กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   สนุกสนานวุ่นวายในเนปาล (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=62)
-   -   สนุกสนานวุ่นวายในเนปาล ตอนที่ ๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4670)

สุธรรม 30-11-2015 17:23

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1448878946
พระเจดีย์ "พิมพ์นิยม" ที่สวยงามที่สุดเท่าที่เคยพบมา

นายทองพาเข้ายืนหลบแดดอยู่ในเงาซุ้มประตู พร้อมกับบรรยายว่า วัดรุทรวรรณะนี้เป็นวัดเอกชน มีการสืบทอดตำแหน่งเจ้าอาวาสกันในตระกูล โดยได้รับพระบรมราชานุญาตจากองค์มัลลกษัตริย์ ซึ่งมาทำพิธีบรมราชาภิเษกในวัดแห่งนี้ จุดเด่นของวัดนี้ได้แก่ พระพุทธรูปและรูปพระโพธิสัตว์ต่าง ๆ ทั้งที่หล่อจากโลหะ แกะสลักจากหิน และแกะสลักจากไม้ แล้วปล่อยพวกเราให้ไปถ่ายรูปกันตามอัธยาศัย...

สิ่งแรกที่โดดเด่นอยู่กลาง “ลานวัด” ก็คือพระเจดีย์ที่ประกอบด้วยพระพุทธรูปสี่ทิศที่หันพระปฤษฎางค์ชนกัน ซึ่งเป็น “พิมพ์นิยม” ของเนปาล ซึ่งหมายถึงพระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้แล้วทั้ง ๔ พระองค์ในภัทรกัปนี้ แต่พระเจดีย์หลังนี้ไม่ได้หล่อด้วยโลหะ หากแต่แกะสลักขึ้นมาจากหิน ให้ลายละเอียดที่งดงาม โดยเฉพาะพระพักตร์แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๔ ที่สำรวม สงบงาม แค่เห็นก็ชวนให้ใจสงบได้แล้ว พระเจดีย์องค์นี้ตั้งอยู่หน้า Pagoda ที่แกะสลักขึ้นมาจากไม้ มีฐานและหลังคาที่ประกอบขึ้นมาจากหิน...

จากลานแคบ ๆ พวกเราต้องเดินเข้าประตูไปอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งหน้าประตูที่มีบันได ๔ ขั้น นั้น ช่วงล่างสุดเป็นช้างหินแกะสลักหมอบอยู่ด้านละเชือก มีแท่นหินตั้งอยู่บนหลัง บนแท่นก็คือสิงห์ที่แบกใบเสมาหินที่แกะเป็นรูป “พระเหนือพรหม” คือพระพุทธเจ้าแสดงปาฏิหาริย์ เสด็จไปอยู่บนเศียรของท้าวพกพรหม เข้าไปก็เจอวิหารคดรายล้อมลานวัดที่ค่อนข้างกว้างขวาง ประตูทางเข้าที่พวกเราเดินเข้ามาก็เป็นส่วนหนึ่งของวิหารคดนี้ ตรงกลาง “ลานวัด” ก็เป็นพระเจดีย์พิมพ์นิยมแกะสลักจากหินเช่นกัน แต่องค์เล็กกว่าสัก ๓ – ๔ เท่า และไม่สวยเท่ากับองค์ด้านนอก รอบฐานพระเจดีย์มีกระถางต้นสนเล็ก ๆ วางอยู่ทั้ง ๔ ทิศ...

สุธรรม 01-12-2015 05:46

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1448923552
ภายในวัดรุทรวรรณะมหาวิหาร

ถัดไปเป็นหินแกะสลักเป็น “บัวเล็บช้าง” ๒ แท่น แท่นถัดจากองค์พระเจดีย์ว่างเปล่า แท่นถัดไปวางไว้ด้วยวัชระ จากนั้นเป็นเสาไม้สี่เหลี่ยมประมาณหน้าหกสูงประมาณ ๔ เมตร ช่วงบนเหลากลมแล้วแกะเป็นแท่นบัว มีคนหรือเทวดาก็ไม่รู้ ? นั่งพับเพียบโบกธงอยู่ข้างบน ตรงโคนเสาเป็นรูปคนสลักจากหินนั่งพนมมืออยู่บนแท่นหิน ไหว้ไปทางแท่นที่ห้อยระฆังโลหะอยู่ แต่มั่นใจได้เลยว่าไม่ได้ไหว้ระฆัง หากแต่ไหว้พระในวิหารใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าต่างหาก...

รอบ “ลานวัด” เป็นระเบียงคดกึ่งตัวอาคาร มีกงล้อมนต์รายล้อมเป็นรั้วระเบียงทุกด้าน ยกเว้นตรงหน้าที่รูปสลักยกมือไหว้เท่านั้น ที่เป็นตัวอาคารทรงศิขะระ ๒ ชั้น บนสุดเป็นสันหลังคาที่มีพระเจดีย์องค์เล็กเรียงรายอยู่ ๑๕ องค์ พระเจดีย์องค์กลางมีฉัตรกั้นให้ด้วย หลังคาชั้นนี้หุ้มด้วยแผ่นทองเหลือง มี “บันไดสวรรค์” เป็นแผ่นทองเหลืองแกะลายห้อยลงมาพาดหลังคาชั้น ๒ จำนวน ๓ สาย หลังคาของชั้นสองเป็นสีดำต่างจากกระเบื้องของระเบียงคด เหมือนกับมุงด้วยแผ่นดีบุกแบบหลังคาวังไทยโบราณ มีพระเจดีย์เล็ก ๆ ตั้งอยู่ ๖ องค์ด้วยกัน แบ่งเป็นสองแถว หน้า ๑ องค์ หลัง ๕ องค์ ทั้งสองชั้นมีคันทวยที่แกะสลักเป็นรูปเทพเจ้าต่าง ๆ รายล้อมรอบทั้งหลัง...

ด้านหน้าตัวอาคารมี “มณฑป” ๒ หลัง ทางซ้ายมือหลังแรกมีกงล้อมนต์ขนาดใหญ่อยู่ข้างใน ส่วนหลังที่อยู่ตรงหน้าตัวอาคาร มีหลังคาโลหะสีทองวาววับนั้น เป็นที่ประดิษฐานพระเจดีย์องค์เล็ก ตรงทางขึ้นซุ้มประตูหล่อโลหะที่ด้านข้างเป็นรูปหล่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีรูปสิงห์แกะสลักจากหินตั้งอยู่ ๒ ตัว ถัดไปตรงข้างบันไดมีรูปหล่อโลหะสัมฤทธิ์ “ไกรสรอัศวิน” สองตัว ที่ตัวเป็นม้าแต่อุ้งเล็บและหางเป็นสิงห์ ที่ไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อนก็คือมีเขาเป็นแพะที่ยาวมาก...

สุธรรม 01-12-2015 17:03

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1448964165
ไม่ถึงกับคลานเหมือนยายจี๋แต่ก็ใกล้แล้ว..!

อาตมาถ่ายรูปไกรสรอัศวินทั้ง ๒ ตัวแล้ว ก็เดินออกไปทางขวาถ่ายรูปพญาครุฑที่เป็นนกเกือบทั้งตัว ยกเว้นร่างกายที่คล้ายคนแต่แผ่หางเหมือนนกยูง และรูป “ทักทอ” ที่คล้ายคชสีห์มาก แต่เจ้าตัวนี้ก็มีเขาเป็นแพะอีกตามเคย ถัดไปเป็นพระราชานุสาวรีย์ของ พระเจ้าศิวเทวา (King Shiva Deva) ซึ่งช่างหล่อชื่อ บัญชา โยธี ศากยะ (Pancha Jyoti Shakya) สร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. ๑๙๓๙ ก่อนอาตมาเกิด ๒๐ ปี ที่รู้นี่ไม่ได้ถามใคร หากแต่เขามีป้ายภาษาอังกฤษอยู่ที่ฐานพระราชานุสาวรีย์ จึงแอบลอกข้อมูลมาใช้งาน...

หันมาเห็นยายจี๋ที่ลงทุนคลานยงโย่ยงหยก ยื่นกล้องเข้าไปในประตูศิขะระที่มีรั้วเหล็กกั้นอยู่ เพื่อถ่ายภาพที่ตนเองสนใจ แสดงว่าต้องเป็นของสำคัญ ยายจี๋ถึงได้ลงทุนลงแรงขนาดนั้น อาตมาเดินวนขวาถ่ายรูปพระวัชรปาณีโพธิสัตว์ และพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ซึ่งคนไม่รู้คงคิดว่าเป็นพระพุทธเจ้า เมื่อวนกลับมาก็เจอแม่ป๋อมกำลังนั่งยอง ๆ เล็งกล้องเข้าไปในประตูศิขะระบ้าง ทำเอาอาตมาต้องเข้าไปเล็งดูว่ามีอะไรอยู่ข้างใน ขนาดเขาไม่เปิดประตูยังสนใจกันจนขนาดนี้...

แม่ป๋อมหลบให้อาตมา “ส่อง” ผ่านรั้วเหล็กเข้าไป อ๋อ...ที่แท้ก็พระอมิตาภพุทธเจ้า ที่เป็น ๑ ใน ๕ พระธยานิพุทธะ (พระพุทธเจ้าที่เกิดจากการนิรมิตของพระอาทิพุทธะผู้เป็นต้นธาตุต้นธรรม) ที่ทราบเพราะบนพระเศียรมีพระพุทธรูปเล็ก ๆ ประทับอยู่ และสีพระพักตร์เป็นสีแดง ไม่สามารถเห็นสีพระวรกายส่วนอื่น ๆ เนื่องจากเครื่องทรงสีน้ำเงินลายทองปิดบังไปจนหมด ส่วนสองข้างประตูเป็นสิงห์แลบลิ้น มีพระมัญชุศรีโพธิสัตว์ประทับอยู่บนหลัง ที่ฟันธงได้เพราะต่างจากพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ที่ทรงช้างเป็นพาหนะ อาตมาจึงถ่ายรูปทั้งหมดไปด้วย...

สุธรรม 02-12-2015 08:23

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1449019385
ใครจะไปก็หลบเชือกกันเอาเองนะครับ..!

นายทองที่ยืนหลบแดดอยู่ข้างซุ้มประตูชั้นใน ส่งเสียงเรียกมาว่าหมดเวลาแล้ว พวกเรายังต้องไปยังสถานที่สำคัญคือพระสถูปสวยัมภูวนารถ ซึ่งพวกเรากำหนดไว้ในรายการทัวร์ว่า เป็นสถานที่ซึ่ง “ต้องไปให้ได้” อาตมาจึงเรียกทุกคนให้มารวมตัวกันที่ด้านหน้าวัด ถ่ายรูปหมู่กับสิงห์เนปาลแกะสลัก แต่ได้แค่ป้ามอย แม่ป๋อม น้องเก๋ น้องเล็ก และลูกปุ๊ก ส่วนยายจี๋ที่ออกมาทีหลัง ยังอุตส่าห์ช่วยถ่ายรูปหมู่ที่ไม่มีตัวเองให้อีกกล้องหนึ่ง...

“นายยู่ยี่” นำรถตู้มาเทียบรับถึงหน้าประตูวัด แล้วพาวิ่งย้อนกลับไปทางพระราชวังปาทาน แต่พอมาถึงข้างพระราชวัง กลับพาเลี้ยวซ้ายมุ่งผ่านถนนที่เมื่อเช้าอาตมาย่องมา “เดินตลาด” ไปได้หน่อยหนึ่งรถก็ติดหนุบหนับ “ขบวนแห่เทพเจ้าเมื่อเช้านี้ค่ะ ยังไม่ได้ไปไหนเลย” แม่ป๋อมกับลูกปุ๊กชิงกันบอก มองไปเห็นราชรถที่บนหลังคาเหมือนกับยกเอาต้นสนทั้งต้นขึ้นไปตั้งไว้ มีข้าวของเครื่องบูชาและผ้าผ่อนสารพัดติดอยู่ ซึ่งคงจะรับน้ำหนักไม่ไหว ตอนนี้จึงเอียงกระเท่เร่จะล้มแหล่ไม่ล้มแหล่ ทำให้ผู้คนต้องระดมกันเอาเชือกผูก “ต้นสน” ช่วยกันชักช่วยกันรั้งจนเป็นเหตุให้รถติดหนับ...

อาตมาที่เมื่อเช้าเบียดคนเข้ามาไม่ไหว จึงได้ดูอย่างถนัดตาในตอนนี้เอง ราชรถนั้นมีแอกเป็นคานไม้เหลี่ยมประมาณหน้าแปด มีล้อแบบล้อเกวียนที่สูงท่วมหัว นับว่าใหญ่โตเอาการทีเดียว บนรถเป็นมณฑปโลหะที่ตั้งอยู่บนพื้นไม้ มี “ต้นสน” ติดตั้งอยู่บนหลังคา “นายยู่ยี่” บีบแตรเตือนฝูงชน พร้อมกับพยายามเบียดรถแทรกเข้าไปเรื่อย ๆ พอเลี้ยวขวาได้ถึงเห็นชัดว่า อีกสาเหตุของรถติดก็คือ มีคนเอาหลักโลหะมาตอกลงบนกลางถนน เพื่อโยงรั้งไม่ให้ “ต้นสน” ล้มลงกับพื้น รถที่วิ่งมานอกจากต้องหลบหลักแล้ว ยังต้องแหวกเชือกมะลิลาเส้นมหึมาถึงจะผ่านไปได้...

สุธรรม 02-12-2015 17:48

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1449053258
ใต้สะพานลอยที่เอื้อเฟื้อต่อผู้ใช้งานทั้งสี่ทิศ

รถของเราเบียดผ่านเสาเหล็กกลางถนน ผ่านทหารซึ่งถือวิทยุมือถืออำนวยการอยู่ ถนนช่วงนี้ยังแคบมาก สองฝั่งมีแผงลอยขายสินค้าต่าง ๆ มากมาย กระทั่งไก่เป็น ๆ ที่ใส่อยู่ในเข่งก็ยังมีขาย ประมาณห้านาทีก็หลุดออกมาสู่วงเวียนที่มีอนุสาวรีย์ซึ่งน่าจะเป็นอดีตกษัตริย์เนปาล รถของเราวนขวามาสู่ถนนอีกสายหนึ่ง ขึ้นสะพานที่ทอดข้ามแม่น้ำแห้งขอดสีดำ ๆ หลุดมาสู่ถนนกว้างใหญ่เรียบกริบ นายทองบอกว่าถนนสายนี้จีนมาช่วยสร้างให้แบบให้เปล่า...

ไปได้ไม่ไกลก็มีสะพานลอยซึ่งสร้างได้เอื้อเฟื้อมาก เพราะเป็นรูปตัว Y ที่มีสองหัว ผู้คนทั้งสี่ฝั่งถนนสามารถใช้งานร่วมกันได้ ใต้สะพานมีตำรวจจราจรในเสื้อสีฟ้า คอยอำนวยความสะดวกการจราจรที่ค่อนข้างหนาแน่น “นายยู่ยี่” พารถวิ่งยาวไปเข้าถนนสายที่เล็กกว่า ซึ่งสองฟากข้างมีร้านรวงมากมาย ประมาณสิบห้านาทีก็เริ่มขึ้นเนิน มาเลี้ยวขวาที่หน้าตัวตึกทาสีเหลืองสลับเลือดหมู ซึ่งมี “ธงมนต์” หลายสิบสายพาดทั่วไปหมด เป็นสัญลักษณ์ว่าเป็นศาสนสถาน...

พลขับหน้ายับจอดรถให้พวกเราลงตรงหน้าบันได ซึ่งนำขึ้นไปสู่ซุ้มประตูใหญ่ข้างบน สองข้างบันไดมีสิงห์แกะสลักจากหินตัวไม่ใหญ่นักยืนยามอยู่ สูงขึ้นไปนิดหนึ่งเป็นอาคารลักษณะเป็นป้อมยามกระหนาบสองฟากของซุ้มประตู นายทองเข้าไปซื้อตั๋วให้พวกเราที่ป้อมยามทางซ้ายมือ เมื่อเดินขึ้นบันไดไปแล้ว เยื้องไปทางขวามือหน่อย จะเป็นพระเจดีย์โลหะ “พิมพ์นิยม” และพระเจดีย์สีขาวก่อจากปูน หลังเล็กหลายองค์ หลังใหญ่อีก ๒ องค์ พร้อมกับระฆังหล่อจากโลหะใบใหญ่ เมื่อดูจากขนาดและความหนาแล้ว คาดว่าน่าจะหนักไม่ต่ำกว่าครึ่งตัน...

สุธรรม 03-12-2015 05:43

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1449096165
นายทองพาขึ้นบันไดเพื่อไปไหว้พระสถูป

“รบกวนคุณแม่ถ่ายรูปให้ด้วยครับ” อาตมานั่งลงตรงหน้าระฆัง ขอให้แม่ป๋อมที่ถ่ายรูปพระเจดีย์อยู่ใกล้ ๆ ถ่ายรูปให้ด้วย เสร็จแล้วนายทองที่ถือตั๋วเข้าชมสถานที่ก็เรียกรวมพล แล้วบรรยายว่า “สวยัมภูวนารถเป็นเจดีย์ของชาวพุทธ (Buddhist Chaityas) ที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของโลก เชื่อกันว่าน่าจะมีอายุถึง ๒,๐๐๐ ปี สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้ามานเทวะ ในจุดที่เชื่อว่า “พระอาทิพุทธะ” ปรากฏพระองค์บนโลกมนุษย์ตามคติความเชื่อของชาวพุทธสายวัชรยาน...

ในอดีตกาลนานนับแสนกัปมาแล้ว บริเวณนี้เป็นทะเลสาบกว้างใหญ่ วันหนึ่งเกิดมีดอกบัวผุดขึ้นบนเกาะกลางทะเลสาบ ในดอกบัวมีเปลวไฟอันเป็นนิรันดร์พวยพุ่งขึ้นมา พร้อมกับมี “พระอาทิพุทธะ” อุบัติขึ้นภายในอาสนะดอกบัว ซึ่งเป็นการปรากฏพระองค์ครั้งแรกบนโลกมนุษย์ ต่อมาเมื่อราว ๒,๕๐๐ ปีก่อน พระมัญชุศรีโพธิสัตว์จาริกมายังเกาะกลางทะเลสาบแห่งนี้ มีพระประสงค์จะให้ชาวพุทธมาจาริกมาแสวงบุญที่นี่ได้ง่ายขึ้น จึงทรงใช้พระขรรค์ตัดเขามหาภารตะ ทำให้น้ำไหลออกจากทะเลสาบจนหมด กลายเป็นหุบเขากาฐมาณฑุอันอุดมสมบูรณ์ ให้ชาวเนปาลได้ตั้งถิ่นฐานมาจวบจนทุกวันนี้...

พระสถูปสวยัมภูวนารถสร้างตามแบบของสถูปสาญจีที่อินเดีย องค์สถูปเป็นรูปโอคว่ำสีขาว เป็นการจำลองมณฑลพุทธเกษตรที่สถิตของ “พระธยานิพุทธ” ทั้งห้า โดยมีดวงตาของพระไวโรจนะผู้ทรงปัญญา ประดิษฐานที่องค์บัลลังก์ของเจดีย์ เรียกว่าปัญญาจักษุ (Wisdom eyes) วัดนี้มีลิงมากจนเรียกอีกอย่างว่าวัดลิง (Monkey Temple) ต้องระวังให้ดีเพราะส่วนมากจะดุ อาจจะกัดเอาได้ พวกเราต้องเดินขึ้นบันไดหิน ๓๖๕ ขั้น เพื่อไปนมัสการพระเจดีย์ และชมวิวเมืองกาฐมาณฑุข้างบน ตามผมมาได้เลยครับ” นายทองจบการบรรยายพร้อมกับเดินผ่านร้านขายของที่ระลึก ขึ้นบันไดไปก่อน...

สุธรรม 03-12-2015 20:13

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1449148373
พระสถูปสวยัมภูวนารถ

บันไดหินไม่ชันมาก เดินขึ้นไปไม่กี่ขั้นก็จะมีชานที่มีเก้าอี้ให้นั่งพักเป็นระยะไป ร้านขายของที่ระลึกซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกลูกประคำ หน้ากาก ไม้หอม ธูปเทียน พระพุทธรูป ก็มีอยู่เป็นระยะ ทางขวามือเป็นภูเข้าที่มีต้นไม้เหมือนป่าธรรมชาติ ทหารพระราม ๒ – ๓ ตัวไล่กวดกันอยู่บนต้นไม้...

เมื่อมาถึงสุดบันได ซึ่งทางซ้ายเป็นร้านขายของที่ระลึก มีแตรทองเหลืองขนาดใหญ่ ๆ เล็ก ๆ แขวนผนังไว้หลายอัน น้องเล็กเข้าไปลูบ ๆ คลำ ๆ ของอยู่หลายชิ้น แต่ก็ไม่ได้ซื้อ มองตรงไปก็เห็นหมู่พระเจดีย์หล่อจากโลหะ ซึ่งมีทั้ง “พิมพ์นิยม” ที่มีพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ และที่เป็นองค์พระเจดีย์อย่างเดียว เรียงรายเป็นแถบกว้างนับร้อยองค์...

องค์พระสถูปสวยัมภูวนารถอยู่ท่ามกลางอาคาร พระเจดีย์ และพระพุทธรูปต่าง ๆ ดวงเนตรแห่งปัญญาจักษุมองออกไปในทิศทั้ง ๔ บริเวณองค์สถูปรูปโอคว่ำสีขาว ไม่ทราบตั้งใจทาสีหรือเปล่า ? เพราะมีสีเหลืองขมิ้นเหมือนรูปกลีบบัวรายอยู่โดยรอบ ด้านนอกเป็นรั้วกงล้อมนต์ล้อมองค์พระสถูปอีกที มีซุ้มประตูโลหะอยู่รอบทั้งสี่ทิศ...

สุธรรม 04-12-2015 06:54

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1449186817
เจอญาติที่เนปาล..!

ข้างบนพระสถูปนี้ต้องบอกว่า “รก” เลยทีเดียว สิ่งก่อสร้างต่าง ๆ ทั้งเจดีย์ สถูป พระพุทธรูป เทวรูป เทพพิทักษ์พระพุทธศาสนา ศาลา พิพิธภัณฑ์ ร้านขายของที่ระลึก ราวสำหรับตามประทีป ฯลฯ แน่นจนแทบจะไม่เหลือทางไว้ให้เดิน หามุมถ่ายรูปยากมาก เพราะเกะกะไปหมด หลังจากถ่ายรูปป้ามอย น้องเล็ก กับลูกปุ๊กที่เดินหมุนกงล้อมนต์ และไปสัมผัสกับวัชระอันใหญ่เพื่อขอพรแล้ว อาตมาก็หลบออกมาถ่ายรูปที่ริมหน้าผา ซึ่งสามารถมองเห็นกรุงกาฐมาณฑุได้ทั้งเมือง...

ถ่ายรูปเสร็จแล้วค่อยมาตามหาพวกเรา เห็นน้องเล็กโผล่มาก่อนเพื่อน กำลังถ่ายรูปน้องเล็กกับพระสถูป ป้ามอยกับลูกปุ๊กก็มาถึง กำลังจะถ่ายรูปหมู่ให้ทั้งสามคน ก็มีสาวเนปาลีแสนสวยสองคน ในชุดส่าหรีสีม่วงอ่อนกับสีเขียว หน้าผากแต้ม “ดิลก” โบกมือร้องถามมาว่า “Can we take some photo with you ?” อ้าว..อยู่ ๆ ก็มาเจอญาติในแดนพุทธภูมิ เมื่อสามป้าเซย์เยส เธอทั้งสองก็วิ่งเข้ามาโอบหลังโอบไหล่อย่างสนิทสนม อาตมาถ่ายรูปทั้งยืนและนั่งไปอย่างละ ๒ รูป นายทองโผล่มาช่วยถ่ายรูปให้อาตมาอีก ๒ รูป เสร็จแล้วมีการกอดลากับบรรดา "ป้า ๆ" แบบคนคุ้นเคยอีกด้วย จากนั้นคนสวยทั้งสองก็โบกมือลา “Dhanyabad (ขอบคุณมาก)” ฮ่วย..ยั่วให้อยากแล้วจากไปนี่หว่า..!

เรื่อง “ป้ามอยเจอญาติ” มีหวังกลายเป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ สำหรับพวกเราไปอีกนาน เมื่อเดินวนหาคนอื่นก็เจอน้องเก๋ที่เข้าไปไหว้พระในวิหาร จึงจับกลุ่มกันถ่ายรูปที่หน้าประตู จากนั้นเดินเข้าไปในศาลาพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเป็นห้องยาว ๆ สองฝั่งเป็นตู้กระจก มีพระพุทธรูป และเทวรูปองค์ไม่ใหญ่นักบรรจุอยู่หลายชั้น ที่กลางศาลามีพระพุทธรูปและเทวรูปที่ค่อนข้างใหญ่ตั้งแสดงไว้หลายองค์ มีตู้กระจกใบใหญ่ที่ตั้งอยู่ต่างหาก ที่มีพระพุทธรูปปางปรินิพพานองค์ใหญ่ห่มผ้าอยู่ข้างใน เมื่อเดินจนครบรอบถึงได้เห็นว่า มีพระพุทธรูปปางประทับนั่งสมาธิ ประทับยืน ประทับสีหไสยาสน์หรือปรินิพพานครบทุกอิริยาบถ...

สุธรรม 04-12-2015 15:39

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1449272868
"ท่านลุง" ที่แอบมายืนคนเดียวเงียบ ๆ..!

ครั้นเดินทั่วพิพิธภัณฑ์แล้ว อาตมาก็ชวนป้ามอย น้องเก๋ น้องเล็ก และลูกปุ๊ก ออกไปถ่ายรูปกับมุมที่มองเห็นกรุงกาฐมาณฑุทั้งเมือง แต่ถ่ายแล้วคนจะเหลือแค่หัวไม้ขีดเท่านั้น เมื่อเดินกลับขึ้นมาบนสถูป ก็เจอยายจี๋ที่กำลังทำท่ากลัว ๆ กล้า ๆ ถ่ายรูปลิงตัวหนึ่ง ที่มุดเข้าไปในซุ้มโลหะขององค์สถูป ค้นนั่นรื้อนี่ เมื่อหาอะไรกินไม่ได้ก็กลับออกมา กระโดดแผล็วเหยียบพระเจดีย์องค์เล็ก แล้วกระโจนขึ้นไปบนหลังคาร้านขายของหายลับไป...

มีหมาสีดำตัวหนึ่งนอนเขลงอยู่หน้าร้านขายของที่ระลึก ขนค่อนข้างฟูแบบหมาเมืองหนาว อาตมาที่ยังไม่ได้เจอ “หมาทิเบต” จึงถ่ายรูปเจ้าตัวนี้ไปแทน พอดีแม่ป๋อมหอบข้าวของที่ไปแอบซื้อเดินยิ้มย่องผ่องใสมา ถามว่าอะไร ? ราคาเท่าไร ? ก็ไม่ยอมบอก เพราะถ้าได้ยินว่าแพงก็จะเสียความมั่นใจอีก...

เมื่อเห็นว่าทุกคนมากันครบแล้ว นายทองก็พาเดินลงจากเขา ตรงหัวมุมใกล้ทางลงมีรูปปั้นนูนต่ำของ “ท่านลุง” อยู่ในซุ้ม ยืนเหยียบซากศพ พระหัตถ์ขวาถือวัชระ พระหัตถ์ซ้ายถือกปาละ (กะโหลกศีรษะที่เอามาทำเป็นภาชนะ) ซอกแขนซ้ายหนีบกระบองภูตบดีซึ่งเป็นรูปกะโหลกศีรษะ มีพาหุรัดหัวกะโหลกประดับต้นแขน และสังวาลกะโหลกสายยาวเลยไปถึงพระเพลา ที่เห็นแล้วรักเลยก็คือศิราภรณ์ที่เป็นกะโหลกศีรษะขนาดเล็ก ด้านบนเป็นรูปพระพุทธรูป แสดงให้เห็นว่าท่านเคารพในพระรัตนตรัยมาก โดยเฉพาะท่ายิ้มหนวดกระดิก ที่ไม่รู้ว่าจะโดดกอดท่านดีหรือว่าเผ่นไปไกล ๆ ดี ตรงนัยนาวุธอันเป็นเนตรที่สาม มีผู้เอาสีแดงมาเจิมเอาไว้ด้วย...

สุธรรม 05-12-2015 06:51

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1449273004
บนยอดเขาอีกด้านหนึ่งซึ่งอยู่ตรงข้ามกับพระสถูปสวยัมภูวนารถ

กลับลงมาที่ลานหน้าซุ้มประตูอีกครั้ง ตรงหน้าเมื่อลงจากบันไดหินเป็นสระน้ำ ในสระมีพระพุทธรูปปางประทานพรยืนอยู่บนฐานบัว ตรงหน้ามีบาตรสำหรับให้คนโยนเหรียญเสี่ยงทาย เหรียญที่ไม่ลงบาตรตกกองพะเนินอยู่บนแผ่นซีเมนต์ใต้ฐานบัว นอกจากญาติโยมหลายคนที่กำลังโยนเหรียญแล้ว ยังมีลิงอีก ๒ – ๓ ตัวไล่กวดกันอยู่บนรั้วเหล็กที่ล้อมรอบบ่อน้ำ อาตมาถ่ายเจ้าตัวหัวโจกที่ยืนขย่มรั้วอยู่ เจ้านั่นเลิกคิ้วแยกเขี้ยวใส่ พออาตมาแยกเขี้ยวให้บ้าง มันคงเห็นว่าฟันซี่ใหญ่กว่า จึงทำท่าจ๋อย ๆ หมดความคึกคักไปเลย...

เมื่อถ่ายรูปบริเวณสระน้ำแล้ว พวกเราก็เดินลงมาทางซุ้มประตูใหญ่ แต่ไม่เห็นว่า “นายยู่ยี่” เอารถไปจอดไว้ที่ไหน ? เดินหารถไปได้หน่อยหนึ่งก็เห็นทางขวามือมีบันได ด้านบนที่เป็นต้นไม้เขียวขจีมีธงมนต์ประดับไว้หลายสิบสาย น่าจะมีอะไรที่สำคัญ จึงเดินขึ้นไปแบบไม่ลังเล เห็นมีสถูปสูงประมาณหัวของพวกเรา ๗ – ๘ องค์ ดูลักษณะแล้วน่าจะบรรจุอัฐิพระเถระองค์สำคัญไว้เป็นแน่ ด้านบนนี้ร่มรื่นมาก ตามต้นไม้มีธงมนต์ระโยงระยางอยู่มากมาย...

มีอาคารลักษณะเหมือนป้อมยาม มีป้ายเขียนว่า “Lashi Centre” คงเป็นศูนย์การทำงานพระพุทธศาสนา ที่เกี่ยวข้องกับพระลามะลาชิแน่นอน ด้านบนนี้มีคนมานั่งพักผ่อนและเดินเล่นกันมากทีเดียว พวกเราที่หามุมถ่ายรูปจึงต้องรอจังหวะเหมาะ ๆ ที่ผู้คนเดินพ้นไปแล้ว จึงสามารถถ่ายรูปตามที่ต้องการได้ เนินเขาด้านนี้สูงพอ ๆ กับยอดพระสถูปสวยัมภูวนารถ เมื่อมองลงไปด้านพระสถูปจะเห็นลานหน้าซุ้มประตูและสระน้ำอย่างชัดเจน...

สุธรรม 05-12-2015 14:39

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1449301129
"ตีเนียน" ด้วยการถ่ายรูปรถตู้เอาไว้

เมื่อทุกคนแม้แต่อาตมาเองได้รูปครบแล้ว ก็เดินกลับลงมาหารถใหม่ มาเจอเข้าที่ลานจอดรถเลย “กุฏิพระ” ที่เป็นตึกสองชั้น ข้างบนทาสีน้ำตาลแดง ข้างล่างทาสีขาวมอม ๆ ไปตั้งไกล ไม่เห็นว่า “นายยู่ยี่” ไปหลบอยู่ที่ไหน พวกเราเลย “ตีเนียน” ด้วยการถ่ายรูปรถตู้เอาไว้ โดยมียายจี๋ น้องเก๋ น้องเล็ก และลูกปุ๊กเป็นนางแบบ หลังจากนี้ถ้าไปจอดรวมกับรถตู้อื่น ๆ เราก็แค่เปิดดูรูปว่ารถของเราเป็นคันไหน เท่านี้ก็จบเรื่อง...

นายทองกับ “นายยู่ยี่” หลบไปหาอะไรกินมาด้วยกันแน่เลย เพราะโผล่ศีรษะมาพร้อมกัน พวกเราบอกว่าให้พากลับไปที่สำนักงานของนายรามก่อน เพื่อติดตามเรื่องวีซ่าเข้าเมืองจีนว่าเสร็จแล้วหรือไม่ ? ถ้ามีเวลาเหลือค่อยไปช็อปปิ้งกันตามโปรแกรมที่วางเอาไว้ “นายยู่ยี่” จึงนำรถตู้ลงจากเขา พาวิ่งดิ่งลงเขาตรงเข้าเมือง ขึ้นสะพานที่ทอดข้ามแม่น้ำพิษณุมาตี (Bisnumati River) ตัดเข้าถนนซอยเล็ก ๆ ที่แคบจนรถแทบจะสวนกันไม่ได้ แล้วก็ไปเจอทีเด็ดว่ารถที่สวนมานั้นเป็นหกล้อ..!

รถหกล้อเมืองนี้น่าจะเจริญเติบโตกว่ารถหกล้อบ้านเรา เพราะใหญ่กว่าสิบล้อบ้านเราตั้งเยอะ พ่อเจ้าประคุณพยายามหลบสุดชีวิต เลยไปเบียดกับเสาไฟฟ้าและป้ายหน้าร้านอินเตอร์เน็ต ขยับทีเสาไฟฟ้าก็โยกที อาตมาเอากล้องแปะติดกระจกรถตู้ของเรา ถ่ายภาพการถ้อยทีถ้อยอาศัยของชาวเนปาลี ที่สามารถแบ่งกันใช้ “ทรัพยากร” อันน้อยนิด อย่างมีน้ำใจอันยิ่งใหญ่ต่อกัน จนรถของเราหลุดเลยไปได้ ทิ้งปัญหาให้กับรถหกล้อว่า ทำอย่างไรที่จะออกรถโดยไม่ดึงเสาไฟล้มไปด้วย..?

สุธรรม 06-12-2015 05:51

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1449355859
ลืมเรื่องวีซ่าไปแล้ว..!

หลุดจากซอยมาถนนใหญ่ พอถึงสี่แยก “นายยู่ยี่” ก็นำรถเลี้ยวขวาขึ้นเหนือ มุ่งไปจนถึงย่าน Thamel ซึ่งคุ้นตาทันทีเพราะจำร้านขายของต่าง ๆ ได้ นายทองให้จอดรถหน้าปากซอย พวกเรารีบลงแต่แทนที่จะรีบไป น้องเก๋ น้องเล็กกับลูกปุ๊ก กลับแวะเข้าไปหยิบ ๆ จับ ๆ ดูข้าวของในร้าน ส่วนยายจี๋ ป้ามอยกับแม่ป๋อม รวมกลุ่มไปดูของอีกร้านหนึ่ง ดูท่าว่าจะลืมเรื่องวีซ่าไปโดยสิ้นเชิงแล้ว..!

“เฮ้ย..เอาเรื่องงานก่อน รู้เรื่องแล้วค่อยมาช็อปปิ้ง” เมื่อโดนอาตมาประท้วงทุกคนก็ทำหน้ากระเรี่ยกระราด เดินตามนายทองที่ทำท่าโล่งใจ ขึ้นไปยังสำนักงานของนายราม พอเปิดประตูเข้าไปก็เจอนายราเมศวร์เข้าพอดี “Namaste” นายราเมศวร์เอ่ยพร้อมกับยื่นมือมาให้ อาตมาส่งมือซ้ายไปแล้วเพิ่งนึกได้ว่าเขาถือ จึงรีบเปลี่ยนเป็นมือขวา จับเขย่ากันแล้วมัคคุเทศก์คนเก่าก็บอกว่า วีซ่าของพวกเรายังไม่เรียบร้อย ให้ไปเที่ยวกันก่อน ถ้าได้แล้วจะโทรแจ้งนายทองให้ทราบเอง...

ทุกคนกระดี๊กระด๊าหน้าบาน เพราะเล็งเอาไว้แล้วว่าจะซื้ออะไรกันบ้าง พวกเรากลับลงมาจากสำนักงาน เพิ่งจะเดินดูของได้ไม่กี่ร้าน น้องเก๋ก็กระหืดกระหอบมาบอกว่า นายรามโทรติดต่อกับทางสถานทูตจีนแล้ว บอกว่าวีซ่าของพวกเรามีปัญหา จึงแจ้งให้นายทองทราบ พวกเราที่ยังไม่ทันจะได้อะไรเลย ก็ต้องละมือจากการช็อปปิ้ง เดินตามนายทองย้อนกลับไปที่สำนักงานอีกรอบ...

สุธรรม 06-12-2015 13:37

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1449383803
โดน "ฆ่าทิ้ง" อยู่คนเดียว..!

พอโผล่เข้าไปในสำนักงานก็เจอบรรยากาศ “ทะมึน” เพราะหน้าหล่อ ๆ ของนายรามคิ้วเกือบจะผูกติดกัน ยื่นกระดาษที่มีคำว่า GROUP VISA มาให้ บอกเร็วปรื๋อจนฟังแทบไม่ทันว่า ทางสถานทูตจีนตรวจสอบแล้ว อนุญาตให้คณะของเราผ่านชายแดนเนปาลเข้าทิเบตได้ทุกคน ยกเว้นอาตมาเท่านั้น..!

เมื่อรับมาดูก็เห็นรายชื่อของแม่ป๋อม น้องเก๋ ป้ามอย ลูกปุ๊ก และน้องเล็ก ที่เกลี้ยงเกลาขาวสะอาดดี ยกเว้นชื่อของอาตมาเองในอันดับที่ ๕ มีปากกาขีดฆ่าตั้งแต่หัวยันท้าย ซึ่งหนังสือขออนุญาตนี้ “ยายก๊ง” แกทำมาให้พวกเราตั้งแต่ก่อนเดินทาง อาตมาก็ยังสงสัยว่า แล้วทำไมทางนี้ “เสือก” เอาไปยื่นซ้ำกับทางสถานทูตจีนในเนปาลให้มีปัญหาอีก..!

นายรามอธิบายว่าเป็นเพราะอาตมาถือหนังสือเดินทางราชการ ซึ่งโดยปกติต้องนั่งเครื่องไปลงในเมืองใหญ่ ๆ ของจีนเช่นเฉิงตูโดยตรง ไม่ใช่มาเข้าทางชายแดนแบบนี้ ทางสถานทูตจึงไม่ยอมให้ “เสียเกียรติ” จำต้องขีดฆ่ารายชื่อออก คำอธิบายแบบนี้อาตมาถือว่า “กวนตีน” เลย ถ้าเอ็งจะให้เกียรติข้า ไม่ว่าข้าจะไปไหนก็ต้องได้รับความสะดวก ไม่ใช่มาสร้างความยุ่งยากให้อย่างนี้ คาดว่าน่าจะเป็นปัญหาเดียวกันกับการเดินทางไปประเทศจีนครั้งก่อน คือทางการจีนกลัว “นักบวช” อย่างอาตมาจะไปเผยแผ่ลัทธิประหลาด ๆ ประเภท “ฝ่าหลุนกง” หรือไปปลุกระดมให้พระทิเบตประท้วงรัฐบาลจีน จึงตัดปัญหาด้วยการไม่ให้เข้าเมืองจีนไปเลย...

สุธรรม 07-12-2015 05:39

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1449441530
บรรยากาศ "ทะมึน" ในสำนักงานท่องเที่ยว

น้องเก๋ที่เข้าสู่บรรยากาศ “ทะมึน” เพราะคิ้วเริ่มติดกันไปอีกคนหนึ่ง บอกกับนายรามว่า “เจ๊ก๊ง” ก็ทราบแต่แรกว่าอาตมาถือหนังสือเดินทางราชการ แล้วไฉนจึงทำเรื่องจนเละแบบนี้ ? พระรามได้ยินเข้าก็ทำหน้า “เหวอ” แล้วรีบกดโทรศัพท์มือถือถึง “ยายก๊ง” ทันที หลังจากรัวลิ้นภาษาอังกฤษสำเนียงแขกกันพักใหญ่ ก็ยืนยันกับน้องเก๋ว่า ทางโน้นไม่ทราบเรื่องหนังสือเดินทางราชการของอาตมา จึงไม่สามารถที่จะรับผิดชอบได้..!

ฮ่า..พวกคุณรู้จักฉายา “นางมารร้าย” ที่อาตมาตั้งให้น้องสาวคนนี้น้อยไป น้องเก๋ขอยืมโน้ตบุ๊กของนายรามมาเข้าอินเตอร์เน็ต แล้วเข้าสู่อีเมล์ของตัวเอง ค้นหาอยู่พักหนึ่งก็ตบมือฉาด พลางหันจอโน้ตบุ๊กใส่หน้าหล่อ ๆ ของนายรามที่นั่งหลังเคาน์เตอร์ ซึ่งพอเห็นข้อความชัด ๆ ในเมล์ที่ติดต่อกับ “ยายก๊ง” ว่า “พระภิกษุท่านถือหนังสือเดินทางราชการ จะมีปัญหาในการเข้าเมืองจีนหรือไม่ ? และควรจะปฏิบัติอย่างไร ?” นายรามก็ทำท่าครวญหาพระผู้เป็นเจ้า รีบโทรศัพท์หา “ยายก๊ง” โดยด่วนอีกครั้ง..!

คราวนี้ก็เป็นเรื่องสิครับ “ล้งเล้ง” กันใหญ่ พอนายรามส่งโทรศัพท์ให้ ทางน้องเก๋ก็พูดไม่ทัน (ดูท่าจะเก่งแต่เขียน) จนแม่ป๋อมต้องคว้าไปพูดแทน เจอคนที่โตมาในสิงคโปร์ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการ ค่อยสมน้ำสมเนื้อกันหน่อย หลัก ๆ ก็คือ “ยายก๊ง” เธอต้องรับผิดชอบ เพราะทั้งที่รู้ว่าหนังสือเดินทางราชการจะมีปัญหา แต่ก็ยังส่งพวกเรามา “ค้างเติ่ง” อยู่ที่นี่...

สุธรรม 07-12-2015 16:11

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1449479421
รถที่จะมารับพวกเราไปทิเบตมาได้ครึ่งทางแล้ว..!

แต่ที่ตกลงกันยากเพราะทาง “ยายก๊ง” เธอได้นัดรถยนต์มารอรับพวกเรา แม้จะยังมาไม่ถึงเมืองจางมู่ (Zhangmu) ที่ชายแดนเนปาล แต่ก็มาถึงเมืองชิกัตเซ่ (Shigatse) ที่เป็นครึ่งทางจากลาซา (Lhasa) แล้ว ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ต้องมีให้เขา พวกเราควรเดินทางไปตามโปรแกรมเดิม ส่วนพระท่านให้เดินทางโดยเครื่องบินไปลงที่เฉิงตู (Chengdu) แล้วทาง NAVO Tour จะจัดรถไปส่งที่ลาซา อาตมาให้ยืนยันไปว่า ในเมื่อหัวหน้าคณะไปไม่ได้ ก็ขอยกเลิกโปรแกรมทิเบตทั้งคณะ..!

เมื่อโยนความเครียดกลับไปให้ “ยายก๊ง” ก็คงจะช็อก เพราะไม่เคยเจอปัญหาแบบนี้มาก่อน ประกอบกับทางเมืองเสฉวนซึ่งเป็นที่ทำงานของ NAVO Tour เวลาเร็วกว่าเนปาลสองชั่วโมงกว่า ตอนนี้ค่ำแล้ว คุณเธอกลับบ้านไปตั้งนาน ที่รับโทรศัพท์เพราะนายรามเป็นเจ้าของบริษัทที่ “Co” กันมาตลอด ไม่สามารถจะเคลียร์อะไรให้ตอนนี้ ขอผลัดเป็นพรุ่งนี้ค่อยให้คำตอบต่าง ๆ จะได้ไหม ?

แม่ป๋อมโทรหาพระครูปลัดปิง ที่เดินทางบ่อยจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านต่างประเทศไปแล้ว อีกฝ่ายแนะนำว่าให้อาตมาใช้พาสปอร์ตเล่มแดงแทน จึงหันไปถามนายรามว่าสามารถใช้พาสปอร์ตเล่มแดงแทนได้ไหม ? แทนที่จะถามอาตมาก่อนดันไปถามเขาแบบนั้น จะหาเรื่องให้อาตมาติดคุกเนปาลซะแล้ว ถือพาสปอร์ตสองเล่มของประเทศเดียวกันมันผิดกฎหมายนะโว้ย..! อาตมาบอกว่าตอนทำเล่มใหม่เขาต้องยกเลิกเล่มเก่าไปก่อน คุณแม่แทนที่จะหายโง่ ดันไปบอกพระครูปลัดปิงว่าเล่มเก่าของอาตมาโดน “แคนเซิล” ไปแล้ว เลยยิ่งคุยกันไม่รู้เรื่องเข้าไปใหญ่..!

สุธรรม 08-12-2015 06:18

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1449530271
ทุกคนกำลังเสียใจมากที่ไม่ได้ไปทิเบต..!

ทั้งนายทอง นายราเมศวร์ พอทราบสถานการณ์ก็พลอยมานั่งล้อมวงเป็นทุกข์เป็นร้อนไปด้วย นายหนุ่มหล่อ (๑) เพื่อนร่วมงานของนายรามคงเห็นว่าเรื่องยาวแน่ จึงใช้คนวิ่งไปซื้อน้ำดื่มมาให้พวกเราคนละขวด ได้น้ำเย็น ๆ เข้าไปเลยค่อยใจเย็นขึ้น นายรามบอกว่าเขาจะช่วยเจรจากับ “ยายก๊ง” เพื่อ “รีฟัน” เงินคืนให้กับพวกเราให้มากที่สุด แบบนี้ค่อยน่าฟังหน่อย แต่ยายจี๋คงจะลำบากนิดหนึ่ง เพราะมีค่ารถที่ต้องจ่ายต่างหากเนื่องจากเพิ่มมาทีหลัง แต่ก็คงที่จะอยู่ในวิสัยที่เจรจากันได้...

“ดีนะนี่...ที่เราเพิ่งโอนเงินให้เขาไปแค่ ๖๐ % เหลืออีก ๔๐ % อยู่ที่หลวงพี่ซึ่งเราต้องเอาไปจ่ายให้กับทาง NAVO Tour เมื่อไปถึงทิเบต” น้องเก๋เปรยขึ้นมา ทุกคนได้ยินเลยเฮกันลั่น สรุปว่า ๖๐ % ที่จ่ายไปเราเที่ยวที่เนปาลก็น่าจะคุ้มแล้ว ถ้า “รีฟัน” จาก “ยายก๊ง” ได้เท่าไรก็ถือว่ากำไรเท่านั้น นายรามกับเพื่อน ๆ นั่งทำตาปริบ ๆ ไม่เคยเห็นลูกทัวร์คณะไหน ที่ไม่ได้เที่ยวแล้วทำท่าเสียอกเสียใจแบบนี้ แทนที่จะหงอยเหงาเจ่าจุก ดันหัวเราะกันจนสำนักงานแทบจะถล่ม..!

พอลูกน้องที่วิ่งมอร์เตอร์ไซค์ไป เอาหนังสือเดินทางของพวกเราจากสถานทูตจีนมาส่งให้ นายรามก็แจกจ่ายคืนให้กับพวกเราทุกคน พร้อมกับ “Sorry” ที่ไม่สามารถจะคืนเงินค่าธรรมเนียมให้ได้ เนื่องจากกลายเป็น “ซาละเปาขว้างสุนัข” ซึ่งไปแล้วไปลับที่สถานทูตจีนไปแล้ว พวกเราจึงมาเจรจากับนายรามว่า คิดจากเงินที่เหลือยังมีที่ไหนน่าเที่ยวที่พอจะให้พวกเราไปได้อีกบ้าง สุดหล่อบอกมาหลายแห่ง ดังนี้

สุธรรม 08-12-2015 15:31

1 Attachment(s)
http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1449563441
ลุมพินี (ซ้ายล่าง) ไกลกว่าโปกขะระ (ซ้ายบน) อีก

๑. โปกขะระ (Pokhara) ชมเทือกเขาหิมาลัยบริเวณเทือกเขาอันนาปุรณะ (Annapurna) โดยเฉพาะยอดเขาหางปลา (Machhapuchhre) สัมผัสบรรยากาศการนอนเรือนแพในทะเลสาบ เดิน (Trecking) ขึ้นเขาชมทิวทัศน์
๒. ภักตรปุระ (Bhaktapur) เมืองมรดกโลกที่มีชีวิต สัมผัสกับอดีตกาลเหมือนเจาะเวลาหาอดีต
๓. นากาก็อต (Nagarkot) เทือกเขาที่ล้อมรอบกรุงกาฐมาณฑุ ชมพระอาทิตย์ขึ้นและตก พร้อมทิวทัศน์แห่งเทือกเขาหิมาลัย

พวกเราขอดูแผนที่การท่องเที่ยว พร้อมกับสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม จากที่คิดจะไปโปกขะระแต่เฉพาะการเดินทางด้วยรถยนต์ ระยะทาง ๑๔๐ กิโลเมตร ก็ไป ๑ วัน กลับ ๑ วันแล้ว ไปอาจจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ตก กลับอาจจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้น ได้แค่นอนหนาวเชิงเขาหิมาลัย ๑ คืน และถ้าโรงแรมเต็มอาจจะต้องจ่ายค่าที่พักแพงขึ้นไปอีก นับว่าไม่คุ้มค่ากับการโดน “เขย่า” ไปกลับเป็นวัน ๆ น้องเก๋เสนอให้ไปลุมพินี อาตมาตีตกทันควัน เพราะตั้ง ๒๐๕ กิโลเมตร ไกลกว่าโปกขะระตั้งเยอะ ถึงถนนจะดีกว่าบ้าง แต่ก็คงใช้เวลาพอ ๆ กัน...

ท้ายสุดตกลงว่าพวกเราจะไปภักตรปุระกับนากาก็อต แล้วคอยดูว่านายรามจะเปลี่ยนตั๋วเครื่องบินกลับไทยให้พวกเราได้ในวันไหน ถ้าเสียเวลามากก็จะไปเที่ยวกันในที่ใกล้ ๆ ก่อน ถ้าได้เร็วก็เดินทางกลับไทยวันมะรืนนี้เลย เมื่อพวกเราจบง่ายแบบนี้ พระรามก็ค่อยยิ้มออก เรียกนายทองให้พาพวกเราไปส่ง อาตมาดูนาฬิกาในกล้อง เห็นว่า ๑๘.๔๖ น. เกือบจะหนึ่งทุ่มแล้ว เดินตามนายทองมาขึ้นรถ ให้ “นายยู่ยี่” พาไปส่งที่ Newa Chen Hotel แต่โดยดี ไปถึงก็หมดอารมณ์ด้วยประการทั้งปวง สรงน้ำเสร็จก็ตะกายขึ้นที่นอนหลังใหม่ทางขวา ภาวนาส่งใจไปพระนิพพานโดยเร็ว...


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 22:32


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว