดียวตรงศูนย์กลางกายก็พอ แต่ถ้าทำจนชำนาญจริง ๆ ฐานเดียวก็ทรงฌาน ๔ หรือสมาบัติ ๘ ได้

เถรี 10-03-2015 12:14

ถาม : ถ้าเราตั้งใจจะถวายสังฆทาน ชุดละ ๕๐๐ แบบที่วัดท่าซุงจัดไว้ มีถังสังฆทาน พระพุทธรูป พร้อมผ้าไตรจีวร แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เทวดาทุกท่าน ที่ดูแลรักษาวัตถุมงคลทุกอย่างที่เราได้มีบูชาไว้ที่บ้าน ท่านจะโมทนาร่วมกันในสังฆทาน ๑ ชุด ได้ไหมคะ ? หรือต้องถวายแยกเป็นองค์ ๆ ไป เพราะคิดว่า สังฆทานชุด ๕๐๐ บาท หรือมากกว่านี้ จะมีเครื่องครบกว่าชุดละ ๑๐๐ บาท
ตอบ : สังฆทาน ๑ ชุดจะอุทิศให้เทวดากี่หมื่นกี่แสนองค์ก็ได้

เถรี 10-03-2015 12:15

ถาม : มีตะกรุดเมฯ ชนิดแขวนห้อยรถ อยากทราบว่าถ้ารถจอดอยู่ใต้ถุนบ้านเรา หรือใต้ตึกที่มีคนเดินผ่านด้านบน สามารถห้อยได้หรือไม่ ? จะบาปหรือไม่คะ ?
ตอบ : ใครเป็นคนสร้าง "ตะกรุดเมชนิดห้อยรถ" ? ...(หัวเราะ)... มีตัวอย่างก็คือ โยมท่านหนึ่งเอาตะกรุดมหาสะท้อนติดไว้ในรถ แล้วไปจอดอยู่ใต้ถุนศาลา ปรากฏว่าตะกรุดหาย..! ไปเจออีกทีอยู่บนหิ้งพระที่บ้าน แสดงว่าท่านไม่ชอบอยู่ใต้ถุน..!

ถาม : อานุภาพของตะกรุดเมฯ ที่ว่าเป็นมหาสะท้อน สะท้อนในทันทีหรือไม่ ? เช่น หากมีคนมาคิดไม่ดี หรือกลั่นแกล้ง ทำร้ายเรา ก็จะสะท้อนทันทีกลับไป หรือต้องรอจังหวะให้ผลอกุศลกรรมเข้าก่อน ?
ตอบ : สะท้อนทันที แต่ผลจะมีกับเขาทันทีหรือไม่ ต้องดูจังหวะของกุศลกรรมและอกุศลกรรมด้วย

เถรี 10-03-2015 12:16

ถาม : กระผมขอกราบเรียนถามข้อสงสัยเกี่ยวกับพระขรรค์โสฬส (ที่ทางวัดสร้างเอง) และตะกรุดโสฬสมหามงคล ว่ามีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ? รวมถึงในด้านพุทธานุภาพนั้นเสมอกันทุกอย่างและสามารถอาราธนาใช้แทนกันได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : พระขรรค์หน้าตาเหมือนพระขรรค์ ตะกรุดหน้าตาเหมือนตะกรุด เหมือนกันไหมเล่า ?

ถาม : มีคำว่า "โสฬส" เหมือนกันนี่คะ ?
ตอบ : คำหน้าไม่เหมือน ข้าวต้ม กับข้าวต้มมัด หน้าตาและรสชาติเหมือนกันไหมเล่า ?

เถรี 10-03-2015 12:17

ถาม : หลวงพ่อเคยสอนว่า ในเวลาสวดมนต์ หากท่านที่ต้องการทิพจักขุญาณ เวลาสวดมนต์ให้นึกถึงอักขระที่เราสวดขึ้นมาเป็นตัว ๆ สามารถเห็นได้ชัดเท่าไร ก็เห็นผีเห็นเทวดาได้ชัดเท่านั้น ขอกราบเรียนถามว่า ในขณะที่เห็นตัวอักขระ ต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกควบคู่ไปด้วยหรือไม่ ? หรือให้จดจ่ออยู่แต่ตัวอักขระที่ปรากฏ ?
ตอบ : ตอนแรกก็รู้ลมหายใจคู่ไปด้วย แต่ถ้าหากภาพชัดขึ้น ๆ บางทีลมหายใจหายไปตอนไหนก็ไม่ทันรู้ตัว ถ้าลมหายใจหายไปไม่ต้องไปใส่ใจ ให้ใส่ใจอยู่ที่อักขระคำสวดมนต์ของเรา

เถรี 10-03-2015 12:20

ถาม : เมื่อครั้งก่อนบวชพระ ได้ขอขมากรรมกับเพื่อนร่วมงานประมาณ ๒๐๐ คน หวังเพียงเพื่อให้ทุกคนอโหสิกรรมและโมทนาบุญในการบวช ไม่ได้ต้องการเงินทองของเพื่อนร่วมงาน ซึ่งหลายคนก็โมทนายินดีร่วม บางคนก็ถามหาซอง และหลายคนให้เงินร่วมเป็นเจ้าภาพบวช แล้วได้วัตถุมงคล โดยที่ผมไม่ทราบว่าจะได้วัตถุมงคล กราบเรียนสอบถามหลวงพ่อครับ อานิสงส์คนที่โมทนายินดีร่วม อานิสงส์ของคนจะทำบุญต้องมีซอง อานิสงส์คนให้เงินร่วมเป็นเจ้าภาพบวช อานิสงส์ผลบุญนี้แตกต่างกันไหมครับ ?
ตอบ : คนที่โมทนายินดีร่วม จะได้ประมาณ ๘๐ เปอร์เซ็นต์ คนที่ร่วมเป็นเจ้าภาพ อานิสงส์การบวชถ้าเกิดเป็นเทวดา นางฟ้า พรหม จะมีอายุได้ประมาณ ๑๕ กัป คนที่ถามหาซองเพราะว่าเกรงใจแต่ตั้งใจเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ถ้าได้ทำมาก็ได้ ๑๕ กัปเหมือนกัน

ถาม : วัตถุมงคลที่มีคนให้เงินมา ผมจำไม่ได้ว่าใครร่วมบุญมาบ้าง ผมควรทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : เอาไปถวายวัด ...(หัวเราะ)... ตรงนี้พูดเล่นนะ ถ้าหากว่ารู้ว่าไม่ใช่ของเรา ก็พยายามแจกจ่ายไปให้ท่านที่ร่วมบุญมา มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

บางท่านเวลาทำบุญ ถ้าไม่มีซองบางท่านจะรู้สึกประดักประเดิก เห็นว่าเป็นการไม่สุภาพ ก็หาซองให้ท่านหน่อย แต่ว่าที่นี่ถ้าทำบุญแล้วมีซองก็เสียเวลาแกะอีก เพราะซองก็ไม่ได้เอาไปไหน ส่วนใหญ่พอตรวจสอบว่าเอาเงินออกเรียบร้อยแล้วก็มักจะต้องทิ้งไป แล้วก็มีหลายท่าน ถึงเวลาทำบุญมา เขียนมาทีหนึ่ง ๓-๔ ซอง ทั้งที่ไม่จำเป็นต้องแยกก็ได้ ในเมื่อเขียนรายการไว้ในซองเดียวกันได้ก็เขียนรวมกันไป ไม่ใช่ว่าซองแรกสังฆทาน ซองที่สองวิหารทาน ซองที่สามธรรมทาน ซองที่สี่ทำบุญกับหลวงพ่อทุกอย่าง เขียนมาเยอะแยะขนาดนั้นให้สิ้นเปลืองทำไม ?

เถรี 10-03-2015 12:21

ถาม : ที่เขาบอกว่าเมื่ออายุจะเข้า ๕๐ แล้วจะมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้น ?
ตอบ : ความจริงไม่ดีทุกช่วงอายุ เพราะแก่ลงไปทุกวัน ส่วนช่วงอายุ ๕๐ ไม่ดีเยอะหน่อย เพราะอายุมากแล้ว..!

โบราณแบ่งช่วงอายุออกแบ่ง ๔ ช่วงด้วยกัน คือช่วงละ ๒๕ ปี คราวนี้ในช่วงของ ๒๕ ปีแรก เขาแรกว่า เบญจเพส เขาบอกว่าให้ระมัดระวังการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในชีวิต อาจจะได้ทั้งด้านดีและไม่ดี โดยเฉพาะให้ระมัดระวังว่าเรื่องไม่ดีจะเกิดขึ้นได้

ดังนั้น..ถ้านับช่วงอายุที่สองก็จะลง ๕๐ ปีพอดี อย่างที่โยมเมื่อครู่ได้ถาม แต่ว่าบางท่านก็นับเอาที่ลงเลข ๕ อย่างเช่นว่า ๒๕, ๓๕ , ๔๕ , ๕๕ ถ้าเป็นอาตมาก็นับทุกปี เพื่อความไม่ประมาท ให้พยายามระมัดระวัง บำเพ็ญในศีล สมาธิ ปัญญาของเราเอาไว้ ถ้าเกิดปุบปับมีอะไรหนักหนาสาหัสขึ้นมา กุศลกรรมที่สร้างมาจะได้ผ่อนหนักเป็นเบา ถ้าเบาก็จะได้หาย

เพราะฉะนั้น..ต้องให้ความสำคัญทุกช่วงอายุ เรื่องของอายุอย่าคิดว่าเราจะอยู่เกินวันนี้ ให้คิดว่าเรามีวันนี้แค่วันเดียว แล้วพยายามทำวันนี้ให้ดีที่สุด พอถึงเวลาพรุ่งนี้ลืมตาตื่นขึ้นมาก็ “เฮ้อ...ลำบากอีกวัน” ไม่ใช่อยู่ได้อีกวันนะ ลำบากอีกวัน..!

เถรี 10-03-2015 18:49

พระอาจารย์กล่าวว่า “พวกเราพบกับความกลับกลอกของกำลังใจกันมากต่อมาก แต่ไม่ค่อยจะจำกัน อย่างเช่นว่าพอเจ็บไข้ได้ป่วยหนัก ๆ ก็ “เฮ้อ..น่าเบื่อเหลือเกิน ไปพระนิพพานดีกว่า” พอเริ่มสบายขึ้นมาหน่อยก็ลืมพระนิพพานไปแล้ว คิดว่าอยู่ต่ออีกหน่อยก็ดี

เพราะฉะนั้น..ในเรื่องความกลับกลอกของใจนี่มีเป็นปกติ เราต้องรู้เท่าทันและพยายามรักษากำลังใจให้มั่นคงแน่วแน่ต่อเป้าหมายของเรา ไม่เอาก็คือไม่เอา อย่าไปทำในลักษณะของเบื่อ ๆ อยาก ๆ ซึ่งจะทำให้เราไม่สามารถก้าวล่วงจากกองทุกข์ได้”

เถรี 11-03-2015 06:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "สมัยก่อนเขาบอกว่ายักษ์ไม่มีกระบองไม่มีคนเกรงใจ สมัยนี้รัฐบาลของเราเป็นยักษ์มีกระบองเพียบเลย แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร งง ๆ ใช้กระบองไม่เป็น ในการร่างรัฐธรรมนูญ แต่ละประเด็นที่เปิดเผยออกมา สื่อให้ประชาชนได้รู้ ส่วนหนึ่งเป็นความต้องการที่จะร่างรัฐธรรมนูญอย่างนั้นจริง ๆ แต่ว่าปล่อยออกมาในลักษณะการโยนหินถามทาง ว่าจะมีคนสนับสนุนหรือคัดค้าน ปรากฏว่าได้ก้อนอิฐแทบทุกครั้ง..!

โดยเฉพาะท่านที่มีการแสดงออกไม่เป็นที่ไว้วางใจ อย่างเช่นว่าตั้งคนรอบข้างมาช่วยงาน ก็ตัวเองเพิ่งจะไปเฉ่งชาวบ้านเขา แล้วก็มาทำเสียเอง ฉะนั้น..ตรงส่วนนี้ที่บอกว่าความกลับกลอกของจิตมีมาก ก็เพราะว่าเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ก็คือ ถ้าเราทำเอง..ไม่เป็นไร แต่ถ้าคนอื่นทำ..ไม่ได้

ถ้าเราเข้าใจในเรื่องสภาพจิตของคน ที่มีรัก โลภ โกรธ หลงเป็นปกติ ก็จะไม่ตำหนิใคร แต่ว่าในเรื่องของประเทศชาติ อย่างไรเสียก็ควรที่จะพูด ควรที่จะแสดงออก เห็นด้วยก็แสดงออกว่าเห็นด้วย ไม่เห็นด้วยก็แสดงออกด้วยการคัดค้าน ถ้าหากว่าเราทำตัวเป็น "ไทยเฉย" ปล่อยให้ทุกอย่างล่วงเลยไป รัฐธรรมนูญที่ออกมามีผลบังคับใช้ยาวนานจนกว่าจะมีคนมาฉีกทิ้ง ถ้าสิ่งไหนที่ไม่เป็นสากลก็ให้รู้จักคัดค้านกันบ้าง ไม่ใช่ทำไม่รู้ไม่ชี้ไปเรื่อย

เรื่องของการเป็นสากล อย่างเช่นว่านายกรัฐมนตรีหรือประธานาธิบดีต้องมาจากการเลือกตั้ง อย่างนี้เป็นต้น ไม่ใช่มาจากการแต่งตั้ง ถ้ามาจากการแต่งตั้งเท่ากับว่าเปิดโอกาสให้อำนาจนอกระบบเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ซึ่งโอกาสที่จะตรวจสอบการทำงานก็เท่ากับถูกปิดตาย

ในส่วนของการร่างรัฐธรรมนูญ ความจริงถ้าเอาฉบับปี ๒๕๔๐ มาเพิ่มเติมบางประเด็นเท่านั้นก็สมบูรณ์แล้ว แต่ส่วนใหญ่แล้วรู้สึกว่าไหน ๆ เขาตั้งมาแล้ว ต้องทำหน้าที่ให้เต็มที่ ถ้าไปเอาของเก่ามาเดี๋ยวเขาจะหาว่าไม่มีฝีมือ ต้องบอกว่าหาเรื่องเหนื่อยเอง เป็นการหาเรื่องยืดระยะเวลาในการอยู่ในอำนาจ"

เถรี 11-03-2015 06:28

"เรื่องของการเสวยอำนาจ ขึ้นไปเมื่อไรจะหน้ามืดตามัว เหตุที่หน้ามืดตามัวเพราะว่าพอมีอำนาจ คนรอบข้างก็ไม่กล้าบอกกล่าวในสิ่งที่ไม่ถูกใจ ก็เท่ากับโดนปิดหูปิดตา มีแต่ “ได้ครับพี่ ดีครับผม เหมาะสมครับท่าน” ส่วนจะลงเหวไปเมื่อไรเขาไม่รับรู้..!

ไปนึกถึงสมัยราชวงศ์ถัง ฮ่องเต้ถังไท่จง หรือพระนามเดิมว่าหลี่ซื่อหมิน แต่งตั้งเว่ยเจิงเป็นขุนนางทัดทาน พระราชทานป้ายทองนิรโทษให้ ไม่ว่าจะทำเรื่องใดที่ขัดพระทัยขนาดไหนก็ไม่เอาโทษถึงตาย แล้วเว่ยเจิงก็กล้าที่จะทูลคัดค้านในสิ่งที่ไม่สมควร แม้บางครั้งฮ่องเต้จะทรงพิโรธ แต่เนื่องจากว่าเรื่องของรัฐบุรุษ ก็คือผู้ที่กระทำเพื่อประเทศชาติจริง ๆ ถึงจะโกรธแค่ไหน เมื่อพิจารณาเห็นแล้วว่ามีประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่าก็ยอมทำตาม ราชวงศ์ถังยุคนั้นจึงแผ่ขยายอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล แม้กระทั่งประเทศของเราในยุคสมัยนั้น ยังไปถวายเครื่องราชบรรณาการ

ฉะนั้น..ลักษณะของนักการเมืองกับรัฐบุรุษจึงต่างกัน นักการเมืองมักจะเห็นแก่พวกพ้องและตัวเอง แต่รัฐบุรุษจะทำเพื่อประเทศชาติเสมอ ก็ต้องเลือกเอา ว่าเราต้องการเป็นนักการเมืองหรือต้องการเป็นรัฐบุรุษ ? ซึ่งในส่วนนี้จะว่าไปแล้วอยู่ที่สามัญสำนึก พอพูดมาถึงสามัญสำนึก ญาติโยมส่วนหนึ่งก็จะชี้นิ้วมาที่อาตมาแล้วบอกว่า “หน้าที่ของท่าน” ทำอย่างไรท่านจะอบรมให้ชาวบ้านมีสามัญสำนึก สามัญสำนึกเพื่อส่วนรวม ประกอบไปด้วยความยุติธรรม ปราศจากอคติ ให้ความสำคัญแม้เสียงข้างน้อยเพียง ๑ เสียง เพราะไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านก็คือส่วนหนึ่งของประเทศชาติ

ในเมื่อทุกฝ่ายก็คือคนไทยด้วยกัน สิ่งที่จะกระทำก็ต้องคำนึงถึงส่วนรวมทุกคน แม้ว่าเราจะไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ แต่ก็ต้องทำให้คนส่วนใหญ่เขาพอใจ พระพุทธเจ้าถึงไม่เคยสรรเสริญระบอบการปกครองแบบใดว่าดีเลย เพราะพระองค์ทราบดีว่า ระบอบจะดีแค่ไหนก็ตาม ถ้าคนใช้ระบอบนั้นไม่ดีเสียอย่างก็ไปไม่รอด พระองค์ท่านจึงได้ตรัสหลักธรรมที่ใช้ประกอบขึ้นมา อย่างเช่นว่าถ้าปกครองโดยระบอบพระเจ้าจักรพรรดิก็ต้องมีจักรวรรดิวัตร ถ้าปกครองโดยพระมหากษัตริย์ต้องมีทศพิธราชธรรม ถ้าปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยต้องมีอปริหานิยธรรม เป็นต้น"

เถรี 11-03-2015 06:31

"ถ้าถามว่าเผด็จการดีได้ไหม ? ได้..แต่ต้องเป็นเผด็จการที่ทำเพื่อประเทศชาติ ตัวอย่างในหลวงรัชกาลที่ ๕ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สิทธิ์ขาดทุกอย่างอยู่ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เผด็จการดี ๆ นี่เอง แต่ว่าทำไมประเทศชาติของเราเจริญมาก เจริญยิ่งกว่าญี่ปุ่นอีก ก็เพราะว่าพระองค์ท่านทำทุกอย่างเพื่อราษฎร

ปัจจุบันก่อนที่จะเกิดการรัฐประหาร มีรัฐบาลอย่างที่เห็น เราก็ปกครองด้วยประชาธิปไตยซึ่งใคร ๆ ก็ว่าดี แล้วทำไมถึงต้องรัฐประหาร เพราะว่าระบอบประชาธิปไตยที่ขาดธรรมะประกอบก็ไปไม่รอด คนเราเผลอเมื่อไรก็ทำเพื่อพวกพ้องและตัวกู ขณะเดียวกันก็ไปมองบุคคลที่คิดต่างเห็นต่างว่าเป็นศัตรู ซึ่งเป็นการวางกำลังใจที่ผิด

ถ้าถามว่าการวางกำลังใจที่ถูกเป็นอย่างไร ? ก็ต้องดูอย่างในหลวงของเรา ในหลวงไม่เคยดูว่านั่นเป็นชาวเขา นี่เป็นชาวเรา นั่นเป็นคริสต์ โน่นเป็นอิสลาม นี่เป็นพุทธ พระองค์ท่านเห็นว่าทุกคนคือพสกนิกรที่พระองค์ท่านจะต้องปกครอง ต้องให้การสงเคราะห์ให้อยู่ดีมีสุขโดยเสมอหน้ากัน ถ้ารัฐบาลของเราทำได้แบบที่ในหลวงทรงทำ จะปกครองระบอบอะไรก็ปกครองไปเถอะ..ไม่มีใครเขาว่าหรอก

วันนี้พูดแทนพวกเรา เพราะพวกเราประเภทนั่งมองรัฐบาลบริหารงานแล้วก็ทำตาปริบ ๆ เหมือนดูเขาเดินลงเหวแล้วไม่รู้จะห้ามอย่างไร ในเมื่อโยมไม่พูดอาตมาก็เลยพูดแทน ว่าแล้วก็เตรียมตัวเจริญกรรมฐานกัน วางเรื่องร้อนหู ร้อนตา ร้อนใจ เข้าสู่การปฏิบัติของเราดีกว่า"

เถรี 11-03-2015 06:34

พระอาจารย์กล่าวว่า "งานหล่อสมเด็จองค์ปฐม ๔ ศอกเมื่อวันที่ ๒๖ ก.พ. ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา มีญาติโยมถวายทองคำมาประมาณ ๔ กิโลกรัม ไม่ได้ชั่ง..เพราะอยู่ที่หน้างาน แต่กะน้ำหนักด้วยมือ เหตุที่กะถูกเพราะอาตมาสั่งซื้อทองคำทีละ ๓๐๐ บาท ก็คือ ๔.๕ กิโลกรัม รับน้ำหนักประมาณนั้นจนชิน ก็เลยเดาได้ งวดนี้ก็กำลังรอซื้ออยู่ ความจริงช่วงนี้ซื้อได้แล้ว เพราะว่าต่ำกว่า ๑๘,๕๐๐ บาทตามที่ตั้งใจไว้ แต่หวัง ๆ ว่าราคาอาจจะหล่นไปที่ ๑๗,๙๐๐ บาท

องค์พระช่างทุบหุ่นออกมาแล้ว บอกว่าสมบูรณ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องซ่อมแซมอะไรทั้งนั้น ตัดชนวนแล้วขัดแต่งอย่างเดียวเลย ก็เป็นเรื่องอัศจรรย์อยู่เหมือนกัน เพราะปกติอย่างน้อยก็ต้องมีให้อุดให้ซ่อมบ้าง"

เถรี 11-03-2015 06:36

พระอาจารย์กล่าวว่า "ใครสนใจจะเป็นเจ้าภาพใหญ่เมรุวัดท่าขนุน ก็แจ้งความจำนงได้นะจ๊ะ คิดว่าสัก ๒๐ ล้านบาทน่าจะอยู่ ศาลา ๑๐๐ ปีหลวงปู่สาย มาถึงตอนนี้จ่ายไป ๕๒ ล้านเศษแล้ว ถ้านับเฉพาะตัวศาลาคาดว่าถึง ๗๐ ล้านบาท ส่วนพระประธานข้างในศาลา บุษบกตั้งพระทองคำของเราจะแยกบัญชีต่างหาก ถ้ารวมกันนี่เกิน ๑๐๐ ล้านแน่นอน เพราะว่าบุษบกเท่าที่เซ็นสัญญาไป ๑๒.๕ ล้านบาท

ส่วนพระพุทธรูปทองคำนี่ยังไม่ได้คิดเลย ช่างเขาประมาณไว้ว่าใช้ทอง ๔๐ กิโลกรัม อาตมาต้องเผื่อเท่าตัว เพราะว่าช่างกะผิดเป็นประจำ อย่างคราวที่แล้วเขากะวัสดุเงินที่ใช้หล่อสมเด็จองค์ปฐมเนื้อเงิน เขาบอกใช้เงินประมาณ ๒๒-๒๕ กิโลกรัม อาตมาให้ ๕๐ กิโลกรัมเลย เพราะว่าถ้าเหลือก็เอามาทำวัตถุมงคลต่อไปได้"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:11


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว