กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เรื่องธรรมะ และการปฏิบัติ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=20)
-   -   เล่าสู่กันฟัง ภาค ๒ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=481)

เถรี 21-05-2009 20:05

เล่าสู่กันฟัง ภาค ๒
 
วันก่อนนางมารร้ายถามปัญหาพระอาจารย์ว่า "ระหว่างความมั่นใจในอานุภาพพระรัตนตรัย กับความประมาท อารมณ์พอดีอยู่ที่ตรงไหน ?"

พระอาจารย์เมตตาตอบว่า "เราต้องมั่นใจในพระรัตนตรัยร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็ต้องไม่ประมาท คืออย่าไปลองเล่น อันนี้ไม่ค่อยดี แล้วถ้ารู้สึกว่ากำลังใจตกวูบ (เหมือนใจหาย..เหมือนตกจากที่สูง) นั่นไม่ต้องลองเลย แย่แน่ ๆ ให้หาทางหลบมาดีกว่า กำลังใจวูบนี่อาจจะเป็นเพราะกฎของกรรมก็ได้"

อย่างของท่านตอนที่โดนงูกัดเข้าชีพจรนี่ กำลังใจท่านก็เป็นปกติ พอเกิดเรื่องก็ยังสงสัยอยู่ว่าจะต้องมีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับตัวเองแน่ ๆ ไม่ใช่ที่ยันต์เกราะเพชร ก็ไปค้นดูถึงรู้ว่าเป็นวันมรณะท่านพอดี ( แต่จะอย่างไรก็แค่เอาทิงเจอร์ราด เอาพลาสเตอร์แปะเท่านั้นเอง..!)

เถรี 21-05-2009 20:11

มีอยู่ครั้งหนึ่ง นางมารร้ายสงสัยเรื่องปัญญาว่า "สมาธิทำให้เกิดปัญญา ถ้าเช่นนั้นคนที่ได้ฌานสูงกว่า ก็ต้องมีปัญญามากกว่าคนที่ได้ฌานระดับต่ำกว่าเสมอไปหรือไม่ ?"

ท่านอาจารย์เมตตาอธิบายว่า "ปัญญามีอยู่ ๓ ชนิด หนึ่งคือสหชาติกปัญญา เป็นปัญญาที่สั่งสมมาแต่ปางก่อน (พวกที่มีพรสวรรค์ในเรื่องต่าง ๆ) สองคือปาริหาริกปัญญา ปัญญาที่เกิดจากการเรียนรู้เพิ่มเติมภายหลัง ถ้าไม่มีของเก่ามา คนเรียนก็ย่อมรู้มากกว่าคนไม่เรียน สามคือเนปักกปัญญา ปัญญาในการตัดกิเลส ถ้าอย่างนี้ละก็ ปัญญาของพระโสดาบันที่ได้ฌานหนึ่ง ย่อมเหนือกว่าปัญญาของฌานสี่ที่เป็นฌานโลกีย์อย่างไม่เห็นฝุ่นอยู่แล้ว"

เถรี 21-05-2009 20:14

อีกคำถามหนึ่งที่ถามไปคือ เห็นคนนิยมนั่งสมาธิกันมากขึ้น แม้แต่คนศาสนาอื่นก็เจริญภาวนาสวดมนต์กันมาก เลยถามท่านว่า "ถ้าทำสมาธิ แต่ปราศจากศีลจะมีผลอย่างไร ?"

ท่านบอกว่า "สมาธิจะไม่ทรงตัว เพราะไม่มีศีลเป็นพื้นฐานมารองรับ แต่อย่าลืมว่าพวกทำไสยศาสตร์นี่ ขณะที่กำลังทำ เขาก็ไม่ได้ทำผิดศีลนะ"

นางมารร้ายเลยถึงบางอ้อ มิน่า..พวกได้ฌานโลกีย์ถึงเสื่อมกันได้ เพราะไม่มีพื้นฐานศีลที่มั่นคงมารองรับนี่เอง เมื่อสมาธิไม่คงตัว ปัญญาก็มีบ้างไม่มีบ้างเป็นธรรมดา

เถรี 21-05-2009 20:17

พระอาจารย์มีความเชื่อว่า สถิติมีไว้ทำลาย ดังนั้น..หลักการหรือทฤษฎีไม่ว่าจะทางวิทยาศาสตร์หรือพุทธศาสตร์ ก็ต้องมีไว้ทำลาย
ไม่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าท่านคงไม่สามารถที่จะก้าวล่วงไปได้้
พระอรหันต์มากต่อมากคงไม่สามารถที่จะก้าวล่วงไปได้เช่นกัน

ถึงโลกจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปขนาดไหนก็ตาม
กิเลสของคน คือ รัก โลภ โกรธ หลง ก็ยังเหมือนเดิม ในเมื่อเหมือนเดิม เราก็สามารถที่จะแก้ไขได้ด้วยวิธีเดิม ๆ ซึ่งครูบาอาจารย์ทั้งหลายต่างก้าวพ้นไปแล้วก็ด้วยวิธีนี้...

ตัวแสบจำเป็น 22-05-2009 09:26

ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว เล่าบ้างก็ได้
เมื่อเช้าได้ยินมาแว่ว ๆ ว่า หลวงพี่เอกบอกว่า
เมตตาคือบ้ากาม** บ้ากามมาก ๆ เขาเรียกว่าหื่น

ตอนนั้นท่านกำลังสอนลูกน้อง (ก็ท่านไม่มีลูกศิษย์) ทโมน ๆ
ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ท่าน เห็นคุย ๆ กันว่า ที่ไปจีบสาว เพราะว่ามีเมตตา

เฮ้อ.. คนเรา อยู่ดีไม่ว่าดี หาเรื่องให้ท่านด่า :onion_eiei:

หมายเหตุ ตรงข้อความที่ว่า "เมตตาคือบ้ากาม" นั้น เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล
โปรดอย่าจำไปใช้ ถ้าท่านไม่ได้เป็น!! เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

เถรี 22-05-2009 12:07

พระอาจารย์ปรารภว่า พระรัตนตรัยมีคุณอนันต์ก็มีโทษมหันต์ ขึ้นอยู่กับเราว่าจะสัมผัสถูกต้องไปในทางไหน อย่าใช้ความเป็นกันเองกับพระรัตนตรัย เช่น นางขุตชุตรา ใช้เพื่อนที่เป็นพระอรหันต์หยิบของให้ เลยต้องเกิดเป็นคนใช้เขา ๕๐๐ ชาติ

มีคนมาปรึกษาเรื่องสร้างพระ ท่านบอกว่าคนเราชอบคิดเอาแต่ได้ หารู้ไม่การสร้างพระ ถ้าไม่ขออนุญาต ก็มีโทษเหมือนกัน
ตัวอย่างสมัยท่านสร้างพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่านบวงสรวงขออนุญาตอย่างเป็นทางการ ว่าจะสร้างแบบไหน ขนาดหน้าตักเท่าไร แต่มีคนหนึ่งอยากได้หน้าตักใหญ่กว่านั้น ก็ไปบอกช่างให้สร้างองค์ใหญ่ให้ด้วย...ปรากฏว่าเททองเท่าไรก็ไม่สำเร็จ ร้อนถึงพระอาจารย์ต้องทำการขอขมาและขออนุญาตให้ จึงเททองครั้งเดียวสำเร็จ

พระอาจารย์ว่า ตัวท่านเองยังไม่เคยคิดจะสร้างสมเด็จองค์ปฐมเลย ทำไมบางคนชอบสร้างกันนัก เช่น อัดรูปสมเด็จองค์ปฐมมาเข้าพิธีให้แจก ท่านเคยถามพวกนั้นว่า "สมเด็จองค์ปฐมเป็นเพื่อนคุณหรือ ? ถึงนึกอยากจะทำก็ทำ เคยขออนุญาตท่านไหม ?"

แล้วเรื่องเกี่ยวกับสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าองค์อื่น ท่านยังไม่บังอาจเลย ต้องเป็นท่านเองมาปลุกเสกเองเท่านั้น พวกนั้นก็เท่ากับว่ามีโทษใช้สมเด็จองค์ปฐม เคยคิดถึงโทษตรงนี้ไหมว่ามหาศาลขนาดไหน..?

เถรี 22-05-2009 12:07

เคยได้ยินพระอาจารย์บอกว่า พระอรหันต์เหมือนกับไฟฟ้าแรงสูง แตะต้องไม่เป็นก็อันตรายเมื่อนั้น

เถรี 22-05-2009 12:08

พระอาจารย์ท่านว่า "..คำว่าบังเอิญ ไม่มีในพระพุทธศาสนานี้ ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ทั้งกุศลกรรมและอกุศลกรรม.."

เถรี 22-05-2009 12:13

พระอาจารย์เคยอธิบายความหมายของคำว่า "พรหมจรรย์" ดังนี้

พรหม = ผู้ประเสริฐ , ผู้เป็นใหญ่ ในที่นี้หมายถึง พรหมที่เป็นเทวดาจำพวกหนึ่ง(อุปัตติเทพ)

จรรย์ = ความประพฤติ , แบบอย่าง

พรหมจรรย์ ในความหมายตามศัพท์ คือ ประพฤติอย่างพรหม พรหมอยู่เป็นสุขด้วยอำนาจของฌานสมาบัติ

การประพฤติอย่างพรหม คือ การอยู่กับตนเองในสมาธิ

การอยู่กับสมาธิคือ การอยู่คนเดียว

พรหมจรรย์จึงมีความหมายว่า อยู่คนเดียว อยู่เป็นโสด ไร้คู่ครอง ฯลฯ

เถรี 22-05-2009 12:26

ในเรื่องของรูปครูบาอาจารย์ต่าง ๆ บางทีมีการตกแต่งเพิ่มเติม เพราะเขาคิดว่าจะทำให้ท่านแลดูน่าเชื่อถือ อย่างของหลวงปู่ปานก็มีการเติมหนวดให้

พระอาจารย์ท่านบอกว่า รูปหลวงปู่ปานบางรูปผ่านการตกแต่งฟิล์มโดยช่างในยุคนั้น ซึ่งเขาแต่งตามที่เขาชอบใจ บางรูปนอกจากมีหนวดมีเคราแล้ว ยังมีป้ายชื่อแขวนคอด้วย..!

พระอาจารย์ท่านบอกว่า หลวงปู่ฤๅษีเคยปรารภว่า รูปครูบาอาจารย์นั้น ควรจะเป็นรูปที่ดูดีที่สุด เพื่อที่ศิษย์จะได้จับเป็นอนุสติ ไม่ใช่รูปอีเหละเขละขละอะไรก็ได้

พระอาจารย์ท่านว่า " แม้แต่รูปหลวงพ่อ(หลวงปู่ฤๅษี)นั่งเก้าอี้ ที่เขานิยมกันนัก เพราะเป็นรูปสุดท้ายที่ถ่ายตอนท่านยังมีชีวิตอยู่ อาตมาเห็นแล้วยังไม่สบายใจเลย เพราะท่านกำลังป่วยหนักมาก ขนาดบวมไปทั้งองค์ "

ไม่ใช่แต่หลวงปู่ปาน ยังมีหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก หลวงปู่จาด วัดบางกระเบา หลวงปู่ดิ่ง วัดบางวัว หลวงปู่โด่ วัดนามะตูม ฯลฯ ก็ถูกช่างคนนี้ตกแต่งตามใจชอบ ใส่หนวดใส่เคราให้ทุกองค์ไป

" เขาคงเห็นขลังว่าพระปฏิบัติต้องไม่มีเวลาดูแลตัวเอง หลวงพ่อบอกว่า ตั้งแต่อยู่กับหลวงปู่ปานมา ยังไม่เคยเห็นหลวงปู่ไว้หนวดเลยสักครั้ง "

เถรี 22-05-2009 12:42

เรื่องแก้วจักรพรรดินั้น พระอาจารย์เคยพูดย้ำเสมอ ๆ ว่า พระเณรควรจะมีติดตัวไว้ เมื่อถึงเวลาจะได้เป็นที่พึ่งแก่คนเขาได้

แก้วจักรพรรดิองค์ต้นที่รับมาจากหลวงปู่ชุ่ม โพธิโก วัดวังมุยนั้น เป็นของพระเจ้าจักรพรรดิ เลี้ยงคนได้ ๔ โลก คือ อุตรกุรุทวีป อมรโคยานทวีป ชมพูทวีป ปุพพวิเทหทวีป แล้วแก้วจักรพรรดิของหลวงพ่อมีอานุภาพ ๙๐ % ขององค์เดิม ถึงแม้ว่าจะเลี้ยงคนไม่ถึง ๔ โลกก็ตามแต่ก็ใกล้เคียง

เรียนถามพระอาจารย์ว่าเวลาท่านอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลท่านทำอย่างไร พระอาจารย์ท่านบอกว่า "ขอพระท่านว่า ขอให้มีอานุภาพเหมือนของหลวงพ่อวัดท่าซุงทุกประการ"

เถรี 22-05-2009 12:48

พระอาจารย์เคยบอกว่า ท่านอาราธนายันต์ทำน้ำมนต์เผื่อพวกเราทุกวัน ใครที่ป่วยก็ตั้งใจระลึกถึงท่านให้ดี มีเครื่องส่งดีแล้วแต่ก็ต้องเปิดเครื่องรับด้วยค่ะ ถึงจะได้รับผล

เถรี 22-05-2009 12:51

พี่นางมารร้ายเคยถามพระอาจารย์ว่า "พระอาจารย์สมปองเป็นเป้าของใครต่อใครหลายคน ทำไมพระอาจารย์ต้องเอาตัวเข้าไปเป็นเป้าร่วมด้วย "

พระอาจารย์ตอบว่า "..คนอย่างข้า ใจคิดอะไรก็ทำอย่างนั้น ใครสนใจจริยาคนอื่น ไม่ปรับปรุงใจตัวเองก็ช่างศีรษะมารดามันซิ..! ดูเพื่อนต้องดูยามมีภัย ร่วมสุขไม่ร่วมทุกข์ถือเป็นว่าคนที่ใช้ไม่ได้..!"

เถรี 22-05-2009 12:54

การเป็นร่างทรงนั้นพระอาจารย์ท่านว่าต้องเคยมีกรรมเก่าเนื่องกันมา ไม่อย่างนั้นเขาจะทรงไม่ได้เลย แต่ถึงมีกรรมเก่าเนื่องกันมา
ถ้าเราไม่ยอมจริง ๆ เขาก็ทำอะไรเราไม่ได้ นอกจากกลั่นแกล้งให้ลำบากเดือดร้อนเท่านั้น ให้ต่อรองกับเขาด้วยหัวข้อดังนี้

๑. ถ้าต้องการใช้เราจนไม่มีเวลาทำมาหากิน ต้องทำให้เรารวยก่อน
๒. อย่าให้ต้องแสดงอาการอะไรแปลก ๆ จนเราหรือญาติพี่น้องต้องอายคนอื่นเขา
๓. ถ้ารับปากช่วยเหลือใครไป ต้องมีผลตามที่รับปากทุกอย่าง

ถ้านอกเหนือจากนี้อย่ายอม ยิ่งมากันมาก ๆ มั่วไปหมด เดี๋ยวจะเพี้ยนเข้ารกเข้าพงกันไปใหญ่

การเป่ายันต์เกราะเพชรช่วยไล่ได้เฉพาะพวกผีที่เกาะมาเท่านั้น บรรดาร่างทรงถ้าตอนนั้นไม่ได้ทรงอยู่ก็ไล่เขาไม่ได้ ขอให้ทำใจให้เข้มแข็ง พยายามทรงสมาธิให้ได้ ถ้าสมาธิทรงตัว เราจะมีกำลังเท่ากับพรหมชั้นที่ ๑ เป็นอย่างน้อย ถ้าอย่างนั้นพวกที่มาต่ำกว่านั้นเขาจะกวนเราไม่ได้อีกเลยค่ะ

เถรี 22-05-2009 13:13

ในงานสมโภชพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่วัดเขาวง
หลวงตาพอเจอหน้าพระอาจารย์ท่านดีใจยิ่งกว่าได้แก้ว โดดกอดพระอาจารย์เลย ประโยคแรกที่หลวงตาทักก็คือ "เฮ้ย..เล็ก..ค่าตัวแพงมากหรือวะ ? ถึงไม่มีใครเอาตัวไปงานเขาได้ ขอบใจจริง ๆ ว่ะที่มา..คิดถึงฉิ..หา..เลย..!"

ส่วนใครที่ไปงานวันนั้นจะเห็นได้ว่า พระอาจารย์มีเครดิตในสายตาของหลวงตาขนาดไหน พี่ ๆ มากันเป็นกระตั้ก หลวงตากราบเท้าขอหลวงพ่อสมเด็จจุดเทียนชัย และกำหนดให้พระอาจารย์จุดเทียนสัตตบริภัณฑ์ในพิธีพุทธาภิเษก เขาเรียกว่าพี่น้องย่อมรู้มือกันดีว่าใครมีความสามารถแค่ไหน..!

เถรี 22-05-2009 14:44

ในเรื่องการรับยันต์เกราะเพชร มีคนถามพระอาจารย์หลายรายว่า "รับยันต์เกราะเพชรแล้ว ทำอย่างไรจะมั่นใจว่าได้แน่ ๆ"

พระอาจารย์บอกว่า "ทดสอบได้ ๒ วิธี วิธีแรกเอางูจงอางมา ๑ ตัว ให้งูกัดแล้วนั่งรอสักชั่วโมง ถ้าไม่ตายแปลว่าได้รับยันต์แล้วแน่ ๆ วิธีที่ ๒ โดดให้สิบแปดล้อทับ ถ้ารอดก็แปลว่าได้รับยันต์แล้ว"

เถรี 22-05-2009 15:00

หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า เวลาแกะซองแล้วนับเงินกัน เงินนั้นก็เก็บใส่กองไป ส่วนซองก็ฉีกใส่ถังขยะไป มีบางทีที่คนนับเผลอคุยกัน คุยไปคุยมาดันเอาเงินใส่ในถังขยะแทน

แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่า ตอนสมัยที่ยังอยู่รับใช้หลวงพ่อวัดท่าซุงที่บ้านสายลม พอกลับมาถึงวัด หลวงพ่อก็จะหอบซองทำบุญที่เขาแกะแล้วมาเป็นกองใหญ่ ๆ แล้วบอกให้เอาซองไปตรวจสอบใหม่ หลวงพ่อเล็กเราก็ตรวจซองนั้น ปรากฏว่าแต่ละงวดได้เงิน ๗,๐๐๐-๘,๐๐๐ บาท ท่านก็เลยรู้ว่าทำไมหลวงพ่อท่านถึงได้ให้ตรวจซองอีกครั้งหนึ่ง

ตัวแสบจำเป็น 22-05-2009 15:52

มีอยู่วันหนึ่ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ (ประมาณต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๕๒)
เมื่อพวกเรานั่งเฝ้าหลวงพี่เอกกันที่บ้านมิ่ง (อันที่จริง น่าจะบอกว่า
เรานั่งฟังเทศน์ แต่บังเอิญว่า ตอนนั้นท่านยังไม่ได้เทศน์ :154218d4:)

จู่ ๆ หลวงพี่เอกก็บอกว่า "มีคนว่าเราปล้นว่ะ"

ญาติโยมก็หูผึ่ง ถามหลวงพี่ว่า "จริงหรือเจ้าคะ? "

หลวงพี่ก็อธิบายว่า "ก็ในกระเป๋ามีเงินอยู่ ๓,๐๐๐ บาท
ถวายเงินทำบุญแค่ ๒๐๐ บาท หนี้ก็ไม่มี อะไรก็ไม่ต้องใช้
จะเก็บเงินไปซื้อเครื่องสำอาง เราก็ปล้นมันนะสิ"

นั่น.. เท่ได้อีก หลวงพี่ขา... :baa60776:

หมายเหตุ วิธีปล้นของหลวงพี่เอกมีอย่างไรบ้าง กรุณาไปถามมิ่งได้ อิอิ
(ล่อให้มิ่งโพสต์ เผื่อจะได้ใบเหลือง ๆ แดง ๆ เพิ่มยอดอีกสักใบ ๒ ใบ)

เถรี 22-05-2009 15:55

หลวงพ่อเล็กบอกว่า อ่านข่าวเจอที่เขาบอกว่า มส. (มหาเถรสมาคม) พลิกวิกฤตเป็นโอกาส ดึงคนตกงานมาบวช สงสัยคราวนี้พระเต็มวัดแน่เลย

หลวงพ่อบอกว่า "อันที่จริงแล้ว ไม่ต้องดึง ถ้าเขามีศรัทธาเขามาเอง อย่างที่หลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศบอกว่า ที่ไหนที่ชาวบ้านเขาพึ่งรัฐบาลไม่ได้ เขาก็จะมาพึ่งพระ"

เถรี 22-05-2009 16:00

ปัจจุบันนี้มีคำพูดที่ว่า "อยากรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ให้ไปถามพระ อยากรู้เรื่องธรรมะให้ไปถามโยม" ก็คือให้ไปถามฆราวาสแทนที่จะไปถามพระ แสดงให้เห็นว่าแม้กระทั่งศาสนาก็เปลี่ยนไปเยอะ

ทีนี้พี่ท้ายแถวเลยถามเกี่ยวกับเรื่องดังตฤณ หลวงพ่อก็บอกว่า "ของเขามีข้อดีตรงที่ว่า เขาทำของยากให้ง่ายลงได้ในระดับหนึ่ง ทำให้คนสนใจได้ในระดับหนึ่ง หนุ่ม ๆ แทนที่จะไปหัวหกก้นขวิดกับทางโลก แต่กลับมายืนต้านกระแสโลก ก็เรียกศรัทธาได้ในระดับหนึ่งแล้ว"

เถรีจำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีคนเอาหนังสือของดังตฤณมาถวายหลวงพ่อเล็ก แล้วเขาก็ชมว่าดังตฤณเก่ง หลวงพ่อเล็กหันมาบอกกับเถรีว่า "กุ๋ย..จำเอาไว้นะ ฆราวาสที่เก่งจริงอยู่ได้ไม่เกิน ๗ วันก็ตายแล้ว..!"

เถรี 22-05-2009 16:59

หลวงพ่อเทศน์สอนพระที่วัดท่าขนุนว่า "การที่ทุกท่านพยายามตั้งมั่นอยู่ในความดี ไม่ใช่เป็นการทำเพื่อตัวเองอย่างเดียว แต่เป็นการทำเพื่อรักษาเกียรติคุณของครูบาอาจารย์ อันมีหลวงปู่สายเป็นต้น และเป็นการทำเพื่อวัด เพราะเมื่อคนเห็นว่าพระเราดี วัดเราดี เขาก็แห่กันมาทำบุญอย่างที่เห็น

วัดอื่นมีเยอะแยะทำไมเขาไม่ไป ถามตัวคุณเองสิว่า วัดอื่นมีเยอะแยะทำไมไม่ไปบวช ทำไมมาเลือกวัดท่าขนุนนี้ และท้ายสุดการรักษาความดีเป็นการช่วยพระพุทธศาสนาด้วย เมื่อคนหันมาพึ่งพระพึ่งวัดแล้วดีมีความสุข เขาก็จะพากันมามากขึ้น ๆ เข้าถึงความดีกันมากขึ้น ๆ ทั้งพระพุทธศาสนาและประเทศชาติก็จะเจริญขึ้น"

เถรี 22-05-2009 22:57

http://www.khonkaenlink.info/share/t...=3C1C_4A16C8F5

เถรีชอบภาพนี้เป็นพิเศษค่ะ ในรูปพระที่นั่งคือครูบาเหนือชัย โฆษิโต สำนักถ้ำป่าอาชาทอง จ.เชียงราย (พระที่บิณฑบาตด้วยการขี่ม้าข้ามเขา)
ถ้าจำไม่ผิดในรูปคือ พระอาจารย์ท่านได้ถวายมีดหมอให้แก่ครูบา

พระอาจารย์เคยพูดถึงครูบาเหนือชัยว่า ครูบาเหนือชัยท่านบวชมาเพื่อปฏิบัติ แต่ทำไปทำมาไม่ก้าวหน้า ท่านเลยตัดสินใจว่า นั่งสมาธิให้มันตายไปเลยดีกว่า..! คนตัดอาลัยในร่างกายได้ มักจะมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้น พอถึงวันที่ ๗ หลวงพ่อฤๅษีก็มาชี้แนะหนทางการปฏิบัติให้ ต่อมาหลวงพ่อสดวัดปากน้ำก็มาสอนในสมาธิอีก"

เพราะฉะนั้นพระระดับนี้เรื่องการทรงความดีไม่ต้องพูดถึง

ครูบาเหนือชัยเคยขอให้พระอาจารย์ " จับ " ประคำประจำตัวให้ เนื่องจากประคำเส้นนี้ทำจากแก่นมะขาม เคยมีผู้ไม่เกรงใจขอไปหลายครั้ง แต่ต้องเอามาคืนทุกครั้ง..! ส่วนจะด้วยเหตุผลใดที่เขาต้องเอามาคืนก็ต้องไปถามพระอาจารย์เอาเองค่ะ อิอิอิ

เถรี 23-05-2009 00:19

หลวงพ่อบอกว่า "..ถ้าเราพึ่งตัวเองได้เมื่อไร จึงจะมีที่พึ่งที่แท้จริง.."

เถรี 23-05-2009 00:20

หลวงพ่อบอกว่า การอ่านธรรมะมันแค่ศึกษาทฤษฎีเท่านั้น เป็นแค่การ "จำได้" เรียกอีกอย่างว่า"สัญญา"
ต้องเอามาปรับใช้งานได้กับทุกสถานการณ์ ถึงจะเรียกว่า "ทำได้" ถ้าอย่างนั้นถึงจะเป็น "ปัญญา"

เถรี 23-05-2009 00:24

ครั้งก่อนท่านอาจารย์เมตตาแย้มให้ฟังถึงอานิสงส์จากการบำเพ็ญเพื่อพุทธภูมิ ช่วงหนึ่งครั้งท่านยังอยู่วัดท่าซุง
คนมาหาจนล้นหลาม ท่านอาจารย์เห็นท่าไม่ดี ขอฝากไปกับพระโพธิสัตว์ใหญ่ท่านหนึ่ง ปรากฏหายเรียบเลย

ส่วนที่ยังเกาะอยู่แถวนี้ กราบเรียนถามว่าหวงเอาไว้หรือเปล่า ท่านตอบว่า "มันหน้าด้าน ไล่เท่าไรไม่ยอมไป !!"

เถรี 23-05-2009 00:27

แต่บางรายก็แห่กันมาแต่เช้า ทั้ง ๆ ที่บ้านอนุสาวรีย์เปิดตอนแปดโมงเช้า ด้วยคิดว่าการได้กวนพระก่อนเวลานี่เป็นความสุขของเขา พอเขากลับกันไปท่านก็หันมาเปรย ๆ ว่า "ข้าจะตายเร็วก็เพราะอย่างนี้แหละ..!"

เถรี 23-05-2009 00:31

เดี๋ยว...ยังมีอีก พวกที่ชอบมาตอนจวนจะสามทุ่มเรียกว่าไม่มืด..ออกจากบ้านไม่เป็น (พระอาจารย์ท่านว่า..พวกชอบออกพร้อมผี.. !) แล้วพยายามลากจะให้ท่านอยู่เลยสามทุ่มให้ได้ บางทีท่านไล่แล้วไล่อีกก็ทำเป็นไม่เข้าใจ ไม่ยอมกลับ พวกนี้ยังไม่รู้หรือรู้แต่แกล้งโง่ว่า ..

คนที่นั่งมาตั้งแต่เจ็ดโมงเช้านั้น ตอนใกล้สามทุ่มพร้อมจะพับลงไปได้ตลอดเวลา ท่านว่าบางทีแรงจะนั่งยังไม่มี มันยังเซ้าซี้ถามนั่นถามนี่อยู่ได้ พออ้าปากตอบมัน ตัวก็จะพับลงไป..! หากตัวเองเจอแบบนี้วันไหนจะรู้สึก..!

สังเกตว่า เวลาพระอาจารย์ไปกราบพระผู้ใหญ่ ท่านจะรีบเข้ารีบออก จนบางทีเหมือนกับเสียมารยาทท่านบอกว่า กลัวกรรมตามสนอง..!

เถรี 23-05-2009 23:04

พระอาจารย์ท่านเตือนพระว่า "อย่าคิดว่าเป็นพระแล้วมารจะแทรกไม่ได้ ขนาดพรหมยังโดนมารแทรกได้เลย

..ดูอย่างตอนที่พระพุทธเจ้าเทศน์ให้ท้าวผกาพรหมฟังนั่นปะไร ท้าวผกาพรหมท่านมีบุญมาก ตายจากพรหมก็เกิดเป็นพรหมต่อหลายครั้งเข้าจนท่านคิดว่าท่านเป็นอมตะ พอพระพุทธเจ้าเทศน์ให้ฟังว่าการเป็นพรหมนั้นไม่เที่ยง ยังมีการแตกดับ ก็ยังอุตส่าห์มีพรหมองค์หนึ่งลุกขึ้นมาเถียงพระพุทธเจ้าว่าไม่จริง ผกาพรหมนั่นแหละเลิศสุดแล้ว

ท่านยังยกตัวอย่างพระองค์หนึ่งในวัดท่าขนุน ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นที่รักของคนทั่วไป ถึงคราวกรรมเข้า วันนั้นอาจจะเพราะศีลพร่องไปหน่อยด้วย มารเข้าสิงใจ ท่านน้อยใจที่โดนเพื่อนในวัดต่อว่า เลยไปผูกคอตาย

ฉะนั้น ขอให้ทุกท่านพยายามระมัดระวังสติให้ดี รักษาศีลให้ครบถ้วน เพื่อจะช่วยป้องกันไม่ให้พวกมารเข้าแทรกใจ"

เถรี 23-05-2009 23:06

พระอาจารย์ท่านสารพัดจะสรรหากีฬาสมาธิมาให้ลูกศิษย์เปลี่ยนบรรยากาศอยู่เสมอ ถ้าใครมาฝึกกรรมฐานที่บ้านอนุสาวรีย์คงจะทราบดี ที่เด็ดกว่านั้น..ขนาดเครื่องปั่นจักรยานท่านยังใช้ฝึกสมาธิได้เลยค่ะ

เรื่องมีอยู่ว่า มีลูกศิษย์ถวายเครื่องปั่นจักรยานมาให้ท่านออกกำลัง เนื่องจากหมู่นี้ท่านเรียนหนักจนไม่มีเวลาเดินธุดงค์ ท่านเมตตาเล่าให้นางมารร้ายกับพริกขี้หนูฟังว่า ท่านปั่นยังไงหัวใจก็เต้นช้า เพราะสภาวะที่ทรงฌานอยู่เป็นปกติ อ้าว! แล้วร่างกายจะแข็งแรงหรือคะ? นางมารร้ายสงสัย ก็ต้องแข็งแรงสิ คนแข็งแรงหัวใจจะเต้นช้า

ถ้าเราถอยเข้าออกฌานได้คล่อง ผลของชีพจรจะเป็นตัวยืนยันค่ะ เช่นจาก ๑๐๐ ลดลงเหลือ ๕๐ ทั้งที่ยังถีบอยู่ และจาก ๕๐ เพิ่มเป็น ๘๐ ทั้งที่หยุดถีบไปแล้ว เป็นต้น

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ท่านอาจารย์ก็ทำเอาเครื่องปั่นร้องปี๊ดไปเลยค่ะ พอเราไปมุงดูกันก็ตกใจ ทั้ง ๆ ที่เท้ายังปั่นอยู่แต่ชีพจรวัดได้ศูนย์ค่ะท่านผู้ชม น่าสงสารเครื่องปั่นจริง ๆ เลยนะคะ

นางมารร้ายเลยรู้แล้วว่า คราวหน้าคราวหลัง ใครมาโม้ว่าได้ฌานสี่ จะขอวัดชีพจรก่อนเลยค่ะว่าหยุดเหลือศูนย์ได้หรือเปล่า..อิอิ หวังว่าข้อมูลนี้คงช่วยขจัดปัญหาที่ถกเถียงกันได้หลายกรณีนะคะ

เถรี 23-05-2009 23:09

พระอาจารย์ท่านว่า "ยกช้างเสี่ยงทายที่พระพุทธบาท จ.สระบุรี ยังไม่มีเรื่องอะไรที่ถามแล้วไม่สำเร็จ "

เถรี 23-05-2009 23:11

ในงานพิธีพุทธาภิเษกเหรียญทำน้ำมนต์ ก่อนการบวงสรวง พระอาจารย์มีการปรารภถึงพระคาถา บทหนึ่งซึ่งเป็นของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ใช้สำหรับทำน้ำมนต์เพื่อประพรมหรือภาวนา ให้เป็นมงคล แก่การเดินทางปลอดภัย

พระคาถาว่าดังนี้
อิติ สุกขติ สุกขโต อิติ สุคติ สุคโต

เถรี 23-05-2009 23:14

บางคราวเราจะเห็นโศกนาฏกรรมที่มีคนตายพร้อมกันหลาย ๆ คน เช่น เครื่องบินตก พระอาจารย์ท่านบอกว่าเป็นเพราะเขาทำกรรมร่วมกันมา

แต่หลาย ๆ ครั้งเราจะพบว่ามีคนที่รอดตายราวปาฏิหาริย์ ซึ่งพระอาจารย์บอกว่าไอ้เจ้านี่มันไม่ได้ทำกรรมร่วมกับพวกเขาไว้ เลยรอดมาได้

ฉะนั้น ท่านที่กังวลว่ากรรมตัวเองจะพลอยเผื่อแผ่ไปถึงคนรอบข้างด้วยนี่...เลิกคิดได้เลยค่ะ กรรมใครกรรมมัน ส่วนที่เขาได้รับก็เป็นของเขาเองซึ่งอาจจะเคยร่วมทำบาปพร้อมกันกับเรามา ส่วนใหญ่คนเกิดมาครอบครัวเดียวกันนี่ก็มักจะทำกรรมมา คล้าย ๆ กันแหละค่ะ ไม่เช่นนั้นจะมาเจอกันได้อย่างไร

เถรี 26-05-2009 10:15

หลวงพ่อเคยบอกว่าพอเลยเวลาบ่ายสองไปแล้ว นักปฏิบัติควรงดพวกอาหารที่หวาน ๆ เพราะว่าอาหารหวานนั้นจะมีผลไปทำให้ร่างกายเกิดอาการง่วงเหงาหาวนอน และจิตเกิดความฟุ้งซ่านได้ง่าย

ตัวแสบจำเป็น 26-05-2009 10:37

หลวงตาวัชรชัยบอกว่า ให้เราหัดคิดเข้าสูตรไว้
เพราะถ้าไม่เข้าสูตรไว้ จะไม่ทันกิเลส เวลากิเลสมา
เราจะคิดไม่ทันมัน

สไบเงิน 26-05-2009 10:54

อ้างอิง:

ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ ตัวแสบจำเป็น (โพสต์ 8088)
หลวงตาวัชรชัยบอกว่า ให้เราหัดคิดเข้าสูตรไว้
เพราะถ้าไม่เข้าสูตรไว้ จะไม่ทันกิเลส เวลากิเลสมา
เราจะคิดไม่ทันมัน

สูตรอะไรจ๊ะ?

ว่ามาให้ครบ มาให้อยากแล้วจากไป เดี๋ยว... ไม่สวย

สายท่าขนุน 26-05-2009 23:14

สูตร "ของใครของมัน" จ้ะ หลวงตากล่าวขึ้นเรื่องคิดเข้าสูตรนี้ตอนตอบคำถามที่มีน้องถามเรื่องความโกรธ
หลวงตาท่านจึงยกมรณานุสติมาเทศน์ รายละเอียดต้องรอแบบแสบ ๆ จาก"ตัวแสบ"
ที่ตอนนี้ "จำเป็น" ต้องมาเล่าเพราะมีเสียงหลวงตา ไม่อย่างนั้นอาจโดนรุม... อ้อนวอน:af48944b:

ช่วยน้องหยกหน่อย เพราะน้องขออนุญาตนำเสียงหลวงตาไปเผยแพร่ หลวงตาท่านเมตตาให้ถอดใจความ
เพราะหากฟังแต่เสียง ไม่เห็นท่าทางที่หลวงตาทำประกอบแล้ว อาจตำหนิหลวงตาได้:cebollita_onion-08:... "บรื๋อ"

โมทนาน้องเขาก่อนเข้าเรื่อง "คิดเข้าสูตร" อยากจะชวนท่านทั้งหลาย มาแบ่งปัน
การคิดเข้าสูตร คือ
คล้ายว่าเราโดนอะไรกระทบ ต้องคิดอย่างไรจึงไม่รับกระทบนั้นให้เป็นกิเลส
เข้าเป็นสูตรของเราไว้จนคล่อง (คิดทันกิเลส)

น่าจะคล้ายการท่องสูตรคูณแล้วคิดเลขเร็ว
(ขอออกตัวก่อนว่า คนชวนนี้ไม่เคยท่องสูตรคูณ... จึงชวน จะได้ฝึกคิดเข้าสูตร)

มาลองผูกสูตรสักเรื่อง ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันก่อน เช่น

คนขับรถปาดหน้า... โกรธ ?...คิด...
คนเจอกันทุกวันยังไม่สนใจทักทาย "ไอ้นี่มาจากไหน:332f960b: ไม่รู้จักกัน เจอกันเดี๋ยวเดียว จะมาทำให้เราโกรธได้"
ยังจะ...โกรธ...ก็มัน...ปาด...:215ad82f:
"เขาจะรีบไปตาย ก็ปล่อยเขา" หรือ "เขาคงนัดยมบาลไว้ เดี๋ยวไม่ทัน"...
อาจจะฟังดูแรงไปสักนิด แต่ตอนผูกสูตรก็คิดเป็นพื้นฐานเสียก่อนว่า
ปล่อยเขาไปเขาก็ตายอยู่ดี โกรธเขาก็ชั่วที่เรา (รอท่านตัวแสบนะเรื่องนี้)
เอาเป็นว่าผูกประโยคหรือสูตรของเราไปพลาง พอให้เรานึกได้แต่ไม่ใช่ว่าด้วยความโกรธ

นั่งฟังธรรมกับพระ...ฟุ้ง ?...คิด...
"เป็นบุญจริงหนอ":d16c4689: ได้เกิดมาเป็นคน เป็นพุทธศาสนิกชน ยังได้นั่งฟังพระเทศน์อยู่อย่างนี้
(ติดใจวิธีนี้ ที่ได้มาจากหลวงพ่อสมเด็จ เพราะเวลาฟุ้งมาก ๆ กดด้วย พุทโธกับลมหายใจ ไม่อยู่)
หากยังฟุ้งต่อ...ต้องนี่เลย..."ไอ้ควาย":onion_sadd: มีบุญส่งมาจนได้มานั่งฟังธรรมอยู่อย่างนี้ ยังจะโง่ต่ออีก
(ศัพท์นี้ไม่ใช่คำหยาบสำหรับตัวเอง เพราะจำติดมาจากเรื่องเล่าของหลวงตา จึงถือเป็นศัพท์สูงใช้เตือนตัวเอง)

โลภมากอยากได้เงินทองแบบ "รวยเละ"...คิด...
"จะเก็บไปใช้ถึงชาติหน้าหรืออย่างไร":onion_no:

ที่จริงจะบอกว่า ไปท่องคำเด็ดครูบาอาจารย์ที่ "โดนใจ" ตรงกับกิเลสเราเอาไปคิดเป็นสูตรของเราดีที่สุด เช่น
"มารดลใจ...ก็เพราะเราโง่มาก ถ้าเราชั่วน้อย เขาก็ดลใจได้น้อย":6f428754:

ตัวแสบจำเป็น 27-05-2009 12:28

เจี๊ยก!!! อ่านแล้วร้องจ๊ากเลย.. ไม่รับปากค่ะพี่
ต้องรีบมาบอก เดี๋ยวนิ่งเงียบแล้ว ท่านจะถือว่า
รับปากโดยดุษณี

ส่วนเรื่องเข้าสูตร.. เข้าใจว่าแต่ละคน ก็มีสูตรของ
ตัวเองอยู่แล้ว จากประสบการณ์ของหยกโดยส่วนตัวนั้น
พบว่า การแก้อารมณ์ใจไม่ใช่เรื่องยาก(แต่ไม่ได้หมายความว่าง่ายนะ)
เท่ากับการที่เรา มักจะไม่มีสติคอยรับรู้ว่า นี่นะ.. กิเลส
มันเกิดขึ้นแก่ใจเราแล้วนะ กว่าจะรู้ตัวอีกที มันก็เจริญ
งอกงามในใจเราเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อทิสสมานกายเรา
กลายเป็นสัตว์นรกเรียบร้อยแล้ว :onion_no:

เถรี 28-05-2009 11:29

หลวงพ่อสมปองท่านบอกว่า พวกที่มีอาชีพแต่งตัวโป๊ ๆ สวย ๆ อวดชาวบ้าน อย่างเช่นพวกดารา พวกนี้ตายไปแล้วจะตกนรก เพราะว่าทำให้คนเห็นเกิดกามราคะ เกิดกำหนัด ไปตัดความดีของเขา

เถรี 28-05-2009 21:15

หลวงพ่อสมปองได้เทศน์สอนในเรื่องอารมณ์การปฏิบัติเอาไว้ว่า

" อารมณ์ต้น อารมณ์กลาง อารมณ์ปลาย อารมณ์ต้นมันต้องเกาะเพื่อการระวัง พออารมณ์กลางเราจะรู้สึกเริ่มชินเป็นฌาน พอเข้าสู่อารมณ์ฌานก็จะเป็นอารมณ์ปล่อย

เราก็ต้องทำตั้งแต่ต้นไปก่อน ไม่ใช่ไปจับอารมณ์ปลายเลย 'ฉันไม่เกาะ ฉันปล่อยเลย' มันไม่ได้ เดี๋ยวมันเผลอ เพราะพื้นฐานมันไม่แน่น ไม่เหมือนคนที่เริ่มตั้งแต่ต้นมา เขามีการสั่งสมความเข้าใจทีละน้อย ๆ จนแน่น เมื่อมันแน่นแล้วมันล้มยาก แต่ถ้าเราไปจับอารมณ์ปลายเลยมันไม่รอด อย่างเก่งก็หลงไป คนจึงหลงความดีง่ายก็เพราะอย่างนี้ การปฏิบัติต้องไล่จากเบื้องต้น ไปเบื้องกลาง ไปเบื้องปลาย เป็นลำดับของมันแบบนี้

เราไม่ใช่คนที่ไปเกิดในสมัยที่คนมีกำลังบุญสูง สมัยนี้คนมีกำลังบุญต่ำ ทำได้ช้า บาปมันมีกำลังใหญ่ ความจำเราก็เสื่อม ปัญญาก็พลอยเสื่อม ฉะนั้น จะให้เราทำปุ๊บเป็นอรหันต์ปั๊บมันไม่ง่ายเหมือนสมัยพุทธกาล สมัยนี้ต้องถือข้อวัตรปฏิบัติเป็นลำดับ ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียดไปก่อน อย่าไปข้ามตอนมัน

ถึงเราจะรู้สึกเข้าใจในคำสอนได้มั่นคงดี แต่อาจจะฉาบฉวยไป
การที่เราเอาข้อวัตรปฏิบัติมาพูดว่า 'สบาย ช่างมัน ปล่อยวางไปเลย' แบบนั้นไม่ได้ นั่นเป็นอารมณ์ปลายของเขา มันทรงได้ไม่นานเดี๋ยวก็เสื่อมเพราะไม่มีพื้นฐานความเข้าใจมาก่อน เพราะฉะนั้นความเข้าใจต้องเริ่มต้นจากนี้ แนบแน่น ๆ ไป"

เถรี 29-05-2009 00:37

หลวงพ่อเล็กบอกว่า "บุคคลที่ยิ่งปฏิบัติได้สูงเท่าไร กำลังใจยิ่งละเอียดเท่านั้น ในเมื่อกำลังใจท่านละเอียดขนาดนั้น ท่านก็เลยทำอะไรเรียบร้อยไปด้วย"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 00:47


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว