เล่าสู่กันฟัง ภาค ๓
:4672615: เล่าสู่กันฟัง มาถึงภาค ๓ แล้วค่ะ เนื่องจากถ้าต่อจากกระทู้เดิมก็เกรงว่าจะยาวหลายหน้า เลยมาตั้งกระทู้ใหม่อีก เป็นกระทู้ที่สาม
เถรีจะเก็บเอาในส่วนของคำสอนที่ไม่ได้ลงในเก็บตกมาให้อ่านกันนะคะ บางทีก็เป็นคำสอนเฉพาะบุคคล หรือเป็นคำสอนที่พระอาจารย์ได้กล่าวไว้ปีก่อน ๆ (ก่อนที่เว็บวัดท่าขนุนนี้จะเกิดขึ้น) จะพยายามขุด งัดแงะ แคะ เกา หรือล้วงมาให้อ่านไปเรื่อย ๆ นะคะ |
พระอาจารย์กล่าวสอนพระลูกศิษย์ว่า "ไม่ว่าจะเป็นทางโลกหรือทางธรรม เราต้องคล่องตัว เวลาทำอะไร จะได้ไม่ไปขายหน้าคนอื่นเขา เดี๋ยวเขาจะว่าครูบาอาจารย์ไม่ได้อบรม เรื่องของการปฏิบัติอย่าให้ต้องบอก ต้องรักที่จะทำด้วยตัวเอง"
|
โยม : หนูรู้สึกว่าเบาสบายกว่าเมื่อก่อน
พระอาจารย์ : รักษาเอาไว้ ซ้อมประคอง ให้ความสนใจกับภายนอกให้น้อยที่สุด จะได้ไม่เสียเวลาคลายอารมณ์ออกมาสู่ข้างนอกให้เดือดร้อนแก่ตัวเอง รับรู้อาการภายนอกเมื่อไร ก็เท่ากับรับทุกข์ แล้วก็เดือดร้อนฟุ้งซ่านอยู่คนเดียว คนอื่นเขาไม่ได้รู้เรื่องอะไรด้วยเลย |
พระอาจารย์บอกกับผู้หญิงคนหนึ่งไปว่า พอเริ่มเข้าสู่วัยทอง ฮอร์โมนเริ่มขาด ก็เลยเหมือนคนหงุดหงิดง่าย แต่เถรีมองแล้วรู้สึกว่า เขาไม่ใช่แค่หงุดหงิดแต่เหมือนขาดสติเลย
พระอาจารย์หันมาบอกว่า "ไม่ต้องไปกลัว..ถ้าหากกำลังใจปฏิบัติมามั่นคงจริง ๆ รู้เท่าทันอารมณ์ตัวเองจะไม่เป็นอย่างนั้น ในเมื่อรู้ทันเราก็ดับมันซะ" |
พระอาจารย์กล่าวสอนพระว่า "เราเป็นพระ มีหน้าที่สอนชาวบ้านเขาละกิเลส แต่ถ้าตัวเองทำหยาบ ๆ ก็สอนเขาได้ไม่เต็มปาก"
|
พระอาจารย์เคยได้กล่าวให้ฟังว่า "หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านสอนว่า เรียนให้รู้ ดูให้จำ ทำให้จริง ถ้าทำจริงทุกอย่างจะมีผล
ศึกษาค้นคว้าและเรียนรู้ให้เกิดผลจริง ไม่ว่าจะทางโลกหรือทางธรรม ถ้าใครมีจิตใจที่มุ่งมั่น คือ ฉันทะเป็นปกติ วิริยะเป็นปกติ จิตตะเป็นปกติ วิมังสาเป็นปกติ ย่อมประสบความสำเร็จทุกคน" |
พระอาจารย์กล่าวถึงภาษิตจีนบทหนึ่งให้ฟังว่า "จิตใจทำร้ายคนไม่ควรมี แต่จิตใจระวังคนไม่อาจจะละเลย"
|
เวลาที่มีอาหารอยู่ตรงหน้า พระอาจารย์สอนว่า "ถ้าเราภาวนาและทรงฌานให้คล่อง จะไม่รู้สึกอยากกิน ถ้าอารมณ์ใจอยู่กับการภาวนา อยู่กับฌานสมาบัติ พวกอาการต่าง ๆ ทางร่างกาย เราแทบไม่รับรู้เลย"
|
พระอาจารย์กล่าวสอนในเรื่องการงานและการปฏิบัติว่า "เริ่มต้นแล้วถ้ายังไม่เสร็จ...เลิกไม่ได้ ต้องทำให้เสร็จ การปฏิบัติถ้าหากว่าสำเร็จ จะมีปีติเกิดขึ้น เพราะรู้สึกว่าคุ้มค่ากับที่เราทำ"
|
พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "บางคนทำเฉพาะในสิ่งที่ตัวเองทำ ทำตามอารมณ์ตัวเอง นึกอยากจะทำก็ทำ เพราะคิดว่าดี โดยไม่ได้คิดว่าจะส่งผลกระทบต่อส่วนรวมเท่าไร คนทั้งหลายเหล่านี้ถ้ามีมาก ส่วนรวมก็จะเดือดร้อนมาก"
|
พระอาจารย์ท่านกล่าวว่า "ระเบียบคือระเบียบ ถ้าเราไม่ผ่อนผัน ไม่กี่ทีก็จะเข้าที่ แต่ถ้าเราไปผ่อนผันตั้งแต่แรก ๆ ก็จะหย่อนยานไปเรื่อย ๆ"
|
พระอาจารย์บอกว่า "คนที่มีเส้นผมหนา ส่วนใหญ่มีพื้นฐานนิสัยค่อนข้างแข็ง มักดื้อ พวกนี้เวลาเราจะทำอะไรต้องใช้เหตุใช้ผล ไปใช้อารมณ์กับเขาไม่ได้ โบราณเขาบอกไว้ไม่ผิดหรอก
ส่วนพวกที่มีเส้นผมละเอียดอ่อนเหมือนเส้นไหม เดี๋ยวนี้หายาก รุ่นพวกเรานี่รุ่นดื้อทั้งนั้น..!" |
พระอาจารย์เคยท่องกลอนบทหนึ่งให้ฟังว่า
พวกลิงค่างกลางป่าจับมามัด.........สารพัดฝึกได้ดังใจหมาย เกิดเป็นคนครูเพียรสอนแทบตาย....ถ้าเอาดีไม่ได้ก็อายลิง.! |
มีคนนำหนังสือคำสอนของหลวงปู่ดู่ มาถวายพระอาจารย์ ท่านจึงกล่าวว่า "หลวงปู่ดู่ท่านเป็นพระบริสุทธิ์จริง ๆ ใครบอกว่าท่านจะมาเกิดใหม่ อาตมาไม่เชื่อ"
ถาม : ท่านนิพพานแล้วหรือครับ? ตอบ : ไปนานแล้ว |
ช่วงปีใหม่ มีคนส่งข้อความ Happy New Year มาหาพระอาจารย์แทบทุกนาที ท่านบอกว่า "เขาส่งความสุขมาแท้ ๆ แต่ทำไมอาตมาจึงเครียดได้ ? ก็เขาส่งมานาทีละข้อความ อาตมาต้องมาลบจนมือหงิก โดยเฉพาะพวกไม่รู้กาลเทศะ แสดงว่าขาดสัปปุริสธรรมอย่างรุนแรงเลย
สัปปุริสธรรม เป็นธรรมของสัตบุรุษ คือ บุคคลที่เป็นคนดี จะมีอยู่ข้อหนึ่งก็คือ กาลัญญุตา ภาษาไทยแปลว่า รู้กาลเทศะ ขนาดสี่ทุ่มกว่ายังโทรมา Happy New Year คิดว่าตัวเองไม่นอน แล้วคนอื่นต้องไม่นอนด้วยหรือ..?!" |
มีคำพูดหนึ่งที่เรามักได้ยินพระอาจารย์ พูดอยู่เป็นประจำ ก็คือ "หมาเห่า ไมค์หอน เมียหึง เป็นเรื่องธรรมชาติ ห้ามหมาเห่าก็พอ ๆ กับห้ามคนนินทา ควรจะปล่อยให้เป็นไปตามนั้น"
|
พระอาจารย์เคยท่องบทกลอน ของวิสา คัญทัพ ให้ฟังว่า
มีทุกข์ในเรือนกาย.........มีความตายในดวงตา น้ำนมแห่งมารดา...........ในสายเลือดยังเหือดหาย ทุกคำคือชีวิต...............ทุกชีวิตอันเรียงราย คือพรหมอันเกิดกาย........มาร่วมถิ่นแผ่นดินเดียว ฯลฯ |
พระอาจารย์เคยกล่าวให้ฟังว่า
รู้เท่าเอาไว้กัน รู้ทันเอาไว้แก้ รู้แท้เอาไว้ทั้งแก้และกัน |
หลวงพ่อสอนน้องคนหนึ่งว่า "ต้นหอม...ต้องพยายามทำอะไรให้เป็นหลาย ๆ อย่าง โบราณเขาบอกว่าพอทำเป็นแล้ว ไม่ขอข้าวเรากินหรอก แต่อาจจะช่วยให้เรามีข้าวกิน"
|
มีคนนำหนังสือประวัติของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) มาถวายให้พระอาจารย์ มีจุดหนึ่งที่พระอาจารย์ท่านกล่าวให้ฟัง
" บุญถ้าเจ้าไม่เคยสร้างไว้ ใครที่ไหนเล่าจะมาช่วยได้ ลูกเอ๋ย..." เขาบอกว่าเป็นโอวาทของสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดระฆัง ขอบอกว่าเป็นโอวาทของร่างทรง ไม่ใช่ของสมเด็จท่านได้กล่าวเอาไว้ |
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:38 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.