เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๖
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๖๖ |
วันนี้ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพพร้อมด้วยคณะได้เดินทางออกจากที่พักตั้งแต่ตี ๔ เพื่อไปเตรียมพร้อมที่สนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ เมื่อทุกคนในคณะมาถึงกันโดยพร้อมเพรียงแล้ว ก็ทำการตรวจตั๋ว ฝากกระเป๋า แล้วก็เข้าไปรอที่ประตูขึ้นเครื่อง F3
การที่เรารีบมากันแต่เช้านั้น ก็เพราะว่าระยะนี้ทางสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิของบ้านเรานั้นเป็นที่ "ฮ็อตฮิต" อย่างยิ่ง ผู้โดยสารทั้งขาเข้าและขาออก ไม่ทราบเหมือนกันว่าทะลักมาจากไหน ถ้าหากว่าช้าไปแม้แต่นิดเดียวอาจจะเสียเวลาไปเป็นชั่วโมง ถึงขนาดตกเครื่องได้เลย..! จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรีบออกกันมาตั้งแต่เช้า หลังจากนั้นแล้วค่อยไปนั่งอ่านหนังสือรอกันอยู่ที่หน้าประตูขึ้นเครื่อง ในขณะที่บางท่านก็ฉวยโอกาสนั่งพักหลับตาภาวนากัน เอาแรงไว้ก่อน เมื่อใกล้เวลาเครื่องบินจะออก ทางด้านเจ้าหน้าที่ก็มานิมนต์กระผม/อาตมภาพเดินลงไป เพื่อที่จะทำการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งมีทั้งการตรวจตั๋วขึ้นเครื่องและการตรวจกระเป๋า แต่ว่ากระเป๋านั้น ทิดแจ็ค (นายกรชัย บันดาลศิริกุล) ช่วยถือให้ เพียงแต่ว่าทิดแจ็คนั้นค่อนข้างจะขาดความคล่องตัว กระผม/อาตมภาพจึงแย่งกระเป๋ามาถือเสียเอง แล้วก็ผ่านด่านเข้าไปแบบง่าย ๆ เมื่อขึ้นเครื่องไปแล้วก็ยังต้องนั่งอ่านหนังสือรออยู่เป็นชั่วโมง กว่าที่คนอื่น ๆ จะขึ้นมาโดยพร้อมเพรียง แล้วก็ได้เวลาเครื่องขึ้นจากประเทศไทย ก็คือเวลา ๐๘.๕๐ น. ของบ้านเรา เมื่อขึ้นเครื่องไปได้ประมาณ ๑ ชั่วโมง อาหารเช้าก็มาเสิร์ฟจนถึงที่นั่ง แต่ว่าเป็นอาหารแบบอินเดียแท้ ก็คือมีข้าว ประกอบด้วยเครื่องเทศ ส่วนที่เห็นเป็นขนมปังนั้น ก็ยังมีในส่วนของเนย แล้วก็โยเกิร์ตมาให้ด้วย ดังที่กระผม/อาตมภาพได้บอกกล่าวแล้วว่า ในเรื่องของข้าวปลาอาหารอินเดียนั้น เป็นที่น่ารังเกียจอย่างมาก เจอหน้าเมื่อไรก็ต้องรีบกวาดใส่ท้องให้หมด จะได้ไม่ต้องทนเห็นกันไปนาน ๆ..! |
หลังจากฉันเสร็จเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็นั่งอ่านหนังสือและภาวนาบ้าง สลับกันไป เสียงคุณนวลจันทร์ เพียรธรรม บอกว่า "หลวงพ่อ..พาสปอร์ตตกอยู่ใต้เก้าอี้" กระผม/อาตมภาพก็ยังแปลกใจว่าตกลงไปได้อย่างไร แต่เมื่อควานหาดู ปรากฏว่ามีจริง ๆ..! กระผม/อาตมภาพจึงหลับตาลง นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เนื่องจากว่าครั้งนี้มาโดยไม่มี "โควต้า" ช่วยเหลือฉุกเฉิน ถ้าหากว่ามีผู้หนึ่งผู้ใดต้องการกลั่นแกล้ง ก็อาจจะต้องลำบาก เสียเวลาไปทั้งคณะ..!
ปรากฏว่าสิ่งที่นึกไม่ถึงก็คือ "ท่านปู่พระอินทร์" มาพร้อมกับอาวุธชิ้นใหม่ที่กระผม/อาตมภาพไม่เคยเห็น อยากจะเรียกว่า "ลูกฟักทองมีด้าม" ก็ใช่ ชี้หน้าขู่บรรดาท่านทั้งหลายที่พร้อมจะมาเอาคืนจากกระผม/อาตมภาพ ในลักษณะประมาณว่า ถ้ากลั่นแกล้งกันแบบนี้อีกก็จะเจอกัน..! นาน ๆ ถึงจะได้เห็นท่านปู่พระอินทร์ออกงิ้วแบบนี้เสียที เพราะว่าปกติแล้วไม่เคยเห็นท่านโกรธใคร ได้แต่ยิ้มเย็นตั้งแต่สมัยเป็นมนุษย์ จนกระทั่งขึ้นมาเป็นพระอินทร์ แทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ที่ต้องแสดงศักดานุภาพในครั้งนี้ก็เพื่อกระผม/อาตมภาพและคณะล้วน ๆ ต้องเจริญพรขอบคุณท่านปู่พระอินทร์เป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่ท่านไปแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ได้เข้าสมาธิ ภาวนากรณียเมตตสูตร ขอความปลอดภัยในการเดินทาง เห็นภาพพระพุทธรูปสีทองครอบเครื่องบินไว้ทั้งลำแล้ว ก็หันไปบอกกับคุณนวลจันทร์ว่า "ตอนนี้ปลอดภัยแน่นอน เลิกกังวลได้แล้วจ้ะ" เมื่อถึงเวลาประมาณ ๑๑ โมงครึ่งของเมืองไทย คุณนวลจันทร์ก็นำเอาอาหารที่เตรียมไว้มาถวายกระผม/อาตมภาพ และพระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ดร. เจ้าอาวาสวัดอุทยาน ปรากฏว่าเป็นข้าวมันไก่ประตูน้ำ แถมยังมีคอหมูย่างและไส้กรอกมาด้วย แต่เนื่องจากว่ากระผม/อาตมภาพว่าอาหารแขกบนเครื่องบินไปเต็มคราบแล้ว จึงไม่สามารถที่จะกินอะไรลงไปได้อีก นอกจากจิ้ม ๆ ขึ้นมาพอเป็นพิธีชิ้นสองชิ้น แล้วก็ส่งไปให้ผู้อื่นทำหน้าที่แทนตัวเองกันต่อไป |
กระผม/อาตมภาพนั่งอ่านหนังสือหมดเล่มโดยไม่รู้ตัว ทั้ง ๆ ที่งานนี้เตรียมมาแค่ ๒ เล่ม แล้วด้วยความเคยชินก็คือจะอ่านหนังสือประมาณวันละเล่ม เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่ากระผม/อาตมภาพเป็นคนที่อ่านหนังสือเร็วมาก ถ้าหากว่าตามความเร็วปกติ วันหนึ่งก็จะอ่านได้ประมาณ ๔ - ๕ เล่ม..! ปัจจุบันนี้ที่ต้องกำหนดเอาไว้วันละ ๑ เล่ม ก็เพื่อที่จะจำกัดงบประมาณในการซื้อหาหนังสือไม่ให้สูงจนเกินไปนัก แต่ปรากฏว่างานนี้เตรียมหนังสือมาแค่ ๒ เล่มเพื่อที่จะไม่ให้หนักกระเป๋ามากจนเกินไป ยังไม่ทันที่จะครึ่งวัน ก็หมดไปแล้ว ๑ เล่ม จึงได้แต่นั่งภาวนาแทน
จนกระทั่งเวลาประมาณ ๑๒.๐๕ น. ของทางประเทศอินเดีย ถ้าเป็นบ้านเราก็คือเวลา ๑๓.๓๕ น. เครื่องบินของสายการบินแอร์อินเดียก็ลงมายังสนามบินนานาชาติอินทิราคานธี พวกเราเมื่อลงจากเครื่องมาแล้ว ต้องเดินไปตามทางที่ไกลมากเพื่อที่จะเข้าด่านตรวจคนเข้าเมือง แต่เป็นเรื่องแปลกที่ว่า เมื่อกระผม/อาตมภาพไปยังด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว ปรากฏว่าวัคซีนพาสปอร์ตก็ไม่ต้องใช้ วีซ่าก็ไม่ต้องใช้ เจ้าหน้าที่รับไปแต่พาสปอร์ตอย่างเดียว แล้วประทับตราลงเวลาให้ แม้กระทั่งการพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อเป็นการยืนยันตัวตนก็ไม่ต้อง การยืนจ้องกล้องก็ไม่ต้อง หน้ากากอนามัยก็ไม่ได้สั่งให้ถอด จนกระทั่งกระผม/อาตมภาพต้องถอดเอง ทำให้เดินผ่านด่านไปแบบงง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นวะ ? เมื่อมาถึงสายพานหมายเลข ๑๒ ที่เครื่องของเราจะส่งกระเป๋าลงที่นี่ ปรากฏว่าเจอแต่บรรดาท่านทั้งหลายจากตะวันออกกลางจำนวนมากมายมหาศาล ขณะที่กำลังยืนงงอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ได้ยินเสียงคุณเอ (ฉัตตริน เพียรธรรม) กรรมการผู้จัดการบริษัทเอ็น ซี ทัวร์ ซึ่งทำหน้าที่หัวหน้าคณะในครั้งนี้ทักทาย แต่เนื่องจากว่าคุณเอนั้นตัดสินใจช้า ทำให้ไม่สามารถที่จะซื้อตั๋วเครื่องบินในเที่ยวเดียวกันได้ จึงต้องมาเที่ยวก่อนหน้านี้ แล้วมาดักรอที่สายพานแห่งนี้อยู่แล้ว |
เมื่อพวกเราเดินออกมา ทุกคนก็ฮือฮากันใหญ่ เนื่องจากว่าสนามบินแห่งนี้นั้น ก่อนจะเดินมาถึงสายพานรับกระเป๋า จะผ่านร้านสินค้าปลอดภาษีที่เรียกว่า "ดิวตี้ฟรี" มาก่อน แปลว่าถ้าหากใครช็อปปิ้งเพลิน ก็อาจจะถึงขนาดลืมรับกระเป๋าไปเลยก็ได้..!
เมื่อได้รับกระเป๋ามาแล้ว ก็ยังต้องรอเอเย่นต์ของเรา ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าไปหมกตัวอยู่ที่ไหน ? ทำเอาผู้ชราอย่างคุณนวลจันทร์ต้องไปตามหา กว่าที่จะเจอและเข็นกระเป๋าตามกันออกไปจนถึงที่จอดรถ ก็เป็นระยะทางที่ค่อนข้างจะไกล เดินกันอย่างชนิดที่ถ้าไม่แข็งแรงก็คงจะหอบเลยทีเดียว เมื่อมาถึง ปรากฏว่าคณะของเรามี ๒๑ คน แต่ทางเอเย่นต์ส่งเอารถบัส ๕๐ ที่นั่งมาให้ แถมยังมีการมอบพวงมาลัยดอกดาวเรืองพร้อมกับน้ำดื่มให้อีกด้วย หลังจากนั้นก็วิ่งตรงไปยังภัตตาคารอาหารจีน ผ่านพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งมีแต่การล้อมรั้วก่อสร้างกันขนานใหญ่ ไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิด "บูม" อะไรขึ้นมา ทางด้านประเทศอินเดียระยะนี้ ถึงได้ก่อสร้างกันจนแทบจะไม่มีที่ให้รถวิ่งเลย..! เมื่อไปถึงโรงแรม Lemon Tree หรือว่าโรงแรมต้นมะนาว ซึ่งจองร้านอาหารเอาไว้ที่นี่ ต้องผ่านการตรวจเข้ม ทั้งตรวจค้นที่ตัวและตรวจที่กระเป๋า เมื่อเข้าไปถึงทางด้านในที่เป็นห้องอาหาร คุณสุมิตรซึ่งเป็นเอเย่นต์ทางด้านนี้ก็มากราบแสดงตัว พร้อมกับนำเอาใบฝรั่งมาให้ ซึ่งใบฝรั่งนั้น ท่านอาจารย์บ๊ะ (พระอาจารย์ศิริชัย ชยธมฺโม) ซึ่งเป็นแพทย์แผนโบราณชั้นยอดแนะนำว่า ถ้าเราเคี้ยวใบฝรั่งแล้วกลืนลงไป จะช่วยเพิ่มออกซิเจนในเลือดของเราเป็นอย่างดียิ่ง ทำให้ไม่เป็นโรคแพ้ที่สูงง่าย ๆ กระผม/อาตมภาพจึงได้ขอให้ทางเอ็นซีทัวร์บอกเอเย่นต์ทางนี้ช่วยหาให้ด้วย เพราะว่าถ้าเอามาจากบ้านเรา ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะสามารถผ่านด่าน ตม.ได้หรือเปล่า ? เมื่อรับถวายใบฝรั่งมาเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็รับน้ำชาร้อนมา ๑ แก้ว และฉันไปแค่นั้น ขณะที่ทุกคนได้กินมื้อกลางวันเวลาประมาณบ่ายโมงครึ่งของอินเดีย ก็ตกราว ๆ บ่ายสามโมงของบ้านเรา..! |
เมื่อเสร็จสรรพเรียบร้อยก็ขึ้นรถ วิ่งตรงไปยังสถานที่เที่ยว ซึ่งเป็นสถานที่สร้างใหม่ แต่ว่างดงามเหลือใจก็คือวิหารใหญ่ ที่ชื่อว่าสวามีนารายัณ อักษรธรรม (Swsminrayan Akshrdham) ซึ่งถ้าหากว่าแปลเป็นภาษาไทย คำว่า Akshrdham นั้นแปลว่าอักษรแห่งธรรม ซึ่งพวกเราต้องเดินทางเป็นระยะทางที่ค่อนข้างไกลมาก และรถราก็ติดมาก
เมื่อไปถึงแล้ว ทางด้านคุณโชคที่เป็นไกด์ของที่นี่แนะนำว่า ไม่ต้องเอาอะไรลงไปเลย เพราะว่ามีการตรวจตราที่เข้มงวดมาก กระผม/อาตมภาพเองก็ปลดอาวุธทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียวคือกระเป๋าจิงโจ้ใส่สตางค์ที่เอว แล้วก็เดินตามกันเข้าไป ปรากฏว่ามีผู้คนเข้ามาเที่ยวกันมากมายมหาศาล ทำให้แถวยาวมาก และการตรวจก็เข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง ต้องค่อย ๆ เคลื่อนตามกันไป จนเมื่อถึงกระผม/อาตมภาพแล้ว ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่คลำตัวอีกรอบ ทั้ง ๆ ที่เดินผ่านเครื่องแล้วไม่มีเสียงดัง มาเจอกระเป๋าจิงโจ้ ถามว่าอะไร กระผมตอบว่า "รูปิยะ (เงิน)" อีกฝ่ายหนึ่งก็พยักหน้าให้ผ่านไป ทั้งที่เป็นคนอื่นแล้ว จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปลดออกให้เขาดู เรื่องนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่าใครแอบอำนวยความสะดวกให้ ? แต่เมื่อเข้าไปถึงข้างในแล้ว ปรากฏว่ารอแล้วรออีก ทางคณะมีหายไป ก็คือทิดแจ็ค ๑ คน แล้วก็คุณกอล์ฟ (นางสาวศริณยา จันทรนิภาพงศ์) พร้อมกับน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) มารู้ทีหลังว่าน้องเล็กนั้นมีหูฟังบลูทูธติดหูเข้าไปด้วย อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยอมให้ผ่าน จึงต้องเดินออกไปยังสถานที่จอดรถซึ่งอยู่ไกลมาก เพื่อเอาไปเก็บไว้ที่รถ เดินไปครั้งแรกก็หารถไม่เจอ เดินไปครั้งที่สองถึงได้เจอรถแล้วเอาหูฟังฝากไว้ จึงเข้ามาช้ามาก ทำให้คุณเอบอกกับคุณโชคหัวหน้าไกด์ว่า ให้พาพวกเราเข้าไปชมวิหาร ซึ่งเขาใช้คำว่า Mandir (มัณฑิระ) ซึ่งแปลเป็นไทยง่าย ๆ ว่ามณเฑียร ก็คืออาคารหลังมหึมา ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นวิหารบูชาท่านสวามีนารายัณนั่นเอง ทางด้านนอกนั้นเป็นหินทรายแดงแกะสลัก แต่ด้านในเป็นหินอ่อนแกะสลักลายละเอียดยิบ มีทั้งดุนนูนสูง ดุนนูนต่ำ มีรูปเทพเจ้าและรูปสวามีนารายัณอยู่ข้างในให้สักการบูชาด้วย |
ทางด้านทิดเฟิร์ส (นายบัณฑิต เอี่ยมตระกูล) ถามว่า ถ้าพระไหว้สวามีนารายัณจะถือว่าขาดจากสรณคมณ์หรือไม่ ? กระผม/อาตมภาพกล่าวว่า ถ้าหากว่านับกันแล้ว ท่านก็เป็นฆราวาส แม้ว่าจะเป็นนักบวชของศาสนาอื่นก็ตาม ดังนั้น..พระสงฆ์เราแค่น้อมจิตแสดงความเคารพต่อท่านก็พอ แต่ฆราวาสไม่มีข้อห้าม กราบไดเ้กราบ ไหว้ได้ไหว้ไปเลย..!
เมื่อเดินชมภายใน ซึ่งงดงามอลังการและละเอียดยิบ แม้ว่าเป็นของสร้างใหม่แต่ก็สมศักดิ์ศรีเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าสามารถเก็บเอาศิลปวัฒนธรรมฮินดูมารวมกันได้ครบถ้วนสมบูรณ์ เมื่อพวกเราออกมารับรองเท้าคืนจากทางด้านนอก ก็เจอคุณเอพาน้องเล็กเข้ามา ปรากฏว่าพวกเราจะต้องซื้อตั๋วเข้าไปชมห้องประวัติต่าง ๆ โดยที่ทางด้านคุณโชคทำหน้าที่ซื้อให้ แล้วพวกเราก็เข้าไปชมภาพ แสง สี เสียงประกอบภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นหุ่นคน ทำให้เห็นแล้วต้องมาคิดว่า "เขาทำได้ดีขนาดนี้ ทางด้านพิพิธภัณฑ์วัดท่าขนุนของเราจะสู้เขาได้หรือไม่ ?" เพียงแต่ว่าเมื่อชมไปแล้วได้ ๒ ส่วน ยังเหลือตั๋วเข้าชมอีก ๓ ใบ ซึ่งมีการแสดงน้ำพุเต้นระบำด้วย แต่เวลาของเราไม่มีแล้ว จึงต้องสละตั๋ว ๓ ใบทิ้งไปเลย กลับมาขึ้นรถ ฝ่าการจราจรติดขัด กว่าที่จะไปถึงสถานที่พัก ก็คือโรงแรม ITC Hotel ปรากฏว่าเป็นเวลาสามทุ่มครึ่งของบ้านเราแล้ว..! หลังจากสรงน้ำสรงท่าเรียบร้อย กระผม/อาตมภาพจึงได้มาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน ก็ได้แต่หวังว่ารายละเอียดจะไม่ตกหล่นไปไหนมากมายนัก เนื่องเพราะว่าพรุ่งนี้ยังต้องตื่นแต่เช้า เพื่อเตรียมขึ้นเครื่องต่อไปยังเมืองแคชเมียร์ ซึ่งในขณะนี้ก็ถือว่าเป็นเวลาดึกมาก ๆ แล้ว ถ้าเป็นบ้านเราก็ตกประมาณสี่ทุ่มครึ่งเข้าไปแล้ว วันนี้จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้ พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๖ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย) |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:17 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.