กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=6170)

เถรี 16-05-2018 21:23

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑
 
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก...ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเรา ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๕ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๑ จากเมื่อวานที่ได้กล่าวว่า อานาปานสติคือการระลึกถึงลมหายใจเข้าออก เป็นพื้นฐานของกรรมฐานทั้งปวง ถ้าทิ้งอานาปานสติเสียอย่างเดียว เราก็ไม่สามารถที่จะทำกรรมฐานกองใดให้สำเร็จสัมฤทธิ์ผลลงไปได้ แต่การปฏิบัติในอานาปานสตินั้น ตอนท้ายเราต้องใช้ปัญญาในการพิจารณา ให้เห็นความเป็นจริงของสภาพร่างกายนี้ ให้เห็นความเป็นจริงของสภาพร่างกายของคนอื่น ให้เห็นความเป็นจริงในสภาพของโลกนี้ ว่ามีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง และสลายตัวไปในที่สุด

เนื่องเพราะว่าการปฏิบัติกรรมฐานของพวกเรานั้น เป็นการที่เราสะสมกำลังไว้เพื่อต่อสู้กับกิเลส เมื่อเราภาวนาไปจนกำลังของเราเต็มแล้ว ก็คือไม่สามารถที่จะไปต่อได้ เริ่มรู้สึกเครียด ก็ให้คลายกำลังใจออกมา แล้วนำเอาหลักไตรลักษณ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาพิจารณาร่างกายของเรา ร่างกายของคนอื่น ร่างกายของสัตว์อื่น ตลอดจนวัตถุธาตุสิ่งของทั้งปวง ให้เห็นจริง ๆ ว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา

เหตุที่ต้องทำเช่นนั้นเพราะว่า สภาพจิตของเรานั้น ถ้าไม่บังคับให้คิดในสิ่งที่ดี ๆ ก็จะไปคิดในเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาชอบ ในเมื่อเราภาวนาจนมีกำลังแล้ว ก็จะทำให้สภาพจิตสามารถใช้กำลังนั้นไปคิดในเรื่อง รัก โลภ โกรธ หลง ได้อย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการ เหมือนอย่างกับม้าหลุดจากคอก ไม่สามารถที่จะเหนี่ยวรั้งเอาไว้ได้อยู่ เป็นการเอากำลังของการปฏิบัติไปใช้ในทางที่ผิด

ดังนั้น...เมื่อท่านทั้งหลายภาวนาไปจนกระทั่งไปต่อไม่ได้แล้ว ให้คลายกำลังใจออกมาพิจารณา เพราะว่าการภาวนาคือสมถกรรมฐาน การพิจารณาคือวิปัสสนากรรมฐาน เปรียบเหมือนคนที่ผูกขาติดกันอยู่ มีช่วงให้ก้าวได้แค่สั้น ๆ เท่านั้น ถ้าเราจะก้าวในเรื่องของสมถะอย่างเดียว เมื่อสุดแล้วก็ไปต่อไม่ได้ ถ้าฝืนรั้งที่จะก้าวไป ก็จะโดนกระชากกลับ

หรือว่าเราจะก้าวในด้านของวิปัสสนากรรมฐานอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะว่าเมื่อกำลังใช้ในการพิจารณาจนหมดแล้ว ไม่มีกำลังของสมถะคอยหนุนเสริม กิเลสก็ตีเราตายเหมือนเดิม ก็อยู่ในลักษณะเดียวกันว่า ก้าวด้านวิปัสสนาไปจนสุด ก็ต้องย้อนกลับมาภาวนา เมื่อภาวนาจนกำลังใจไปต่อไม่ได้ ก็ต้องย้อนกลับไปพิจารณา ต้องทำสลับกันไปสลับกันมาในลักษณะอย่างนี้ เราถึงจะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติ เหมือนกับคนมีโซ่ล่ามขาอยู่ ก็ต้องผลัดกันก้าวซ้ายทีขวาที จึงจะได้ระยะทาง ถ้าก้าวข้างเดียวก็ไม่สามารถที่จะไปได้

เถรี 17-05-2018 20:19

อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญก็คือ เมื่อปฏิบัติได้แล้ว ในช่วงนั้นไม่ว่าจะ สติ สมาธิ ปัญญา ของเราทรงตัวในระดับไหน เลิกการปฏิบัติไปแล้วอย่าทิ้ง ให้ประคับประคองอารมณ์การปฏิบัตินั้น ให้อยู่กับเรานานที่สุดเท่าที่จะทำได้ การปฏิบัติธรรมเหมือนกับการว่ายทวนน้ำ ถึงเวลาแล้วเราทิ้งก็ลอยตามน้ำไป พอวันต่อมาเราก็ว่ายทวนน้ำขึ้นมาใหม่ ซึ่งก็คงได้ไม่ไกลไปกว่าเดิม เลิกแล้วปล่อยก็ลอยตามน้ำไปอีก กลายเป็นคนขยันทำงานทุกวัน แต่ไม่มีผลงานเพิ่มขึ้นมาเลย

ท่านที่สงสัยว่าปฏิบัติมาหลายปีถึงหลายสิบปี ทำไมถึงหาความก้าวหน้าไม่ได้ ? ก็เพราะว่าเราไม่ได้ประคับประคองรักษาอารมณ์การปฏิบัติของเราไว้ เมื่อถึงเวลาเลิกจากการปฏิบัติแล้วก็ทิ้งเลย ซึ่งเป็นการกระทำที่ผิด

ดังนั้น นอกจากท่านจะต้องภาวนาพิจารณาสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปแล้ว ท่านยังต้องพยายามประคับประคองรักษาอารมณ์การปฏิบัติให้อยู่กับเรานานที่สุด แรก ๆ ได้แค่ ๑ นาที ๒ นาทีก็พังแล้ว หลังจากพยายามปฏิบัติไปก็จะได้ ๓ นาที ๕ นาที ๑๐ นาที ๑๕ นาทีเพิ่มไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งได้ครึ่งชั่วโมง ได้ ๑ ชั่วโมง ๒ ชั่วโมง ๓ ชั่วโมง ได้ครึ่งวัน ได้ ๑ วัน ได้ ๒ วัน ได้ ๓ วัน ได้ ๕ วัน ได้ ๗ วัน ได้ครึ่งเดือน ได้ ๑ เดือน เป็นต้น

สภาพจิตที่ทรงสภาพเอาไว้โดยไม่ไหลไปหา รัก โลภ โกรธ หลง จะมีความผ่องใสมาก ปัญญาก็จะยิ่งเกิดมาก ทำให้เราเห็นช่องทางว่าทำอย่างไรถึงจะเอาชนะกิเลสแต่ละตัวได้ ทำอย่างไรเราถึงจะคดเคี้ยวเลี้ยวลดเพื่อรักษากำลังใจของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์เอาไว้ได้

ดังนั้น ในส่วนนี้ทุกท่านต้องพึงสังวรว่า เมื่อภาวนาแล้วต้องพิจารณา ถ้าไม่พิจารณาก็จะหาความก้าวหน้าไม่ได้ เมื่อพิจารณาไปจนเต็มที่แล้ว ก็ย้อนกลับมาภาวนาใหม่ เมื่อละเลิกจากการภาวนาไปแล้ว ก็ให้ประคับประคองรักษาอารมณ์ใจเอาไว้กับเราให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ เราจึงจะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติให้ได้เห็น

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑

(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย คะน้า)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:40


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว