กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=43)
-   -   วิธีแก้ง่วงโดยหากิเลสเข้าตัว (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1628)

ลัก...ยิ้ม 25-02-2010 10:59

วิธีแก้ง่วงโดยหากิเลสเข้าตัว
 
วิธีแก้ง่วงโดยหากิเลสเข้าตัว

ที่มาของพระธรรมจุดนี้ เกิดจากการสนทนาธรรมกันระหว่างผมกับเพื่อนผู้ร่วมปฏิบัติธรรมที่วัดท่าซุง เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ พ.ค. ๒๕๓๖ มีความสำคัญดังนี้

ก) บางครั้งกายมันง่วงตาจะหลับ พยายามอย่างไรก็ไม่ชนะมัน ต้องหากิเลสเข้าตัว แต่เราต้องมีสติตามรู้ปล่อยให้กิเลสมันแสดงจนตาสว่าง พอกายหายง่วงก็ใช้กรรมฐานแก้จริตพิฆาตกิเลสนั้น โดยมากกิเลสมันจะเก่งไปได้ไม่นาน หากเรามีสติตามรู้อยู่ตลอดพักเดียวมันก็หมดฤทธิ์

ข) เพื่อนผมท่านว่า ท่านเพิ่งจะเข้าใจคำสั่งสอนของหลวงพ่อในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ เรื่องสรุปคำสอนประจำพรรษา ที่หลวงพ่อท่านว่า คนฉลาดต้องรู้จักหากิเลสที่สิงอยู่ในจิตให้พบ แล้วใช้กรรมฐานแก้จริตพิฆาตกิเลส หมายความว่า ผู้ใดก็ตามที่จะละกิเลสได้ ต้องรู้ ต้องเห็นความชั่วที่อยู่ในใจของตนเองก่อน หรือเราจะจับผู้ร้ายเราต้องรู้จักผู้ร้ายก่อน โดยรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน หน้าตาเป็นอย่างไร นิสัยเป็นอย่างไร และเราควรจะใช้วิธีไหนปราบมัน เป็นต้น

ลัก...ยิ้ม 25-02-2010 15:29

ค) เพื่อนผม จิตสัมผัสรูปหลวงพ่อจงก็กำหนดจิตกราบท่าน และขอความเมตตาให้ท่านช่วยสอน ท่านก็บอกว่า “ข้าสอนพ่อแล้ว ต้องมาสอนลูกอีกหรือ” แต่ในที่สุดหลวงพ่อจง ก็เมตตาช่วยสอนให้ มีความสำคัญดังนี้


๑. สิ่งไหนที่เป็นความทุกข์ เอ็งก็อย่าเอาสิ่งนั้นมาแบก จิตมันจะได้เบา และต้องรู้ด้วยว่า สิ่งที่เรียกว่าทุกข์นั้น พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า “สิ่งไหนไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์” นั่นแหละห้ามเอามาแบก (ขณะนั้นก็คิดว่า ถ้าเช่นนั้นโลกนี้ทั้งโลก ก็ยึดอะไรไม่ได้เลยสิ)

๒. ท่านก็ว่า “เออสิวะ ไม่ใช่แต่โลกมนุษย์เท่านั้นนะ พรหมโลก เทวโลกก็แบกไม่ได้ เพราะมันไม่เที่ยง สิ่งไหนไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ไม่สุขจริงเลิกแบก จิตมันจะได้เบาสบาย”

๓. วางทุกข์เสียให้ได้ เอาโลกุตรธรรมมาใส่แทน สบาย ๆ ไม่หนัก อารมณ์พระอรหันต์ท่านหยั่งลงสู่พระนิพพานจุดเดียว ที่อื่น ๆ ยึดไม่ได้ หาความเที่ยงไม่เจอ ท่านเจออยู่จุดเดียวคือพระนิพพาน อารมณ์ของท่านนิพพาน ๆ อยู่ทุกขณะจิต

ลัก...ยิ้ม 26-02-2010 14:39

๔. อย่าลืมนะ นิพพะ แปลว่า ดับ อะไรมันดับ คือ อารมณ์ของท่านดับจากกิเลส ตัณหา ราคะ โทสะ โมหะพร้อม ๆ กันทีเดียว พวกเจ้านี้ทำอะไรท่านไม่ได้ อารมณ์จิตของท่านจึงเบาสบาย แม้ยังทรงขันธ์ ๕ อยู่ในโลก ธรรมใด ๆ ของโลกมากระทบจิตท่าน ท่านก็วางไม่แบกธรรมนั้น คำว่าทุกข์ไม่มีในจิตของพระอรหันต์

๕. เอ็งเข้าใจแล้วก็ค่อย ๆ ไต่มาตามคำสอนของพระพุทธเจ้า คือ ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นแหละ วางธรรมที่ไม่เที่ยงลงเสียให้ได้ภายในจิตของตนนั่นแหละ หมั่นทำจิตของตนให้เที่ยงอยู่ในพระนิพพาน คือ ดับกิเลสด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อจิตสงบแล้ว ธรรมภายนอกก็ไม่มีความหมาย ความสงบถึงจุดนิพพะ คือ ดับกิเลส พระพุทธเจ้าทรงเน้นสอนให้สงบภายใน คือที่จิตตนเองนี่แหละเป็นสำคัญ

ลัก...ยิ้ม 02-03-2010 12:05

๖. ฝึกฝนตนเองให้ดีเสียก่อน จึงจะได้ชื่อว่ามีที่พึ่งอันประเสริฐ แต่คนจะเอาดีได้ต้องตั้งจิตไว้ตรงจุด จงอย่าประมาทตัวเดียว กล่าวคือ ต้องคิดถึงมรณานุสติไว้เสมอ ๆ กรรมฐานกองนี้ทิ้งไม่ได้ และต้องแน่นจริง ๆ คือถึงจุด คิดถึงความตายทุกลมหายใจเข้าและออก ถ้าใครทิ้งมรณานุสติกรรมฐาน ทำให้ตายอีกหลายแสนชาติอสงไขยกัป มันก็เอาดีกันไม่ได้

๗. อย่าลืมยึด พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ไว้เป็นสรณะ แล้วก็ต้องไม่ลืมจิตของตนเองไว้เป็นสรณะ ทำมรรคผลนิพพานให้เกิดขึ้นกับจิตด้วย จบคำสอนของหลวงปู่จง วัดหน้าต่างนอก จ.อยุธยาแค่นี้ แต่เอ็งจงจำเอาไว้นะ คำสอนทั้งหมดของหลวงปู่นี้ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ซึ่งพระอริยสงฆ์รุ่นแรกกรุณารวบรวมถ่ายทอดมา แล้วพระอริยสงฆ์รุ่นหลัง ท่านนำมาถ่ายทอดต่อ ๆ กันมา เอ็งก็ต้องหมั่นระลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เข้าไว้ ซึ่งต่างก็ทำหน้าที่สืบทอดพระพุทธศาสนาต่อ ๆ กันมาทุก ๆ พุทธันดร

ลัก...ยิ้ม 04-03-2010 10:43

๘. บุคคลใดมีความกตัญญูกตเวทีในครูบาอาจารย์ ท่านผู้มีพระคุณ บุคคลนั้นย่อมหาความอับจนมิได้ ทั้งในชาติปัจจุบันและสัมปรายภพ ทางโลกจัดไว้เป็นมงคลอันประเสริฐ แต่ทางนี้เป็นทางธรรมโลกุตระ ยิ่งทำได้ประจำจิต ยิ่งจัดได้ว่าเป็นมหาอุดมมงคลที่ยิ่งประเสริฐใหญ่

๙. จากนั้นท่านก็กลายร่างเป็นพระวิสุทธิเทพที่สวยงาม ไม่แก่อย่างกายสงฆ์ (กายเนื้อ) “เออ กายแก้วคนที่พ้นโลกจิตนิพพะแล้ว มันสวยกันอย่างนี้ทุกคน จำเอาไว้ให้ดี อยากสวยบ้างก็รีบทำตามมา”

๑๐. เพื่อนของผมก็จับมรณา ทำร่างกายให้เป็นอสุภะ หลวงปู่ท่านก็บอกว่า เอ็งข้ามขั้นตอน เอาใหม่คิดถึงธาตุ ๔ ธาตุลมหยุดก่อนจึงจะเหมือนของจริง ก็ปฏิบัติตามท่าน ก็เห็นภาพของคนตอนใกล้ตายเป็นภาพนิมิตชัดเจน ธาตุลมหมดหรือหยุดก่อน คือ ไม่มีลมหายใจเข้าแล้ว เห็นแต่ลมภายในตีออก มีลักษณะเหมือนคนกำลังอาเจียนเอาอาหารออก

แต่ในนิมิตนี้มีแต่ลมออกมา คล้ายลูกคลื่นเป็นระลอก ๆ อวัยวะภายในโดยเฉพาะหัวใจ เกิดอาการถูกบีบรัดอย่างแรง ปอด ๒ ข้างก็บีบรัดเข้ามาเรื่อย ๆ คือ ลมถูกระบายหรือถูกรีดออกจนต้องอ้าปากให้ลมออกเป็นห้วง ๆ จนหมดห้วงสุดท้าย ร่างกายกระตุกหนึ่งครั้งแล้วแน่นิ่งไป รูทวารเปิด น้ำปัสสาวะไหลออกมา เหงื่อท่วมตัว พอธาตุลมสลาย ธาตุไฟก็ดับตั้งแต่ปลายเท้าขึ้นมา เนื้อตัวเย็บเฉียบ จากนั้น อาการแข็งเหมือนท่อนไม้ก็เริ่มเกิดขึ้น

(หมายเหตุในทางแพทย์หรือทางโลก เวลาเด็กเกิดจากครรภ์มารดา เด็กจะหายใจเข้า เพื่อให้ปอดพองตัวออก เพราะขณะเด็กอยู่ในครรภ์มารดา ปอดยังไม่ทำงาน ยังแฟบอยู่ เด็กต้องการธาตุลมหรือกินลม แพทย์หรือพยาบาลต้องกระตุ้นให้เด็กร้อง พอร้องเสียงดัง ปอดก็พองออก โดยดูดลมเข้ามาทางจมูก ซึ่งตรงกันข้ามกับตอนตาย จะหายใจออกหรือลมออกอย่างเดียว ผมขออธิบายไว้สั้น ๆ แค่นี้)

ลัก...ยิ้ม 05-03-2010 17:42

๑๑. หลวงพ่อฤๅษีท่านมาเสริมว่า นี่แหละตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “อะจิรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวิง อะธิเสสสะติ ฉุฑโท อะเปตะวิญญาโณ นิรัตถังวะ กะลิงคะรัง” ร่างกายนี้เมื่อมีวิญญาณไปปราศแล้ว ก็เสมือนหนึ่งท่อนไม้ที่ถูกเขาทอดทิ้ง (หมายความว่า เมื่อจิตทิ้งกายไปแล้ว ร่างกายก็เหมือนกับท่อนไม้ที่ไร้ค่า)

๑๒. จากนั้นก็เห็นภาพของร่างกายเริ่มน่วม เพราะพอธาตุไฟดับ ธาตุน้ำก็ละลายธาตุดิน สิ่งสกปรกทั้งหลายก็ไหลออกมาตามรูทวารต่าง ๆ มีน้ำเลือด น้ำหนอง ขี้ เยี่ยว น้ำลาย น้ำมูก เป็นต้น ศพเริ่มส่งกลิ่นเหม็น เพราะกลิ่นนี้จึงพาให้แมลงมาตอม โดยเฉพาะแมลงวันและวางไข่ไว้บนร่างกาย

ธาตุน้ำที่ละลายธาตุดิน ก็ดันให้กายเริ่มบวม อืด ตาปลิ้น ลิ้นจุกปาก หนังหน้าท้องเริ่มบวมเป่งขึ้นตามลำดับ ต่อมาก็เห็นหนอนตัวเล็ก ๆ แล้วก็โตขึ้น ๆ ชอนไชไปทั่วกาย ที่สุดสภาพกายคนก็หายไปเพราะถูกหนอนกินหมด เหลือแต่กระดูกกับตัวหนอนเต็มไปหมด เมื่ออาหารของหนอนหมด หนอนก็เริ่มตาย บางตัวก็กลายเป็นแมลงเกาะแทะกระดูกต่อไป ที่สุดแม้แต่กระดูกก็ผุกร่อน สลายตัวไปหมด ไม่มีอะไรเหลือเลย ไม่มีอะไรที่จะยึดได้ว่า อะไรคือร่างกาย ก็ขอจบไว้เพียงแค่นี้

ลัก...ยิ้ม 05-03-2010 17:42

ธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์ (เล่ม ๔)
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:23


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว