กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=43)
-   -   สมเด็จองค์ปฐม ทรงเมตตาสอนเรื่อง อย่าฝืนเวทนาของจิต และ โลกธรรม ๘ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=1263)

ลัก...ยิ้ม 04-11-2009 11:18

สมเด็จองค์ปฐม ทรงเมตตาสอนเรื่อง อย่าฝืนเวทนาของจิต และ โลกธรรม ๘
 
สมเด็จองค์ปฐม ทรงเมตตาสอนเรื่อง อย่าฝืนเวทนาของจิต และ โลกธรรม ๘

๑) “เหตุการณ์คืนนี้ก็เป็นปกติ จงบำเพ็ญจิตให้อยู่ในธรรมตามวิสัยที่พึงจักต้องการเถิด จิตอยากคิดก็ให้คิด จิตอยากพักก็ให้พัก อย่าฝืนเวทนาของจิต หากฝืนเวทนามรรคผลเกิดได้ยาก เพราะจิตมีสภาพดิ้นรน เมื่อสภาพจิตอยู่ในอารมณ์ใด ๆ มันก็อยากจักอยู่ในอารมณ์นั้น ๆ ตามความต้องการ เพราะฉะนั้น จงอย่าฝืนเวทนา ให้กำหนดสติสัมปชัญญะ ตามรู้เวทนานั้น ๆ แล้วใช้เวทนานั้นให้เป็นประโยชน์ ให้เป็นสารธรรม อย่างนี้จึงพึงเรียกได้ว่า เรียนรู้จิตเวทนาได้จริง”

๒) “การรู้เท่าทันสภาวะของจิตนั้น เป็นการศึกษาธรรมะที่เข้ามากระทบอารมณ์อย่างแท้จริง สภาพจิตไม่เคยอยู่นิ่ง พระอรหันต์ท่านก็มีอารมณ์ มิใช่หัวตอจักได้ไร้ความรู้สึกในธรรมารมณ์ที่เข้ามากระทบสัมผัส หากแต่จิตของท่านวางธรรมารมณ์ที่เข้ามากระทบนั้น ๆ ให้ลงตัวธรรมดา เป็นอารมณ์สังขารุเบกขาญาณ ท่านมองเห็นว่าคำสรรเสริญหรือว่านินทา โลกธรรม ๘ กระทบ ท่านได้ก็เพราะท่านยังมีร่างกายให้เขาด่า นินทา และสรรเสริญ ถ้าหากไม่มีร่างกายเสียอย่างเดียว การถูกด่าถูกว่าก็จักไม่มี สุดท้ายก็เลยวางเฉยในร่างกาย เพราะเขาด่าร่างกาย ท่านเป็นผู้มีอารมณ์สงบจากกิเลสระงับแล้ว เขาด่าท่านได้แค่ร่างกาย จิตของท่านหาได้ถูกเขาด่าไม่ ช่างมันเสียแล้ว คือ ช่างเรื่องของร่างกายมัน เป็นอารมณ์สังขารุเบกขาญาณ

ลัก...ยิ้ม 05-11-2009 16:00

๓) ท่านคิดอยู่เสมอ ๆ ว่า ไม่ช้าไม่นานร่างกายของคนด่าก็ตาย คนถูกด่าก็ตาย แต่คนที่ด่านั้นมีความโกรธท่วมอยู่ในจิตเต็มกำลัง พอร่างกายตายไปแล้ว เชื้อความโกรธจักนำเขาเหล่านั้นตกลงไปสู่อบายภูมิ ๔ อย่างมิต้องสงสัย แต่คนถูกด่าทำใจได้เยี่ยงพระ พระอรหันต์ท่านก็จบกิจไปพระนิพพานได้ทุกราย เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเจ้าจงคิดพิจารณาถึงคำนินทาและสรรเสริญว่าเป็นเพราะเราโง่ที่หลงติดในร่างกาย คิดว่าเป็นเราเป็นของเรา อวิชชามันบังหน้าบังตาจึงทำให้หลงผิดคิดว่า การมีร่างกายนั้นเป็นของดี เมื่อเกิดมาแล้วอย่างโง่ ๆ ก็ต้องตกเป็นเหยื่อของโลกธรรม ๘ อันมีสรรเสริญและนินทาเป็นต้น กรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เหตุเกิดเพราะความปรารถนาในภพชาติมิมีที่สิ้นสุด เหตุเกิดเพราะชาติใดที่เกิดแล้ว การจักไม่ทำกรรมดี เลว ทำเหตุให้เกิดกรรมแห่งโลกธรรม ๘ นั้นไม่มีเลย จากการเกิดนับครั้งอสงไขยกัปนับไม่ถ้วน ผลมันจึงตามตอบสนองตามกรรมเพราะมีร่างกายดังกล่าวมาแล้ว”

๔) “การมุ่งหวังจักไปพระนิพพานมีจุดหนึ่ง คือ รู้จิตว่านั่นคือตัวตนของเราแท้ ๆ รู้เวทนาของจิต คือ รู้จริตหรือรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อมีธรรมารมณ์มากระทบทุก ๆ ครั้ง การดัดจิตก็คือ รู้ระงับอารมณ์ที่เป็นจริตทั้ง ๖ อย่าง ด้วยพระกรรมฐานแก้จริตอันศึกษากันมาแล้ว”

๕) “อีกจุดหนึ่ง คือ รู้กายว่านั่นคือเปลือกแห่งกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ที่เราสร้างขึ้นมาอย่างผิด ๆ แล้วยังยึดติดว่า ร่างกายอันประกอบด้วยธาตุ ๔ เป็นอาการ ๓๒ นี้ว่าเป็นเรา เป็นของเรา การศึกษาร่างกายก็เพื่อให้รู้เท่าทันสภาพของร่างกายว่า จักยึดอะไรในร่างกายนี้มาเป็นเรานั้นไม่ได้เลย”

ลัก...ยิ้ม 05-11-2009 16:02

จากหนังสือธรรมะหลวงพ่อ รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน

หมายเหตุ มีการแก้ไขตามกติกา

กาแฟ 06-11-2009 11:13

กาแฟ
 
ขอเป็นธรรมทานนะครับ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 02:10


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว