กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=7273)

เถรี 21-10-2020 19:39

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๖๓
 
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ ๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ ช่วงนี้ฝนฟ้ายังหนักอยู่ แต่ก็เป็นช่วงปลายฝนแล้ว ส่วนใหญ่ในช่วงรอยต่ออากาศ อย่างเช่นปลายฝนต้นหนาว ปลายหนาวต้นร้อน หรือปลายร้อนต้นฝน อากาศจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ค่อนข้างรุนแรง คนแก่หรือว่าคนป่วยร่างกายอ่อนแอ มักจะรับไม่ไหว ถ้าไม่ดูแลให้ดี ก็อาจจะถึงแก่สิ้นชีวิตไปเลย

ในจุดนี้ญาติโยมทั้งหลายจะเห็นได้ว่า ความตายนั้นอยู่ใกล้กับเรามาก ไม่ทราบว่าจะมาถึงตัวเราเมื่อไร ? ถ้าไม่ใช่บุคคลที่ฝึกกรรมฐานในอานาปานสติมาอย่างช่ำชอง หรือว่าบุคคลที่มีอนาคตังสญาณแจ่มใส ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า วันเวลาการตายของเราจะมาถึงเมื่อไร ? เพราะว่าความตายไม่มีนิมิต ความตายไม่มีเครื่องหมาย ต้องมาถึงมนุษย์และสัตว์ทุกรูปทุกนามเป็นปกติ

ดังนั้น...ท่านทั้งหลายที่เป็นนักปฏิบัติธรรมจึงลืมไม่ได้อย่างเด็ดขาดในมรณานุสติ คือการระลึกถึงความตายเป็นปกติ เพื่อที่จะได้ไม่ประมาท เห็นว่าความตายสามารถมาถึงเราทั้งหลายได้ในทุกลมหายใจเข้าออก ถ้าหากว่าเราตาย โดยมีคุณความดีไม่เพียงพอ ก็อาจจะตกลงสู่อบายภูมิ หรือถ้ามีคุณความดีเล็กน้อย แล้วระลึกขึ้นมาได้..ก็อาจจะได้เกิดเป็นมนุษย์ หรือว่าเกิดเป็นเทวดานางฟ้า แต่ก็ยังไม่พ้นจากกองทุกข์ ต้องลงมาเวียนว่ายตายเกิดอีกนับชาติไม่ถ้วน

ดังนั้น..เราจึงควรที่จะเร่งกระทำความดี เพื่อที่จะให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพาน ซึ่งถือว่าเป็นการสิ้นภพจบชาติ ไม่ต้องเกิดมาทุกข์อีก

เถรี 21-10-2020 19:42

การที่เราจะพ้นจากกองทุกข์ได้ ก็ต้องปฏิบัติในไตรสิกขา คือหลักการศึกษาสามอย่าง ได้แก่

อธิสีลสิกขา..การศึกษาในเรื่องศีลอย่างยิ่ง
อธิจิตสิกขา..การปฏิบัติภาวนาอย่างยิ่ง
และอธิปัญญาสิกขา..การศึกษาในปัญญาอย่างยิ่ง
ซึ่งกระจายออกแล้วก็ได้แก่ มรรคมีองค์แปดนั่นเอง

การศึกษาในอธิสีลสิกขานั้น เราไม่ต้องดูมาก ดูแค่ว่าเรามีศีลตามสภาวะเพศของตน ได้แก่ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ หรือศีล ๒๒๗ แล้วพยายามรักษาศีลทุกข้อให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ล่วงละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล

อธิจิตสิกขานั้น เราต้องพยายามปฏิบัติภาวนา อย่างน้อยให้เกิดปฐมฌานละเอียด เพื่อที่จะได้เป็นกำลังในการตัดกิเลสเบื้องต้นได้ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง อย่างน้อยก็ต้องทำให้ถึงฌาน ๔ ละเอียด เพื่อที่จะได้มีกำลังพอในการกดกิเลส โดยเฉพาะราคะ และโทสะ ให้นิ่งสงบลง จิตใจจะได้ไม่ส่งส่ายวุ่นวาย สามารถใช้ปัญญาในการพิจารณาตัดกิเลสได้อย่างไม่ต้องมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมารบกวน

อธิปัญญาสิกขานั้น ในเบื้องต้นคือเห็นว่าเราต้องตาย การที่เราตายลงไป ถ้าคุณความดีไม่เพียงพอ เราก็ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดด้วยความทุกข์ยากอีก

เถรี 23-10-2020 09:39

ในเบื้องกลางเราต้องเห็นให้ชัดเจนว่า สภาพร่างกายของเรานี้เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก มีแต่อวัยวะภายในใหญ่น้อยน่าเกลียด มีเพียงหนังและเลือดเนื้อที่หุ้มห่ออยู่ มีความสกปรกเป็นปกติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตัวเราก็เป็นเช่นนี้ คนอื่นก็เป็นเช่นนี้ สัตว์อื่นก็เป็นเช่นนี้

ถ้าเรารู้ตัวอยู่เสมอว่าเราต้องตาย เห็นสภาพร่างกายของเรามีแต่ความสกปรกโสโครกน่าเบื่อหน่าย สภาพจิตก็เริ่มจะถอนจากการยึดมั่นถือมั่นในอัตภาพร่างกายนี้

แล้วเราก็ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริง ว่าสภาพร่างกายนี้เป็นเพียงเครื่องอาศัยชั่วคราวของเราเท่านั้น สภาพที่แท้จริงไม่ได้เป็นแท่งทึบ นอกจากประกอบด้วยอวัยวะภายในใหญ่น้อยทั้งหลายทั้งปวงแล้ว หลัก ๆ เลยก็คือประกอบขึ้นจากธาตุ ๔ ได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ลม เมื่อผสมรวมกันขึ้นมา มีหัว มีหู มีหน้า มีตา เราที่เป็นจิต มาอาศัยอยู่ตามบุญตามกรรมที่เราสร้างเอาไว้ เราก็ไปยึดมั่นถือมั่น..ว่าเป็นเรา..เป็นของเรา

ต้องพิจารณาแยกแยะให้ละเอียด ว่าส่วนที่แข็ง เป็นแท่ง เป็นก้อน เป็นชิ้น เป็นอัน คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ กระดูก เส้นเอ็น ตลอดจนอวัยวะภายใน ภายนอก ใหญ่น้อยทั้งปวง ที่จับได้ ต้องได้นั้น เป็นธาตุดิน

ส่วนที่ชุ่มชื้น เอิบอาบ เคร่งตึงอยู่ในร่างกายของเรา ได้แก่ เลือด น้ำเหลือง น้ำหนอง น้ำตา น้ำลาย น้ำดี เหงื่อ ปัสสาวะ ไขมันเหลวเหล่านี้ ประกอบขึ้นเป็นส่วนของธาตุน้ำ

ส่วนที่พัดไปมาในร่างกาย หรือว่าอยู่ในช่องว่างของร่างกาย ได้แก่ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ลมในช่องหู ช่องจมูก ลมที่ค้างในท้อง ในใส้ ที่เรียกว่าแก๊ส ลมที่พัดขึ้นเบื้องสูง พัดลงเบื้องต่ำ พัดไปทั่วร่างกาย ที่เรียกว่าความดันโลหิต ส่วนนี้คือธาตุลม

เถรี 23-10-2020 09:41

ส่วนที่ให้ความอบอุ่นในร่างกาย ช่วยสันดาป เผาย่อยอาหาร ช่วยกระตุ้นร่างกายให้เจริญเติบโต ช่วยทำให้ร่างกายทรุดโทรมเสื่อมลง ยังร่างกายนี้ให้กระวนกระวายยามป่วยไข้ เรียกว่าธาตุไฟ

ส่วนหนึ่งเป็นดิน ส่วนหนึ่งเป็นน้ำ ส่วนหนึ่งเป็นลม ส่วนหนึ่งเป็นไฟ เมื่อแยกแยะออกมาแล้วก็ไม่เหลืออะไรที่เป็นเรา เป็นของเราเลย

ถ้าเราเห็นชัดแบบนี้ ก็เป็นการใช้ปัญญาอย่างถึงที่สุด ก็คือสภาพจิตถอนจากการยึดมั่นถือมั่น เห็นว่าร่างกายนี้ นอกจากจะไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง ตายไปในที่สุด ระหว่างดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ต้องคอยดูแล ต้องคอยบริหารอยู่เสมอ

ท้ายที่สุดก็เห็นชัดแล้วว่า ไม่มีอะไรเป็นเรา เป็นของเรา เพราะเป็นเพียงธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม เท่านั้น สภาพจิตถอนจากการยึดมั่น ถือมั่น ในร่างกาย ทั้งของตนเอง และผู้อื่น แล้วส่งกำลังใจนั้นไปเกาะแห่งเดียวก็คือพระนิพพาน

ถ้าสามารถรักษากำลังใจเช่นนี้เอาไว้ได้ทั้งเช้าและเย็น สักวันละ ๑๐ นาที ๑๕ นาที ท่านทั้งหลายก็มีโอกาสที่จะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้ดังที่ปรารถนา

ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนา และพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันศุกร์ที่ ๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๓
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย นาทาม)



เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 04:10


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว