กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=43)
-   -   ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๑๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3810)

ลัก...ยิ้ม 15-07-2013 16:20

ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๑๐
 
คำนำ

ปกิณกธรรมหรือธรรมปกิณกะ แปลว่าธรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งทุก ๆ ท่านที่ปฏิบัติธรรมก็สามารถแสดงธรรมปกิณกะของตนออกมาได้ทุกท่าน แต่หนังสือเล่มนี้ผมเน้นรวบรวมเอาเฉพาะธรรมปกิณกะของพระพุทธองค์ ที่ทรงตรัสสอนผมและเพื่อนผู้ร่วมปฏิบัติธรรมของผมไว้ในปี พ.ศ. ๒๕๔๐ มาพิมพ์แจกให้กับผู้ศรัทธาได้ศึกษาแล้วนำไปปฏิบัติให้เกิดผลต่อไป โดยจิตของท่านชอบหรือพอใจตอนใด ก็ให้เอาตอนนั้นไปปฏิบัติให้เกิดผล ก็จะสามารถนำจิตของท่านให้พ้นทุกข์ได้ ไม่จำเป็นจะต้องปฏิบัติให้ได้หมดทุก ๆ ตอนหรือทุก ๆ ข้อ

เนื่องจากพระพุทธองค์มีพระพุทธญาณหรือสัพพัญญุตญาณ แต่พระองค์เดียวในโลกมนุษย์นี้ รวมทั้งยมโลก (อบายภูมิ ๔) เทวโลกและพรหมโลกด้วย สิ่งใดไม่จริงพระองค์จะไม่ตรัส ตรัสอย่างใดก็สามารถทำได้ตามที่ตรัส คำตรัสหรือคำสั่งสอนของพระองค์จึงเป็นอริยสัจทั้งสิ้น ผมเป็นเพียงผู้รวบรวมเอาแต่ปกิณกธรรมบางส่วน ที่พระองค์ทรงตรัสไว้ มารวบรวมพิมพ์เป็นเล่ม เพราะยังมีเล่มที่ ๑๑ และ ๑๒ ต่อ ๆ ไป หมายความว่าเป็นธรรมปกิณกะ และพระธรรมที่ทรงตรัสสอนไว้ในปี พ.ศ. ๒๕๔๑ และ ๒๕๔๒ นั่นเอง

ปกิณกธรรมของพระพุทธองค์ ล้วนเป็นอุบายในการพิจารณาเพื่อละ ปล่อยวางขันธ์ ๕ หรือร่างกาย ว่ามันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา ด้วยอุบายต่าง ๆ มากมายหลายวิธี เพราะทรงทราบด้วยพุทธญาณของพระองค์ว่า บุคคลในโลกนี้ล้วนมีจริต – นิสัย และกรรมที่กระทำกันมาในอดีตแตกต่างกันมาก พระองค์จึงต้องสอนให้ถูกตรงตามจริต – นิสัย และกรรมของแต่ละบุคคล เมื่อบุคคลเหล่านั้นปฏิบัติตาม ก็เกิดมรรคผลตามลำดับจนถึงพระนิพพานได้

ลัก...ยิ้ม 16-07-2013 14:12

สมเด็จองค์ปัจจุบันทรงตรัสว่า ในปัจจุบันบุคคลเหล่านี้ไม่มีแล้ว (ทรงหมายถึง บุคคลที่ฟังคำสอนของพระองค์แล้ว ก็มีดวงตาเห็นธรรมในขณะนั้น ในวันนั้น หรือต่อหน้าพระองค์) มีแต่เฉพาะในสมัยที่ตถาคตยังทรงพระชนม์ชีพอยู่เท่านั้น หรือหมายความว่า บุคคลกลุ่มนั้นมีบารมีเต็มหรือกำลังใจเต็มแล้ว (อุคฆติตัญญู) ส่วนบุคคลในสมัยปัจจุบันนี้ (ทรงหมายถึง กลุ่มพวกเราที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษี ที่ตั้งใจปฏิบัติกันอย่างจริงจัง) ยังมีบารมีไม่เต็ม หรือใกล้เต็มแล้ว (วิปจิตัญญู) จึงต้องอาศัยธรรมปกิณกะช่วย ซึ่งทรงเมตตาตรัสสอนไว้มากมายหลายวิธี ทุกวิธีหากนำมาปฏิบัติจริงจัง ย่อมมีผลทำให้จิตพ้นทุกข์ได้ทั้งสิ้น ขอยกตัวอย่างเช่น

ก) จงอย่าคิดว่าตนเองดี ถ้ายังตัดสังโยชน์ยังไม่หมด ดีเมื่อไรก็ตายวันนั้น ยกเว้นพระอรหันต์ท่านยังมีชีวิตอยู่ได้

ข) หากเรายังมีชีวิตอยู่ อย่าหลงคิดว่าตนเองดี เพราะหากดีวันไหนก็ต้องตายวันนั้น (ทรงใช้สังโยชน์ ๑๐ เป็นหลักในการตัดสินว่าคำว่า.. ดีหรือยังไม่ดี

ปกิณกธรรมที่พระองค์ทรงตรัสสอนจึงเหมาะกับจริต – นิสัย และกรรมของแต่ละบุคคลที่ทำกันมาไม่เสมอกัน เรื่องนี้จึงละเอียดมาก เป็นอุบายตัดกรรมให้กับบุคคลเฉพาะกลุ่มก็มี เฉพาะบุคคลก็มี สุดแต่พระองค์จะโปรดเมตตาใคร ผมก็ขออธิบายไว้เพียงแค่นั้น

ลัก...ยิ้ม 17-07-2013 11:41

ผมขอสรุปว่า หนังสือธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้นทั้ง ๙ เล่มนั้น คือ พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์เป็นส่วนใหญ่ ของหลวงปู่ หลวงพ่อทั้งหลาย ซึ่งล้วนเป็นพระสาวกของพระองค์ ได้เมตตามาสอนเพื่อนผมและผมโดยตรง ตั้งแต่เริ่มต้นปฏิบัติธรรมเบื้องต้น (ขณะที่หลวงพ่อฤๅษียังมีชีวิตอยู่) ธรรมท่ามกลาง และธรรมเบื้องสูงมาตามลำดับ มีรายละเอียดอยู่ในนั้นทั้งสิ้น เล่มต่อ ๆ ไปจึงเป็นปกิณกธรรมเกือบทั้งสิ้น

ในที่สุดนี้ ผมขออาราธนาบารมีคุณของพระศรีรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ขอจงดลจิตท่านผู้อ่านธรรมปกิณกะที่ทรงตรัสไว้บางส่วนในเล่มนี้แล้วเข้าใจ นำไปปฏิบัติต่อ จงเกิดมรรคผลนิพพานด้วยกันทุกท่านเทอญ

ลัก...ยิ้ม 18-07-2013 16:58

พรปีใหม่ของสมเด็จองค์ปฐม มีความสำคัญดังนี้
 
พรปีใหม่ของสมเด็จองค์ปฐม มีความสำคัญดังนี้

๑. ปีใหม่แล้ว ให้ดูว่ามีอะไรดีขึ้นกว่าเก่าบ้างไหมในการปฏิบัติธรรม จักเห็นได้ว่าขันธ์ ๕ ทุกอย่างเสื่อมหมด ไม่มีอะไรจักดีขึ้นมาได้เลย นับวันมีแต่แก่และเสื่อมลงทุกวัน จิตเราเคยยอมรับนับถือในความแก่ ความเสื่อมลงไปทุก ๆ ขณะนั้นบ้างหรือเปล่า ?

๒.เพราะเหตุใด ? ให้ถามจิต ให้จิตตอบ ก็จักเห็นอารมณ์จิตในบางขณะ ยังมีความดิ้นรน ฝืนสังขาร – ฝืนโลก – ฝืนธรรม งานบางอย่างทำไม่ไหวก็ยังอยากทำ เป็นต้น (กายแก่ลง แต่จิตมันไม่แก่) นั่นแหละเป็นวิภวตัณหา อันมีความต้องการให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงอย่างเก่า เพราะไม่เห็นว่าธรรมดาของร่างกาย เกิดขึ้นก็เสื่อมไปทุก ๆ ขณะ ไม่มีคำว่าเจริญขึ้นมาได้เลย ชีวิตจากปฐมวัยก้าวเข้าสู่มัชฌิมวัยแล้ว จักให้ถอยไปอยู่ในปฐมวัยอีกไม่ได้ และจากมัชฌิมวัยก็ก้าวเข้าสู่ปัจฉิมวัย ก็จักก้าวเรื่อยไปจนกระทั่งขันธ์ ๕ ถึงกาละ คือตายไปในที่สุด ไม่มีใครที่จักคงร่างกายนี้ให้อยู่ได้ตลอดกาล ตลอดสมัย นี่เป็นอริยสัจ

๓. การปฏิบัติจักต้องไม่ฝืนความจริงของขันธ์ ๕ การอยากให้ขันธ์ ๕ แข็งแรง มีสภาพทำงานได้คล่องเหมือนหนุ่ม ๆ สาว ๆ จุดนี้แหละ จักทำให้ต้องกลับมามีร่างกายใหม่ กล่าวคือแสวงหาภพหาชาติเกิดต่อไป ต้องระวังจุดนี้เอาไว้ให้ดี คอยหมั่นตรวจจิตเอาไว้ให้ดี ๆ สอนกันมามากแล้ว เร่งปฏิบัติให้ได้ด้วย

ลัก...ยิ้ม 19-07-2013 09:51

๔. การตรัสสอนพระธรรม จบลงในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ เป็นการจบตามสมมุติทางโลก แต่ไม่จบตามสมมุติทางธรรม หากยังตัดสังโยชน์ ๑๐ ไม่หมด หรือตัดอุปาทานขันธ์ ๕ ยังไม่หมด หมายความว่าอารมณ์ยึดขันธ์ ๕ ว่าเป็นเรา เป็นของเรายังอยู่ คิดว่าเป็นตัวกูของกู หรือยังไม่หมดสักกายทิฏฐิ ไม่หมดมานะกิเลส ดังนั้น ผู้ฉลาดมีปัญญา เขารู้ว่าขันธ์ ๕ นี้ แม้ไม่ยึด ตัดใดตัวหนึ่งใน ๕ ขันธ์นี้ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็สามารถจบกิจในพุทธศาสนาได้

๕. ขันธมารจักเล่นงานหนักในเวลานี้ ด้วยเหตุมุ่งจักทำเพื่อให้พ้นไปเสียจากขันธ์ ๕ กล่าวคือปรารถนาพระนิพพานเป็นที่ไป จึงเป็นเหตุให้ขันธมารและกิเลสมาร มุ่งเข้ามาเล่นงานผู้ปรารถนาจักไปพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้อย่างหนัก เพราะฉะนั้น ขอให้เตรียมตัวเตรียมใจยอมรับสภาพกฎของกรรมในรูปแบบต่าง ๆ ที่เข้ามาเล่นงานอย่างมีสติ – สัมปชัญญะ อย่าดื้อดึงกระทำตัวเหมือนคนพายเรือทวนน้ำ เพราะนั่นจักทำให้เหนื่อย เรือจักล่มอับปางเสียก่อนเปล่า ๆ ในเมื่อกฎของกรรมเข้ามาแรง ก็ไม่ต่างกับเกลียวคลื่นที่ถาโถมเข้ามา ทางที่พึงประคองตัวให้ไปตามน้ำคือ เสมือนหนึ่งกัปตันคอยประคองเรือไปตามเกลียวคลื่น ไม่ให้เรือล่ม ไม่ให้อับปางเป็นพอ

ลัก...ยิ้ม 23-07-2013 12:30

๖. อย่าลืมทุกอย่างไม่เที่ยง มีเกิดขึ้นมาได้ มันก็ดับได้ สภาวะกฎของกรรมก็เช่นกัน ไม่ช้าไม่นานก็ผ่านวาระไป ความเกิดขึ้นมีแล้ว ย่อมมีความดับเป็นธรรมดา ในโลกนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันหนีกฎไตรลักษณญาณไปไม่พ้นหรอก พิจารณาจุดนี้ให้ลงตัว แล้วจิตจักมีอารมณ์เยือกเย็นมาก เพราะจิตจักยอมรับกฎของธรรมดาและมีความสุขมาก

๗. เห็นใครตาย ให้เห็นเป็นธรรมดาของขันธ์ ๕ คำว่าเกิดมีที่ไหน คำว่าตายย่อมมีที่นั่น ยกเว้นแต่พระนิพพานเท่านั้น... ไม่มีที่เกิดที่ตาย ให้หมั่นพิจารณาขันธ์ ๕ เข้าไว้ จักได้ละได้เมื่อถึงที่สุดแห่งชีวิต เห็นใครที่ไหนตาย ให้น้อมเข้ามาหาตัวเองเอาไว้เสมอว่า ในไม่ช้าไม่นาน ขันธ์ ๕ อายตนะของเราก็เป็นอย่างนี้ จักได้ไม่มีความประมาทในชีวิต

ลัก...ยิ้ม 24-07-2013 17:34

๘. ชีวิตของร่างกายก็ดี ทรัพย์สินก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นอนิจจังไม่เที่ยงทั้งสิ้น การมีชีวิตหรือการมีทรัพย์สิน ก็เพียงสักแต่ว่ามีขึ้นแล้วก็ก้าวเข้าไปสู่ความเสื่อมทุก ๆ ขณะ แล้วในที่สุดร่างกายก็ตาย ทรัพย์สินทั้งหลายก็สลายไปหมด ให้กำหนดจิตดู จักมายึดติดกับร่างกายหรือติดกับทรัพย์สิน อันมีแต่ความเสื่อมทรุดโทรมไป เพื่อประโยชน์อันใดกัน พิจารณาถาม.. ให้จิตตอบ แล้วจักเกิดปัญญา ปล่อยวางร่างกายหรือทรัพย์สินภายนอกลงได้

๙. ร่างกายที่ยังคงอยู่ก็เพราะอาศัยสันตติ คือการสืบเนื่องไม่ขาดสายของธาตุทั้ง ๔ ซึ่งธาตุทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่เที่ยง มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา ให้กำหนดรู้สภาพของร่างกายตามความเป็นจริงอยู่เสมอ จิตจักได้ปลดจากร่างกายได้ในที่สุด ให้มองร่างกายตนเองเป็นสำคัญ แล้วมองร่างกายของคนอื่นเปรียบเทียบกัน จักเห็นความสกปรก ความไม่เที่ยง ความเสื่อมสลายตัวไปอย่างเห็นได้ชัด จุดนี้พยายามทรงอารมณ์พิจารณาเข้าไว้.. อย่าทิ้งอารมณ์ จึงจักเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงได้

ลัก...ยิ้ม 25-07-2013 11:14

๑๐. เห็นกฎของกรรมแล้วให้เคารพในกฎของกรรมด้วย จิตจักได้วางความร้อนใจลงได้ เห็นทุกอย่างไม่น่าอยู่ ไม่น่าอาศัย โลกนี้ทั้งโลกเต็มไปด้วยกระแสของกฎของกรรม อันซึ่งเป็นมาแต่ไฟโมหะ โทสะ ราคะทั้งสิ้น มองให้ชัด ๆ พิจารณาน้อมจิตให้เห็นลึกลงไป หาเหตุหาผล ถึงเหตุถึงผลอันทำให้จิตของตนต้องมาจุติ ถ้าหากมองแล้วพบเหตุพบผลก็จักแก้ไขจิต ไม่ให้ต้องไปจุติต่อไปในภายหน้า และจักเห็นหนทางตัดตรงไปพระนิพพานได้

๑๑. ให้มองจิตของตนเอง จนรู้อารมณ์ของจิตของตนในแต่ละขณะจิต จักเห็นความหวั่นไหวแปรปรวนไปตามอายตนะต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา จุดนั้น.. จักทำให้สามารถพิฆาตกิเลสของตนเองลงได้ จุดนี้สำคัญมาก และต้องใช้สติสัมปชัญญะกำหนดรู้เป็นอย่างยิ่ง และจำได้ว่าจักต้องใจเย็นด้วยจึงจักได้ผล

ลัก...ยิ้ม 26-07-2013 09:14

๑๒. อย่าสนใจว่าใครตายแล้วจักไปไหน ให้สนใจถามจิตตนเองว่า ถ้าตายตอนนี้จิตจักไปไหน เพราะชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ไม่มีใครหนีพ้น ให้เตรียมจิตพร้อมตายตลอดเวลา อย่าไปยุ่งกับเรื่องของชาวบ้าน ธรรมที่ผ่านไปแล้วเป็นอดีต ธรรมที่ยังเข้ามาไม่ถึงคืออนาคต ธรรมที่แท้จริงอันประสบอยู่ก็คือธรรมปัจจุบัน รักษาจิตให้เป็นสุขอยู่ในธรรมปัจจุบันนี้แหละ จึงจักเป็นของจริงและประเสริฐที่สุด

ลัก...ยิ้ม 29-07-2013 09:32

๑๓. ขอให้อดทนต่ออุปสรรคทั้งปวง นักปฏิบัติเพื่อพระนิพพานจักต้องรู้ว่า กฎของกรรมจักต้องทยอยเข้ามาเล่นงานอย่างหนัก ในแต่ละนาทีของชีวิต.. การฝึกจิตให้เข้มแข็งจักต้องพึงมีในนักปฏิบัติเพื่อพระนิพพานทุกคน ในเมื่อเราอุทิศชีวิตและร่างกายเพื่อพระพุทธศาสนาแล้ว ให้มุ่งทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพานอย่างจริงจัง อย่าหวังผลตอบแทนด้วยประการใด ๆ ทั้งปวง

ให้สอบจิตว่ายังมีจุดไหนหวังผลตอบแทนบ้าง ถ้ามีก็จงประมาณตนเองว่าเลวเกินไปเสียแล้ว เพราะพระนิพพานรับแต่คนหมดโกรธ หมดโลภ หมดหลงเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นพระนิพพานไม่รับ ยิ่งสุขภาพไม่ดี ยิ่งจักต้องเพิ่มความไม่ประมาทให้มากขึ้น หากวางร่างกายตนเองได้เสียอย่างเดียว ก็วางทุกสิ่งทุกอย่างได้หมด มรรคผลนิพพานอยู่ที่ตัดร่างกายได้จุดเดียว ก็ตัดได้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง

ลัก...ยิ้ม 30-07-2013 11:07

๑๔. อารมณ์หมดกำลังใจตัวเดียว ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเลวร้ายหมด ปัญหาที่เข้ามาถึงชีวิตของแต่ละคน ล้วนมาแต่กฎของกรรมซึ่งตนทำไว้เองในอดีตชาติทั้งสิ้น การรับกรรมอยู่ในเวลานี้ เป็นเพียงเศษผลของกรรมเท่านั้น อย่าพึงท้อแท้ใจ ให้พิจารณากฎของกรรม และชดใช้ไปด้วยขันติคืออดทนเป็นหลักใหญ่ แล้วกรรมเหล่านี้ก็จักผ่านไปได้ อย่าลืม ทุกสิ่งในโลกนี้ไม่เที่ยง มันเคลื่อนไปอยู่เสมอทุก ๆ ขณะจิต เกิดแล้วตั้งอยู่ก็ดับไป กฎของกรรมทั้งหลายก็เช่นกัน บางครั้งชีวิตร่างกายของเรานี้แหละก็จักดับจากมันไป รักษาอารมณ์ของจิตไว้ให้ดี อย่าไปหวั่นไหวกับอาการเกิดดับของกรรมนั้น

ลัก...ยิ้ม 31-07-2013 09:39

๑๕. ร่างกายไม่เที่ยง พยายามรักษากำลังใจให้เที่ยงด้วย เวลานี้ร่างกายมันป่วย ก็ให้คิดว่าใกล้ความตายอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก จงอย่าประมาทในชีวิต แล้วจงหมั่นพิจารณาปลดภาระทั้งหมด อย่าให้จิตติดข้องห่วงใยในกรณีใด ๆ ทั้งปวง โดยอุบายอันคิดว่า ขณะนี้ร่างกายมันจักตายแล้ว ความสะดวกปลอดโปร่งไร้กังวลของจิตมีความสำคัญมาก ให้กำหนดจุดหมายของจิตเข้าไว้ คือต้องการพระนิพพานเท่านั้น คือแน่วแน่ทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพานจุดเดียวเข้าไว้เสมอ (ดั่งกรรมฐานโดยย่อว่า รู้ลม – รู้ตาย – รู้นิพพานนั่นเอง)

ลัก...ยิ้ม 02-08-2013 14:12

๑๖. เรื่องสุขภาพของคุณหมอนั้น เป็นเครื่องเตือนให้เห็นภัยมรณะเช่นกัน ระมัดระวังสุขภาพเอาไว้เสียบ้างก็เป็นดี อย่าฝืนร่างกายให้มากนัก พึงนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ อย่าเอาการนอนน้อยเป็นบรรทัดฐานว่าเป็นของดีในการปฏิบัติ จุดนั้นยังไม่ใช่ของดี จักทำให้เบียดเบียนร่างกายของตนให้เกิดทุกขเวทนายิ่งขึ้น การนอนทำให้ร่างกายมีสุขภาพดี ก็คือพักผ่อนให้เพียงพอในแต่ละวัน และนอนอย่างนักปฏิบัติ คือหลับในฌาน หรือหลับในวิปัสสนาญาณ มิใช่นอนทิ้งนอนขว้างจักตายเสียเปล่า พิจารณาความพอดีของการยังอัตภาพให้เป็นไปด้วย ไม่ว่า กิน อยู่ หลับนอน นุ่งห่ม ยารักษาโรค ทุกอย่างลงตัวพอดี ก็ได้ชื่อว่าไม่เบียดเบียนตนเอง

๑๗. อย่าทิ้งการพิจารณา ทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทำจิตให้ยอมรับว่า รูปและนามตกอยู่ในสภาวะไตรลักษณญาณเหมือนกันหมด ให้จิตมีสติ – สัมปชัญญะ กำหนดรู้เท่าทันแล้วจิตจักมีอารมณ์เบา คลายจากการเกาะยึดเหนี่ยวอะไรทั้งหมด คือ มุ่งตัดรูป – นาม หรือขันธ์ ๕ ของตนเองเป็นสำคัญ ทั้งนี้จักต้องขึ้นอยู่กับกำลังใจ หรือบารมี ๑๐ เป็นสำคัญ ให้ตรวจสอบกำลังใจของตนเองเอาไว้ให้ดี

ลัก...ยิ้ม 05-08-2013 14:04

๑๘. ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จุดนี้จักต้องพิจารณาให้หนัก และเอาจริงจึงจักวางภาระขันธ์ ๕ ไปได้ ถ้ายังไม่พิจารณาธาตุ ๔ อาการ ๓๒ ให้เห็นจริงจัง จิตก็จักเผลอไปเกาะขันธ์ ๕ ทันที ให้เห็นสภาวะของจิต ใกล้สิ่งไหนเกาะสิ่งนั้น สภาพของจิตยึดทุกสิ่งทุกอย่างที่ใกล้ตัวของมัน รับสัมผัสสิ่งดีก็ยึดดี รับสัมผัสสิ่งเลวก็ยึดเลว สภาพของจิตมีอารมณ์ชอบยึด

ให้รู้สภาวะของจิต ซึ่งยึดทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามากระทบจิต เมื่อเราปรารถนาจักหลุดพ้นเพื่อให้ถึงซึ่งพระนิพพาน ก็จักปล่อยวางอารมณ์ของจิตที่ยึดมั่นถือมั่นมาแต่เดิมนั้นเสีย จุดนี้ให้ใช้ปัญญาพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ และในที่สุดก็อนัตตาไปหมด พยายามชำระจิตอย่าให้เกาะทุกสิ่งทุกอย่างในโลก ทำได้เมื่อไหร่จิตก็พ้นเมื่อนั้น

ลัก...ยิ้ม 06-08-2013 09:22

๑๙. อย่าฝืนร่างกาย ให้อนุโลมตามเหตุตามผลของความเป็นจริง ฝืนเท่าไหร่ทุกข์มากเท่านั้น ปล่อยวางร่างกายให้อยู่ตามปกติสุข แล้วใช้จิตพิจารณาร่างกายนี้ด้วยปัญญาว่า มันไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ในมัน ไม่ช้าไม่นานเรากับมันก็ต้องจากกันแล้ว ตั้งใจไว้เลยว่าเราจักคบมันเป็นชาติสุดท้าย ตายจากกันเมื่อไหร่ก็ขอไปพระนิพพานจุดเดียวเท่านั้น

ทุกข์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด จักต้องพยายามมองให้เห็นและปลดทุกข์เสียให้ได้ อันฆราวาสยังมีขันธ์ ๕ จักให้สิ้นทุกข์เลยทีเดียวไม่ได้ ไม่เหมือนพระภิกษุสงฆ์ ซึ่งจบกิจแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้ พวกเจ้าเป็นฆราวาสก็ทนไปก่อน รอใกล้จักนิพพานนั่นแหละ จักรู้จักคำว่าสิ้นทุกข์ แต่อย่าทิ้งการปฏิบัติธรรม จักต้องหมั่นทำกำลังใจให้เต็มเข้าไว้เสมอ

ลัก...ยิ้ม 08-08-2013 12:01

๒๐. ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ในที่สุดร่างกายก็คืนกลับสู่สภาพเดิมของ ดิน - น้ำ - ลม - ไฟ สลายตัวไป พยายามปลดร่างกาย หรือพิจารณาร่างกายของตนให้มาก ถ้าหากต้องการให้ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของการมีร่างกาย จงอย่าทิ้งการพิจารณาอาการ ๓๒ ธาตุ ๔ ของร่างกาย รักษากำลังใจเข้าไว้ มรณานุสติอย่าทิ้งไปจากใจ

คนเราทุกคนตายแน่ สำหรับร่างกายกำหนดรู้เอาไว้ อย่าให้หลงมัวเมาอยู่กับศพเดินได้เหล่านี้ เห็นธรรมภายใน เห็นธรรมภายนอก มีความเสมอเท่ากันหมด สิ่งใดมีเกิดขึ้น.. สิ่งนั้นย่อมมีตายเป็นธรรมดา แล้วพิจารณาความโกรธ – โลภ – หลง จักมีประโยชน์กับเราได้อย่างไร ? ในเมื่อร่างกายอันเป็นที่รักยิ่งก็ยังเอาไปไม่ได้ การปรารถนาซึ่งความโกรธ – โลภ – หลง ไม่ได้ช่วยให้เราดีขึ้น อารมณ์เหล่านี้รังแต่จักนำเราไปสู่อบายภูมิ มีสัตว์นรกเป็นต้น ไม่ได้นำเราไปสู่สุคติภูมิเลย จุดนี้จงอย่าประมาทในอารมณ์ของจิต

ลัก...ยิ้ม 09-08-2013 10:30

ให้หมั่นชำระล้างจิตเอาไว้ให้ผ่องใสเสมอ และอย่าน้อยใจในโชคชะตาของชีวิตว่าทุกข์หนัก มีทุกข์มากกว่าบุคคลอื่น ซึ่งเหล่านี้ไม่พึงโทษโคร เพราะเป็นผลจากกฎของกรรมอันเราได้ทำไว้เองทั้งสิ้น พิจารณาให้จิตยอมรับในกฎของกรรมเข้าไว้ จิตจักได้ไม่ดิ้นรน มีความสงบสุขและไม่พึงปรารถนาความเกิดอีกต่อไป เพราะหากเผลอพลาดไปเกิดอีก ก็จักพบทุกข์เยี่ยงนี้อีก กรรมอาจจักหนักกว่าเก่า เพราะทุกคนที่หนีกรรมไปพระนิพพานยังไม่มีใครหมดกรรมสักคนหนึ่ง กรรมเก่าในอดีตชาติทำไว้หนักหนาทั้งสิ้น ด้วยความที่ไม่เข้าถึงศีล ไม่เข้าถึงธรรม จึงเป็นเหตุให้สร้างกรรม สร้างบาปอันเป็นอกุศลไว้มาก ให้กำหนดรู้จุดนี้ไว้ให้ดี จักได้ไม่ประมาทในการสร้างความดี

ลัก...ยิ้ม 13-08-2013 13:26

รักษาศีลให้ตั้งมั่น แล้วพึงรักษาธรรมให้ตั้งมั่นด้วย ศีลและธรรมเท่านั้นที่จักชำระจิตให้หลุดพ้นจากการถูกรบกวนด้วยอารมณ์ทั้งปวง อันเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้องเกิดในที่ต่าง ๆ อีก ให้พิจารณากฎของกรรมที่เข้ามาเล่นงานขันธ์ ๕ อยู่ในชาติปัจจุบัน และจงอย่าคิดน้อยใจท้อแท้ต่อกฎของกรรม แล้วอย่าพึงคิดว่าตายแล้วก็แล้วกันไป จิตจักไปที่ไหนก็ช่างมัน.. อย่างนั้นจงอย่าได้มีขึ้นกับจิต ให้มีความอดทน มีสัจจะตั้งมั่น ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของการมีร่างกาย และตายเมื่อไหร่ให้มีพระนิพพานเป็นที่ไปเมื่อนั้น

ลัก...ยิ้ม 15-08-2013 10:01

รักษากำลังใจตั้งมั่นอยู่ในความดี เรื่องการกระทบกระทั่งกันระหว่างผู้มีกิเลสกับผู้มีกิเลสย่อมเป็นของธรรมดา ขนาดพระอรหันต์หรือพระตถาคตเจ้าทุก ๆ พระองค์ก็ยังถูกนินทา เรื่องเหล่านี้พึงเห็นเป็นของธรรมดา สร้างอภัยทานให้เกิดขึ้นกับจิต แผ่เมตตาไปทั่วทั้งจักรวาล ตั้งสัจจะอธิษฐานเข้าไว้ จิตของเราจักไม่ตั้งตนเป็นศัตรูกับใคร.. ทำให้ได้จริง ๆ แล้วจิตจักไม่สนใจจริยาของบุคคลอื่น สุข – สงบ.. จิตไม่เร่าร้อน ความสุขก็จักเกิดขึ้นมาก

ให้ลองตั้งใจทำให้ได้จริง ๆ ดูสักชั่วโมง สองชั่วโมงในแต่ละวัน แล้วจักเห็นอานิสงส์ของการแผ่เมตตา หลังจากนั้นค่อยเพิ่มกำลังใจ.. รักษาอารมณ์นี้ไว้ให้ได้เป็นวัน ๆ แล้วจิตจักมีอารมณ์เยือกเย็นและเป็นสุขมากขึ้น ความขัดเคืองในอารมณ์จักไม่มี ใครชั่วใครดีก็เป็นกรรมเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล จิตของเราจักไม่ไปยุ่งเกี่ยวกับกรรมของเขาเลย จิตของเราจักมุ่งอย่างเดียวคือ สุขในพรหมวิหารธรรม

(หมายเหตุ : พรของพระองค์ในข้อนี้ยาวมาก เพราะทรงใช้บารมี ๑๐ เป็นหลักสำคัญในการตรัสสอน จนครบทั้ง ๑๐ บารมี เพื่อให้พวกเราได้เห็นคุณประโยชน์ของการใช้บารมี ๑๐ ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการปฏิบัติธรรม เพื่อนำไปสู่ความพ้นทุกข์ ที่แยกเป็นข้อ ๆ นั้น เพราะเป็นคำตรัสสอนในแต่ละวัน ๆ ตามลำดับ คำตรัสสอนจึงเป็นปกิณกธรรมทั้งสิ้น)

ลัก...ยิ้ม 19-08-2013 09:14

๒๑. ตัดกังวลภายในจิตลงให้ได้มากที่สุด ด้วยการใช้ปัญญาถามจิต ให้จิตตอบว่า จักกังวลกับชีวิตไปเพื่อประโยชน์อันใดกัน กลัวตายทำไมในเมื่อมอบกายถวายชีวิตเข้ามาในเขตพระพุทธศาสนาแล้ว จิตของเราได้ตั้งอยู่ในความดีตามคำสั่งสอน เพื่อละซึ่งกิเลสความโกรธ โลภ หลง จริงหรือเปล่า ? เรามีความตั้งใจจริงที่จักปฏิบัติธรรมเพื่อพระนิพพานแค่ไหน ? ถามจิตให้จิตตอบเข้าไว้เสมอ แล้วพร้อมหรือยังที่จักละซึ่งขันธ์ ๕ อันเป็นเหยื่อล่อของความทุกข์ เป็นเหยื่อล่อของตัณหา เราพิจารณาขันธ์ ๕ ให้เห็นตามความเป็นจริงพอแล้วหรือยัง จุดนี้จักต้องถามจิตให้จิตตนเองตอบ แล้วจักเป็นปัญญาให้เกิดรู้แจ้งเห็นจริงในขันธ์ ๕ นี้ จนวางภาระขันธ์ ๕ ของตนเองให้ได้อย่างเดียว ก็จักวางทุกสิ่งทุกอย่างได้หมด และเป็นปัจจัยให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยง่าย

ลัก...ยิ้ม 20-08-2013 08:39

๒๒. อย่าสนใจจริยาของบุคคลอื่นให้จิตมันเร่าร้อนไปเพื่อประโยชน์อันใด ให้พยายามรักษาอารมณ์เยือกเย็นของจิตให้อยู่ในพรหมวิหาร ๔ ให้มาก และเป็นธรรมดาอยู่ดีที่จิตยังไม่เข้าถึงพระอนาคามีผล.. ความหวั่นไหวของจิตย่อมมีบ้าง แต่พยายามให้มั่นหวั่นไหวน้อยลง พยายามรักษาอารมณ์นี้ให้ทรงตัว ควบกับการพิจารณาขันธ์ ๕ หรือว่าร่างกายนี้เป็นธาตุ ๔ มีอาการ ๓๒ เข้ามาประชุมชั่วคราว มีเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีเสื่อมไปในท่ามกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุด ให้จิตยอมรับความจริงอยู่อย่างนี้ แล้วกิเลสต่าง ๆ ก็จักเบาบางลงไปได้

ลัก...ยิ้ม 21-08-2013 09:01

๒๓. อย่าเพ่งโทษผู้อื่น ใครเขาจักทำอย่างไรก็เรื่องของเขา มุ่งเอากาย วาจา ใจของเราให้ดีก่อน ตราบใดที่ยังเห็นข้อบกพร่องของตนเอง หากจักเอ่ยปากตำหนิบุคคลผู้อื่น ให้รู้ตัวไว้ว่านั่นเราเลวแล้ว ไปรับเอาชั่วเอาเลวของเขาไว้แล้วนำมาตำหนิ นั่นแหละเราเลวกว่าเขา หากหวังความก้าวหน้าในการปฏิบัติ ก็จงกำหนดรู้ข้อบกพร่องจุดนี้เอาไว้ให้ดี และให้ตั้งใจตั้งอารมณ์ให้ถูกต้อง เพียรเลิกเสียให้ได้จริง ๆ ในเรื่องของคนอื่น แล้วผลของการปฏิบัติจักตีวงแคบเข้ามา และเข้ามรรคผลนิพพานได้ง่าย อย่าเสียเวลากับคนอื่นโดยใช่เหตุ ชีวิตล่วงไป.. ความตายใกล้เข้ามาทุกที

ลัก...ยิ้ม 22-08-2013 09:20

๒๔. ร่างกายนี้ ในไม่ช้าก็จักเป็นผีในป่าช้า ให้พิจารณาขันธ์ ๕ ตามความเป็นจริง จักเห็นร่างกายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่ายที่สุด อันพึงที่จิตของเราควรจักละทิ้งไป การพิจารณาร่างกาย พยายามรักษากำลังใจให้สม่ำเสมอ อย่าทำจิตให้ตก คือเศร้าหมองไปกับธรรมที่พิจารณานั้น ให้รักษากำลังจิตให้เข้มแข็ง ยอมรับสภาพที่เสื่อมลงไปทุกขณะของร่างกาย แล้วหมั่นรักษาอารมณ์วางเฉยกับร่างกายตนเอง มันจักแก่ก็เชิญแก่ มันจักป่วยก็เชิญป่วย มันจักตายก็เชิญตาย อย่าไปทุกข์ร้อนกับมัน

ลัก...ยิ้ม 23-08-2013 07:55

๒๕. ร่างกายที่จิตเราอาศัยอยู่ชั่วคราวนี้ ประกอบด้วยธาตุ ๔ มีอาการ ๓๒ ให้หมั่นกำหนดรู้ (เพราะไม่กำหนดก็ไม่รู้ จิตอาศัยอยู่จนชินด้วยความหลง) อย่าได้มี.. พิจารณาว่ามันไม่ใช่เรา มันไม่มีในเราอยู่เสมอ ๆ พยายามทำให้ชิน จิตจักได้เป็นฌานในกายคตานุสติ และอสุภกรรมฐานควบไปถึงมรณาฯ กับอุปสมานุสติด้วย ให้หมั่นคิดไว้เสมอว่า ถ้าร่างกายนี้ตายเมื่อไหร่ จิตของเราปรารถนาอยู่อย่างเดียวคือไปพระนิพพาน แม้ร่างกายมันป่วย มันเจ็บ ก็ให้รู้ว่าวาระหรือโอกาสที่เราจักได้เข้าถึงพระนิพพานใกล้เข้ามาแล้ว เราใกล้สิ้นทุกข์แล้ว รักษาอารมณ์ปล่อยวางให้มาก" (อุเบกขาในร่างกาย.. ซึ่งเป็นอุเบกขาของบารมี ๑๐)" ความประมาทในชีวิตของร่างกาย เพราะความตายจักเข้ามาถึงเมื่อไหร่ก็ได้

ลัก...ยิ้ม 27-08-2013 09:47

๒๖. อย่าทิ้งอารมณ์พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง (กรรมฐาน ๕ ซึ่งเวลาบวชพระ ท่านอุปัชฌาย์จะแนะนำผู้บวชให้พิจารณาเป็นสมถะและวิปัสสนาภาวนาเป็นปกติ) อาการ ๓๒ ธาตุ ๔ ให้ไล่ไปไล่มาสลับกัน ตั้งแต่วันเกิดปฏิสนธิในครรภ์มารดา จนกระทั่งถึงวันตาย ธาตุ ๔ ก่อตัวมาอย่างไร ? สลายตัวไปอย่างไร ?

ให้พิจารณาให้เห็นชัด จุดนี้จักเป็นการตัดรูปในพระพุทธศาสนาได้ เป็นตัวปัญญาที่จักนำไปสู่อารมณ์จิตที่ยอมรับนับถือว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่มีในเราอย่างแท้จริง แล้วจักเห็นร่างกายเป็นเหยื่อล่อของตัณหา รวมไปถึงการพิจารณาอายตนะหกด้วย ยิ่งจักเห็นเด่นชัดยิ่งขึ้นว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้นไม่ใช่เรา แยกจิตผู้รู้นี้ให้ออกมาเป็นเอกเทศ ปล่อยวางกองสังขารลงให้หมด ไม่ว่าจักเป็นจิตสังขาร หรือกายสังขาร นั่นแหละจักเป็นอารมณ์จิตที่ว่างจากกิเลสอย่างแท้จริง

แม้จักเป็นการว่างชั่วคราว.. ก็พึงที่จักซักซ้อมเข้าไว้ให้จิตเคยชิน ทำให้บ่อย ๆ เมื่อสภาพการตายที่แท้จริงเข้ามาถึง จิตก็จักละจากขันธ์ ๕ มุ่งสู่พระนิพพานตามปรารถนาทันที อนึ่ง พยายามตัดเรื่องภายนอกออกให้มากที่สุด อย่าไปห่วงใครทั้งหมด รักษาอารมณ์ของจิต อย่าให้ตกเป็นทาสของนิวรณ์ทั้ง ๕ ประการ ให้ตั้งใจเจริญกรรมฐานให้จิตทรงตัวให้นานที่สุดเท่าที่จักทำได้

ลัก...ยิ้ม 29-08-2013 09:28

๒๗. ว่างจากกิจการงานเมื่อไหร่.. ให้ตั้งใจพิจารณาร่างกายเมื่อนั้น ให้เห็นตามความเป็นจริงว่า ร่างกายนี้เต็มไปด้วยภาระและนำทุกข์มาให้ จึงพึงละเสียให้ได้จากร่างกายอันเต็มไปด้วยภาระและทุกข์นี้ (เป็นวิปัสสนาญาณข้อที่ ๖) รักษากำลังใจเข้าไว้ ให้ตั้งมั่นในเรื่องของการพิจารณาร่างกายนี้ เพราะมีความสำคัญยิ่งกว่างานใดทั้งปวง

บุคคลใดพิจารณาธรรมข้อนี้จนเข้าใจดีแล้ว บุคคลผู้นั้นจะเป็นผู้มีธุระน้อยทางโลกได้ตามลำดับ และเห็นความสำคัญของพระธรรมว่า มีคุณค่าอย่างหาสิ่งอื่นใดจะมาเทียบได้ ความไม่ประมาทในชีวิต ไม่ประมาทในความตายก็จะมีมากขึ้นเพียงนั้น นิพพานสมบัติก็จะมีมากขึ้นตามส่วนของความไม่ประมาท และเข้าใจได้ว่า เพราะเหตุใดพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์มี ๘๔,๐๐๐ บท ซึ่งเป็นอริยสัจ ผู้ใดปฏิบัติตามก็สามารถนำไปสู่ความพ้นทุกข์ได้ทั้งสิ้น แต่ทรงตรัสสรุปไว้เหลือเพียงแค่ประโยคเดียวว่า ขอให้ทุกคนจงพร้อมอยู่ในความไม่ประมาทเถิด

ลัก...ยิ้ม 30-08-2013 09:31

ปกิณกธรรม.. เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๐

๑. ร่างกายของคนเราไม่มีอะไรดี เพราะไม่มีความยั่งยืนคงทนแม้แต่อย่างหนึ่ง ในอาการ ๓๒ ที่เข้ามาประชุมกันเป็นร่างกายนี้ สร้างมาจากธาตุ ๔ ที่เข้ามารวมตัวกัน มีความย่อหย่อนอยู่ตลอดเวลา ความพร่องย่อมก่อให้เกิดความไม่สบายในร่างกายอยู่เสมอ จุดนี้พิจารณาให้เข้าถึงกฎไตรลักษณ์ เห็นความไม่เที่ยงของร่างกายอยู่ตลอดเวลา จักเป็นเหตุให้จิตคลายความเกาะติดในร่างกาย และเบื่อหน่ายในการมีร่างกาย

แต่พึงระมัดระวัง อย่าให้อารมณ์เบื่อเกิดขึ้นมากจนเกินไป จักเป็นเหตุให้เกิดความกลัดกลุ้มเป็นโทษแก่จิต และจักเป็นเหตุให้เสียผลของการปฏิบัติธรรมสืบไปเบื้องหน้า จักต้องคอยประคองจิตอย่าให้เศร้าหมอง หรือยินดีในธรรมมากจนเกินไป เอาจิตให้อยู่ในระดับสายกลาง ไม่เครียด ไม่หย่อน ปฏิบัติไปอย่างสบาย ๆ จึงจักมีปัญญาแทงตลอดในธรรมทั้งหลายได้ดี

เรื่องของคนอื่นให้ปล่อยวางไปเสียจากจิต เพราะกรรมใครกรรมมัน ให้คิดเสียว่าเราช่วยเขาไม่ได้ เพราะในเรื่องของจิตใจจักต้องปฏิบัติกันเอาเอง ใครทำใครได้ และจงพยายามกันเรื่องของคนอื่นออกไป ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จักมากได้ สร้างความสงบสุขให้กับจิต จิตสงบมากเท่าไหร่ ปัญญาก็เกิดมากขึ้นเท่านั้น

ลัก...ยิ้ม 02-09-2013 13:45

๒. ร่างกายคือธาตุ ๔ มีอาการ ๓๒ มาประชุมกันชั่วคราว ที่สุดของร่างกายคืออนัตตา มีความสลายตัวไปในที่สุด อย่ายึดถือร่างกายของตนเองเป็นสรณะ อย่ายึดถือร่างกายคนอื่นเป็นสรณะ เพราะในโลกนี้ไม่มีร่างกายของใครจักเป็นที่พึ่งของใคร เมื่อถึงที่สุดแห่งวาระของการแตกดับของร่างกายนี้มาถึง จงหมั่นกำหนดจิตชำระล้างความเกาะติดในร่างกายของตนเอง และร่างกายของคนอื่น ด้วยกำลังของศีล สมาธิ ปัญญา อันเป็นพระธรรมที่นำไปสู่ความพ้นทุกข์เป็นสรณะ ปฏิบัติตามแล้วจักรู้ตามความเป็นจริงของกองสังขารทั้งปวง และหมั่นปล่อยวางอารมณ์ที่เกาะติดร่างกายนี้ลงเสีย

ลัก...ยิ้ม 03-09-2013 08:55

๓. อย่ากังวลใจกับสภาวะสงครามใหญ่ และอุทกภัยที่จักเกิดขึ้นในปลายปีนี้ ให้ตั้งจิตมั่นคงในศีล สมาธิ ปัญญา ชำระกิเลสในขณะนี้ให้ลดน้อยหรือสิ้นยังจักดีกว่า เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของอนาคต ชีวิตของพวกเจ้าเองก็ยังไม่เที่ยง มันอาจจักตายลงไปในขณะจิตนี้ก็ได้ เรื่องสงครามหลังกึ่งพุทธกาลนั้นมีแน่ ทุกอย่างเป็นไปตามพุทธพยากรณ์ขององค์สมเด็จปัจจุบัน แต่จิตไม่ควรจักตื่นตกใจให้มากเกินไป ให้ปลงเสียว่า ถ้ากฎของกรรมมีอยู่ ให้ชีวิตของร่างกายจักต้องทรงอยู่ และมีอันจักต้องประสบเหตุการณ์เช่นนั้น ภัยอย่างนี้เลี่ยงไม่ได้ เราพึงเตรียมจิตเตรียมใจรับสภาวะกฎของกรรมอย่างไรดี จุดนี้ต่างหากที่พึงจักสนใจ เมื่อภัยพิบัติมาถึงเข้าจริง ๆ ในเวลานั้น ถ้าหากกฎของกรรมมีอันทำให้ถึงตาย ก็พึงเตรียมจิตเตรียมใจทิ้งขันธ์ ๕ เพื่อเข้าสู่พระนิพพานอย่างเดียว อะไรจักเกิดมันก็ต้องเกิด อย่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงเสียอย่างเดียว ตัวสติก็คุมจิตให้มีสัมปชัญญะได้

เรื่องหนีไม่จำต้องหนีไปไหน เพราะภัยที่จักเกิดขึ้นกับผู้ใด ไปที่ไหนก็หนีไม่พ้นภัยนั้น ๆ ยกเว้นเสียจากผู้ที่ทำจิตได้เข้าสู่พระนิพพานแล้ว ภัยทั้งหลายเหล่าใดก็เข้าถึงผู้นั้นมิได้ เพราะฉะนั้น..ผู้มีชีวิตอยู่ในกึ่งพุทธันดรนี้ จึงพึงเป็นผู้ไม่ประมาทอย่างยิ่ง ควรเร่งรัดในศีล สมาธิ ปัญญา ให้ตั้งมั่นอยู่ในจิต แล้วชีวิตจักรอดพ้นจากความตาย หากโชคดีละขันธ์ ๕ ได้ ก็ถึงซึ่งพระนิพพาน พ้นทุกข์ก่อนได้เห็นภัยพิบัติก็ยิ่งดี

ลัก...ยิ้ม 04-09-2013 09:09

(ต้นเหตุ เพราะมีคนเอาเทปของหลวงปู่ดาบสมาเปิดฟัง ในเทปนั้นกล่าวว่า มีเทวดามาเล่าให้ท่านฟังความว่า จะมีสงครามใหญ่และเรื่องน้ำจะท่วมกรุงเทพฯ ขนาดกลายเป็นทะเลรวมทั้งจังหวัดใกล้เคียงด้วย ภาคใต้แผ่นดินจมหายไปหลายส่วน ภาคเหนือจะมีแผ่นดินไหวและแผ่นดินแยก ฟังแล้ววิตกจริต โมหะจริตก็เกิด สมเด็จองค์ปฐมฯ จึงเมตตามาตรัสสอนความว่า หนีภัยในโลกนี้หนีไม่พ้นหรอก เพราะเป็นกฎของกรรมซึ่งเที่ยงเสมอ และให้ผลไม่ผิดตัวด้วย ทรงให้เอาเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึง (อนาคตธรรม) มาพิจารณาให้เกิดประโยชน์ เพื่อเร่งรัดการปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อจะได้พ้นไปเสียจากโลกและขันธโลก (ขันธ์ ๕ หรือร่างกาย) เสียให้เร็วที่สุด ด้วยความไม่ประมาทในความตาย จงอย่าตีตนไปก่อนไข้ สำหรับตัวผม ขออนุญาตธัมมวิจัยเรื่องนี้ไว้ดังนี้

ก) เหตุที่เกิด เกิดเมื่อ ๓ ก.พ. ๒๕๔๐ หลังหลวงพ่อฤๅษีทิ้งขันธ์ ๕ ไปแล้ว ๕ ปีกว่า ผมเองไม่เคยรู้จักหลวงปู่ดาบส และไม่เคยสนใจเทปและคำสอนของท่าน มีหลายคนนำมาให้ผมอ่าน ผมอ่านแค่ ๒ – ๓ หน้า แล้วก็ทิ้งไปไม่สนใจอีกจนถึงปัจจุบันนี้

ลัก...ยิ้ม 05-09-2013 11:42

ข) ในเทปที่ว่าเทวดามาเล่าให้ฟังนั้น ให้ถามจิตเราและให้จิตเราตอบ ว่าเทวดานั้นหมดกิเลสแล้วหรือยัง เทวดามี ๒ พวก พวกแรกเป็นโดยบังเอิญ ไม่มีคุณธรรมของเทวดาเลย คือไม่มีหิริ-โอตตัปปะ ก่อนตายจิตบังเอิญไปเกาะบุญ ก็เลยโชคดีไม่ไปสู่อบายภูมิ ๔ มีนรก เป็นต้น

เทวดาพวกหลังท่านเป็นโดยมีคุณธรรมของเทวดา คือมีหิริ-โอตตัปปะ เมื่อเข้าใจแล้วก็จะรู้ว่า เทวดาองค์นี้เป็นมิจฉาทิฏฐิเป็นพวกแรก เพราะผมทำหน้าที่ตอบปัญหาธรรมมา ๑๖ ปีกว่าแล้ว มีคนเอาคำถามแบบนี้มาถามผมหลายครั้งแล้ว โดยเฉพาะเรื่องน้ำท่วมกรุงเทพฯ ระบุวัน เวลา สถานที่ชัดเจน มันก็เหลวไหลไร้สาระทั้งสิ้น ผมก็ตอบไปว่ากรุงเทพฯ น้ำก็ท่วมอยู่เป็นปกติ เพราะฝนตกใหญ่ครั้งใดน้ำท่วมทุกที แต่ความจริงไม่ใช่เป็นแค่น้ำขังเท่านั้น เครื่องสูบน้ำไม่ทันน้ำก็ขัง เพราะแผ่นดินของกรุงเทพฯ ทรุดลงทุกปีจากการสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้มากเกินไป ปัจจุบันสูงกว่าระดับน้ำทะเลไม่ถึง ๑ เมตร เวลาหน้าน้ำ น้ำทะเลหนุน.. น้ำก็ท่วมอยู่เป็นปกติธรรมดา จงอย่าไปสนใจข่าวลือที่ไร้สาระเหล่านั้น

ลัก...ยิ้ม 06-09-2013 12:45

ค) เรื่องสงครามใหญ่ทรงตรัสไว้จริง มิได้ตรัสว่าเป็นสงครามโลก และมิได้ระบุวันเวลาไว้แน่นอน คำว่าอีกหน่อยมีความหมายลึกซึ้งมาก เพราะถ้าเป็นเทวดาชั้นจาตุฯ ท่านบอกว่าอีก ๒ – ๓ วัน ก็หมายความว่าอีก ๑๐๐ ถึง ๑๕๐ ปีของโลกมนุษย์ เพราะหนึ่งวันของท่านเท่ากับ ๕๐ ปีโลกมนุษย์ ถ้าเทวดาชั้นดาวดึงส์มาบอกว่าอีก ๒ – ๓ วัน ก็คืออีก ๒๐๐ ถึง ๓๐๐ ปีโลกมนุษย์ เพราะหนึ่งวันของท่านเท่ากับ ๑๐๐ ปีโลกมนุษย์ หากพรหมท่านบอกละก็ไม่รู้อีกกี่แสนกี่ล้านปีทีเดียว โปรดใช้ปัญญากันหน่อย

ลัก...ยิ้ม 09-09-2013 09:14

ง) ใครจะว่าก็ตาม ควรจะเชื่อแต่ที่พระพุทธเจ้าท่านว่า ท่านตรัสดีที่สุด เพราะไม่จริงพระองค์จะไม่ตรัส ตรัสอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น.. ไม่เป็นอย่างอื่น ทุกคำพูดของพระองค์ล้วนเป็นอริยสัจทั้งสิ้น จุดนี้ผมจำได้ว่า สมเด็จองค์ปฐมฯ ทรงตรัสไว้ชัดว่า พระพุทธบาทจำลองที่ทรงให้สร้างไว้ที่วัดท่าซุงอยู่หน้าโบสถ์เก่านั้น จะมีอายุอยู่คู่กับวัดท่าซุงครบ ๕,๐๐๐ ปี และสมเด็จองค์ปัจจุบันทรงตรัสว่า พุทธศาสนาของพระองค์นี้จะทรงอยู่ในประเทศไทยครบ ๕,๐๐๐ ปีเป็นต้น นี่ก็แค่ ๒๕๕๒ ปีเท่านั้น แล้วจะวิตกจริตกันไปถึงไหน

ลัก...ยิ้ม 10-09-2013 08:57

๔. ร่างกายเป็นเพียงธาตุ ๔ มีอาการ ๓๒ มารวมกันเป็นเหยื่อล่อของกิเลส เป็นเหยื่อล่อของตัณหา หากปรารถนาจักทิ้งร่างกาย ต้องการมรรคผลนิพพาน ก็จงอย่าทิ้งการพิจารณาร่างกาย (ด้วยกายคตาฯ อสุภกรรมฐาน และมรณาฯ อุปสมานุสติ) สร้างความเบื่อหน่ายในร่างกายให้เกิดอย่างจริงจัง (ด้วยวิปัสสนาญาณ ๙) รวมทั้งไม่ปรารถนาการเกิดในภพชาติใด ๆ อีก ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความหมายสำหรับชีวิต มีเพียงจุดเดียวเท่านั้น คือละ – ปล่อยวางไม่เกาะติดกังวลกับสิ่งใด ๆ อีก

มีงานทำก็ทำไปไม่กังวล ปล่อยวาง ถือว่าทำเพียงหน้าที่เท่านั้น อย่าไปเกาะติดให้เป็นกังวล โจทย์จิตไว้ให้พร้อมทุกเมื่อ เมื่อจักละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อไปพระนิพพานจุดเดียว อะไรจักเกิดขึ้นก็ปล่อยวาง ทำเพียงหน้าที่ไม่ห่วงใย ไม่กังวล แม้แต่กายสังขารของตนเองจักดับสิ้นไป ให้พิจารณาร่างกายให้เห็นอาการ ๓๒ ธาตุ ๔ จนเห็นชัด จนจิตคลายความเกาะติดในร่างกาย ไม่เห็นความสำคัญของร่างกาย สักเพียงแต่ว่ายังอัตภาพให้เป็นไปตามกรรมเท่านั้น มันจักพังเมื่อไหร่.. ให้จิตพร้อมยอมรับการพังนั้นทุกเมื่อ ไม่ดิ้นรนเดือดร้อนไปกับมัน จิตจับอารมณ์รักพระนิพพานให้แนบแน่นอย่างเดียวก็เป็นพอ

ลัก...ยิ้ม 11-09-2013 09:22

๕. ร่างกายเป็นของที่น่ากลัว ให้กลัวตรงหาความเที่ยงในร่างกายไม่ได้เลย (เหมือนกับผีหลอก) และเป็นบ่อเกิดแห่งทุกขเวทนาทั้งหมด (วิปัสสนาญาณข้อ ๓) ให้กำหนดรู้โทษของร่างกาย (วิปัสสนาญาณข้อ ๔) อันมีอายตนะรับสัมผัสให้เกิดเวทนาทั้งหลาย (วิญญาณของขันธ์ ๕) อย่าได้มัวเมาอยู่ หลงอยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ (ซึ่งไม่เที่ยง ใครยึดก็เป็นทุกข์) ให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างตามความเป็นจริง แล้วจึงจักวางความเกาะติดในเวทนาลงได้ทั้งปวง

อนึ่ง การกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกอย่าทิ้ง เพราะจุดนี้จักทำให้มีสติสัมปชัญญะยิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วให้ใจเย็น ๆ อย่าเร่งรีบอย่างคนใจร้อน และประการสุดท้าย ให้ตัดความกังวลทุกอย่างทิ้งไป จึงจักเจริญพระกรรมฐานได้ดี ให้พยายามตัดแม้กระทั่งความกังวลในร่างกายหรือขันธ์ ๕ ที่มีอาการไม่ดีอยู่นี้ มรณานุสติเป็นหลักใหญ่ที่ใช้ตัดความเกาะติดในร่างกายได้เป็นอย่างดี.. อย่าทิ้ง รวมทั้งอุปสมานุสติกรรมฐาน เอาจิตตั้งเป้าหมายไว้เลยว่า ตายเมื่อไหร่ขอไปพระนิพพานเมื่อนั้น แล้วพึงตัดหมายกำหนดการที่จักท่องไปในที่ต่าง ๆ เสียด้วย

อย่างบางคนคิดจักไปเชียงใหม่ ใจก็เกาะอยู่แต่เชียงใหม่ ไม่ทันได้ไปเกิดตายเสียก่อน ก็ต้องไปเกิดที่เชียงใหม่ตามจิตที่จุตินั้น ถ้าคิดจะไปไหนก็เอาเพียงแต่แค่คิด รู้แล้วทิ้งไปเสียก่อน เป็นเพียงหมายกำหนดการเท่านั้น ให้ดูตรงขณะจิตนี้หรือขณะจิตหน้า ชีวิตก็อาจจักตายได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น พึงเอาจิตเกาะพระนิพพานให้แนบแน่น ตายเดี๋ยวนี้ก็ไปพระนิพพานได้เลย จิตจักได้ไม่ไหลไปทางอื่น

ลัก...ยิ้ม 16-09-2013 10:50

๖. อย่ากังวลใจในทุกขเวทนาของร่างกาย ให้กำหนดรู้ ดูเอาไว้เป็นครูสอนจิตตนเอง อย่าให้มาหลงในร่างกายอันเต็มไปด้วยทุกขเวทนาอย่างนี้อีก (คนส่วนใหญ่มักจะไม่กำหนด จึงไม่รู้ว่ากายนี้เป็นทุกข์ อยู่กับมันจนชิน ทุกขสัจหรือทุกข์ของกาย ต้องกำหนดรู้ จึงจะรู้ว่ามันเป็นทุกข์) ถ้าเรากำหนดรู้ว่ากายกับเวทนาของกายนี้.. เต็มไปด้วยความทุกข์บ่อย ๆ จิตก็จักบังเกิดความเบื่อหน่ายในร่างกาย (ใช้พิจารณาวิปัสสนาญาณ ๙ ข้อ ๑ – ๒ – ๓ – ๔ กลับไปกลับมาจนเกิดนิพพิทาญาณ) ไม่ปรารถนาจักมีร่างกายอันเต็มไปด้วยทุกขเวทนาอย่างนี้อีกต่อไป

ให้กำหนดจิตจนตั้งมั่นว่า หากร่างกายนี้มีอันเป็นไปเมื่อไหร่ จุดที่เราต้องการไปคือพระนิพพานแห่งเดียวเท่านั้น กำหนดปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งทุกขเวทนาของร่างกาย สักแต่ว่าให้มันเป็นไป มันไม่ใช่ของเรา มันไม่มีในเรา เราไม่มีในร่างกาย แยกอาการ ๓๒ เข้าไว้ แล้วจิตจักยอมรับนับถือความจริงของร่างกายยิ่ง ๆ ขึ้นไป จิตจักคลายความเกาะยึดในร่างกายลงได้ในที่สุด

ลัก...ยิ้ม 18-09-2013 08:50

๗. ร่างกายเป็นรังของโรค จุดนี้พิจารณาธาตุ ๔ ที่พร่องอยู่เป็นหลัก ให้เห็นสภาวะของร่างกายตามความเป็นจริง แล้วจักสร้างความเบื่อหน่ายในร่างกายให้เกิดขึ้นได้ อย่าละจากอารมณ์พิจารณาธาตุ ๔ โดยใช้อิทธิบาท ๔ มีฉันทะ หรือมีความพอใจในการพิจารณาธาตุ ๔ อยู่เสมอ มีวิริยะ คือความเพียร กำหนดรู้ว่า ธาตุดินของกายมีอะไรบ้าง ? ธาตุน้ำมีอะไรบ้าง ? ธาตุไฟมีอะไรบ้าง ? ธาตุลมมีอะไรบ้าง ? มีจิตตะ คือเอาจิตจดจ่ออยู่กับการพิจารณาธาตุ ๔ ทั้งภายนอกและภายในตามความเป็นจริง จักเห็นความไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตลอดเวลา เป็นสันตติ และมีวิมังสา ใช้ปัญญาพิจารณา เพื่อแก้ไขอารมณ์ที่ยังเกาะติดร่างกาย หรืออุปาทานขันธ์ ๕ หรือสักกายทิฏฐิ (ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวเนื่องกับร่างกาย) ให้ลด ละ ปล่อยวางร่างกายลงให้ได้ จากอุบายพิจารณาร่างกายของเรา ซึ่งประกอบด้วยธาตุ ๔ มีอาการ ๓๒ ล้วนแต่สกปรก ไม่เที่ยง และเป็นทุกข์ ยึดถืออะไรไม่ได้เลย เพียรมากพักน้อยก็จบเร็ว เพียรน้อยพักมากก็จบช้า

ลัก...ยิ้ม 20-09-2013 12:11

๘. ร่างกายไม่ดีก็เป็นเป็นปกติของร่างกาย การป่วยของร่างกายเป็นการเตือนให้เห็นถึงความตาย มรณานุสติอย่าทิ้ง เพราะเป็นนิพพานสมบัติ ยิ่งคิดถึงความตายถี่มากเท่าไหร่ ความประมาทในธรรม หรือในกรรมทั้งปวงก็ลดน้อยลงมาเท่านั้น.. ยิ่งใกล้พระนิพพานมากขึ้นเท่านั้น ปัญหาทุกชนิดทั้งทางโลกและทางธรรมจะบรรเทาลงได้อย่างอัศจรรย์ หากใช้มรณานุสติถามจิตตนเอง.. ให้จิตมันตอบ หากกายเกิดตายในขณะนี้แกจักไปไหน ทุกอย่างจะสงบลงทันที จิตจะกลับมามีสติ – สัมปชัญญะใหม่ และตอบทันทีว่าจะไปพระนิพพาน

กรรมฐานกองนี้ต้องใช้เป็นปกติ ตั้งแต่พระโสดาบันยันถึงพระอรหันต์ (พระโสดาบันนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้า – ออก) กรรมฐานกองนี้จักทำให้ไม่เผลอสติ จักได้เตือนจิตตนให้นึกถึงร่างกายตามความเป็นจริงอยู่เสมอ ว่าไม่มีใครที่มีร่างกายแล้วหนีพ้นความตายไปได้ พิจารณาเข้าไว้ให้จิตทรงตัว แล้วกำหนดจุดหมายตั้งมั่น คือพระนิพพานเข้าไว้แล้วที่สุดก็จักไปได้ตามนั้น (ด้วยอุบายสั้น ๆ ว่า รู้ลม - รู้ตาย – รู้นิพพาน)

จำไว้อย่าเสียดายอะไรในโลกทั้งหมด หากยังมีชีวิตอยู่การทำบุญทำทานจักต้องมี เพื่อเป็นการเสริมสร้างบารมีให้เต็มอยู่เสมอ โดยเฉพาะทานบารมีถ้าเต็มก็ตัดความโลภได้ จงอย่าทิ้งการทำบุญทำทาน มีมากทำมาก มีน้อยทำน้อยตามกำลังใจ และอย่าเบียดเบียนตนเอง อย่าเบียดเบียนผู้อื่น การทำอย่าหวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น ให้มุ่งทำเพื่อพระนิพพานจุดเดียวเท่านั้นเป็นสำคัญ จึงจักจัดว่าเป็นบุญสูงสุดในพระพุทธศาสนา

ลัก...ยิ้ม 23-09-2013 12:00

๙. อย่าทำตนเป็นคนไร้ปัญญา พิจารณาบ้างไม่พิจารณาบ้าง แล้วจักหาจิตทรงตัวมาจากไหน จำไว้อย่าทิ้งอารมณ์พิจารณา คิดน้อย ๆ ค่อย ๆ คิด คิดบ่อย ๆ แล้วจิตมันจักชิน ความทรงตัวในการตัดร่างกายมันจักมีขึ้นมาได้ จุดนี้จักต้องมีความเพียรสูง ต้องพยายามทำให้เกิดความทรงตัวเข้าไว้ ในวันหนึ่งเริ่มจาก ๑ นาทีย่อมทำได้ แต่อย่าเครียด ให้ค่อย ๆ ทำกันไป พิจารณาพอจิตมีอารมณ์เบา ๆ สบาย ๆ จิตยอมรับความเป็นจริงของร่างกาย จิตก็จักมีความสงบ ไม่ดิ้นรนทะยานอยากในสิ่งที่เกินวิสัย ถึงจุดนั้นเมื่อไหร่ ความสุขจักเกิดขึ้นแก่จิตมาก

ลัก...ยิ้ม 24-09-2013 12:02

๑๐. อย่าสนใจในกรรมของบุคคลอื่น ให้สนใจในกรรมของตนเอง กรรมแปลว่าการกระทำทางกาย วาจา ใจของเราเองนี้ คนอื่นเขาจักทำกรรมอันใด จักมาเนื่องถึงเรา ถ้าเราไม่รับเสียอย่างเดียว เขาจักเล่นงานเราได้ก็เพียงแค่กรรมเก่าเท่านั้น พอหมดเขตวาระของกฎของกรรมแล้ว กรรมเหล่านั้นจักทำอะไรเราต่อไปไม่ได้ ถ้าหากเขายังกระทำต่อไป กรรมเหล่านั้นนั่นแหละจักเข้าตัวเขาเอง

จำไว้ว่าเขาด่า เขานินทา เขาใส่ร้าย หรือกระทำใด ๆ มาก็ดี ถ้าหากกรรมนั้นเราไม่เคยกระทำมาก่อน กรรมทั้งหลายก็จักไม่มาเข้าถึงเราเป็นอันขาด ไม่ต้องไปโทษใคร จักต้องโทษตัวของเราเอง ถ้าชาติก่อน ๆ ไม่เคยทำกรรมเหล่านี้เข้าไว้ กรรมเหล่านี้จักเกิดขึ้นกับเราไม่ได้เลย

ต่อไปก็ให้ตั้งใจตัดกรรม คือไม่ต่อกรรมหรือจองเวรกับใครอีก ให้เจริญพรหมวิหาร ๔ ให้มาก ๆ ตั้งกำลังใจแผ่เมตตาไปในทิศทั้งปวง ว่าเราจักไม่เป็นศัตรูกับใคร ใครจักเป็นศัตรูกับเราก็เรื่องของเขา ไม่ต้องเอาจิตไปเกาะการกระทำของบุคคลอื่น ให้เอาจิตดูการกระทำของกาย วาจา ใจของตนเองเป็นสำคัญ อย่าให้ไปเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 14:26


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว