กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๙ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=4958)

เถรี 04-04-2016 11:22

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนเมษายน ๒๕๕๙
 
ถาม : ในขันธ์ ๕ ตัวสัญญา อยากทราบวิธีพิจารณาว่าตัวสัญญา หรือภาษาไทยแปลว่าความคิด จะพิจารณาอย่างไรหรือครับว่ามันไม่ใช่เราไม่มีในเรา ?
ตอบ : ใครแปลสัญญาว่าความคิด ? สัญญาคือความจำ ก็ดูจากพวกอัลไซเมอร์สิ มีเยอะแยะไป หรือมีเมียแล้วเสือกทำเป็นสัญญาเสื่อม จำไม่ได้ว่ามีเมียแล้วดันไปมีกิ๊กอีก ก็เตรียมตัวตายได้...! สารพัดวิธีที่จะพิจารณา

สิ่งที่อยากจะจำกลับลืม สิ่งที่อยากจะลืมดันไปจำ สรุปแล้วขันธ์ ๕ ก็มีแต่ความทุกข์ ท้ายสุดตัวเราตายไปก็ไม่มีอะไรเหลือ

เถรี 04-04-2016 11:24

ถาม : ผมรู้สึกกลุ้มใจกังวลใจมากเลยครับ เวลาภาวนาทั้ง ๆ ที่ผมเคยได้ฌาน ๑ รู้สึกสุขมาก หรือเวลาสวดมนต์จู่ ๆ ความคิดด่าพระเข้ามาในจิต ?
ตอบ : ไม่ต้องถามต่อ แปลว่าฌานเสื่อมไปเรียบร้อยแล้ว ถ้ายังทรงฌานอยู่ ความคิดอื่นจะแทรกเข้ามาไม่ได้นอกจากอารมณ์ภาวนา ยกเว้นอยู่อย่างเดียวว่า ทำจนชำนาญแล้วสามารถคิดพิจารณาได้ แต่ก็เป็นการพิจารณาในธรรม สรุปว่าเคยได้ฌาน แต่ปัจจุบันเจ๊งไปแล้ว ส่วนความคิดด่าพระเป็นกิเลสมารดลใจ ยิ่งขาดสมาธิสมาบัติ ก็ยิ่งโดนเขาพาให้เสียได้ง่าย

เถรี 04-04-2016 11:31

ถาม : บุคคลที่เชื่อว่าพระเจ้ามีจริง พระพุทธเจ้าหรือพระอริยสงฆ์ท่านมีวิธีทำให้เป็นสัมมาทิฐิ เห็นตามความเป็นจริงอย่างไรหรือครับ ?
ตอบ : ก็ไม่เห็นต้องมีอะไรนี่ เขาเชื่อว่าพระเจ้ามีจริงก็เป็นเรื่องดี ก็แค่ปรับให้พระเจ้าของเขามาเป็นพระพุทธเจ้าก็จบแล้ว แบบเดียวกับหลวงปู่ตื้อและหลวงปู่แหวน ท่านไปโปรดพวกชาวป่าข่าระแด ที่เป็นชาวป่าล้าหลังมาก ไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นอะไร นับถือแต่ผี หลวงปู่ท่านก็เอารูปพระพุทธรูปไป บอกว่าองค์นี้เป็นหัวหน้าผีที่ใหญ่ที่สุด ถ้านับถือแล้วผีอื่น ๆ ไม่กล้าเบียดเบียน ไม่กล้ารังแก เขาก็เลยหันมานับถือพระพุทธเจ้ากันหมด แล้วค่อยสอนให้เขาสมาทานศีล รักษาศีล

ส่วนที่น่าสังเกต คือ วิธีการของพระพุทธศาสนาไม่เคยคัดค้านหลักการของใคร เพียงแต่นำเสนอหลักการที่ดีกว่า ในเมื่อไม่ไปคัดค้าน ความคิดเป็นศัตรูของเขาไม่มี เขาก็ยอมเปิดใจรับฟัง พอได้สิ่งที่ดีกว่าไป เขาก็ยินดีรับเอาไปปฏิบัติ

เถรี 04-04-2016 11:36

ถาม : การกำหนดจิตควบคำภาวนาขึ้นลงเป็นเส้นตรงภายในร่างกายจากจมูกไปท้อง จากท้องไปจมูก โดยไม่ได้กำหนดรู้ลม จิตไม่ได้สนใจลมภายใน แต่เพราะในร่างกายเป็นช่องว่างที่มีลมเป็นฐาน การกำหนดจิตแบบนี้แม้ไม่ได้สนใจในลม ถือว่าเป็นการทำอานาปานสติหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าไม่เกาะลม ไม่ถือว่าเป็นอานาปานสติ อานะกับอาปานะ แปลตรง ๆ ว่าลมหายใจเข้ากับลมหายใจออก ในเมื่อลมหายใจเข้าออกเราไม่จับ จะเรียกว่าอานาปานสติไม่ได้

ถาม : จากคำถามก่อนหน้า หากกำหนดรู้ลมภายในร่างกายไปด้วย จากจมูกไปท้อง จากท้องไปจมูกเป็นอานาปานสติใช่ไหมครับ ? และถ้าคิดว่าเป็นการทำวาโยกสิณ จะถือเป็นการทำวาโยกสิณที่ถูกวิธีได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจกำหนดลมก็เป็นอานาปานสติ ถ้าตั้งใจจะทำวาโยกสิณ กำหนดลมหายใจได้ แต่ต้องใช้คำภาวนาว่า "วาโยกสิณัง" แทน

ถาม :การกำหนดรู้กองลมกองเล็ก ๆ เท่าปลายนิ้วก้อย แค่จุดเดียว จุดใดจุดหนึ่งภายในร่างกาย เช่น ที่ท้องน้อย ถือว่าเป็นการทำอานาปานสติไหมครับ ? และถ้าหากคิดว่าเป็นการทำวาโยกสิณ แค่กำหนดรู้กองลมกองเล็ก ๆ แค่จุดเดียวในท้องน้อยเช่นนี้ จะถือว่าเป็นการทำวาโยกสิณได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้ากำหนดลมหายใจก็เป็นอานาปานสติ ถ้าจะกำหนดวาโยกสิณ ก็ต้องใช้คำภาวนาว่า "วาโยกสิณัง" สรุปแล้วก็คือคำตอบเดิม

เถรี 04-04-2016 11:49

ถาม : พระภิกษุจะฉันน้ำมันชาตรีที่ผสมกับน้ำมันงาหลังเที่ยงวันเพื่อเป็นยารักษาอาการเจ็บป่วยเช่น ปวดหัว ปวดท้อง ตัวร้อน เป็นไข้ได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้...แต่ต้องให้คนประเคนก่อน

ถาม : ถ้าพระภิกษุจะฉันน้ำมันชาตรีที่ผสมน้ำมันงาก่อนเพล ต้องให้โยมประเคนน้ำมันชาตรีทุกครั้งที่ฉัน หรือประเคนหนึ่งครั้งอยู่ได้เจ็ดวันค่อยประเคนใหม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าจะเอาให้แน่ก็อย่าให้เกิน ๗ วัน เพราะน้ำมันเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้ใช้เป็นเภสัช ก็คือ อาหารที่ฉันหลังเที่ยงได้ แต่เป็นสัตตาหะกาลิก ก็คือ ประเคนครั้งหนึ่งอยู่ได้ไม่เกิน ๗ วัน

เถรี 04-04-2016 11:51

ถาม : วัตถุมงคลที่อยู่ที่บ้านวิริยบารมีในวันที่พุทธาภิเษกพิธีฝ่าวิกฤติ แต่ไม่ได้อยู่ในกองวัตถุมงคลที่จัดไว้เป็นการเฉพาะ เช่น วัตถุมงคลในตู้วัตถุมงคล วัตถุมงคลด้านหลังห้อง รวมถึงวัตถุมงคลที่ท่านต่าง ๆ นำติดตัวไปร่วมพิธีในวันดังกล่าว

วัตถุมงคลต่าง ๆ เหล่านี้จะได้รับอานุภาพของพิธีฝ่าวิกฤติ เช่นเดียวกับวัตถุมงคลที่จัดไว้ในกองวัตถุมงคลสำหรับพุทธาภิเษกเป็นการเฉพาะด้วยหรือไม่ครับ ?

ตอบ : ถ้าท่านให้ก็ได้ ถ้าท่านไม่ให้ก็ไม่ได้ ประเภทขี้สงสัยไปเรื่อยแบบนี้ ต่อให้ของจริงก็กลายเป็นของปลอม

เถรี 04-04-2016 12:01

ถาม : ผมสงสัยว่าพระโพธิสัตว์ ท่านสามารถมีโคตรภูญาณได้ไหมครับ ?
ตอบ : มีโคตรภูญาณไม่ได้ แต่เข้าถึงได้ เหมือนอย่างกับคนที่ยังเป็นเจ้าของที่ดินไม่ได้ แต่ไปเดินเหยียบแถวนั้นเล่นได้

เถรี 04-04-2016 12:18

ถาม : ๒-๓ ปี ก่อนผมภาวนา "นะ มะ พะ ธะ" ก่อนนอน และพอผมภาวนาไปเรื่อย ๆ ตอนนั้นผมรู้สึกชัดเลยว่าหัวใจเต้นเร็วมากเหมือนแผ่นดินจะไหว เลยอยากทราบว่า อาการแบบนี้คืออะไรแล้วแก้ไขอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องแก้ ให้ตัดสินใจตอนนั้นว่าตายเป็นตาย ถ้าตายเราจะไปกราบพระบนพระนิพพานก็จบแล้ว นั่นเป็นอาการของกำลังสมาธิที่รวมตัว เพื่อที่จะส่งกายในออกไป ถ้าแรงกว่านั้นอีกนิดเดียวก็ไปได้แล้ว ตอนนี้เชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนยังไม่พอ เพราะดันไปกลัวตายเสียก่อน

เถรี 04-04-2016 12:21

ถาม : คำทำนายของพระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระที่ว่า "เมื่อพระพุทธศาสนาอายุถึงกึ่ง ๕,๐๐๐ ปี นับแต่พระพุทธเจ้าปรินิพพาน จะมีพระมหาโพธิสัตว์จะมาบำรุงพระศาสนา" ผมเลยสงสัยว่า พระมหาโพธิสัตว์พระองค์นั้นจะมาบำรุงพระศาสนาอีกนานไหมครับ ?
ตอบ : รอดูต่อไป

เถรี 04-04-2016 12:31

ถาม : ผมเคยอ่านมาว่า บุคคลที่ทรงสมาบัติ ๘ สามารถคุยกับคนต่างชาติและเข้าใจภาษาต่างชาติได้ โดยไม่ต้องเรียนภาษาต่างชาติเลย อันนี้จริงแท้ประการใดหรือครับ ?
ตอบ : ฟังมาจากใคร ? แบบนี้เขาเรียกว่าจับแพะชนแกะ ต่อให้ทรงสมาบัติ ๑๖ ก็ต้องหาล่ามมาแปล บุคคลที่ทรงสมาบัติ ๘ ต้องเข้าถึงความเป็นพระอนาคามีขึ้นไป จึงจะเกิดนิรุตติปฏิสัมภิทา คือรู้ทุกภาษา ไม่ใช่แค่ทรงสมาบัติ ๘ แล้วก็รู้ได้ทุกภาษา

เถรี 04-04-2016 12:33

ถาม : ตอนผมอายุ ๑๕ ผมนั่งสมาธิแล้วภาวนา "พุทโธ" ผมมารู้ที่หลังว่าเข้าฌาน ๑ ตอนนั้นผมรู้สึกสุขแบบหาอะไรในโลกนี้มาเปรียบเทียบไม่ได้อีกแล้ว แล้วผมรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออก รู้ชัดเลยว่าเข้าออกสั้นและยาวเท่าไร และตอนนั้นเองจิตผมดิ่งลงเหนือตรงกลาง ๆ สะดือดิ่งแล้วดิ่งอีกดิ่งไม่มีที่สิ้นสุด เลยอยากถามพระอาจารย์ ว่าอาการจิตดิ่งลงไม่มีที่สิ้นคืออะไรหรือครับ ?
ตอบ : ให้ไปสนใจว่าตอนนี้ทำได้ไหมจะดีกว่า เพราะบอกว่าทำได้ตอนอายุ ๑๕ แสดงว่าตอนนี้เจ๊งหมดแล้ว..!

เถรี 04-04-2016 12:40

ถาม : กสิณลม เวลาจะอธิษฐานจะให้ร่างกายเราไปพรหมโลก สวรรค์ หรือที่ไหนก็ได้ในโลกนี้ ต้องเปิดหน้าต่างและประตูก่อนเปล่าครับ ? เพราะถ้าปิดประตูและหน้าต่าง เดี๋ยวร่างกายจะติด แล้วจะบินไปสถานที่ซึ่งเราต้องการไม่ได้ ?
ตอบ : ถ้าลำพังกสิณลมก็ไปได้แค่ในโลกนี้เท่านั้น ถ้าอยากจะไปโลกอื่นด้วยต้องชำนาญกสิณทั้ง ๑๐ กอง ไม่ใช่มั่วไปเรื่อย ว่าจะขี่จักรยานแล้วจะไปในอวกาศได้..!

ถ้าเป็นเรื่องของกสิณลมอย่างเดียว ก็ควรที่จะเปิดประตูหน้าต่างด้วย แต่ถ้าเป็นกสิณ ๑๐ ไม่จำเป็น เพราะจะออกไปทางไหนก็ได้ ในส่วนของวัตถุธาตุทั้งหมดที่เราเห็นว่าเป็นแท่งทึบ แต่ความจริงประกอบไปด้วยโมเลกุลเล็ก ๆ ทั้งนั้น แปลว่ามีช่องว่างระหว่างโมเลกุลเยอะมาก ในความรู้สึกของเราเห็นว่าทึบ ไปไม่ได้ แต่บุคคลที่ทรงกสิณ ๑๐ เห็นว่าใหญ่กว่าประตูโบสถ์เสียอีก ฉะนั้น...ไม่ต้องเปิดประตูก็ไปได้

เถรี 04-04-2016 12:46

ถาม : ผมสงสัยครับ ว่าทำไมพวกหมอผีที่ทำคุณไสยใส่พระดี ๆ อย่างหลวงพ่อเล็กก็ดี หรือหลวงพ่อวัดท่าซุงก็ดี ทำไมสมาธิของหมอผีไม่เสื่อม ในเมื่อเขาปรามาสพระรัตนตรัย ?
ตอบ : รู้ได้อย่างไรว่าตูโดน ? อาตมายังไม่เคยเห็นหมอผีที่ไหนกล้าหือ แค่ตวาดแว้ดเดียวขนาดเดินเอียงมายังเดินตรงเลย..!

พวกเหล่านั้นเขาเรียกว่าโลกียอภิญญา พอทำแล้วก็เสื่อมทันที เมื่อรวบรวมกำลังใจได้ใหม่ก็ทำได้อีก เหมือนกับตัวคนถามนั่นแหละ ที่บอกว่าสมาธิอยู่ดี ๆ ก็เสื่อมไป แล้วทำไมทำได้ใหม่อีก ?

เถรี 04-04-2016 12:48

ถาม : ตัวกระผมสงสัยครับ ว่าทำไมพระโพธิสัตว์บารมีมาก อย่างโตไทยพราหมณ์ ยังปรามาสพระรัตนตรัยอยู่ ในเมื่อตนเองบารมีใกล้จะเต็มเป็นพระพุทธเจ้า ? แล้วทำไมสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ในสมัยท่านเสวยพระชาติเป็นโชติปาลมาณพ ท่านก็ยังปรามาสพระพุทธเจ้าสมัยนั้น ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติของคนที่ยังมีกิเลส พระโพธิสัตว์ไม่ใช่ผู้ที่สิ้นกิเลส ยังมีกิเลสเต็มเปี่ยมอยู่ รอไปตรัสรู้ในชาติสุดท้ายเท่านั้น เพราะฉะนั้น...มีโอกาสคิดผิด พูดผิด ทำผิดได้เสมอ

เถรี 04-04-2016 12:56

ถาม : พระสงฆ์เมื่อทำชั่วหรือทำดี จะมีอานิสงส์ประมาณหนึ่งแสนเท่าเมื่อเทียบกับฆราวาส แล้วสามเณรเมื่อทำชั่วหรือทำดี จะมีอานิสงส์ประมาณกี่เท่าเมื่อเทียบกับฆราวาสครับ ?
ตอบ : ง่ายจะตายไป ก็เอา ๒๒๗ หารแสน แล้วคูณด้วย ๑๐ ก็ได้แล้ว บัญญัติไตรยางศ์ง่าย ๆ เลย อันนี้พูดเล่นนะ อย่าไปหารจริง ๆ

ในเรื่องของสามเณรท่านไม่ได้เปรียบไว้ชัดเจน แต่ถ้าไปดูในทักขิณาวิภังคสูตร ที่บอกว่าทำบุญกับผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ จะมีอานิสงส์กว่าผู้ที่มีศีลไม่บริสุทธิ์เป็นร้อยเท่า เพราะฉะนั้น...ถ้าต้องการจะเปรียบเทียบกับคนธรรมดา ก็ดูว่าบุคคลนั้นมีศีลหรือไม่ ? ถ้าเป็นคนไม่มีศีลเลยก็เป็นหมื่นเท่า ถ้าเป็นคนมีศีลแล้วศีลพร่องก็เหลือร้อยเท่า คราวนี้ก็ไล่ขึ้นไปสิ เดี๋ยวก็รู้เองว่ากี่เท่า


ถาม : ตกเลขนี่คำนวณไม่ได้นะคะ ?
ตอบ :ได้แต่ประมาณเท่านั้น ขนาดพระพุทธเจ้ายังใช้คำว่า "ประมาณร้อยส่วน"

เถรี 04-04-2016 13:51

ถาม : สืบเนื่องจากผมได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับการตายเเล้วฟื้น รวมความประมาณว่า "ใส่บาตรเเล้วไม่ได้ถวายน้ำไปด้วย ตายไปเลยไม่มีน้ำกิน" ซึ่งตัวผมเองมักจะใส่บาตรด้วยข้าวสวย ไข่ต้ม เเละกล้วยเป็นประจำ เเต่ทุกครั้งก็ทำด้วยความตั้งใจเเละเจตนาดี ประกอบกับปัจจัยที่มีอยู่อย่างพอดี ผมจึงมักใส่บาตรด้วยสิ่งของดังกล่าว อาจจะมีเพิ่มเติมพิเศษบ้างตามโอกาสสำคัญ ดังนั้น...ผมจึงเกิดข้อข้องใจคือ ถ้าล่วงชาตินี้ไปผมก็จะได้รับอานิสงส์ตามที่ผมถวายพระ ใช่หรือไม่ครับ ?
ตอบ : เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๕๙ ที่อาตมาให้เอาน้ำมาถวาย ก็ตั้งใจให้คนประเภทนี้แหละ คนที่คิดแบบนี้มีจริง ๆ

คนตายไปแล้วถ้าไปดีก็ไม่ต้องกิน ถ้าไปไม่ดีก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะกิน สำหรับพวกที่ยังไปกินอยู่ ก็คือพวกที่ติดอุปาทานจากโลกมนุษย์ไปว่า ยังต้องกินต้องดื่มเป็นปกติ เพราะฉะนั้น...จึงมีเขตแดนอยู่เขตแดนหนึ่ง อยู่ริมของชั้นจาตุมหาราช ลักษณะคล้าย ๆ กับตลาดจตุจักร อาตมาไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี น่าจะเป็นตลาด "JJ" สาขาพิเศษ มีของทุกอย่างให้ไปช้อปปิ้งได้ สำหรับพวกที่ติดอุปาทานตั้งแต่ยังเป็นมนุษย์ว่า ยังจำเป็นต้องมีสิ่งของเหล่านั้น ก็จะไปเลือกหาที่นั่น จะเอาแบรนด์เนมขนาดไหนก็มีหมด

แต่ถ้านึกขึ้นมาได้ว่า เอ๊ะ...เราเป็นเทวดานางฟ้า เรามาทำอะไรอยู่ตรงนี้ ? ก็เป็นอันว่าจบกัน กำลังบุญเสริมให้เต็มที่ ก็ไม่ต้องไปกินไปใช้อีก ส่วนท่านที่ลงข้างล่างไปเลย ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น...โปรดทราบว่าบุญที่ท่านทำส่งผลโดยตรงเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปกิน ถ้าทำแล้วยังต้องเสียเวลาไปกิน อาตมาก็ไม่ทำให้เหนื่อยหรอก


ถาม : ตอนไปช้อปปิ้งข้างบนจ่ายเป็นอะไรคะ ?
ตอบ : ก็เงินอุปาทานทั้งนั้น

ถาม : แล้วที่เขาฝึกมโนมยิทธิบอกว่าขึ้นไปไม่เห็นรองเท้า ให้ลงมาถวายรองเท้า ไม่เห็นสระน้ำ ให้ลงมาทำบุญสร้างสระน้ำ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าโง่ไปหน่อย อยากได้ก็นึกเอาสิวะ..! ประเภทมีบุญไม่รู้จักใช้ ถ้าทำเองไม่เป็นก็ไปชั้นที่ ๕ เทวดาชั้นนี้มีหน้าที่ทำของให้คนอื่น อยากได้อะไรท่านก็ช่วยเนรมิตให้ ท่านทั้งหลายเหล่านี้เหมือนกับนายช่างฝีมือดีแล้วไม่มีงานทำ ถึงเวลาก็นั่งเซ็ง พอคนขอให้ช่วยทำ จึงรีบกระตือรือร้นไปทำให้ นิมมานรดี คือ ผู้ยินดีกับสิ่งที่เนรมิตเอา

เถรี 04-04-2016 13:54

ถาม : ถ้าเป็นไปได้ อยากขอให้หลวงพ่อช่วยยกตัวอย่างฆราวาสที่ยังมีชีวิตอยู่ในขณะนี้ ที่ท่านสำเร็จเป็นอริยบุคคลในสามประเภท อันได้แก่ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี ส่วนพระอรหันต์ที่เป็นฆราวาสคงไม่มี เพราะคงต้องบวชเป็นพระสงฆ์ไปแล้ว เพื่อให้เป็นแบบอย่าง ให้ผมและผู้ที่ศรัทธาได้ดูตัวอย่างท่านผู้ปฎิบัติดี ปฏิบัติชอบ ว่าท่านทั้งหลายเหล่านั้นมีรูปแบบปฏิปทาในการดำเนินชีวิตอย่างฆราวาสที่เป็นแบบอย่างที่ดีอย่างไร ?
ตอบ : ไปอ่านเอาจากพระไตรปิฎก มีตัวอย่างมากมายมหาศาล ส่วนเรื่องการไปพยากรณ์มรรคผลของบุคคลอื่นไม่ใช่หน้าที่ของอาตมา เป็นหน้าที่ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะฉะนั้น...มิบังอาจไปทำหน้าที่ซึ่งไม่ใช่ของตน เดี๋ยวความดีจะมาเยือน...!

เถรี 04-04-2016 13:57

ถาม : สมมติว่ามีคุณป้าท่านหนึ่ง ท่านฝึกมโนมยิทธิมาสักช่วงเวลาหนึ่งแล้ว จิตของท่านยึดพระนิพพานเป็นอารมณ์ สามารถขึ้นบนพระนิพพานได้สม่ำเสมอ ท่านเห็นพระพุทธเจ้า เห็นหลวงพ่อได้ เห็นวิมานบนพระนิพพาน แต่ท่านไม่สามารถสื่อสารด้วยเสียง หรือได้ยินเสียงได้ คุณป้าท่านนั้นต้องวางกำลังจิต หรืออธิษฐานจิตอย่างไรจึงจะสามารถสื่อสารได้ครับ ?
ตอบ : เลิกอยาก...มีหน้าที่ไปก็ไป ซักซ้อมกำลังใจให้คุ้นชิน แสดงว่าสภาพจิตของเรายังไม่ชินกับอารมณ์พระนิพพานจริง ๆ ความละเอียดยังไม่ถึง จึงไม่สามารถที่จะสื่อสารกับอายตนะที่ละเอียดขนาดนั้นได้ ฉะนั้น...ให้ทิ้งความอยากเสีย ได้แค่ไหนพอใจเอาแค่นั้น แล้วก็หมั่นซักซ้อมไว้บ่อย ๆ เดี๋ยวก็ดีไปเอง

เถรี 04-04-2016 14:07

ถาม : ผมจะต้องมีเหตุที่จะต้องเดินเหยียบ หรือขับรถทับหอยทากตามที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะบนถนนเข้าบ้านของตัวเองเกือบจะทุกอาทิตย์ ทั้ง ๆ ที่มีพื้นที่เยอะแยะมากครับ แต่เขาจะต้องมาอยู่พอดีในตำแหน่งที่เท้าผมเหยียบลงไปพอดี หรือในแนวที่รถผมขับผ่านพอดีเกือบทุกครั้ง จนผมต้องค่อย ๆ เคลื่อนรถเข้าบ้านตัวเองตอนดึก ๆ อย่างช้ามาก ๆ ต้องคอยมองถนนดี ๆ ซึ่งก็มักจะเจอพวกเขา และผมก็จะต้องหยุดรถลงไปเก็บเขาด้วยมือตัวเอง เพื่อไปวางไว้ข้างทาง เป็นอย่างนี้ตลอดเวลาเลยครับ ไม่ว่าจะหน้าฝน หน้าร้อน หน้าหนาว

แต่บางครั้งผมก็มองพลาด ไม่ทันเห็น แต่รู้สึกได้ว่าล้อรถทับเขาไปแล้ว ต้องลงมาไหว้ขออโหสิกรรม อุทิศบุญให้กันอยู่บ่อยครั้ง มีครั้งหนึ่ง ผมเดินทางไปที่ประเทศลาว พักโรงแรมที่ดีมาก ๆ ที่นั่น พอเดินออกมาจากห้องที่พักไม่กี่ก้าวก็ไปเหยียบหอยทากที่นั่นเข้าให้อีก อาจจะมากกว่าหนึ่งตัวด้วยครับ เนื่องด้วยทางเดินมันมืด มองไม่เห็นพื้นครับ

วันนี้ดึก ๆ ผมขับเข้าบ้าน ตั้งแต่หน้าบ้านที่ลงมาเปิดประตูรั้ว ผมรู้สึกว่าได้เตะอะไรเข้าอย่างจัง เห็นเป็นหอยทากลอยกระเด็นไป ใจยังนึกดีใจที่ไม่ได้เหยียบหรือทับเขา เขายังไม่ตาย ผมเลยเปิดไฟจากโทรศัพท์มือถือส่องดู ต้องตกใจมากครับ เนื่องด้วยถึงแม้ตัวนั้นจะไม่ตาย แต่ล้อรถผมก็ได้ทับหอยทากอีกสองตัว ตายแบนราบอยู่ในแนวเดียวกันเลยครับ ผมก็ต้องยกมือไหว้ขออโหสิกรรม อุทิศส่วนกุศลให้ด้วยความหดหู่ใจอย่างมาก

ผมรู้สึกว่าทนสงสัยต่อไปไม่ไหวแล้วครับ ต้องขอรบกวนหลวงพ่อช่วยกรุณาให้คำแนะนำผมด้วยว่าเกิดจากเหตุปัจจัยอะไร ที่ผมต้องสร้างกรรมนี้กับหอยทากโดยไม่ได้มีความตั้งใจเลยบ่อยครั้งมาก และควรจะแก้ไขอย่างไรดีครับ ?

ตอบ : แนะนำว่าถ้าครั้งหน้าอาตมาไปฝรั่งเศส ให้ไปด้วยกัน อยากกินมานานแล้วพวกเอสคาร์โก ที่นั่นหอยทากอบเนยอร่อยมาก...!

ที่ทำมาผิดวิธี ต่อไปให้ใช้วิธีแผ่เมตตาทุกวัน แล้วตั้งใจว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เคยล่วงเกินมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขอให้เป็นอโหสิกรรมกันทั้งสองฝ่าย และภาวนาบทกรณียเมตตสูตร ตัดเอาแค่ เมตตัญจะ สัพพะโลกัสมิงฯ ตั้งใจขอให้เจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายช่วยกันกวาด ๆ ไปให้พ้นทางเราด้วย ไม่ใช่ว่าถึงเวลาทับตายแล้วลงไปขออโหสิทีละตัว ถ้าอย่างนั้นก็คงจะได้ทับอยู่เรื่อย ๆ

เถรี 04-04-2016 14:10

ถาม : กระผมอยากทราบว่า การไม่กินเนื้อสัตว์ การกินผัก และผลไม้เป็นอาหารหลัก แบบหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย หลวงปู่ครูบาวงศ์ จะมีผลต่อการเจริญสมณธรรมอย่างไรครับ ? เพราะเคยได้อ่านหนังสือที่หลวงพ่อวัดท่าซุงได้เทศน์เอาไว้ว่า ในอดีตท่านก็เคยกินแต่ผัก ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่อารมณ์ทางด้านกามราคะก็ยังเจริญงอกงามตามปกติ ?
ตอบ : ต้องดูเจตนาด้วย หลวงพ่อวัดท่าซุงต้องการศึกษาว่า การกินมังสวิรัติช่วยลดกามราคะได้หรือไม่ ? ส่วนทางด้านหลวงปู่ครูบาศรีวิชัย หลวงปู่ครูบาวงศ์ ท่านมาสายพุทธภูมิ ตั้งจิตเมตตาต่อสรรพชีวิต ก็เลยไม่คิดจะเบียดเบียนใคร คนละเรื่องเดียวกัน อย่าจับไปชนกันมากนัก พวกเราส่วนใหญ่ศึกษามามาก อ่านมามาก แต่ก็มั่วมากทุกครั้ง ถ้ากินได้ตามกำลังใจของตน มีความสบายใจ การปฏิบัติสมณธรรมก็เจริญ

เถรี 04-04-2016 14:15

ถาม : ผมมีห้องพระเพียงห้องเดียว จึงจัดโต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูป ให้ติดกำแพงหันหน้าไปทางทิศตะวันออก และจัดโต๊ะเดี่ยวบูชาองค์เทพแยกต่างหากอีกตัวหนึ่ง ติดกำแพงอีกด้านให้หันหน้าไปทางทิศเหนือ แต่เนื่องจากโต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูปมีหลายระดับ จนทำให้พระพุทธรูปองค์ที่อยู่ตำแหน่งที่ต่ำที่สุด อยู่ต่ำกว่าระดับขององค์เทพบนโต๊ะเดี่ยวที่แยกไปต่างหากอีกด้านหนึ่งนั้น จะเป็นโทษอย่างไรหรือไม่ครับ ?
ตอบ : ความจริงถ้าแยกจากกันก็ไม่เป็นโทษ แต่ถ้าไม่สบายใจก็หนุนโต๊ะขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง ให้ซื้อโต๊ะหมู่ตัวล่างตัวใหญ่มาอีกหนึ่งตัว ให้เป็นชั้นล่างซ้อนไป แค่นี้ก็ไม่มีทางที่จะต่ำกว่าอยู่แล้ว

ถาม : การจัดโต๊ะบูชาองค์เทพต่าง ๆ เช่น องค์พระพิฆเณศวร์ องค์พญานาคราช องค์ครุฑ องค์จตุคามรามเทพ ท้าวมหาราชทั้งสี่ จะตั้งไว้บนโต๊ะระดับเดียวกัน จะมีโทษอย่างไรหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เอาครุฑกับนาคไว้ข้างล่าง นอกนั้นก็แล้วแต่เราสบายใจ เพราะครุฑกับนาคไม่ใช่เทวดา แต่เป็นสัตว์เดรัจฉาน..! ที่แน่ ๆ คืออย่าไปจับหันหน้าเข้าหากัน เดี๋ยวครุฑจะทำท่าน้ำลายไหล...!

เถรี 04-04-2016 14:19

ถาม : ลูกทำกรรมอะไรไว้ถึงมักจะติดขัดเสมอ ? เช่น ตกลงหาวันที่จะเดินทางไปทำบุญแล้ว หารถเรียบร้อยแล้ว พอถึงวัน ก็มาป่วยหนักบ้าง หรือไม่ก็โดนบอกว่ารถเต็ม ทั้ง ๆ ที่เราหารถล่วงหน้าไว้เป็นเดือน ลูกคิดเสมอเลยทำไมถึงต้องเป็นเราเหมือนโดนอะไรขวางตลอดเลยครับ พอจะมีวิธีแก้บ้างไหมครับผม ?
ตอบ : ถ้าเอาอย่างอาตมา ไม่มีรถก็เดินไป...จบเลย สมัยที่ไปพม่า บางทีเราต้องการเดินทางแล้วทหารปิดด่าน ไม่ให้ผ่าน หรือไปตรงกับวันไม่ดี รถเขาไม่วิ่ง อาตมาใช้วิธีเดินเอา อยากรู้ว่าเดินแค่ไหน ? ไปถามทิดตู่ดู เดินจนขาลาก ก็คือจะไปเสียอย่าง

ที่คุณพูดมานี่ต้องบอกว่า อุปสรรคนิดหน่อยก็ท้อเสียแล้ว ในเมื่อไม่มีรถไป เราก็ไปเรือ ไม่มีเรือไป เราก็ไปเครื่องบิน ไปจนได้แหละ ส่วนถ้าจะแก้ไขก็ใช้วิธีจองรถเผื่อไว้ รายนี้พังก็ไปอีกราย

เถรี 04-04-2016 14:23

ถาม : ธรรมกับอธรรม เป็นสิ่งที่เป็นคู่กันอย่างสมมาตร แพ้ชนะสลับกันไป ตามแต่กาลเวลา หรือว่าธรรมจะอยู่เหนืออธรรมอยู่เสมอตลอดกาล ดังคำพูดที่ว่า "ธรรมย่อมชนะอธรรม" ครับ คือถ้าเป็นสิ่งที่คู่กันอย่างสมมาตรแล้ว ทางฝ่ายอธรรมก็น่าจะมีองค์สูงสุดในฝ่ายอธรรม ที่มีอำนาจวาสนาบารมี และบริวาร เทียบเท่ากับพระพุทธเจ้าในฝ่ายธรรม ได้กำเนิดขึ้นมาในบางยุคสมัย และอธรรมก็จะอยู่เหนือธรรมะในยุคนั้น ใช่หรือเปล่าครับ ? ที่ผมถามคำถามนี้เพื่อที่จะได้ไม่ชะล่าใจว่า ธรรมย่อมชนะอธรรมเสมอทุกภพทุกชาติไปครับ

ตอบ : ชะล่าใจตั้งแต่ถามแล้ว สงสัยเล่นวิดีโอเกมส์มากเกินไป เรื่องของธรรมะหรืออธรรมอยู่ที่กำลังใจของเรา ถ้ามีกำลังใจต่อสู้ฟันฝ่าจริง ๆ ท้ายสุดเราก็ชนะ แต่ถ้าไม่มีกำลังใจที่จะต่อสู้ฟันฝ่า มีอุปสรรคนิดหน่อยก็ท้อถอยเสียแล้ว อธรรมก็ชนะตลอดไป

จำไว้ว่า คำว่า "ธรรมะย่อมชนะอธรรม" เป็นเพียงภาษิตที่คนพูดขึ้นมาเท่านั้น ไม่ใช่สัจธรรมของพระพุทธเจ้า แค่ให้กำลังใจคนขี้แพ้ว่าพยายามสู้หน่อยเดี๋ยวก็ชนะ เป็นภาษิตคือคำพูดสวย ๆ ไว้ให้กำลังใจ แต่ไม่ใช่สัจธรรม

เถรี 04-04-2016 14:26

ถาม : ถ้าเป็นขยะในวัดแล้วเราไปเก็บมา เราจะเป็นหนี้สงฆ์หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าตั้งใจเก็บแต่ขวดอย่างเดียวเพื่อเอาไปขายก็เป็นหนี้สงฆ์ แต่ถ้าตั้งใจทำความสะอาดวัดก็ขนไปเถอะ

ถาม : รถเก็บขยะที่มาเก็บขยะในวัดก็ไม่เป็นหนี้สงฆ์ ?
ตอบ : ถ้าเขาไม่มาเก็บขยะ สงฆ์นั่นแหละจะเดือดร้อน..!

เถรี 05-04-2016 12:05

ถาม : เป็นนิ่วในไตค่ะ แก้อย่างไร ?
ตอบ : ถ้าเป็นนิ่วในไตให้หาสัปปะรดมากินสักอาทิตย์ละครั้งสองครั้ง เดี๋ยวก็หายเอง มีอยู่รายหนึ่งจะผ่าตัดพรุ่งนี้ โทรมาถาม ก็เลยบอกว่าถ้าผู้การไม่อยากเจ็บตัวก็ไปหาสัปปะรดมาสองลูก กินเข้าไปให้หมด กินแทนข้าวไปเลย ยอมลิ้นแตกหน่อย แล้วรุ่งขึ้นไปให้เขาเอ็กซเรย์ใหม่ก่อนผ่าตัด เขาก็ยอมทำตาม ปรากฏว่ารุ่งขึ้นนิ่วไม่มีแล้ว โดนสัปปะรดละลายเกลี้ยงไปแล้ว

สัปปะรดเป็นกรด ส่วนนิ่วเป็นด่าง ก็คือเป็นส่วนของหินปูน ไม่สามารถที่จะสู้กรดได้ ใครกลัวเป็นนิ่วก็หาสัปปะรดมากินสักอาทิตย์ละครั้ง จะได้สนับสนุนเกษตรกรเราด้วย ส่วนใหญ่ที่เป็นนิ่วเพราะดื่มน้ำน้อย ถ้าดื่มให้ได้วันละ ๖-๘ ลิตร รับประกันได้ว่าไม่เป็นนิ่วหรอก

เถรี 05-04-2016 12:10

"คด" เป็นของศักดิ์สิทธิ์โดยธรรมชาติอย่างหนึ่ง เกิดจากพลังงานพิเศษบางอย่างลงไปเกาะวัตถุปกติจนแปรสภาพไป โบราณเขาเรียกว่า "แก้ว" ทั้ง ๆ ที่มีสภาพเหมือนกับหิน แต่เขาเรียกว่าแก้วทั้งหมด ส่วนนิ่วที่เกิดขึ้นกับเราไม่ใช่หินในลักษณะนั้น เป็นหินปูนที่สะสมจากอาหารการกินของเราเอง ต่อให้นิ่วก้อนใหญ่แค่ไหนก็ไม่ใช่คด

สิ่งที่เกิดกับคนแล้วขลังก็มีตับคนเป็นเหล็ก ไม่ใช่เหล็กตับแข็ง มีตับเหล็ก เคราทองแดง เกล้านางนี เขี้ยวแก้ว สำหรับเกล้านางนีทรงผมจะม้วนเป็นทรงเจดีย์เอง ต่อให้ไปดัดไปยืดอย่างไรก็ตาม นอนสักตื่นหนึ่งก็กลับไปเป็นทรงเดิม เขาเชื่อว่าบุคคลที่เป็นพระโพธิสัตว์บารมีเข้มจึงจะมีทรงผมแบบนั้น ส่วนเขี้ยวแก้ว เป็นเขี้ยวที่ขึ้นจากเพดานปาก ถ้าภาษาหมอฟันก็คือฟันเก แต่เขาเชื่อว่าให้คุณแก่เจ้าของ

เถรี 05-04-2016 12:19

ถาม : ถ้าเราตั้งเวลาปฏิบัติไว้ชั่วโมงครึ่ง แล้วมีคนโทรเข้ามาบ้าง มาเรียกบ้าง ประเภทต้องออกไปคุยกับเขา ทำให้รู้สึกขุ่นมัวที่ไม่ได้ทำตามเวลาที่กำหนดไว้ ตรงนี้จะได้กุศลหรือไม่ครับ ?
ตอบ : กุศลยังเท่าเดิม แต่อกุศลกำลังงอกงาม..!

ถาม : อ๋อ...แยกกัน ?
ตอบ : แยกกัน เพราะฉะนั้น...พยายามระมัดระวังไว้ ต่อให้มีเรื่องเข้ามารบกวนอย่างไร ก็ต้องรักษาอารมณ์ของเราไว้ ให้สติอยู่กับเฉพาะหน้า อยู่กับปัจจุบัน รับมือกับสิ่งนั้น ๆ เสร็จแล้ว ก็กลับสู่อารมณ์ภาวนาเราตามเดิม ไปซ้อมให้คล่อง ๆ ไว้ จะได้ไม่อารมณ์ขุ่นมัว

เถรี 05-04-2016 13:35

ถาม : มีคนเขาทำอาชีพขายซากสัตว์ แต่เป็นสัตว์หายากผิดกฎหมาย เขาสงสัยว่าจะบาปไหมคะ ?
ตอบ : ต่อให้ไม่ผิดกฎหมายก็บาป บาปกับกฎหมายเป็นคนละเรื่องกัน อย่าลืมว่าฆ่าสัตว์ผิดศีลตรง ๆ อยู่แล้ว

ถาม : เขาไม่ได้ฆ่าค่ะ แค่รับมาขายต่อเฉย ๆ ค่ะ ?
ตอบ : ไม่รับได้แหละดี ไม่อย่างนั้นก็ติดคุกด้วย

สัตว์ป่าสงวน ห้ามแม้แต่
มีซากไว้ในความครอบครอง สัตว์ป่าคุ้มครองเลี้ยงไว้เพื่อการศึกษาได้แต่ห้ามล่า แต่ว่าการเลี้ยงไว้เพื่อการศึกษา ส่วนใหญ่ระบุว่าให้เลี้ยงแค่ตัวเดียว อาตมายังสงสัยอยู่ เลี้ยงตัวเดียวจะไปศึกษาอะไร ? เพราะมีลูกมีหลานไม่ได้

สมัยก่อนอาตมาเลี้ยงสัตว์พวกนี้อยู่ เคยทำเรื่องขออนุญาตป่าไม้ ก็เลยค่อนข้างที่จะเข้าใจขั้นตอนของเขา แต่แปลกใจอยู่ว่าอนุญาตให้เลี้ยงตัวเดียว เลี้ยงตัวเดียวอ้างว่าเพื่อการศึกษา จะศึกษาตรงไหน ? มีคู่ไม่ได้ มีลูกไม่ได้ มีหลานไม่ได้ แล้วจะไปศึกษาวงจรชีวิตของเขาอย่างไร ?

เถรี 05-04-2016 13:37

สมัยก่อนนั้นที่เลี้ยงก็มีอีเห็น หมีควาย ชะนี ลิง ล้วนแล้วแต่เป็นสัตว์ที่ชาวบ้านเขาเลี้ยงไม่ไหวแล้วเอามาโละให้พระ...น่าตายมาก..!

ลูกหมีควายอาตมาเลี้ยงได้คืนเดียว ก็แหกหน้าต่างกระจายไปเลย ออกทางหน้าต่างหนีไป คือที่เกาะพระฤๅษีไม่ได้ทำเหล็กดัด มีแต่มุ้งลวดใส่ไว้เฉย ๆ หมีพังมุ้งลวดออกทางหน้าต่าง ก่อนหน้านี้ชาวบ้านเขาขังไว้ในถัง ๒๐๐ ลิตร ซึ่งก้นถังก็แคบหน่อยเดียว ถ้าหมีนั่งเต็ม ๆ ก็หมดไปครึ่งถังแล้ว ด้วยความสงสาร พอเขาเอามาให้ก็เลยเลี้ยงเอาไว้ในหอฉัน เพราะว่ากว้างดี ปรากฏว่าหมีเปิดประตูไม่เป็น แต่แหกหน้าต่างออกไป

แล้วก็มีนกเงือกใหญ่ ตัวนี้ไม่ได้เจตนาเลี้ยง หน้าแล้งแบบตอนช่วงนี้คงหาอะไรกินไม่ได้ หมดแรงตกลงมาที่เกาะพระฤๅษี ก็เลยเอามะปรางประมาณสักครึ่งกิโลกรัมกรอกปากเข้าไป มะปรางลูกใหญ่ของเราเขากลืนคำเดียวหมด แล้วก็ตามด้วยนมกล่องอีกหนึ่งกล่อง พอมีแรงก็บินต่อได้ นกเงือกใหญ่ถ้าเป็นตัวผู้วงตาด้านในจะเป็นสีแดง ถ้าเป็นตัวเมียจะไม่มีสีแดง จำไว้แม่น ๆ เดี๋ยวแยกไม่ออกว่าตัวไหนตัวผู้ ตัวไหนตัวเมีย นกเงือกใหญ่บางคนเรียกว่านกกก ภาษาชาวบ้านเรียกกะวะบ้าง กาฮังบ้าง เวลาบินมาแต่ละทีเสียงดังอย่างกับเฮลิคอปเตอร์มา

เถรี 05-04-2016 13:38

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันนี้อาตมารอคนเก่าแก่อยู่คณะหนึ่ง ไม่รู้จะมาวันนี้หรือพรุ่งนี้ ก็คือบรรดาอดีตและปัจจุบันของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลทหารเรือ เพราะว่าสมัยก่อนไปเฝ้าไข้หลวงปู่มหาอำพัน เลยสนิทสนมคุ้นเคยกัน ปรากฏว่า ๓๐ ปีให้หลังเขาค่อยติดต่อมาใหม่ เขาบอกว่าเห็นรูปใน Facebook แล้ว ต้องใช่แน่ ๆ เลย หน้าตาอย่างนี้ไม่เปลี่ยนเลย เขาว่าอย่างนั้น ความจริงก็เปลี่ยนนะ แต่เปลี่ยนน้อยหน่อย"

เถรี 05-04-2016 13:40

พระอาจารย์กล่าวกับพระวัดท่าขนุนที่ไปเรียนบาลีว่า "ท่านเจ้าคุณพระราชโมลี รองเจ้าคณะภาค ๑ วัดหงส์รัตนาราม ก่อนหน้านี้ท่านเป็นพระมหามีชัย วีรปญฺโญ เปรียญธรรม ๙ ประโยค ท่านสอนอาตมาตั้งแต่สมัยปริญญาตรี ท่านเรียนบาลีประโยค ๑ ยันประโยค ๙ ใช้เวลา ๘ ปี เรียนถวายว่า "ท่านเจ้าคุณอาจารย์เก่งมากเลยนะครับ ๘ ปีจบ" ท่านบอกว่า "พวกคุณมองว่าผมเก่ง แต่ผมดูหนังสือวันละ ๑๐ ชั่วโมงนะ"

ท่านบอกว่าสูบบุหรี่วันหนึ่ง ๓-๔ ซอง ผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก จนกระทั่งเพื่อน ๆ บอกว่ามะเร็งกินแน่นอน แต่ความจริงคือท่านเครียดกับเรื่องการเรียน แต่ตะลุยทีเดียวจบเลย ๘ ปีตั้งแต่ประโยค ๑ ถึงประโยค ๙ ไม่ตกเลยสักทีเดียว ลองดูว่าคนเก่งเขาทำกันอย่างไร คนเก่งดูหนังสือวันละ ๑๐ ชั่วโมง แล้วคนไม่เก่งดูวันละกี่ชั่วโมง ?"

เถรี 05-04-2016 20:11

พระอาจารย์กล่าวว่า "มัคคนายกระยะนี้แขวนคอสมาชิกเป็นว่าเล่น พูดกันภาษานักรบก็คือศพตายเกลื่อนเว็บ แต่ละงวดของการตัดยอดโอนมีคนตายคาเว็บเยอะมาก แต่กติกาจำเป็นต้องเข้มงวดแบบนี้ เพราะว่าบางคนจองไว้แล้วก็ไม่โอนเงินให้ เป็นการทำให้คนอื่นที่ต้องการเสียสิทธิ์ไป บางคนจองไว้เยอะมากเลย ๒๐-๓๐ องค์ พอไม่โอนเงิน คนที่ควรจะได้เขาก็ไม่ได้"

เถรี 05-04-2016 20:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนสมัยก่อนมักจะตั้งชื่อลูกหลานง่าย ๆ และสั้น ๆ เพราะถ้าตั้งชื่อยาว เขาว่า "ทำอะไรเทียมเจ้าเทียมนาย จัญไรจะกินหัว" สมัยก่อนชื่อยาว ๆ มีแต่ลูกท่านหลานเธอที่อยู่ในรั้วในวัง ที่น่าเกลียดที่สุดก็คือ สมัยนี้ตั้งชื่ออย่างไรไม่รู้ ? ทั้งอ่านยาก ทั้งแปลไม่ออก"

เถรี 05-04-2016 20:17

พระอาจารย์เล่าว่า "น่าจะช่วงต้นปี ๒๕๒๗ ไปกราบเรียนถามหลวงพ่อวัดท่าซุงว่า "หลวงพ่อครับ เล่นหวยผิดศีลไหมครับ ?" ท่านบอกว่า "ถ้าเป็นหวยรัฐบาลไม่ผิดหรอก แต่มันร้อน" อาตมาได้ยินนี่สะดุ้งเฮือกเลย เพราะว่าพอเวลาซื้อหวยแล้วก็นั่งลุ้น มักจะคิดฟุ้งซ่านไปก่อนว่า ถ้าถูกรางวัลนั้นรางวัลนี้จะทำอย่างนั้นจะทำอย่างนี้ จิตใจเร่าร้อนวุ่นวาย หาความสงบไม่ได้ พอได้ยินท่านพูดอย่างนั้นจึงตั้งใจถวายท่านไปเลย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปไม่เล่นอีก แต่ก็ยังมีนะ ยังมีโยมเขาหวังรวย ซื้อหวยแล้วแบ่งมาถวายเป็นระยะ ๆ"

เถรี 05-04-2016 20:22

พระอาจารย์กล่าวว่า "ปีนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ครบ ๗๐ ปีแล้ว ถ้าสุขภาพพลานามัยของพระองค์ท่านพอทนได้ อีกสัก ๕ ปีจะมีงานฉลองที่ยังไม่มีใครในโลกได้ฉลอง โดยปกติ ๖๐ ปีน่าจะเป็นวัชราภิเษก แต่ของเราไม่ใช่ เขาบอกว่าต้อง ๗๕ ปี คนเราจะอายุ ๗๕ ปีก็ยากแล้ว จะไปครองราชย์อะไรตั้ง ๗๕ ปี อย่างปัจจุบันของพระองค์ท่านก็ปีที่ ๗๐ เข้าไปแล้ว

ไม่มีพระมหากษัตริย์องค์ใดในโลก ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันที่ครองราชย์ได้นานขนาดนี้ สูงสุดคือพระนางเจ้าวิกตอเรียก็แค่ ๖๓ ปี"

เถรี 05-04-2016 20:25

พระอาจารย์กล่าวว่า "มาเดากันว่าอธิบดีกรมศุลกากรจะโดนย้ายหรือเปล่า ? เพราะท่านออกมายืนยันว่าหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดปากน้ำไม่ผิด เพราะศาลฎีการะบุไว้ชัดแล้วว่า ครอบครองโดยไม่รู้ว่าต้องเสียภาษี ไม่ถือว่ามีความผิด เพราะว่าเคยตัดสินมาแล้ว ท่านบอกว่าท่านทนความอยุติธรรมไม่ได้ โดยเฉพาะคนรุมกันรังแกพระ ท่านก็เลยต้องออกมาพูด

แต่ทีนี้ออกมาพูด ความต้องการตรงข้ามกับคนอื่น ต้องบอกว่าบางทีรัฐบาลเราก็ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ มี ม.๔๔ อยู่ในมือ ถ้าตั้งใจจะเล่นงานวัดธรรมกายก็เล่นไปเลย ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับวัดปากน้ำนี่ ไม่ใช่ว่าลูกทำผิดแล้วไปเล่นงานพ่อ โดยที่คิดเอาไว้ก่อนว่าพ่อต้องช่วยลูก ประเภทนี้เขาเรียกว่าใช้หัวแม่เท้าคิดแทนสมอง ก็เลยทำให้เรื่องที่ไม่ควรจะวุ่นวายกลายเป็นวุ่นวายไปหมด

ต้องบอกว่าโชคดีที่หลวงพ่อวัดปากน้ำท่านมีเมตตาและใจเย็นมาก ไม่อย่างนั้นด้วยภาวะระดับท่านนี่ ได้วุ่นวายกันบรรลัยเลย ประเภทโทรศัพท์หาลูกศิษย์ใหญ่ ๆ โต ๆ ให้ไปบู๊แทน เดี๋ยวก็ได้ตีกันแหลกทั้งบ้านทั้งเมือง..!

ตอนที่จะสอบพระอุปัชฌาย์ กำลังอบรมอยู่ที่วัดสามพระยา หลวงพ่อสมเด็จฯ ท่านก็มาเยี่ยม แล้วก็บอกว่า "เรื่องนี้ให้นิ่ง อย่าไปพูด เพราะถ้าหากไปพูดเรื่องก็จะไม่รู้จบ" ทีนี้นอกจากบอกพวกเราแล้ว ท่านยังนิ่งเองด้วย ก็ไม่เห็นท่านจะไปวุ่นวายอะไรกับเขา โดยเฉพาะสิ่งที่บางคนทำ มีแต่สร้างความไม่เลื่อมใสให้แก่คนมากไปเรื่อย ๆ เพราะเขาตั้งใจลดความน่าเชื่อถือ หรือความน่าเลื่อมใสของพระศาสนาอยู่แล้ว ต้องบอกว่า วัวใครก็เข้าคอกคนนั้น กรรมใครกรรมมัน"

เถรี 07-04-2016 12:28

พระอาจารย์เล่าว่า "ป้าตุ่นกรรมการวัดท่าขนุน อยู่ ๆ ความซวยก็มาเยือน ขับรถอยู่ดี ๆ มีคนเอาหัวมาให้ทับ..! เป็นทิดซึ่งเคยบวชที่วัดท่าขนุนนั่นแหละ จำไว้เลยนะว่าเขาโดนรถทับเพราะอะไร มือหนึ่งเล่นไลน์ มือหนึ่งขับมอเตอร์ไซค์ แล้วรถล้ม ล้มแล้วกระเด็นเอาหัวแหย่เข้าไปใต้ล้อรถของป้าตุ่นที่กำลังวิ่งมาพอดี ความซวยจึงมาเยือนป้าตุ่น อยู่ ๆ ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต ตรงนั้นไม่เป็นไรหรอก ยังพอเคลียร์กันได้ เพราะมุมที่ชนมีกล้องวงจรปิดอยู่ ถึงจะโดนแจ้งข้อหา อย่างไรป้าเขาก็ไม่ผิดหรอก แต่ป้าทำใจไม่ได้ที่ขับรถทับคนตาย ป้าก็เลยระดมลูกน้องมา ๕-๖ คน มาช่วยกันบวชให้เขาหน่อย"

เถรี 07-04-2016 12:30

พระอาจารย์กล่าวเตือนแม่ชีที่เพิ่งบวชใหม่ว่า "อย่าเชียวนะ...ถ้าควบคุมความร่าเริงไม่ได้จะทำให้เสียสถาบันแม่ชี เพราะฉะนั้น...ต่อไปนี้ต้องสำรวมให้มาก ๆ ไม่อย่างนั้นจะพาส่วนรวมเขาเสียไปด้วย"

เถรี 07-04-2016 12:35

พระอาจารย์กล่าวว่า "นโยบายเจ้าคณะภาค ๑๔ ปัจจุบันนี้ต้องบอกว่า เป็นเจ้าคณะภาคที่ดังที่สุดและโหดที่สุด นโยบายของท่านคือ พระบวชมาอย่าให้พูดว่าบวชแล้วสบาย ให้เขาออกไปคร่ำครวญว่า บวชเข้ามาอยู่ยากฉิบหา...เลย เป็นนโยบายที่เข้าท่าดี แต่ต่อไปจะหาพระบวชไม่ได้

ท่านต้องการทำให้เขารู้ว่า สถาบันสงฆ์ของเราเข้มงวดเอาจริงเอาจังต่อบุคลากร แต่จะหาพระบวชไม่ได้ เพราะปกติก็ไม่ค่อยอยากจะบวชกันอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้แค่บวชเอาพรรษายังมีน้อยมากเลย อย่างเก่งก็บวชกันแค่ ๓ วัน ๗ วัน แล้วไปเข้มงวดเสียขนาดนั้น ต่อไป ๓ วัน ๗ วันก็คงไม่บวชกันหรอก

แต่อาตมาก็เริ่มตั้งแต่ออกพรรษาที่ผ่านมา ใครอาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตรไม่ได้ไม่ต้องสึก...! ไม่อย่างนั้นเขาว่าบวชมาแล้วอาราธนาศีลหน่อย “ไม่ได้ครับ” บวชมาแล้วอาราธนาธรรมหน่อย “ไม่ได้ครับ” บวชมาแล้วอาราธนาพระปริตรหน่อย “ไม่ได้ครับ” พอถามว่ามาจากวัดไหน ? ไปบอกว่าวัดท่าขนุน ก็บรรลัยสิ เพราะฉะนั้น...ใครรู้ตัวจะบวชวัดท่าขนุนท่อง ๓-๔ อย่างนี้มาให้ได้ก่อน ถ้าไม่ได้ไม่ต้องมาบวชหรอก เพราะถ้าบวชก็ไม่ได้สึก

เมื่อต้นเดือนมีทิดท่านหนึ่งกำลังจะสึก ท่องอาราธนาพระปริตรไม่ได้ สลับไปสลับมา ก็เลยบอกว่า จำไว้...โบราณเขาบอกว่า “ทุกข์อยู่ที่หัว กลัวอยู่ที่อก โรคอยู่ที่ท้อง” ไล่ตามไปเลย ๑-๒-๓ ทุกข์อยู่ที่หัว เริ่มต้นใช่ไหม ? สัพพะทุกขะวินาสายะ ต่อไปกลัว ความกลัวคือกลัวภัย กลัวอยู่ตรงกลางคืออก สัพพะภะยะวินาสายะ โรคอยู่ที่ท้อง โรคอยู่ต่ำสุด มาหลังสุด ก็สัพพะโรคะวินาสายะ อันสุดท้าย คนนี้มีแววดี พอให้เคล็ดลับไปเขาก็ท่องได้เดี๋ยวนั้นเลย บอกไปว่า ถ้าไม่ได้ให้ไปท่องให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาขอสึก แต่พอไม่สับสนแล้ว เขาก็ได้เดี๋ยวนั้นเลย"

เถรี 07-04-2016 12:53

ถาม : หลังจากอโหสิกรรมไปแล้ว ผู้หญิงเขาตามมา เขาเป็นเทวดา .....(ไม่ชัด).... ?
ตอบ : พวกนี้เหมือนกับเป็นเทวดาชั้นต่ำ คุณเคยแปลเรื่องกุสนาฬิเทวดาหรือเปล่า ? ที่แปลงเป็นกิ้งก่ามุดต้นไม้ ก็เลยทำให้รุกขเทวดาเขารอด เพราะไม่โดนตัดต้นไม้เอาไปทำเสาหลักเมือง กุสนาฬิเทวดาต้องอาศัยอยู่กับกอหญ้าคา คือท่านทั้งหลายเหล่านี้ศักดานุภาพน้อย ถ้าเจ้าถิ่นไม่อนุญาตก็ไม่มีสิทธิ์อยู่ด้วย ในเมื่อเขาอนุญาตให้อยู่ได้ตรงไหนก็อยู่ได้แค่ตรงนั้น

นางยักษิณีเป็นต้นแบบของการที่พวกเราสังเวยนา อย่างที่อีสานของเรามี "นาตาแฮก" ที่ถึงเวลาต้องสังเวยนาก่อน เพราะนางยักษิณีมีความเป็นทิพย์อยู่ พอถึงเวลาปีนี้น้ำน้อย ก็จะบอกว่าให้ปลูกข้าวในที่ลุ่มนะ ถ้าปีนี้น้ำมาก ให้ปลูกข้าวในที่ดอนนะ กลายเป็นว่าชาวนาร่ำรวยขึ้นมาได้เพราะนางยักษิณีบอก เขาก็เลยแสดงความกตัญญูด้วยการเอาข้าวปลาอาหารไปเซ่นสรวงให้ได้กินอิ่มนอนสบาย ก็เลยกลายเป็นประเพณีตอบแทนสืบกันมาจนถึงปัจจุบัน


ถาม : (ไม่ชัด)
ตอบ : กรณียเมตตสูตร เทวดาอยู่สูงกว่าพระไม่ได้ เขาก็อยากให้พระไป ๆ เสียที พระก็อยู่สุขอยู่สบาย อยู่จำพรรษายาวเลย เขาเองก็เดือดร้อน ก็เลยต้องทำเสียงหลอกบ้างอะไรบ้าง เพื่อให้ไปเสียที

พอพระอยู่ไม่ได้ก็ไปทูลพระพุทธเจ้าว่าสถานที่เป็นอย่างนั้น แรก ๆ ก็อยู่สุขอยู่สบาย พอนานไป ๆ มีแต่สิ่งน่าหวาดสะดุ้ง พระพุทธเจ้าถึงได้บอกว่าลืมเอาอาวุธไป พระท่านก็สงสัยว่าพระพกอาวุธได้ด้วยหรือ ? พระพุทธเจ้าตรัสว่าได้ อาวุธของพระองค์ท่านคือกรณียเมตตสูตร บทที่อาตมา
ใช้เสกพระขรรค์โสฬส หลวงปู่ดู่ท่านเรียกบทพระขรรค์เพชรพระพุทธเจ้า เอาไว้เสกพระขรรค์โดยเฉพาะ


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:46


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว