กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๓ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2023)

เถรี 02-08-2010 15:15

เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนสิงหาคม ๒๕๕๓
 
ถาม : เวลานั่งสมาธิแล้วจะมีอาการประหลาด ๆ อย่างตอนเลื่อนฌานขึ้นไป จะคล้าย ๆ กับว่าเราเผลอ แล้วก็จะมีภาพแปลก ๆ บางทีก็เป็นภาพสะพาน บางทีก็เป็นภาพคนกำลังสู้กับสัตว์ประหลาด แต่ถ้าเราไม่สนใจมองภาพแล้วก็ภาวนาไป ก็จะล่วงข้ามไปฌานต่อไปได้ค่ะ แต่ถ้าเราไปรู้สึกว่ากำลังฟุ้งซ่านแล้ว มีการตกใจ แล้วดึงกลับมาที่ลมหายใจ ก็จะคาอยู่ที่เดิม จะไม่ไปต่อค่ะ
ตอบ : นั่นเท่ากับถอยหลังเสียด้วยซ้ำ

ถาม : แล้วภาพนั้นคืออะไรหรือคะ จะว่าฟุ้งซ่านก็ไม่ใช่ ?
ตอบ : ไม่มีอะไรหรอก นั่นเป็นนิมิต ถ้าเราไปให้ความสนใจมารเขาก็ขวางเราได้สำเร็จ ถ้าเราไม่ให้ความสนใจ มารเขาขวางไม่ได้ เราก็ไปต่อ ถือเป็นเรื่องปกติ

ถาม : หนูก็นึกว่าเป็นการฟุ้งซ่าน ยังสงสัยว่าทำไมข้ามไปได้ ก็เลยไม่เข้าใจค่ะ
ตอบ : ซ้อมการทรงฌานให้คล่องกว่านี้ ประเภทว่าจะข้ามชั้นจะลดชั้นเมื่อไร ต้องให้ได้อย่างใจเรานึกเลย แล้วช่องว่างระหว่างนั้นไม่มี ภาพจะปรากฏไม่ทัน แต่ถ้าหากว่าเรายังเข้าฌานออกฌานช้าอยู่ ยังต้องรอระยะเวลาอยู่ ภาพพวกนี้ก็จะแทรกได้

ถาม : ทำอย่างไรถึงพวกนี้จะไม่เกิดขึ้น ?
ตอบ : ซ้อมใหม่ เข้าฌานออกฌาน ขึ้น ๆ ลง ๆ...ลง ๆ ขึ้น ๆ เอาให้คล่องชนิดนึกเมื่อไรต้องได้เมื่อนั้น

เถรี 02-08-2010 15:25

ถาม : ปกติถ้าออกไปแบบมโนมยิทธิเต็มกำลัง ต้องเป็นฌาน ๔ เท่านั้นหรือเปล่าคะ เป็นฌาน ๓ ปลาย ๆ ได้หรือเปล่า ?
ตอบ : เป็นฌาน ๔ อย่างเดียว แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วคนเราจะเข้าใจผิด การฝึกมโนมยิทธิแบบครึ่งกำลัง ถ้าไปได้ก็เป็นฌาน ๔ ส่วนครึ่งกำลังที่ว่าเป็นแค่ตอนที่เป็นอุปจารสมาธิ แล้วทิพจักขุญาณเกิดขึ้นเท่านั้น

ถ้าหากว่าเราเห็นภาพก็เป็นอุปจารสมาธิ แต่ถ้าเรากำหนดจิตไปถึงตรงนั้นได้ นั่นเป็นกำลังของฌาน ๔ แล้ว แต่ที่หลวงพ่อวัดท่าซุงไม่ได้บอก เพราะกลัวว่าลูกศิษย์จะไปฟุ้งซ่านอยู่ตรงนั้น

เพราะฉะนั้นเราจะสังเกตได้ว่า คนที่ฝึกมโนมยิทธิครึ่งกำลังแล้ว ถ้าไปฝึกเต็มกำลัง มักจะไม่ค่อยได้อะไรกับใคร คำว่าไม่ค่อยได้อะไรกับใครก็คือว่า แยกแยะความแตกต่างไม่ออก

ความแตกต่างจะอยู่ตรงที่ว่า พอไปฝึกเต็มกำลังความคล่องตัวมีมากขึ้นนิดหน่อย ความชัดเจนมีมากขึ้นนิดหน่อยเท่านั้น เพราะว่าการไปครึ่งกำลังก็คือฌาน ๔ เหมือนกันจนชินแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ต้องต่อรองให้เป็นฌาน ๓ หรอกจ้ะ เพราะที่จริงก็เป็นฌาน ๔ นั่นแหละ


ถาม : แต่ว่าพอตัวเองถึงจุดนั้น ก็จะเด้งออกไปทุกทีเลยค่ะ
ตอบ : ก็ไปสิ ใครเขาห้ามเล่า ?

ถาม : เห็นบอกว่าจะมีการทรงสมาธิสูงสุด แล้วเลื่อนออกมาพิจารณา
ตอบ : อันนั้นเสียเวลา ไม่ทันกิน ไม่ทันพิจารณาเขาก็ออกไปกันแล้ว

ถาม : หนูก็ถอยออกมาพิจารณาไม่ได้นะสิคะ เพราะเด้งออกไปแล้ว
ตอบ : ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้อง เราก็พิจารณาตอนเด้งออกไปแล้วว่า ร่างกายไม่ใช่ของเราจริง ๆ เป็นคนละตัวกันเลย

เถรี 02-08-2010 15:33

ถาม : เวลาที่ออกไปส่วนใหญ่จะรู้สึกว่าสติจะน้อยลง มักจะทรงอยู่ได้ไม่นาน แสดงว่าสมาธิน้อยไปใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ใช้วิธีที่อาตมาเคยทำ ไปสวดมนต์ถวายพระท่านเยอะ ๆ ให้ใจเราผูกอยู่บนพระนิพพานตรงนั้นว่า ถ้าสวดยังไม่จบเราจะไม่เลิก พอมีงานก็จะอยู่ตรงนั้นไปได้เรื่อย ๆ

ความจริงกำลังจิตของเรายังหยาบอยู่ ไม่ใช่กำลังของพระอริยเจ้าอย่างแท้จริง จึงยังไม่ชินกับพระนิพพานหรือระดับภพภูมิสูง ๆ เพราะฉะนั้นเวลาเราไปก็เหมือนกับไม่เคยชิน เหมือนจะโดนยันกลับอยู่ตลอดเวลา ต้องใช้กำลังไปต้านอยู่

คราวนี้ถ้าจิตมีงาน..ก็จะอยู่ได้ ถ้าไม่มีงาน..ไม่ทันรู้ตัวเราก็ลงมาแล้ว ใครที่ไปแล้วกลัวกลับไม่ได้ ขอประกันว่ากลับทุกรายแหละ เลิกกลัวได้แล้ว ประเภทกลัวว่าไปแล้วกลับไม่ได้ เพราะไม่ทันคิดจะกลับเราก็ลงมาเองแล้ว..!


ถาม : เวลาไปปกติหนูจะจับภาพพระ แล้วก็ไป แต่ทีนี้หนูจะไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนกันแน่
ตอบ : ให้รู้ว่าตรงหน้าเรามีพระก็ใช้ได้ ไม่ต้องไปสนใจว่าตรงไหน ตีขลุมไปเลยว่าพระท่านอยู่นิพพาน

ถาม : คนที่เขาอยู่โคตรภูญาณนี่เขาถอยได้ไหมคะ ?
ตอบ : โคตรภูญาณจะไม่มีการถอยแล้วจ้ะ ถ้าไม่คาอยู่กับที่ก็บุกขึ้นหน้าอย่างเดียว

กำลังใจที่รักในนิพพานจะไม่ถอยแล้ว รู้จักของดีที่สุดแล้วเรื่องอะไรจะถอยไปเอากรวดเอาทราย เขาก็มุ่งไปหาโคตรเพชรกันทั้งนั้น

ถาม : แล้วถ้าบังเอิญตายก่อนก็ไม่มีสิทธิ์ลงนรกแล้วหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ใช่ไม่มีสิทธิ์ เผลอคิดก็ไปเหมือนกัน เรื่องของนรกนี่ประมาทไม่ได้ เราชำนาญมาเยอะ ทางนรกนี่ถางเตียนโล่งสำหรับเราเลย เพราะฉะนั้น..ถ้าประมาทจะลงเอาง่าย ๆ

เถรี 02-08-2010 15:36

ถาม : เปลี่ยนรถใหม่ค่ะ เพราะคันเก่าซ่อมไม่ไหว ขายแล้วซื้อคันใหม่
ตอบ : ขายเป็นเศษเหล็กไปเถอะ เพราะถ้าอยู่กับเราก็ต้องเสียค่าต่อทะเบียน

อย่าไปยึดติดผูกพันอะไรมากมาย ถ้าขนาดของใช้ยังยึดติดผูกพันอยู่ อย่างอื่นก็จะไปไม่รอด ถือว่าเอาของใหม่มา ของเก่าก็หมุนเวียน เข้าสู่กลไกของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพราะถ้าหมดสภาพแล้วก็อนัตตาแน่ ๆ

เถรี 02-08-2010 16:11

ถาม : ถ้าจะให้มาอยู่กับสติเฉพาะหน้า หนูรู้สึกว่ายากมาก เพราะว่าบางครั้งจะต้องใช้กำลังสมาธิสูงสำหรับข่มไว้ เรารู้ว่าท้ายที่สุดแล้วไม่ว่ากรรมฐานกองไหน หรือวิปัสสนาญาณอย่างไร ก็ต้องมาลงตรงนี้ คืออารมณ์เฉพาะหน้าจริง ๆ

พอรู้ว่าอะไรจะเข้ามา ก็จะเป็นการตัดไปเลย ตัด..ตัด..ตัด ยิ่งนานเข้า สังเกตว่ายิ่งตัดบ่อย ๆ ก็จะตัดเร็วขึ้น ท้ายสุดแล้วก็จะไปหยุดกิเลสตรงนั้น จะไปดับกิเลสตรงนั้น หยุดการปรุงแต่งของกิเลส
ตอบ : ถูกต้องตรงเป๊ะเลย ต้องเป็นอย่างนั้นแหละ

ถาม : แต่ก็ยากเพราะจิตมีการดิ้นรน มีการส่าย
ตอบ : พอเผลอก็หลุดจากตรงนั้นไปด้วย

ถาม : ใช่ค่ะ เรารู้ว่าท้ายสุดแล้วการปฏิบัติจะต้องไปลงตรงนี้ พอเรารู้จิตก็ยิ่งดิ้นไปใหญ่
ตอบ : ไม่เป็นไร ถ้าตอนไหนที่กำลังของเราดีกว่าก็ไปจ่ออยู่ตรงนั้น ทำแต้มของเราไปเรื่อย ถ้าตอนไหนความฟุ้งซ่านมีกำลังกว่า ดิ้นไปทางอื่นได้ ก็ปล่อยไป

อย่างน้อยเราชนะสัก ๕ : ๔ ก็ยังดี เพราะอย่างไรเราก็ชนะ ดูอย่างสเปนชนะ ๑ :๐ มาเกือบทุกนัด เขาก็ยังได้แชมป์ จะเห็นว่าสเปนไม่ได้เอาแต้มเยอะเลย


ถาม : เรารู้กระทั่งว่า ถ้าเราจะคิดต่อหรือฟุ้งซ่านต่อไป ผลจะไปเกิดเป็นอะไร และรู้ว่าการคิดนั้นเกิดจากอะไร จะรู้เหตุรู้ผลไปเลย แล้วก็จะตัดไปเลย
ตอบ : นั่นแหละคือสิ่งที่ต้องการ เพราะว่าทันทีที่เราคิด เราจะรู้ว่าคิดด้านนี้ดีอย่างไร แล้วคิดด้านนี้เป็นโทษอย่างไร เห็นโทษแล้วเราก็จะสละส่วนที่เป็นโทษ แล้วเก็บแต่ในส่วนที่เป็นประโยชน์เท่านั้น อาตมาว่าพูดเรื่องนี้มาหลายสิบปีแล้วนี่หว่า นี่เราเพิ่งจะคลำเจอ..!

ถาม : หนูเห็นว่าบางครั้งเวลามองโลก ก็จะพลิกมุมไปเลย บางคนมองเห็นว่าสิ่งนี้เป็นโทษไร้สาระ แต่เราสามารถหยิบสิ่งนั้นเอามาเป็นสิ่งที่เป็นสาระ หรือเป็นประโยชน์ได้ หรือสิ่งที่คนอื่นเห็นเป็นสาระ....
ตอบ : เราก็เห็นโทษของสิ่งนั้นได้

ถาม : ใช่ค่ะ เหมือนกับคนที่หยิบสิ่งหนึ่งสิ่งใด จะเรียกว่าเป็นสิ่งสมมติมาพลิกให้เป็นอะไรก็ได้ แล้วแต่ที่เราต้องการ
ตอบ : เอ้า..สาธุ..!

ถาม : แต่ก็คิดได้พักเดียว
ตอบ : เอาน่า..อย่างน้อยก็มองเห็นแล้ว อย่างน้อยอาตมาก็จะได้รู้ว่าที่ทำมาไม่เสียเปล่า มีคนเห็นบ้างแล้ว

ถาม : บางครั้งหนูก็เห็นว่าไม่มีอะไรที่เป็นของเรา แม้กระทั่งจิตของตัวเอง หนูก็ยังเห็นละเอียดว่าไม่ใช่เรา แต่หนูก็เห็นอย่างนั้นแค่อาทิตย์เดียว
ตอบ : ได้ตั้งเยอะ ใหม่ ๆ อาตมาเห็นได้แค่แวบเดียว

ถาม : แล้วพอกำลังสมาธิเราลดลง ปัญญาเราก็ลดลงตาม
ตอบ : อย่างที่อาตมาบอกว่า คำตอบเกือบทุกอย่างอยู่ที่สมาธิ ปัญญาเป็นแค่ส่วนต่อท้ายเท่านั้น ถ้าคุณไม่แข็งแรงพอ คุณไม่สามารถจะหยิบอาวุธขึ้นมาได้หรอก แล้วก็ใช้การอะไรไม่ได้ รีบไปบรรเลงต่อ อย่างนี้ค่อยชื่นใจหน่อย

ย้อนกลับไปดูหนังสือกระโถนฯ เล่มเก่า ๆ ที่อาตมาพูดน่าจะเจอนะ บางเรื่องพูดมานานแล้ว เพียงแต่ว่าพูดไป ๆ เหมือนกับตักน้ำรดหัวตอ ถึงได้บอกว่า ไม่ได้ต้องการอะไรหรอก หัวตอไม่งอก ให้แค่เปียก ๆ ก็ยังดี นี่เห็นใบงอกขึ้นมาใบหนึ่งแล้ว ค่อยชื่นใจหน่อย

เถรี 02-08-2010 17:38

ถาม : อ่านหนังสือเล่มนี้ไม่ค่อยเข้าใจค่ะ หลวงพ่อฤๅษีท่านบอกว่า พระสกิทาคามีท่านพิจารณาก็เข้าถึงฌานสี่ เคยได้ยินแต่ว่าต้องทรงอนาคามี ถึงจะ..
ตอบ : สกิทาคามีตอนปลายกำลังสมาธิเท่ากับอนาคามีตอนต้นแล้ว อนาคามีต้องได้ฌานสี่เท่านั้น จะเป็นฌานสี่ที่เกิดจากการพิจารณาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นฌานสี่ที่เกิดจากนั่งสมาธิอย่างเดียว

ถาม : แล้วกำลังเท่ากันหรือเปล่า ?
ตอบ : กำลังจะสูงกว่าโสดาบัน เพราะว่าในเรื่องของราคะกับโทสะ ถ้ากำลังไม่ถึงฌานสี่เราเอาไม่อยู่ ประเภทที่เราจะต้องรั้งม้าริมหน้าผาให้หยุดก่อน แล้วหลังจากนั้นเราก็ค่อย ๆ จับ ปรับเปลี่ยนทิศทางให้ถูกต้อง เพราะฉะนั้น..กำลังต้องได้ระดับฌานสี่ ไม่อย่างนั้นเอาไม่อยู่ เพราะกิเลสสองตัวนี้แสบสุด ๆ

ถาม : แล้วสกิทาคามีที่ท่านบอกว่า จำเป็นต้องใช้ฌานสี่ในการใช้ปัญญาพิจารณา แล้วมีเป็นหยาบ มีละเอียดด้วยหรือเปล่าคะ ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเป็นระดับเดียวกัน พูดง่าย ๆ ว่า ก็คือพระโสดาบันนั่นแหละ พระโสดาบันที่ทรงฌานสี่ได้ก็จะเป็นเอกพีชี เป็นสกิทาคามี หรือเป็นอนาคามีตอนต้น

ถาม : แต่ยังไม่เข้าโคตรภูหรือคะ ? เพราะว่าถ้าเป็นอนาคามีตอนต้น แต่ก็ยังละไม่ได้
ตอบ : นั่นเป็นส่วนของสกิทาคามีผล แต่ว่าจะอยู่ในส่วนของอนาคามีมรรคก็ได้ อนาคามีมรรคก็อยู่ระหว่างโคตรภูกับในส่วนของอนาคามีผล พูดง่าย ๆ ว่า พยายามทำฌานสี่ให้ได้ แล้วอะไร ๆ จะง่ายขึ้นอีกเยอะเลย

อาตมาตอนแรกก็ตั้งใจเอาแค่ปฐมฌาน หลังจากที่รบกับกิเลสมาหลายปี จนกระทั่งรู้สึกว่า ชีวิตนี้ได้แค่พระโสดาบันก็โคตรเท่แล้ว..คุ้มจริง ๆ นะ ลำบากแค่ไหนก็ตาม ถ้าเราปิดอบายภูมิได้ ก็สบายแล้ว แรก ๆ เราก็หวังแค่นี้ แต่คนได้คืบก็มักจะเอาศอก พอได้แล้วก็รุกคืบหน้าต่อไป


ถาม : ถ้าทรงฌานสี่โดยการใช้ปัญญาพิจารณามาก่อน แล้วค่อยไปเสริมในกรรมฐาน ?
ตอบ : ไม่ต้องเสริม ถ้าเป็นฌานสี่ก็พอแล้ว แต่ส่วนใหญ่พวกเราจะไม่ชำนาญในการพิจารณา ในเมื่อไม่ชำนาญแล้วโอกาสที่จะพิจารณาจนจิตเป็นฌาน เป็นวิปัสสนาลาภีบุคคลจึงหายาก ก็ต้องเป็นฌานลาภีบุคคล โดยการเอาสมาธิเข้ามาช่วย จนกระทั่งกำลังสูงพอแล้วคลายมาพิจารณา

หลวงพ่อฤๅษีท่านอธิบายไม่ผิดหรอกจ้ะ เพียงแต่ถ้าเราคลำไม่ถึงก็จะงง ๆ หน่อย

เถรี 02-08-2010 17:51

ถาม : อภิญญาลาภีบุคคล นี่เป็นอย่างไร ?
ตอบ : คือบุคคลที่ทรงอภิญญา ได้แค่อภิญญาห้าก็เป็นอภิญญาลาภีบุคคลแล้ว

อภิญญาห้าข้อแรกอย่างไรก็พอหาได้ แต่อภิญญาข้อที่หกนั้นหายากมาก



หมายเหตุ : อภิญญาข้อที่หก คือ อาสวักขยญาณ : การทำลายอาสวะ (กิเลส) ให้หมดสิ้นไป

เถรี 02-08-2010 20:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "พรรษานี้พระผู้ใหญ่ในสายมหานิกายถือว่าอยู่ในระดับวิกฤต อย่างหลวงพ่อวัดสระเกศก็อยู่โรงพยาบาล หลวงพ่อวัดชนะสงครามผ่าตัดเนื้องอกในตับ กลับมาแล้ว แต่ละวันก็พักผ่อนมากกว่ารับคน เพราะร่างกายยังไม่ไหว กลายเป็นว่า ผู้ที่อาวุโสสูงสุด ก็คือ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ต้องรับงานหนักในตอนนี้

สมัยก่อนในวงการพระท่านเรียกแบบกันเองว่า "ปู่พุฒ ตาช่วง ลุงยม พ่อเกี่ยว" เขาเรียกกันอย่างนี้ไม่ใช่ไม่เคารพนะ แต่เรียกแบบรักสนิทเลย

ตอนนี้ปู่พุฒ (สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสุวรรณาราม) ท่านไปแล้ว ตอนไปอายุ ๑๐๓ ปี

ตาช่วง (สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ) อายุ ๘๗ ปี ตอนนี้รับบทหนักที่สุด

ลุงยม (สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม) อายุ ๘๕ ปี เพิ่งผ่าตัดเนื้องอกที่ตับมา กำลังพักฟื้น

พ่อเกี่ยว (สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ) อายุ ๘๓ ปี ยังอยู่โรงพยาบาล รอให้แข็งแรงกว่านี้ค่อยกลับวัด"

เถรี 03-08-2010 00:51

พระอาจารย์บอกว่า "ความจริงมีของอยู่ชุดหนึ่ง เป็นไข่มุกสีทอง ขนาดน่าจะอยู่ราว ๆ ๑๔ ม.ม. มีอยู่ ๗ เม็ดด้วยกัน ปกติไข่มุกสีทอง จะเป็นทองเหลือบ ๆ แต่ชุดนี้เป็นสีทองค่อนข้างเข้ม มีใบประกาศนียบัตรรับรองความแท้มาพร้อมเลย

ตอนแรกว่าจะเอาไปปลดหนี้ แต่เงินสำหรับปลดหนี้วัดหนองหญ้าปล้อง น่าจะได้เกินที่ต้องการแล้ว รอเอาไปปลดหนี้วัดอื่นดีกว่า จะคิดให้แพงหูดับไปเลย..!"

เถรี 03-08-2010 01:00

พระอาจารย์บอกว่า "คำว่าของแปลก เป็นเพราะว่าเรายังไม่เคยเห็น ของอะไรถ้าเคยเห็นแล้วก็จะไม่แปลก ทุกอย่างปกติธรรมชาติเขามีอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้ก็เลยเห็นเป็นของแปลก

อย่างหนังสือพิมพ์เอาไปลงข่าว ต้นตาลประหลาดออกดอกทั้งต้น เขารู้จักต้นตาลแต่ไม่รู้จักต้นลาน พอเห็นต้นลานไม่มีใบ มีแต่ดอก ก็ถ่ายรูปมาลงหนังสือพิมพ์ ตื่นเต้นกันใหญ่ว่าเป็นต้นตาลประหลาด

หรืออย่างกล้วยผา ตรงโคนต้นจะโตเหมือนกับโอ่ง เขาก็เอามาลงว่าเป็นกล้วยประหลาด คนที่ไม่รู้จักกล้วยผาก็แห่กันไปขอหวยกันใหญ่ แต่อาตมาเห็นมาจนเบื่อแล้ว

แปลว่า ของที่เขาไม่เคยเห็นก็เป็นของประหลาด ถ้าเขาเห็นแล้วก็จะหมดความประหลาดไปเอง เพราะปกติของธรรมชาติเขามีอยู่แล้วอย่างนั้น"

เถรี 03-08-2010 01:06

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันตรัสรู้ก็คือวันจบปริญญา แต่ว่าปริญญาของพระพุทธเจ้าเป็นปริญญาจริง ๆ

เพราะว่า ปริ แปลว่า รอบ , อัญญา แปลว่า รู้ , ปริญญา คือ รู้รอบ รู้ทั่ว

อย่างพวกเรานี่จบปริญญาเอกก็รู้ไม่หมดหรอก รู้แค่ตรงที่เรียนมา"

เถรี 03-08-2010 01:17

ถาม : ที่บ้านปลวกขึ้น เราจะมีวิธีไล่อย่างไร ?
ตอบ : เป็นแค่ทางเดินหรือเป็นรังใหญ่ ?

ถาม : มันกินเข้ามาถึงในบ้านแล้ว
ตอบ : ถ้ากินถึงข้างในแล้ว โอกาสที่จะไล่โดยที่ปลวกไม่ตายนี่ก็ยากแล้ว แต่ถ้าหากว่าเป็นรังใหญ่หรือทางเดินยังพอได้อยู่

ถาม : ถ้าเขายังไม่ได้กินเข้ามา ยังทำเป็นแค่รังใหญ่หรือทางเดิน เราจะไล่อย่างไร ?
ตอบ : ถ้าเป็นทางเดิน เลือกเอาวันที่อากาศร้อน ๆ ไปเขี่ยทางเดินออก เอาน้ำมันโซล่าราดไว้ตรงจุดที่ขึ้นจากพื้นดิน ปลวกก็จะไม่ขึ้นมาอีก เพราะเวลาอากาศร้อนปลวกจะหนีลงไปใต้ดินที่เย็นกว่า ถ้าเป็นรังใหญ่ก็ราดบนรังไปเลย เวลากลิ่นน้ำมันลงไปถึง ปลวกจะย้ายหนีไปเอง แต่เราต้องทนเหม็นน้ำมันหลายวันหน่อย...

เถรี 03-08-2010 01:23

ถาม : พระปิดตาของท่านเป็นพระปิดตาเงินล้านจริงหรือเปล่า ? รู้สึกว่าออกแนวบู๊ ๆ อย่างไรก็ไม่รู้ คล้องคอแล้วรู้สึกอยากลุย..!
ตอบ : เขาเรียกว่าเผื่อให้ ต้องดูสิว่าคนทำนิสัยเป็นอย่างไร..!

ถาม : ผมว่าแล้ว คล้องแล้วรู้สึกอยากบู๊
ตอบ : จะทิ้งนิสัยเดิมก็ไม่ใช่ที่ แบบเดียวกับคนแขวนพระปิดตามหาลาภหลวงปู่โต๊ะ โดน ๑๑ ม.ม.ยิงจนหมดแม็กแล้วยังไม่รู้สึกอะไรเลย นั่นมหาลาภนะ..!

เถรี 03-08-2010 13:30

ถาม : การกำหนดจับภาพกสิณต้องทำอย่างไร ?
ตอบ : แรก ๆ หลับตานึกถึง เราจะจำภาพได้ชั่วคราว พอภาพหายไปก็ลืมตาดูใหม่ กำหนดจำ นึกถึงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหลับตาหรือลืมตาเห็นได้เท่ากัน แล้วก็ตั้งใจประคองภาพนั้นเอาไว้

คุณมองดูนี่ (ท่านหยิบหนังสือขึ้นมา) หลับตาลงแล้วเราจะนึกถึง จะเห็นได้ครู่หนึ่ง พอภาพเลือนไป ก็ลืมตามองดูแล้วหลับตานึกถึงใหม่ จนกระทั่งระยะเวลาที่จำภาพได้จะยาวนานขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นอุคคหนิมิต คือ ติดตาติดใจ สามารถที่จะเห็นได้ทุกเวลา


ถาม : แล้วเรื่องการกำหนดลมหายใจ ?
ตอบ : จำเป็นต้องใช้ ถ้าไม่กำหนดลมหายใจ นิมิตกสิณจะไม่มีวันทรงตัวได้เลย นิมิตทรงตัวได้เพราะสมาธิแน่นขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามลำดับ ถ้าไม่กำหนดลมหายใจสมาธิก็ไม่สามารถที่จะทรงตัวแน่นขึ้นไปได้

ถาม : ต้องทำทั้งสองอย่างควบ ?
ตอบ : ทั้งสองอย่างรวมกัน ความรู้สึกส่วนหนึ่งกำหนดอยู่ที่รูป ความรู้สึกส่วนหนึ่งกำหนดอยู่ที่ลมหายใจพร้อมคำภาวนา

ถาม : กว่าจะทำได้รู้สึกช้า
ตอบ : ช้าก็ต้องยอม เพราะกติกาเขาเป็นอย่างนั้น ค่อย ๆ ทำไป อะไรที่รีบร้อน สุกเอาเผากินมักไม่ได้เรื่อง

เถรี 03-08-2010 17:48

ถาม : ไปฝึกมโนมยิทธิที่วัดได้แล้ว แต่เนื่องจากอยู่ไกล ก็เลยไม่ได้กลับไปฝึกอีก แล้ว..?
ตอบ : กลับไปซ้อมเองบ่อย ๆ การที่ฝึกกับครูเป็นแค่แนวทางเท่านั้น พอได้แนวแล้วต้องซ้อมเองบ่อย ๆ จึงจะมีความคล่องตัว ถ้าไม่หมั่นซ้อมบ่อย ๆ ก็เสื่อม

เถรี 03-08-2010 18:01

ดร.เก้า (ดร.ชาญวิทย์ ทัศน์แก้ว) ได้พาเพื่อนชาวเยอรมันมากราบพระอาจารย์ เพื่อนชาวต่างชาติคนนี้สงสัยว่าแต่ละคนมีกรรมเป็นของตนเอง ผลกรรมจึงส่งผลให้แตกต่างกันไป แต่ทำไมคราวที่เกิดสึนามิ หลายคนจึงตายเพราะคลื่นสึนามิพร้อม ๆ กัน ทั้ง ๆ ที่เขาไม่ได้รู้จักกันมาก่อนเลย

พระอาจารย์จึงอธิบายว่า "เขาเคยสร้างกรรมร่วมกันมา อย่างเช่นเคยอยู่ในกองทัพที่ไปตีบ้านตีเมืองเขาพร้อม ๆ กัน พอถึงวาระ กรรมนั้นก็จะย้อนกลับมาให้คนหมู่มากกลุ่มนี้ได้รับกรรมนั้นพร้อมกัน

จริง ๆ แล้วพระพุทธเจ้าท่านอธิบายเรื่องกรรมไว้ชัดเจนมาก มีทั้งเป็นไปตามเวลา ยักเยื้องไปตามความหนักเบา พระองค์ท่านเปรียบเหมือนกับการที่เราปลูกต้นไม้ ส่วนที่เป็นครุกรรมก็เหมือนกับเพาะถั่วงอก ๔ ชั่วโมงก็ได้กินแล้ว ส่วนที่เป็นอปราปรเวทนียกรรม เหมือนกับการปลูกไม้ผล ต้อง ๔ - ๕ ปี เป็นอย่างน้อย จึงจะมีผลให้กิน"

เถรี 03-08-2010 18:06

พระอาจารย์สอน ร.ท.สรวง น้ำฟ้า ว่า "จำไว้เลยว่า เรื่องของการปฏิบัติกรรมฐานนั้น รู้แล้วต้องละ ถ้าประเภทรู้แล้วว่าใครเป็นเนื้อคู่ของเรา แล้วตะเกียกตะกายไปหา...นั่นบ้า..!

นั่นเป็นอดีตผ่านมาแล้ว ปัจจุบันไม่จำเป็นต้องไปจมปลักอยู่กับคนเก่า ๆ หาเอาใหม่สิวะ..!"

เถรี 03-08-2010 18:17

ถาม : เราทำบุญอะไรมาจึงมีอาจารย์ที่เก่งและฉลาด ?
ตอบ : จริง ๆ แล้วเรื่องของการสร้างบุญแบบนี้ไม่ได้มีความจำเพาะเจาะจง แต่การที่เราอยู่ในช่วงสร้างบุญบารมี เราได้สร้างร่วมกับท่านมา

ในเมื่อเราได้สร้างร่วมกับท่านมา โอกาสที่ท่านและเราจะมาอยู่ในลักษณะต้องให้การสงเคราะห์ ส่งเสริมซึ่งกันและกันก็จะบังเกิดผล ก็ต้องถือว่าเราโชคดีที่ได้ทำร่วมกับท่านมาตั้งแต่แรก


ถาม : การที่เราได้ทำทั้งบุญด้วยและทำบาปด้วย ถ้าเราเป๋ไปเป๋มาออกนอกลู่นอกทาง เหมือนเด็กตาบอดคลำทาง ท่านจะช่วยให้เราได้อานิสงส์ในส่วนของความดีไหมคะ ?
ตอบ : พระดูในส่วนที่ดี แต่ไม่ได้ดูในส่วนที่ไม่ดี เราจะเคยชั่วอย่างไรมาท่านไม่ได้มองตรงนั้น แต่ท่านจะมองว่าในจุดที่ว่า เรามีความดีอะไรที่ท่านจะหนุนให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วท่านก็จะช่วยในจุดนั้น

การทำชั่วเป็นเรื่องปกติของคนทั่วไปอยู่แล้ว แต่ถึงเวลาให้รู้จักทำดีให้มากกว่าชั่วก็แล้วกัน

เถรี 03-08-2010 18:44

ถาม : เราจะบังคับให้ละวิตก วิจาร ในเวลาภาวนาได้อย่างไร ?
ตอบ : ตัวสมาธิที่สูงขึ้นจะทำให้ละไปเอง เป็นไปเอง ไม่ใช่บังคับ เรามีหน้าที่กำหนดตามดู ตามรู้ลมหายใจเข้าออกพร้อมกับคำภาวนาของเราไปเรื่อย ๆ ถ้าจิตฟุ้งซ่านไปอารมณ์อื่น ก็ดึงกลับมา พอถึงเวลารวมตัวแน่นเข้าเป็นสมาธิที่สูงขึ้น คำภาวนาหรือลมหายใจจะค่อย ๆ หมดไปเอง

ไม่ใช่เราไปบังคับ เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องไปเสียเวลาหาเหตุ ทำให้ถึงแล้วก็จะเป็นเอง

เถรี 03-08-2010 18:53

พระอาจารย์บอกว่า "งานลอยกระทงเดือนพฤศจิกายนที่วัดท่าขนุน อนุญาตให้เล่นพลุได้ตามใจชอบ ใครจะเอาพลุมาเล่นที่วัดก็ได้ ไม่ว่ากัน ห้ามเล่นประทัดยักษ์อย่างเดียว

เถรี 03-08-2010 18:54

พระอาจารย์กล่าวว่า "หลักปฏิบัตินั้น เราต้องทำบ่อย ๆ ซ้อมบ่อย ๆ เดี๋ยวก็เก่งไปเอง
อยากจะพูดเก่งให้พูดบ่อย ๆ อยากจะอ่านหนังสือเก่งให้อ่านบ่อย ๆ อยากจะทำกรรมฐานเก่งก็ให้ทำบ่อย ๆ"

เถรี 03-08-2010 23:08

ถาม : ให้ลูกสองคนนั่งสมาธิ ทีนี้จะมีคนหนึ่งช้ากว่า ควรจะเพิ่มเวลาไปเรื่อย ๆ หรือรอคนที่ช้ากว่า
ตอบ : รอเขาหน่อย ตอนนี้ให้เขานั่งได้กี่นาทีแล้ว ?

ถาม : นาทีครึ่งค่ะ
ตอบ : นาทีครึ่งสำหรับเด็กก็เยอะมากแล้ว

ถาม : ถามลูกว่านั่งแล้วเป็นอย่างไร ลูกบอกว่าเห็นภาพพระ ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า ?
ตอบ : บอกลูกว่า หนูจำภาพพระเอาไว้ แล้วนึกถึงให้ได้ตลอดเวลา จะกันแม่ตีได้ ถ้าวันไหนหนูนึกถึงภาพพระได้ แล้ววันนั้นแม่จะตีหนูไม่ลง

เวลาจะเกลี้ยกล่อมอะไรลูก เราต้องรู้ใจเขา ว่าเขาต้องการอะไร คราวนี้เขาจะเชื่อ แต่ถ้าเราลืมไปแล้วว่าตอนเด็กเราต้องการอะไร เวลาเราพูดไปเขาก็ไม่ค่อยฟังเราหรอก

เถรี 03-08-2010 23:10

ถาม : จะทำอย่างไรให้ลูกชายเขารักเรียน ขยันเรียน ?
ตอบ : สมัยก่อนที่อาตมาขยันเรียน แม่ก็ไม่ได้บอกอะไรมาก แม่บอกว่า "แม่ไม่รู้หนังสือ ทำอะไรก็เสียเปรียบเขา" แม่บอกแค่นี้ ฉะนั้น..ถ้าโง่ทั้งแม่ทั้งลูก เดี๋ยวจะเดือดร้อนกันไปใหญ่ เมื่อได้ยินแม่บอกดังนั้น จึงเห็นความสำคัญของการเรียนมาก

จริง ๆ แล้วสมัยที่เรียน แม่มีลูก ๑๒ คน แม่ส่งเรียนหมดเลย แม่พูดอยู่เสมอว่า "แม่ไม่รู้หนังสือ ทำอะไรก็เสียเปรียบเขา" แล้วเราก็เห็นอย่างนั้นจริง ๆ ทางบ้านถูกเขาโกงที่ดินไปหลายไร่ เพราะเขาออกเอกสารสิทธิ์ทับที่ของเรา เราไม่รู้ว่าถ้าไม่คัดค้าน ครบ ๑๐ ปีก็จะกลายเป็นของเขา จึงกลายเป็นความฝังใจว่าเราต้องรู้ ถ้าไม่รู้เดี๋ยวจะเสียเปรียบเขาเหมือนกับแม่

เถรี 03-08-2010 23:19

พระอาจารย์บอกว่า "คนทั่วไปยิ่งอยู่นานไป ความต้องการก็ยิ่งมากขึ้น รัก โลภ โกรธ หลง ก็มากขึ้นไปด้วย โอกาสที่จะทำผิดทำพลาดก็มีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ดังนั้น รีบไปนิพพานเสียแต่เนิ่น ๆ จะดีกว่า"

เถรี 04-08-2010 11:27

พระอาจารย์กล่าวว่า "จำเอาไว้ อำนาจเป็นยาเสพติดอย่างหนึ่ง บุคคลที่ขาดสติเสร็จทุกราย

การกิน การนอน การเสพกาม การเสวยอำนาจ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้วว่า ถ้าไม่ใช่บุคคลที่เห็นภัยในวัฏสงสาร ย่อมไม่มีวันเบื่อ ที่ยังไม่มีก็พยายามไขว่คว้ามาให้มี มีแล้วก็พยายามดิ้นรนรักษาไว้ ความจริงเป็นทุกข์ทั้งขึ้นทั้งล่อง แต่เขาไม่เห็น นับว่าเป็นทิฏฐิวิปลาส เห็นของที่ไม่ดีว่าดี

ถาม : สัญญาวิปลาส คืออะไร ?
ตอบ : สัญญาวิปลาส คือ จำผิด จำว่าของไม่ดีว่าเป็นของดี อย่างเช่นอสุภสัญญา สภาพร่างกายมีความไม่ดีไม่งาม เป็นปกติ แต่ไปหมายจำว่าเป็นสุภสัญญา คือ เห็นว่าร่างกายมีความดีความงาม

อัตตสัญญา
สภาพร่างกายไม่ใช่ตัวตนที่ยึดถือมั่นหมายได้ แต่ไปจำว่าร่างกายเป็นตัวตนของเรา

นิจจสัญญา สภาพที่ไม่เที่ยงก็ไปจำว่าเที่ยง

สรุปแล้วสัญญาวิปลาส ก็คือ จำผิด แต่เราฟังดูแล้วน่ากลัว โดยเฉพาะจิตตวิปลาส คิดผิด คิดผิดแทนที่จะเป็นสัมมาทิฐิก็กลายเป็นมิจฉาทิฐิ เราฟังดูแล้วเหมือนจิตตวิปลาส คือ เป็นบ้า แต่จริง ๆ แล้วก็นับว่าบ้าเหมือนกัน เพียงแต่เป็นการบ้าในธรรม คนทั่ว ๆ ไปเขาเห็นว่าเป็นปกติ แต่บุคคลที่เข้าหาธรรมะจะเห็นว่าบ้า เพราะออกนอกลู่นอกทาง

ถาม : ทิฏฐิวิปลาสกับจิตตวิปลาสต่างกันอย่างไร?
ตอบ : ทิฏฐิวิปลาส จเห็นผิด แต่จิตตวิปลาส คิดผิด ทิฏฐิก็แปลตรง ๆ ว่าความเห็น มีการฟันธงแล้วและธงก็หักไปแล้ว แต่จิตตวิปลาสนี่ยังแค่คิดเท่านั้น

ถาม : น่ากลัว
ตอบ : น่ากลัวทุกตัวแหละ เพราะวิปลาสแปลว่าไม่ถูกต้อง บาลีเขาเขียนเป็น วิปัลลาส

เถรี 04-08-2010 11:39

พระอาจารย์กล่าวถึงการเปลี่ยนผ้าครองถวายหลวงปู่สายให้ฟังว่า "ในห้องของหลวงปู่ ยังไม่ได้ไปแตะต้องอะไรเลย เพราะว่าไม่อยากให้เปลี่ยนไปจากสภาพที่ท่านเคยใช้งาน ตรงข้างฝามีกระดาษอยู่แผ่นหนึ่ง หนีบคลิปติดเอาไว้ เขียนว่า

ลำพอง ช่วยดูโลงกระจกให้ด้วย
มิถุนา ๓๔

หลวงปู่ให้เตรียมโลงกระจก (โลงแก้ว) ตั้งแต่ตอนนั้น และท่านก็มรณภาพเมื่อเดือนกันยายน ๒๕๓๕

หลักฐานชัด ๆ เป็นลายมือท่านเอง ท่านบอกโยมลำพองที่เป็นทายกวัดในช่วงนั้นให้หาโลงกระจก ก็แปลว่าท่านนอกจากจะรู้เวลามรณภาพแล้ว ยังตั้งใจทิ้งสังขารไว้ให้พวกเราด้วย

อาตมาตั้งใจว่าถ้าปรับทำศาลาการเปรียญหลังเก่าเป็นหมู่เรือนไทยแล้ว ด้านบนศาลาจะจัดเป็นพิพิธภัณฑ์หลวงปู่ เอาพวกข้าวของเครื่องใช้ในห้องของท่านไปตั้งแสดง"

เถรี 04-08-2010 11:58

ในช่วงเข้าพรรษานี้ จะเห็นได้ว่ามีพระหลายรูปที่ยกพานธูปเทียนมากราบขอขมาพระอาจารย์

พระอาจารย์กล่าวให้ฟังว่า "สามีจิกรรม การทำในสิ่งที่ดี ๆ ต่อกัน บางคนเรียกทำวัตรพระผู้ใหญ่ ช่วงเข้าพรรษามีระเบียบอย่างหนึ่งว่า พระภิกษุหรือสามเณรถ้าไปจำพรรษาในที่ไกล ต้องมารายงานตัวกับอุปัชฌาย์อาจารย์ เพื่อให้รู้ว่าไปอยู่ที่ไหน ใกล้ไกลอย่างไร อยู่กับใครบ้าง ขาดเหลืออะไรที่พอจะให้อุปัชฌาย์อาจารย์ช่วยเหลือได้บ้าง ก็จะมาบอกกล่าวกัน

ส่วนใหญ่นิยมตั้งแต่ช่วงแรม ๑ ค่ำ ไม่เกินแรม ๑๕ ค่ำ ก็คือ ครึ่งเดือนแรกเข้าพรรษา ภาษาพระเรียกว่า ทำวัตรพระ ภาษาชาวบ้านพูดง่าย ๆ ว่า มารายงานตัวกับอาจารย์"

เถรี 04-08-2010 17:52

ถาม : ที่ท่านเอ็ดผมเรื่องไปหาหลวงพ่อมนัส เพราะว่าผมตั้งกำลังใจผิดหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เปล่า

ถาม : เพราะอะไรครับ ?
ตอบ : เพราะว่าพระป่วยไม่ควรจะไปกวนท่าน

ถาม : แต่เพื่อนเขานัดกับท่านไว้แล้วครับ?
ตอบ : ก็ไปสิ ไม่ได้ห้าม

ถาม : ฝากของไปแทนแล้วครับ
ตอบ : ไปเองก็ได้ ไหน ๆ จะรับกรรมแล้ว ก็รับเองให้เต็ม ๆ ไปเลย..!

เถรี 04-08-2010 18:24

ถาม : แสงจากกายของคนบางทีมีสีขาว สีแดง สีน้ำเงิน แตกต่างกันอย่างไรครับ ?
ตอบ : เป็นไปตามสภาพจิตและอาการเจ็บไข้ได้ป่วยของร่างกาย

ถาม : ไม่มีความหมายใช่ไหมครับ ว่าคนนี้สีแดงเป็นคนอย่างไร ?
ตอบ : มีเหมือนกัน

ถาม : แล้วส่วนใหญ่สีแดงหมายความว่าอย่างไรครับ?
ตอบ : ต้องดูเอง เพราะสีแดงยังมีหลายระดับ ถ้าหากแดงในด้านไม่ดีก็มีนิสัยมุ่งร้ายคนอื่น แต่ถ้าในด้านดีก็เป็นคนชอบอะไรท้าทาย ประเภทอภิญญาสมาบัติ

ถาม : แล้วเขียวล่ะครับ ?
ตอบ : ไปถามคนที่มีความสามารถในการอ่านภาพออร่าจะดีกว่า

เถรี 04-08-2010 18:27

ถาม : ศีล ๕ กับศีล ๕ บวกกรรมบถ ๑๐ ต่างกันอย่างไร ?
ตอบ : ก็เพิ่มมาอีก ๕ ข้อ

ถาม : แล้วอานิสงส์จะได้อะไรเพิ่ม ?
ตอบ : เพิ่มอีกมหาศาลเลย เพราะกรรมบถ ๑๐ นอกจากบังคับกายแล้วยังบังคับวาจาและความคิดด้วย กรรมบถ ๑๐ นี่ห้ามพูดโกหก ห้ามพูดเพ้อเจ้อ ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดส่อเสียดด้วย ขณะเดียวกันทางใจก็ห้ามโลภ ห้ามโกรธ ทำให้เป็นสัมมาทิฏฐิด้วย

ถาม : ศีล ๘ เล่าครับ ?
ตอบ : ศีล ๘ สำหรับผู้ประพฤติธรรมขั้นสูงแล้ว ต้องการความละเอียดของจิตมากขึ้น

เถรี 04-08-2010 18:45

ถาม : ในการปฏิบัติกรรมฐานเบื้องต้นเพื่อการปูทางให้มีศีล มีสมาธิที่สมบูรณ์เพื่อให้เกิดปัญญาในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต การทำสม่ำเสมอในครั้งแรกของการทำกรรมฐานก็คือ เปิดเทปบวงสรวง แล้วตั้งใจว่าเราจะนั่งกรรมฐานวันละ ๑๐ นาทีเป็นอย่างน้อย ทำอย่างนี้ติดต่อกันสม่ำเสมอ หรือว่านึกอยากจะทำก็ทำได้เลยเจ้าคะ ในกรณีสำหรับผู้ฝึกใหม่ ?
ตอบ : ผู้ฝึกใหม่ควรจะมีระยะในการปฏิบัติที่แน่นอนเอาไว้ทุกวัน แต่สำหรับคนเก่าแล้วควรจะใช้เวลาทั้งวันให้เป็นการปฏิบัติ

ถาม : คำว่าคนเก่าก็คือ..?
ตอบ : หมายความว่ามีความคล่องตัวแล้ว ฝึกจนคล่องแล้ว เพราะว่าบุคคลที่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อการหลุดพ้นจริง ๆ เรื่องรัก โลภ โกรธ หลงจะมาทดสอบอยู่ตลอดเวลา ฉะนั้น..ถ้าเราไม่ได้เตรียมไว้ทั้งวัน ก็อาจจะโดนกิเลสยันหงายท้องได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว

แต่สำหรับคนใหม่ ๆ มารเขายังเห็นว่าไม่เท่าไร เรายังมีเวลาหายใจอยู่ ก็ใช้ทำสม่ำเสมอสักเช้าครั้งเย็นครั้ง แต่ถ้าเราไปคิดว่าเรากินเช้าครึ่งชั่วโมง กินเย็นครึ่งชั่วโมง เวลาที่เหลือก็ไม่ต้องกิน มีหวังอดตายเลย


ถาม : ถ้าฝึกไปสม่ำเสมอ แล้วช่วงเวลาที่ว่างระหว่างวันก็เอาใจจับพระ
ตอบ : ควรจะทำอย่างนั้น คราวนี้เรามาดูว่า ๒๔ ชั่วโมงเราอยู่กับภาพพระได้กี่ชั่วโมง ? ถ้ายังขาดทุนอยู่ก็พยายามเพิ่มให้มากขึ้น

ถาม : แล้วถ้ากรณีเรารู้ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ผิด แต่พอถึงเวลาก็ผิดอีก ผิดแล้วผิดเล่า
ตอบ : เริ่มต้นใหม่ อย่าไปเสียเวลาจมปลักอยู่กับเรื่องเหล่านั้น ข้อผิดพลาดเป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่เรายังสติไม่สมบูรณ์ แต่ทันทีที่รู้ตัวว่าผิดก็เริ่มต้นใหม่..รู้ตัวว่าผิดก็เริ่มต้นใหม่

มัวแต่ไปเสียดายเวลากับสิ่งที่ทำอยู่ตรงนั้น เราจะไม่ได้อะไร แต่ถ้าเราเริ่มต้นใหม่เท่ากับเราก้าวเดินต่อไป


ถาม : ถึงแม้ว่าในระหว่างที่ทำผิด เราก็มีสติรู้อยู่ว่าผิด ก็ยังทำ
ตอบ : ที่ทำไปแล้วให้เลิกคิด ตั้งใจทำใหม่ให้ถูกก็พอแล้ว

เถรี 05-08-2010 10:30

เถรีบอกพระอาจารย์ไปว่าเพิ่งอ่านหนังสือเรื่อง ช้องหมู : มฤตยูเขี้ยวตัน จบไป พระอาจารย์จึงบอกว่า ถ้ามีโอกาสจะเขียนนิมิตกรรมตอน"ไอ้เขี้ยวตัน" ให้อ่านกัน เป็นเรื่องเกี่ยวกับนิมิตของท่านเอง ที่จะเกิดขึ้นหลังการป่วยทุกครั้ง เพื่อให้ทราบว่าการป่วยครั้งนั้นเกิดจากเศษกรรมอะไรในอดีต

" ตอนที่อาตมาไปฟัดกับเสือ เพิ่งจะรู้ว่าสัตว์เดรัจฉานนั้นมีความคิดเหมือนกับคนทุกอย่าง เพียงแต่ว่าปรัชญาในการดำเนินชีวิตของสัตว์เดรัจฉานไม่เหมือนกับคน เพราะปัญญาเขายังไม่ถึงมนุษย์

ปรัชญาของการดำเนินชีวิตสัตว์เดรัจฉานก็คือ ผู้เข้มแข็งกว่าย่อมได้เปรียบ ถ้าคนไหนเข้มแข็งกว่า คนนั้นอยู่รอดได้ ถ้าเราเองไม่ได้นิมิตเห็นตอนที่เกิดเป็นสัตว์ ก็จะไม่เข้าใจเลยว่า สัตว์นั้นคิดเหมือนคนทุกอย่าง แถมยังฉลาดมากเสียด้วย สามารถวางแผนล่อเสือได้

ตอนนั้นเกิดเป็นจ่าฝูงหมูป่า หนังเหนียวเพราะมีของดีคู่ตัว คือ เขี้ยวตัน มีบริวารอยู่ร่วมพันได้ แต่ปรากฏว่ามีเสือตัวแสบอยู่ตัวหนึ่ง คอยย่องตามขบวน เผลอเมื่อไรก็คว้าลูกน้องเราเผ่นไปกิน ผ่านไปสองสามวัน ถ้าไม่มีกิน ก็มาใหม่อีก

พอโดนเสือคาบลูกน้องไปบ่อย ๆ เข้า จะไปตามล่าก็ไม่ได้ เพราะหมูมีกลิ่นแรงโดยธรรมชาติ ถ้าเสือได้กลิ่นก็จะเลี่ยง เพราะเสือไม่คิดจะสู้ คิดแต่จะกินอย่างเดียว

ฝูงหมูป่าก็หากินไปเรื่อย ๆ พอดีไปเจอเขตใหม่ที่ไม่คุ้นเคยมาก่อน เป็นหุบเขา ลักษณะเหมือนประตูผา พอเข้าไปข้างในพื้นที่กว้างเป็นสิบไร่เลย รอบข้างเป็นหน้าผาตัดชัน พอตัวเองเห็นเข้าดังนั้นความคิดบอกเลยว่า "ต้องเล่นงานเสือที่ตรงนี้"

จึงต้อนลูกฝูงทั้งหมดมา ไล่ให้ไปหากินตรงท้ายหุบ แล้วก็ซุกอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องออกมา ตัวเองก็พาลูกน้องระดับรอง ๆ ๗-๘ ตัวมาแอบซุ่มดูอยู่ สองวันแรกเสือก็ยังเงียบ พอวันที่สามเสือหิวทนไม่ไหวก็ย่องออกมาตามหาหมู

แต่เสือไม่รู้ว่าทางด้านที่หมูอยู่เป็นหน้าผาตัด เข้าแล้วออกไม่ได้ มีทางเข้าออกทางเดียว พอล้ำเข้าไปด้านใน หมูก็เข้าล้อมตีเสือ สู้กันจนท้ายที่สุดหมูก็ได้รุมยำใหญ่กินเสือ จะเห็นได้ว่า สัตว์ก็มีการวางแผนเหมือนกับคน"

เถรี 05-08-2010 17:34

ถาม : คาถานะมะพะธะ ท่องสลับไปสลับมา เพื่ออะไร ?
ตอบ : เพื่อให้ใจเป็นสมาธิ คนที่ใจไม่เป็นสมาธิท่องสลับกันก็มักจะผิด หลังจากที่เป็นสมาธิแล้วจะเอากำลังไปใช้อะไรก็ได้

ถาม : นะมะพะธะแปลว่าอะไรครับ ?
ตอบ : ถ้าจะเอาคำแปลอธิบายสามวันก็ไม่หมด โดยเฉพาะจำที่ครูบาอาจารย์ท่านบอกไว้ด้วย "คาถาห้ามแปล แปลแล้วไม่ขลัง"

ถาม : ผมอยากรู้ที่มาที่ไปของนะมะพะธะ
ตอบ : เกิดจากท้าวมหาพรหมองค์หนึ่ง เมื่อมองไปยังจักรวาลทั้งหมดแล้ว เห็นว่าแต่ละจักรวาลนั้น พลังงานที่แผ่พุ่งออกมา และสามารถที่จะเชื่อมโยงเข้าหากันได้ ท่านก็เลยกำหนดรูปหรือลักษณะของกาแลกซี่นั้น ๆ มาเป็นตัวอักขระ เขาเรียกว่า นะปฐมกัป จะเริ่มจากจุดนั้นมา

เสร็จแล้วก็เอามาสั่งสอนพวกโง่ ๆ อย่างเราให้รู้ตามท่าน เพื่อจะได้เอาไปใช้งานได้

เพราะฉะนั้น..เสียเวลาอธิบาย เรื่องอย่างนี้ไม่ใช่ไม่รู้ แต่พูดไปก็เท่านั้น ฟังตรงนี้ก็ลืม ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง เพียงแต่บอกให้รู้ว่า "ถามอะไรมากูก็รู้ แต่ที่ไม่ตอบเพราะไม่มีประโยชน์..!"

เถรี 05-08-2010 17:38

พระอาจารย์กล่าวต่ออีกว่า "จะว่าไปแล้ว เรื่องเหล่านี้พวกดาราศาสตร์เขาก็ถึงได้ แต่ก็เป็นแค่บางส่วน เพราะว่าสิ่งที่เขาเห็นเป็นเฉพาะจุด ไม่ใช่ภาพรวม แต่ว่าพรหม เทวดา หรือพระผู้ทรงอภิญญา ท่านมองออกไปจะเห็นภาพรวมของจักรวาลทั้งหมด"

เถรี 05-08-2010 18:09

พระอาจารย์กล่าวถึงเทคโนโลยีว่า "เรื่องของเทคโนโลยีนั้นเป็นเรื่องจำเป็น เพราะว่าเป็นส่วนช่วยให้โลกเจริญขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็อย่าให้ถึงกับเป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเรา

เป็นห่วงเด็กรุ่นใหม่ ๆ ว่า ถ้าขาดคอมพิวเตอร์แล้วจะไม่มีอะไรเหลืออยู่ในหัวตัวเอง เพราะอะไร ๆ ก็ให้คอมพิวเตอร์เก็บข้อมูลแทน แล้วตัวเองก็ไม่จำ กลายเป็นสมองกลวง ถ้าอยู่ ๆ เกิดพายุสุริยะขึ้นมา ข้อมูลโดนลบเกลี้ยงทั้งโลก ก็เสร็จเรียบร้อยเลย ทำอะไรไม่เป็นอย่างแน่นอน..!

แค่รุ่นพวกเรา ที่อาตมาเคยไปพาเที่ยวบึงลับแลเมื่อ ๑๐ - ๒๐ ปีก่อน ไปกัน ๑๗ - ๑๘ คน เราก็เห็นว่าเยอะดี จะให้ช่วยเราทำงานแทน ถามว่า "ใครหุงข้าวเป็นบ้าง ?" เขาถามกลับมาว่า "เสียบปลั๊กตรงไหน ?" สรุปแล้วก็คือพระต้องไปหุงข้าวให้เขากิน..!

พอเรายอมให้เทคโนโลยีเป็นทุก ๆ อย่างในชีวิตแล้ว สมรรถภาพก็เสื่อมไป เดี๋ยวนี้ต้มยำทำแกงก็ไม่เป็น เพราะมีประเภทสำเร็จรูปใส่ห่อมาให้เลย เทลงหม้อก็ใช้ได้ หรือไม่ก็อุ่นในเตาไมโครเวฟก็กินได้แล้ว สบายจังเลย

นึกถึงที่พระยามารเขาคุย เขาบอกเราว่า "เสียเวลาที่ท่านจะไปสอน เพราะผมครอบซ้ำไปอีกหลายชั้นแล้ว" ฟังดูแล้วน่าท้อนะ แต่ขอโทษ..ท้อได้แต่ไม่ถอย..!

สมัยก่อนเขาว่า "ด้วยหน้าที่ชีวิตรับผิดชอบ คือคำตอบที่รบอยู่มิรู้สิ้น" ที่รบไม่เลิกเพราะมันเป็นหน้าที่ ในเมื่อเป็นหน้าที่ก็ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด"

เถรี 05-08-2010 18:52

พระอาจารย์กล่าวถึงเรื่องอาหารให้ฟังว่า "สมัยนี้เผลอไม่ได้ อาหารส่วนใหญ่มักจะผสมเหล้ากันเยอะ โดยเฉพาะเด็กรุ่นหลัง มีช็อกโกแลตไส้บรั่นดี กินช็อกโกแลตแล้วเมาหัวทิ่มไปเลย หรือไม่ก็เค้ก เป็นเค้กแต่ก็มีส่วนผสมของบรั่นดี โดยเฉพาะลูกเชอร์รี่ที่ประดับหน้าเค้ก เขาแช่บรั่นดีมาด้วย เจอไปลูกเดียวก็หน้าแดงแล้ว

มีระยะหนึ่งครูแดงซื้อไอศกรีมมาถวาย เราเปิดขึ้นมาก็หงายท้องตึง บอกว่า "เฮ้ย..นี่เหล้านี่หว่า" เขาก็บอกว่า "ไม่ใช่เหล้าค่ะ..รัม" เราบอกว่า "ยายบ้า..จำไว้เลยว่ารัมของฝรั่งก็คือเหล้า แถมเป็นเหล้าเถื่อนด้วย..!" เขาบอกว่า "ตายแล้ว..กินไปมากเห็นว่าอร่อยก็เลยเอามาถวายพระ"


ถาม : อย่างอาหารจีน พวกกระเพาะปลาน้ำแดง ?
ตอบ : ไม่ต้องห่วงหรอก ส่วนใหญ่มีส่วนผสมของเหล้า ยังดีว่าในส่วนของอาหารที่เป็นอาหารร้อน พอลงไปแล้วแอลกอฮอล์โดนความร้อนมันระเหยไปเกือบหมด แต่ก็ยังเป็นเหล้าอยู่ดี แต่พวกเย็น ๆ อย่างพวกไอศกรีม มีแอลกอฮอล์อยู่เต็ม ๆ เลย

เคยเห็นคนกินกล้วยแล้วเมาไหม ? กล้วยอะไรก็ได้ พอเริ่มมีเครือ เขาก็เจาะโคนต้น เอาลูกแป้งสำหรับหมักเหล้ายัดเข้าไป แล้วก็อุดรู ต้นกล้วยก็ดูดขึ้นไปเลี้ยงลูก สุดยอดจริง ๆ พอถึงเวลากล้วยแก่ก็เก็บมาบ่มเสียอย่างดี แบ่งกันกินคนละลูกสองลูกก็เดินเซแล้ว

มีคนสันนิษฐานว่า เหล้าเกิดจากลิง ลิงจะรู้ก่อน คือ พวกผลไม้ต่าง ๆ ที่เกิดจากต้นจะมีจำนวนมาก พอสุกก็จะร่วงพร้อม ๆ กัน ถ้าต้นไม้มีคาคบเป็นโพรงอยู่ เวลาร่วงลงไปก็ไปหมักรวมกัน

พอหมักได้ที่ กลิ่นก็จะออก พวกที่เจอก่อนก็พวกลิงพวกค่าง กินแล้วติดใจก็ไปกินกันบ่อย พอเสียงเอะอะเกรียวกราว คนสงสัยก็ไปดู แล้วก็ลองกินบ้าง พอกินเสร็จคนเรารู้จักคิดว่าของอย่างนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ก็เก็บผลไม้มาลองหมักดู เลยเป็นต้นกำเนิดของเมรัย ยังไม่ใช่สุรานะ เมรัยเกิดจากการหมัก ถ้าสุราต้องกลั่น

เถรี 05-08-2010 19:12

พระอาจารย์กล่าวสอนในเรื่องความสกปรกของอาหารว่า "ถ้าใครเคยไปดูเขาหมักเหล้าองุ่นแล้ว ที่คิดจะกินเหล้าองุ่นอยู่อีก ก็คงจะหมดอารมณ์ เพราะเหล้าองุ่นที่ได้รสชาติที่สุด ต้องย่ำด้วยตีน..! ถึงเวลาก็เหยียบ ๆ

เราจะเห็นว่าจริง ๆ แล้วอาหารมีพื้นฐานจากความสกปรก ปีนี้หลวงตาปรีชา กลับมาจำพรรษาที่วัดท่าขนุนด้วย เขาบวชรุ่นเดียวกับท่านกอล์ฟ ก็แปลว่าสิบกว่าพรรษาแล้ว

สมัยที่ยังจำพรรษาด้วยกันที่เกาะพระฤๅษี สอนเรื่องกรรมฐาน ท่านก็บอกว่า "อาจารย์ครับ..อาหารอื่นผมพอจะพิจารณาได้ว่าสกปรก แต่พวกผลไม้สีสันน่ากิน ดูแล้วไม่เห็นว่าสกปรกตรงไหน ?" ก็เลยบอกว่า "คุณคิดง่าย ๆ ก็แล้วกันว่า ผลไม้ที่เราเอามากิน ก็คือผลไม้ที่กำลังเน่า เพียงแต่ว่าคนเราฉลาด รอให้เน่ากำลังดีแล้วก็กิน ถ้าเน่าเกินนั้นก็จะไม่กิน"

ตอนที่เน่ากำลังได้ที่ จริง ๆ แล้วก็คือการแปรสภาพ ถ้าเน่า ดำ ช้ำกว่านั้น เราก็จะไม่กิน เรารอตอนที่กำลังเหลืองอร่ามจึงกิน แปลว่าเรากำลังกินของเน่านั่นแหละ หรือไม่ก็พิจารณาดูว่าผลไม้เกิดจากปุ๋ยที่เป็นซากพืชซากสัตว์ที่เป็นความสกปรกก็ได้"

เถรี 05-08-2010 19:25

เช้าวันเสาร์ มีคนนำพระประธานทรงเครื่องจักรพรรดิประดับเพชรมาถวายแด่พระอาจารย์ ท่านแนะนำให้พวกเราอธิษฐานเวลาทำบุญว่า
"อธิษฐานสามอย่างง่าย ๆ
๑. เกิดใหม่อย่าให้พ้นไปจากเขตพระพุทธศาสนา
๒. ถ้าจะตายขอให้ภาพพระนี้อย่าหลุดพ้นไปจากใจของเรา
๓. ตายแล้วขอไปพระนิพพาน"

เถรี 05-08-2010 19:45

พระอาจารย์บอกว่า "พระประธานองค์นี้ พอย้ายบ้านใหม่จะเอาไปเป็นพระประธานที่นั่น (บ้านวิริยบารมี) เป็นเรื่องของธรรมะจัดสรร ตั้งใจจะไปสั่งช่างเนียรอยู่พอดี ตอนนี้ไม่ต้องสั่งแล้ว

เรื่องแบบนี้ที่ใช้คำว่า ธรรมะจัดสรร คือ วาระบุญจะลงตัวพอดี ระยะหลังจึงไม่ได้กล้าคิดอะไร คิดแล้วมักจะได้ ต้องระมัดระวังความคิดตัวเองเป็นพิเศษ

ต้องระวังสองอย่างอยู่ด้วยกัน อย่างแรกก็คือ ถ้าเราคิดในสิ่งที่ไม่สมควรแล้วมา เดี๋ยวจะเสียพระ อย่างที่สองก็คือ จะพาให้หลงตัวเองได้ง่าย ๆ ว่าคิดแล้วได้ดั่งใจ..คิดแล้วได้ดั่งใจ เดี๋ยวจะคิดว่าตัวเองดี"

เถรี 05-08-2010 20:04

พระอาจารย์กล่าวถึงในเรื่องของศาสนาอิสลามว่า "หลวงพ่อพระธรรมคุณาภรณ์ เจ้าคณะภาค ๑๔ วัดสามพระยา ท่านบอกว่า ถ้ามีโอกาสให้ซื้อที่ดินไว้บ้าง เพราะศาสนาอิสลามเปลี่ยนแผนเป็นการซื้อที่ โดยจะซื้อให้ได้จังหวัดละสามหมื่นไร่เป็นอย่างน้อย แล้วหลังจากนั้น ถ้าคนไทยไม่มีที่ทำกิน ไปขอที่ทำกินเขาเมื่อไร ต้องเปลี่ยนศาสนาเป็นศาสนาเขาจึงจะได้

พอนึกถึงจุดนี้ ก็เลยนึกถึงพระครูไพโรจน์ภัทรคุณ วัดสระพัง ระยะนี้พระครูไพโรจน์ท่านนำสร้างพระประธานองค์ใหญ่ ๆ ตามวัดต่าง ๆ พระประธานขนาดหน้าตัก ๑๐ เมตร (ประมาณ ๒๑ ศอก) ท่านบอกว่า "ผมสร้างเอาไว้ตรงไหนก็ตาม อิสลามเห็นก็ต้องรู้ว่าเป็นเขตศาสนาพุทธ ถ้าจะทำลาย ก็ต้องระเบิดหรือทุบกันขนานใหญ่นั่นแหละจึงจะหมด"

ก็เลยกลายเป็นว่า ในเรื่องการสร้างพระพุทธรูป ท่านพระครูไพโรจน์มีแนวคิดเดียวกับท่านเจ้าคณะภาค ก็คือเพื่ออยู่ในลักษณะต้านการรุกรานของอีกศาสนาหนึ่ง แต่ของท่านทำสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาให้ชัดเจนไว้ โดยเฉพาะพระใหญ่ ๆ คนเห็นก็ชื่นใจ ถึงเวลาก็อยากไปกราบไปไหว้"


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 19:19


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว