กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=40)
-   -   โอวาทงานบวชเนกขัมมะลอยกระทง ๖-๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๗ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4285)

เถรี 30-12-2014 13:18

ถ้าเรารู้จักมีปัญญาคิดพินิจพิจารณาต่อเพียงแค่นี้ เราก็จะเห็นคุณพระรัตนตรัยอย่างเต็มที่ เกิดความเคารพพระรัตนตรัยขึ้นมาอย่างจริงจัง จริงใจ คราวนี้ กาย วาจา ใจ ทุกอย่างของเรา ก็จะนอบน้อมเคารพต่อพระรัตนตรัย เป็นไปเองโดยอัตโนมัติ เราว่า “นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้เป็นพระอรหันต์ ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง” เราก็นอบน้อมด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ จริง ๆ

พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระธรรมเป็นที่พึ่ง สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าขอยึดพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เราก็ยึดจริง ๆ ยึดด้วยกาย ยึดด้วยวาจา ยึดด้วยใจ ไม่ประมาทพลาดพลั้ง ล่วงล้ำก้ำเกินทั้งต่อหน้าและลับหลัง นี่เป็นกฎกติกาข้อแรกของความเป็นพระโสดาบัน คือต้องเห็นคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างจริงใจ

นอกจากนี้แล้วก็เหลือเพียงแค่ว่า พยายามทบทวนศีลของตนเองทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ มีปัญญารู้ตัวว่าเราจะต้องตายอยู่เสมอ ถ้าตายแล้วเราขอไปพระนิพพานที่เดียว เป้าหมายและการกระทำทุกอย่างก็จะรวบรัดชัดเจน ความเป็นพระโสดาบันก็อยู่แค่เอื้อมมือถึง ถึงได้กล่าวว่าพวกเราต้องขยันให้ถูกทาง เน้นในอานาปานสติ เมื่อทรงปฐมฌานหรือมากกว่านั้นได้ ก็ยกมาพินิจพิจารณาในคุณพระศรีรัตนตรัย ว่ามีความดีอย่างไรที่ควรแก่การเคารพนอบน้อมกราบไหว้ของพวกเรา ท้ายสุดก็ทบทวนศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์ มีปัญญารู้เห็นว่าชีวิตนี้ต้องตายไว้เป็นปกติ ตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานแห่งเดียว

ถ้ายังรู้สึกว่ากฎกติกามามากมายจนเกินไป ก็ลดลงมาว่าเราเคารพในคุณพระรัตนตรัย เรารักษาศีลให้บริสุทธิ์ และท้ายที่สุด ตายแล้วเราขอไปพระนิพพาน ถ้ายังรู้สึกว่ามากเกินไปก็ลดกติกาเหลือข้อเดียว คือเรารักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เพราะเราเคารพในพระรัตนตรัย เรารักษาศีลให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เพราะเราจะไปพระนิพพาน ถ้าทุกคนสามารถทำอย่างนี้ได้ ก็จะปิดอบายภูมิ ไม่มีโอกาสที่จะเป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย เป็นสัตว์เดียรัจฉานอีก

เกิดเป็นคนอย่างแย่ที่สุดก็คือลงมาเป็นมนุษย์ขึ้นไปเป็นเทวดา ลงมาเป็นมนุษย์กลับขึ้นไปเป็นเทวดา ลงมาเป็นมนุษย์กลับไปเป็นเทวดา แล้วกลับลงมาเป็นมนุษย์อีกทีก็เข้าสู่พระนิพพาน ๗ ครั้งเป็นอย่างยิ่งก็คือระหว่างคน ๔ เทวดา ๓ หรือ ๓ ครั้งเป็นอย่างยิ่ง จากมนุษย์ไปเป็นนางฟ้าหรือเทวดา ลงมาเป็นมนุษย์อีกทีแล้วเข้าสู่พระนิพพาน หรือถ้าอย่างละเอียดก็เข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ได้เลย ขึ้นอยู่กับกำลังของเราที่เข้าถึง

เถรี 31-12-2014 11:20

เรื่องของการปฏิบัติจึงต้องขยัน ทำให้ต่อเนื่อง อย่าทำ ๆ ทิ้ง ๆ ทำแล้วต้องหวังผล โดยเทียบตนเองกับสังโยชน์ ๓ เป็นปกติ รู้ตัวอยู่เสมอว่าชีวิตนี้จะต้องสิ้นสุดลงไปในวันใดวันหนึ่ง หรือถ้ารู้ตัวมากกว่านั้นก็คือเราไม่แน่ว่าจะมีวันพรุ่งนี้ หรือถ้าจะเอาละเอียดกว่านั้นก็คือ เราหายใจเข้าไม่รู้ว่าจะได้หายใจออกหรือไม่ เราหายใจออกไม่รู้ว่าจะได้หายใจเข้าหรือไม่ ความตายอยู่กับเราทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าตายเมื่อไรเราขอไปพระนิพพานที่เดียว

เมื่อมีเป้าหมายทุกอย่างชัดเจน เชื่อว่าญาติโยมทุกท่านจะได้เอาไว้เป็นหลักยึดถือในการปฏิบัติของเรา อย่าทำแบบตาบอดคลำช้าง ให้เทียบตัวเองอยู่ทุกวัน ถามตัวเองว่าถ้าวันนี้เราตายลงไป เราพร้อมที่จะตายหรือไม่ ? ให้เป็นคำตอบจากใจจริง ๆ ไม่ใช่ตอบว่า “พร้อมที่จะตาย” เพราะรู้ว่าคำตอบนี้ถูก ให้เป็นคำตอบจากใจของเราจริง ๆ ว่าพร้อมหรือไม่พร้อม ถ้ารู้ตัวว่าไม่พร้อมก็เร่งความดีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป จะได้พร้อมมากกว่านี้ ถ้าหากว่าพร้อม ก็ให้ตั้งหน้าตั้งตาทำความดีต่อไปอย่าได้ประมาท

ถามตนเองว่าคนที่เรารักมีหรือไม่ ? ของที่เรารักมีหรือไม่ ? ทรัพย์สมบัติที่เรายึดถือหวงแหนมีหรือไม่ ? ซึ่งเชื่อว่ามีกันทุกคน แล้วถามตนเองว่าถ้าเราต้องทิ้งทุกอย่างไปในเวลานี้เราพร้อมหรือยัง ? นี่เป็นแค่สถานการณ์สมมุติเท่านั้น ถ้าของจริงเข้ามาเราจะไม่มีเวลาในการตัดสินใจเลย เพราะว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายจะมาถึงเมื่อไรก็ไม่รู้ พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ ให้เราทั้งหลายยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม ก็คือต้องเร่งขวนขวายนำตนให้พ้นจากทุกข์ภัยในวัฏสงสารแห่งนี้ให้ได้

เถรี 31-12-2014 11:21

พวกเราทั้งหลายถือว่าโชคดี เกิดมาเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนา ได้มีโอกาสฟังธรรมแล้วเกิดความเลื่อมใส น้อมใจเข้ามาประพฤติปฏิบัติ ประชากรทั่วโลกห้าพันกว่าเกือบหกพันล้านคน มีบุคคลที่นับถือพระพุทธศาสนาอยู่ประมาณสี่ร้อยล้านเท่านั้น สี่ร้อยล้านที่ว่านี้จำนวนสองร้อยล้านเศษถือพุทธศาสนามหายานที่ปรารถนาการเกิดอีก อีกครึ่งที่เหลือยึดถือและปฏิบัติตาม ๆ กันมาโดยไม่มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน

ประเทศไทยเราบอกว่า ๙๘ เปอร์เซ็นต์นับถือศาสนาพุทธ แต่มั่นใจได้เลยว่ามีแค่ไม่กี่แสนคนที่ได้เข้าวัดทำบุญเป็นประจำ แล้วบุคคลที่เข้าวัดทำบุญเป็นประจำก็ไม่แน่ว่าจะทำเพื่อความหลุดพ้น วัดใหญ่ ๆ ที่คนเข้าเป็นแสนเป็นล้าน อาตมาเคยสงสัยว่าทำไมเขาอธิษฐานขอถึงพระนิพพานในอนาคตกาล ทำไมไม่ขอเอาในปัจจุบันนี้ คนที่ได้ยินคำถามทำหน้างงมาก ว่าเราสามารถไปพระนิพพานในชาตินี้ได้ด้วยหรือ ? จึงเป็นที่ยืนยันว่า บุคคลอีกเป็นแสนเป็นล้าน ที่ไม่รู้จักคำว่าพระนิพพานอย่างแท้จริง แล้วจะไปได้อย่างไร ? พวกเราจึงกลายเป็นคนส่วนน้อย

ในเมื่อเป็นคนส่วนน้อย อัตราว่างมีมาก ถ้าเราไม่เร่งขวนขวาย ฉวยโอกาสที่อัตราว่างยังมีอยู่มากนี้ จับจองให้ตัวเราเป็นส่วนหนึ่งที่จะหลุดพ้นในชาติปัจจุบัน ก็ต้องบอกว่าพวกเราประมาทมาก ดังนั้น..ให้เร่งจองสถานที่ได้แล้ว จองตั๋วล่วงหน้าไปเลยครึ่งชาติ ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นของเรา ไม่ต้องสนใจว่าเป็นสายไหน ไม่ต้องสนใจว่าเป็นโควตาของใคร ไม่ต้องสนใจว่าใครจะไปได้กี่คน แต่ “เราจะไป” ให้ตั้งกำลังใจไว้อย่างนี้ แล้วก็ขี่ลาของเราไปอย่างที่ว่า ค่อย ๆ เดินทีละก้าว ท้ายสุดก็ถึงจุดหมายปลายทางไปได้เอง


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
โอวาทช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม
วันที่ ๗-๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๗ ณ วัดท่าขนุน

(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยรัตนาวุธ)


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:40


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว