กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านอนุสาวรีย์ (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=26)
-   -   เก็บตกบ้านอนุสาวรีย์ ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ (เดือนสุดท้าย) (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=2524)

เถรี 19-03-2011 10:49

ถาม : เขาบอกว่า บายศรี ๕ ชั้น สำหรับเสกพระบูชา ๙ ชั้นสำหรับเสกพระเครื่องด้วย จริงหรือเปล่าครับ?
ตอบ : มะเหงกแน่ะ..! เสกพระบูชาไม่จำเป็นต้องมีหัวหมูกับไก่ แต่ถ้าพุทธาภิเษกพระเครื่องต้องมีหัวหมูกับไก่ ขาดไม่ได้

ท้าวมหาราชทั้ง ๔ ท่านขอเอาไว้ว่า การเสกพระเครื่องไม่เหมือนกับพระบูชา พระบูชาเราตั้งไว้บูชาที่บ้าน แต่พระเครื่องเราติดตัวไว้ เป็นการตัดเคราะห์ไปในตัว ด้วยอำนาจของพุทธานุภาพ ถ้าเคราะห์หนักจะเป็นเบา เคราะห์เบาจะเป็นหาย เพราะฉะนั้น..การพุทธาภิเษกพระเครื่อง เครื่องบวงสรวงชุดบายศรีต้องเต็มชุดขาดไม่ได้ แต่ถ้าพุทธาภิเษกพระพุทธรูปที่บูชาอยู่กับบ้าน ไม่ต้องมีหัวหมูกับไก่ก็ได้

ฟังแล้วเข้าใจซะใหม่นะ แต่ไม่ต้องไปอธิบายให้เขาฟังหรอก ปล่อยให้เขาโง่ต่อไป..! อาตมาก็สงสัยเหมือนกันว่า เรียนมาด้วยกัน แต่ทำไมบางคนจำมาไม่เหมือนกัน แต่ตอนนี้ไม่สงสัยแล้ว

ระยะหลังพวกเราจะเห็นอะไรเพิ่มมาบนโต๊ะบายศรีเยอะแยะไปหมด บางรายก็เป็นปลากะพงแป๊ะซะ ขอยืนยันว่า..ตำราหลวงพ่อวัดท่าซุงต้องเป็นปลาช่อนแป๊ะซะเท่านั้น และขอร้องอย่าราดน้ำจิ้มมา เคยมีตัวอย่างราดน้ำจิ้มมาเรียบร้อยเลย ถ้าอยากจิ้มมากนักให้เตรียมไว้ต่างหาก ลาเสร็จแล้วค่อยมาว่ากัน

มีหลายแห่งที่จัดผลไม้ ๙ อย่างมา ซึ่งก็ถือว่าเกินดีกว่าขาด แต่ต้องมีกล้วยน้ำว้า ส้มโอ มะพร้าวอ่อนเป็นหลัก เพราะสามอย่างนี้เป็นสิ่งที่ท่านขอไว้ อีก ๖ อย่างเราจะจัดเพิ่มก็ไม่ว่า เกินดีกว่าขาด แต่ถ้าพอดีจะดีที่สุด

ที่เห็นเกินมาเยอะก็คือ ทองหยิบ ฝอยทอง กับขนมจีนน้ำพริก เป็นของที่ใช้ในการบนเสด็จในกรมหลวงชุมพร ถ้าเป็นขนมจีนไม่ว่าจะน้ำพริก น้ำยา ซาวน้ำอย่างเดียว โดยไม่มีฝอยทอง เขาเอาไว้สำหรับการบวงสรวงเฉพาะในวัดท่าซุงเท่านั้น เพราะว่าหลวงปู่ขนมจีนท่านชอบอย่างนั้น และท่านมีหน้าที่เป็นจเรทั่วไป คือ ตรวจดูความประพฤติของพระของเณรในวัด

เถรี 19-03-2011 10:58

ในเมื่อหลวงปู่ท่านมีหน้าที่ทั่วไปในการตรวจควบคุม ท่านก็เลยขอไว้ว่า เมื่อถึงเวลาบวงสรวงให้มีสัญลักษณ์ของท่านด้วย ก็คือให้มีขนมจีนสักถ้วยหนึ่ง จะเป็นน้ำยา น้ำพริก หรือซาวน้ำก็ไม่ว่า แต่ให้มีไว้ ก็แปลว่าขนมจีน ถ้าไม่ใช่ขนมจีนพร้อมกับทองหยิบฝอยทองซึ่งเป็นของที่ใช้บนเสด็จในกรมหลวงชุมพรแล้ว เอาไว้สำหรับใช้ในการบวงสรวงเฉพาะในวัดท่าซุงเท่านั้น

ของอีกอย่างที่เห็นเกินมา คือ ถั่วลาชมาศ เขาใช้ในการบวงสรวงเพื่ออัญเชิญพระภูมิเจ้าที่ ถ้าตั้งศาลใหม่ก็ใส่ถั่วลาชมาศเข้าไป แต่ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ต้องมี เห็นหรือยังว่าเรียนมาด้วยกันแท้ ๆ แต่เขาแตกแขนงไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ?

เหมือนกับพระพุทธศาสนามหายาน ต้นฉบับที่เป็นมูลสรวาสติวาทหายหมดแล้ว..ใช่ไหม ? กลายเป็นโยคาจารย์ เป็นอาจาริยวาท ในที่สุดก็กลายเป็นเกจิอาจารย์ คำว่า เกจิอาจารย์ แปลว่า อาจารย์ต่าง ๆ แต่ในปัจจุบันเรามาใช้ในความหมายว่าเป็นผู้ขลังไปแล้ว

ถาม : ถ้าเราไหว้พระที่บ้าน ตั้งบายศรีไหว้พระเฉย ๆ แล้วนึกถึงหลวงปู่ขนมจีน ก็เลยตั้งขนมจีน ?
ตอบ : ถ้าเจตนาอย่างนั้นก็ทำไป แต่บางท่านเข้าใจผิด เห็นว่าที่วัดท่าซุงมีขนมจีน ถ่ายรูปไว้ด้วยนะ แล้วจัดตามที่วัดท่าซุง แต่ไม่รู้เขาจัดไว้ทำไม ก็จัดตามไปแบบเถรส่องบาตร เห็นอาจารย์ส่องก็ส่องบ้าง แต่ไม่รู้ว่าอาจารย์ท่านส่องทำไม

เถรี 19-03-2011 12:42

พระอาจารย์บอกว่า "อาตมาเตรียมผ้ายันต์พิชัยสงครามให้สารวัตร (สามีคุณนงลักษณ์ ปานบุญทอง) ไปรับลูกระเบิด เขาอยู่จังหวัดนราธิวาส

จะพับธงเป็นผืนเล็ก ๆ เลี่ยมติดตัวก็ได้ หรือมั่นใจว่าพกอย่างนี้แล้วไม่ทำหล่นหายก็ได้ ถ้าสวดอิติปิโสได้ทุกวันก็จะดี แต่ให้อาราธนาว่า พุทธะสังมิ สี่คำเท่านั้น ก็คือ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ นั่นแหละ รับประกัน..อาตมาโดนปืนใหญ่สี่ร้อยกว่านัดยังไม่เป็นอะไรเลย

สมัยนั้นอาตมาอยู่ชายแดน ๑๓ เดือน ปะทะ ๒๖ ครั้ง เพื่อนตายไปเกือบ ๓๐ คน แต่อาตมาไม่เคยมีอะไรมาแผ้วพาน เพราะฉะนั้น..ผ้ายันต์พิชัยสงครามจะเป็นวัตถุมงคลที่อาตมามั่นใจที่สุด ไปไหนก็พกไปด้วย สมัยอยู่ชายแดนก็พกอย่างนี้ ใส่กระเป๋าเสื้อเครื่องแบบไว้

มีอยู่ครั้งหนึ่งเพิ่งจะเบิกเบี้ยเลี้ยง รวม ๆ แล้วสมัยนั้นได้แปดพันบาท โดนเพื่อนที่เล่นไฮโลล้วงเงินไป เราก็ตบกระเป๋าดู เห็นว่าธงยังอยู่ ไม่เป็นไร..เอาเงินไปถือว่าขอกันกิน แต่ถ้าล้วงธงไป ตูจะตามล่าสองหมื่นไมล์เลย..!

ธงพิชัยสงครามเป็นวัตถุมงคลที่อาตมามีประสบการณ์มากที่สุด เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงที่ญวนเข้าตีโนนหมากมุ่น ปะทะกันตายไปสามร้อยกว่าศพ ตลอดเวลาจะมีปะทะเล็กปะทะใหญ่อยู่ทุกวัน อาตมาไปอยู่แนวหน้า ๕ เดือนกว่า แค่ช่วง ๕ เดือนปะทะไป ๒๖ ครั้ง เฉพาะประเภทหนัก ๆ ถึงตาย

แต่อาตมานิสัยเสีย พอได้ยินเสียงปืน จะวิ่งใส่อย่างเดียวเลย คือ วัตถุมงคลของหลวงพ่อวัดท่าซุง อาตมาชอบตรงที่ว่า "ยิงออก" ชอบจริง ๆ เสียงดังแล้วมันดี แต่ท่านมีกติกานะ เสียงปืนดังแน่นมากที่สุดทางด้านไหน เราเข้าทางด้านนั้นจะปลอดภัย เป็นเรื่องที่อัศจรรย์มาก หลวงพ่อท่านไม่ชอบให้ลูกน้องท่านขี้ขลาด ท่านชอบให้ออกทางที่เสียงปืนแน่นที่สุด"

เถรี 19-03-2011 12:46

"พี่อรรณพ (พ.ต.อ.อรรณพ กอวัฒนา) ตอนเป็น ตชด.อยู่ ท่านข้ามไปรบฝั่งลาว พี่อรรณพจำที่หลวงพ่อบอกได้ ปรากฏว่าข้าศึกตีฐานแตก พี่อรรณพนึกถึงคำสั่งหลวงพ่อท่านได้ว่า เสียงปืนทางด้านไหนแน่นที่สุดให้ออกด้านนั้น พี่อรรณพก็ไปเลย บ้าพอเหมือนกัน


ปรากฏว่าปลอดภัยจริง ๆ พี่บอกว่า วิ่งผ่านหน้าพวกนั้น เหมือนกับเขามองไม่เห็นเรา แต่หลวงพ่อขออย่างเดียวว่า ถ้าเจอข้าศึกตรงหน้าอย่าไปยิงเขา เพราะถ้าไปยิงเท่ากับเปิดเผยตำแหน่งตัวเอง


พี่อรรณพก็หนีข้ามฝั่งไทยมา ใคร ๆ คิดว่าตายแน่ ๆ เพราะละลายทั้งฐานเลย ศัพท์คำว่า ละลาย ของทหาร คือหมดสภาพแล้ว ไม่เหลือชิ้นดีแล้ว"

เถรี 20-03-2011 08:15

พระอาจารย์กล่าวว่า "การที่เด็กเขาคิด เขาพูด เขาทำ จัดเป็นพัฒนาการอย่างหนึ่งของเขา ถ้าเราไปห้ามเขา บางทีจะทำให้พัฒนาการของเขาสะดุด ดังนั้น..ถ้าเด็กเขาไม่ได้ทำอะไรเสียหายถึงขนาดเผาบ้านเป็นหลัง ๆ อาตมาก็มักจะปล่อย

บางวันก็นั่งเป็นหุ่นให้เขาแต่งหน้าหวีผมไปเรื่อย เพราะว่าแม่เขาเป็นช่างเสริมสวย ในชีวิตเห็นคนแต่งหน้าสวยอยู่แค่ ๒-๓ คนเท่านั้น แล้วแม่เขาเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น คือเขาแต่งหน้าบางมากแต่สวย ลักษณะคนที่แต่งหน้าแบบนี้เท่าที่เห็นมามีแค่ ๒-๓ คน นอกนั้นส่วนใหญ่แล้วโปะเข้าไปเหมือนใส่หน้ากาก แล้วเขาก็ภูมิใจว่าสวย


ถ้าใครอยากรู้ว่าโปะขนาดนั้นเป็นอย่างไร ให้ไปงานรับปริญญาสักงานหนึ่งก็จะเห็นเอง อาตมาไปงานรับปริญญาแล้วหาลูกสาวตัวเองไม่เจอ เพราะหน้าเหมือนกันหมด ขนาดว่านัดกันอย่างดีว่าหน้ามอหลังมอแล้วนะ ยังหาลูกตัวเองไม่เจอ แต่การเป็นพระหนึ่งเดียวในงานก็ดีตรงที่ว่า เราจะเด่นมาก เราหาเขาไม่เจอหรอก แต่พักเดียวเขาก็หาเราเจอ"

เถรี 20-03-2011 08:18

พระอาจารย์กล่าวว่า "การปฏิบัติธรรมของวัดที่ผ่านมา พวกเราจะเห็นเด็ก ๆ ไปเข้ากรรมฐานกันหลายคน มีอยู่คนหนึ่งถือว่าเป็นอภิชาตบุตรเลย เขาไปเข้ากรรมฐานครั้งที่แล้ว ซึ่งต้องบอกว่าปฏิบัติเต็มที่จริง ๆ แค่วันครึ่ง ปรากฏว่าตอนนี้เขาใส่บาตรทุกเช้าเลย แล้วลากเอาพ่อแม่มาใส่บาตรด้วย

พ่อเขาเป็นตำรวจอยู่ที่สถานีตำรวจทองผาภูมิ แม่เขาฟ้องว่า "ตั้งแต่กลับมาจากปฏิบัติธรรม เขาร้องขอใส่บาตรทุกวันเลยค่ะ" อาตมาก็บอกว่า "ดีแล้วไม่ใช่หรือ ?"

เราลองมานึกดูว่า เด็กเขามีเวลาปฏิบัติจริง ๆ แค่วันครึ่งเท่านั้น เขายังเกิดศรัทธา ยังตั้งใจทำบุญใส่บาตรทุกวัน ต้องถามพวกเราเองว่า เราปฏิบัติมากี่ปีแล้ว ? อายเด็กบ้างไหม ? รู้สึกขายหน้าบ้างหรือเปล่า ?"

เถรี 20-03-2011 08:46

ถาม : ท่านมีวีรกรรมกับหลวงปู่ท่านใด สมัยอยู่วัดท่าซุง ?
ตอบ : อาตมามีวีรกรรมกับหลวงปู่ขนมจีนมากที่สุด เพราะหลวงปู่ขนมจีนท่านเป็นผู้ดูแลพระเณรโดยตรง เป็นหน้าที่ของท่าน

ท่านจะต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกับพระลูกพระหลานหัวดื้อพวกนี้ และมีไม่กี่คนหรอกที่ดื้อจนท่านต้องลงไม้ลงมืออย่างอาตมา ถ้าเป็นคนอื่นไปตีหน้ายักษ์ใส่ก็เลิกแล้ว ส่วนอาตมาขนาดโดนแล้วยังไม่กลัวเลย อะไรจะหน้าด้านขนาดนั้น..!

อาตมาเอาพานดอกไม้ธูปเทียนไปขอขมาหลวงปู่ "หลวงปู่ครับ..หลวงปู่เล่นงานผมเป็นคนแรก ผมถือว่าผมเป็นลูกคนโต เพราะฉะนั้น..กราบขอบารมีหลวงปู่ช่วยสงเคราะห์ผมด้วย ผมอยากรู้จริง ๆ ว่า อารมณ์พระอรหันต์เป็นอย่างไร ถ้าถึงเวลาผมทำถึง ผมจะได้มั่นใจว่านี่ใช่ของจริง"

ท่านถามว่า "เอ็งจะเอานานแค่ไหน ?"
"ถ้าหลวงปู่ให้นานถึงสามเดือน ผมจะบวชเอาสักพรรษาหนึ่งเลย" เพราะตอนนั้นอาตมาตั้งใจบวชแค่ ๗ วันจริง ๆ
"แน่ใจนะ ?" "แน่ใจครับ"

ตั้งแต่วินาทีนั้นคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์จริง ๆ มีสติรู้รอบไปหมด ไม่ว่าตาได้เห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายได้สัมผัส ใจครุ่นคิดอะไร รู้เลยว่าถ้าคิดอย่างนี้แล้วจะเป็นรัก คิดอย่างนี้จะเป็นโลภ คิดอย่างนี้จะเป็นโกรธ คิดอย่างนี้จะเป็นหลง ถ้าหยุดคิดอย่างนี้แล้วจะมีคุณอย่างไร

จิตใจของเราจะสงบ เราจะมีความสุขอยู่กับการเข้าถึงความดับ กิเลสไม่สามารถที่จะเกิดได้ รู้ตั้งแต่ต้นยันปลายเลยว่าการเกิดการดับของกิเลสเป็นอย่างไร แล้วเราเลือกได้ว่าเราจะทำอย่างไร แล้วเรื่องอะไรเราจะไปเจ็บตัว ก็ต้องเลือกในด้านที่ไม่นึก ไม่ปรุงไม่แต่ง ในเมื่อไม่นึกคิดปรุงแต่ง ทุกอย่างก็ดับลง กิเลสก็เกิดไม่ได้ ยกเว้นเราไปเติมเชื้อไฟให้เท่านั้น

ตอนนั้นคิดว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์จริง ๆ แต่พอวันที่ ๙๑ กลายเป็นหมาเหมือนเดิม..! ท่านให้แค่ ๙๐ วันถ้วน ๆ ต้องบอกว่าเป็นกุศโลบาย ไม่อย่างนั้นอาตมาตั้งใจบวชแค่ ๗ วันก็จะสึกแล้ว ปรากฏหลวงปู่ท่านให้อาหารสุดยอดฝีมือพ่อครัวโลกมาชิม กินเข้าไปแล้วติดใจ เป็นตายเราก็ต้องทำอาหารรสนี้ให้ได้

เถรี 20-03-2011 08:52

ถาม : หลังจากนั้นการทรงอารมณ์ง่ายขึ้นหรือไม่ ?
ตอบ : ไม่ได้ง่ายขึ้นเลย แต่เป้าหมายชัดเจนแล้ว รู้แล้วว่าตรงนี้ใช่ ต้องไปให้ถึง

ถาม : แสดงว่าจำกับความคุ้นเคยในอารมณ์นั้น ?
ตอบ : แค่วันเดียวก็น่าจะพอแล้ว นี่ตั้ง ๙๐ วัน ตอนที่ลงมาเป็นหมาเสียดายใจจะขาด ตอนแรกเราก็คิดว่าเป็นเทวดาอยู่บนฟ้า ที่ไหนได้เป็นหมาที่เดินอยู่บนวิมาน พอโดนเขาโยนลงมากองที่พื้น เพิ่งจะรู้ว่าที่แท้เราก็เป็นแค่หมาเท่านั้น

ตรงนี้เรื่องของพระองค์ที่ ๑๐ ก็ดี พระองค์ที่ ๑๑ ก็ดี หลวงปู่ขนมจีนก็ดี ทำให้ความเชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย โดยเฉพาะคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเรื่องของพระ ผี เทวดา พรหม พระอรหันต์ พระนิพพาน มั่นใจเสียยิ่งกว่ามั่นใจอีก โดยเฉพาะมั่นใจว่าพระนิพพานอย่างไรก็ไม่สูญแน่ เพราะอย่างพระองค์ที่ ๑๐ และพระองค์ที่ ๑๑ ก็เจอมาอย่างจัง ขนาดไปจับไปคลำมากับมือเอง

อาตมานั่งมอง เป็นไปได้อย่างไร คนตายมาสองพันกว่าปี แล้วมานั่งพูดจ้อย ๆ อย่างนี้ต่อหน้า พอคิดอย่างนั้น ท่านบอกว่า "ถ้าไม่แน่ใจ ลองคลำดูได้นะ" คิดอะไรท่านบอกออกมาหมด พอได้โอกาสเรื่องอะไรจะปล่อยผ่าน ก็ลองคลำเลย ปรากฏว่าเป็นเนื้อเหมือนกันกับเรานี่แหละ

เถรี 20-03-2011 09:03

อาตมาเคยจับพวกผีมาแล้ว ปรากฏว่าเป็นเนื้อเหมือนกันหมด จะมีความอุ่น ความนิ่มเหมือนกัน แต่ถ้าเราตั้งใจมองเขา จะมองทะลุไปเห็นของข้างหลังของเขาได้

ทั้ง ๆ ที่เขาจับมือเรากดเอาไว้ ความอุ่น ความหนัก แรงบีบต่าง ๆ ของเขาเรารู้สึกเหมือนกับมือคนธรรมดา ทุกอย่างเหมือนคนปกติ แต่ถ้าตั้งใจมองจะเห็นแค่มือตัวเอง มือเขาจะเป็นเหมือนเงา แต่ถ้าเราหลับตาลงหรือทำเมิน ๆ ไม่สนใจ จะเห็นชัดเป็นตัว ๆ เหมือนอย่างเราเลย เพราะฉะนั้น..ตั้งใจมากไม่ได้ ตั้งใจมากกำลังเกิน จะไม่เห็น

โดยเฉพาะยายนางฟ้าบ้าจี้ เขามาช่วยกันแกล้ง พวกเขานั่งทับอาตมาตั้งแต่อกถึงปลายเท้า และแถมกดมือเอาไว้อีกต่างหาก อาตมาก็รอจังหวะเวลาเขาเผลอ พอเขาเผลอ อาตมาสะบัดตัวหลุดได้ ก็คว้าผีตัวที่อยู่ด้านหัว กะว่าจะทุ่มให้เรียงเป็นลูกระนาดเลย แต่ดันไปคว้าเอาผีผู้หญิงเข้าเต็ม ๆ พอจับโดนเอวเข้า เขาทำเหมือนกับบ้าจี้ เขาดิ้นแล้วหัวเราะ อาตมาตกใจกลัวศีลขาดจึงรีบปล่อย

เนื้อเขาเหมือนผู้หญิงจริง ๆ แต่ด้วยความที่ไปคว้าเขาเต็ม ๆ กลัวอาบัติก็ต้องรีบปล่อย ไม่อย่างนั้นมีหวังได้ทุ่มเทวดาเรียงเป็นลูกระนาดแน่

เขาพยายามขู่ให้นึกถึงความดี แต่ลูกบ้าที่อาตมาเป็นนักรบมาทุกชาติ ทำให้ไม่กลัวแล้วยังสู้อีกต่างหาก ตัวที่นั่งทับหน้าอกเขากดมือติดหน้าอกไว้ แล้วยื่นหน้ามาบอกว่า "ให้บอกว่ากลัวสิ..แล้วจะปล่อย" ไม่มีทางเสียหรอก..!

เขารู้จุดอ่อนของเราทุกอย่าง แต่การทดสอบครั้งนี้อาจจะได้ผล คืออาตมาเลิกกลัวเรื่องพวกนี้ไปเลย ผลอื่นที่เขาหวังจะให้คิดถึงพระ คิดถึงพระนิพพาน คิดถึงความดี อาตมาไม่ได้นึกสักอย่างเดียว เอาแต่สู้ตลอด เกิดมาเป็นนักรบทุกชาติก็แย่เหมือนกัน เพื่อน ๆ เขานึกถึงนิพพานได้ ตัดใจตายตอนนี้ก็ไปนิพพาน แต่เราไม่เอา

โดนเขาแกล้งอยู่สามปีเต็ม ๆ สู้อย่างเดียว ตึงตังโครมครามอยู่ทุกวัน จนป้ากิมกีเขาถามว่า "หลวงพี่ย้ายของอะไรอยู่ทุกวัน ?" ความจริงวางมวยกันอยู่ เขาคิดว่าอาตมายกของย้ายของอยู่คนเดียว

เถรี 20-03-2011 09:11

อย่างท่านโกวิทโดนเขาบีบคอจนหายใจไม่ออก ตัดใจว่า เอาวะ..ตายตอนนี้กูก็ไปนิพพาน..! พอนึกได้เขาก็ปล่อย แล้วเขาก็ยื่นหน้ามาพูดว่า "ไอ้หน้าอย่างนี้หรือจะไปนิพพาน..!" ดูถูกกันสุด ๆ นั่นขนาดนึกถึงพระนิพพานได้นะ

ส่วนหลวงพี่สามารถเป็นประเภทราคะจริต ผีเขาแกล้ง เป็นผู้หญิงเดินแก้ผ้ามาเลย หุ่นทรงถูกใจล้วน ๆ หลวงพี่สามารถนอนภาวนาอยู่ มองเห็นข้างหลังก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนปกติ ผีมาถึงก็มานอนกอดข้างหลัง หลวงพี่สามารถก็ว่า "อีห่..นี่..แกล้งกันขนาดนี้ ปล้ำแม่..เลยวะ..!" ว่าแล้วก็หันขวับไป ปรากฏว่าแม่เจ้าประคุณรออยู่แล้ว ถีบตูมเข้าเต็มอก..! หลวงพี่ท่านกลิ้งตกจากชั้นบนลงบันไดไปชั้นล่างเลย

เพราะฉะนั้น..ทำอะไรเขาไม่ได้หรอก เราคิดอะไรเขารู้หมด แต่เขาตั้งใจมาทดสอบ เราแพ้ตรงไหนเขาจะมาทดสอบตรงนั้น อาตมามีนิสัยมานะและสู้คนไม่เลิก ทำให้เขาทดสอบแบบหนึ่ง แต่หลวงพี่สามารถแพ้เรื่องราคะจริต เขาก็มาแบบนั้นเลย ได้ยินพี่เขาบรรยายอาตมาก็ขำ มานึกถึงสภาพตัวเองก็อนาถพอกัน

หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกว่า "ถ้ากลัวมากจนเสียสติเขาก็ไม่แกล้ง ถ้ากล้าจนบ้าไปเลยเขาก็ไม่แกล้ง เขาจะแกล้งพวกครึ่งกลัวครึ่งกล้า มันสนุกดี" ถ้าใครกำลังคิดว่าตัวเองดี ครึ่งกลัวครึ่งกล้า โอ๊ย..เขาจะแกล้งได้อย่างมีรสชาติมากเลย

เถรี 20-03-2011 09:16

ถาม : วัดท่าขนุุนไม่มีหรือครับ ?
ตอบ : มี..แต่พวกบรรดาที่จบเกินด็อกเตอร์อยู่ในวัดท่าซุงหมด คือ พวกเกินด็อกเตอร์นี่ต้องเทวดาระดับมหาอำมาตย์ขึ้นไป เฉพาะระดับนั้นมีอยู่ ๔ ท่าน แล้วพวกระดับด็อกเตอร์มีอยู่ ๒,๐๐๐ คุณลองคิดดูว่าทั้งวัดมีเท่าไร ? นั่นแค่ระดับนั้น แล้วที่ต่ำกว่านั้นมีอีกเท่าไร ?

ปกติพวกระดับเกินด็อกเตอร์นี่ ท่านดูแลกันทีครึ่งค่อนโลก แต่นี่เหมาวัดท่าซุงที่เดียวสี่ราย ท่านไปดูแลท่าซุงเพราะเป็นสถานที่สำคัญและมีพระสำคัญอย่างหลวงพ่อท่านอยู่ด้วย ก็เลยจำเป็นต้องให้การดูแลถึงขนาดนั้น

มีสิ่งหนึ่งที่พูดไปแล้ว คนทั่วไปจะรับได้หรือเปล่า ? ก็คือ หลวงพ่อวัดท่าซุงตอนนั้นท่านรั้งตำแหน่งผู้รักษาการณ์พระพุทธศาสนา ตำแหน่งนี้หลวงพ่อท่านต้องรับไปถึง พ.ศ. ๒๕๗๗ เพราะฉะนั้น..งานนี้ท่านยังเลิกไม่ได้จนกว่าจะถึง พ.ศ. ๒๕๗๗

ช่วงนั้นบรรดาพระที่ท่านเป็นตั้งแต่วิชชาสามขึ้นไป ถ้าจะนิพพาน ท่านจะต้องมากราบลาหลวงพ่อด้วย เพราะพระที่ท่านได้วิชชาสาม อภิญญาหกหรือปฏิสัมภิทาญาณ ท่านจะรู้ว่าใครเป็นใคร เรื่องอย่างนี้พูดไปคนภายนอกเขาจะหาว่าบ้า เขารับไม่ได้หรอก สำหรับพวกเรานี่บ้าอยู่แล้ว ถึงบอกไปก็ไม่เป็นไร

เถรี 21-03-2011 15:34

ถาม : การที่เราอุทิศส่วนกุศลให้กับคนตาย กับอุทิศส่วนกุศลให้กับคนเป็น ผลที่คนตายและคนเป็นได้รับ เหมือนกันหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ต่างกันตรงที่ ถ้าคนตายโมทนาจะได้ผลเดี๋ยวนั้นเลย ส่วนคนเป็นจะไปรู้ผลเอาตอนที่ตายไปแล้ว

ถาม : จะต้องผ่านการโมทนาไหมครับ ?
ตอบ : มีบุญอย่างเดียวที่คนเป็นไม่ต้องโมทนา คือบุญของพ่อแม่ที่ลูกบวชพระ เป็นบุญพิเศษจริง ๆ ไม่ต้องโมทนาก็มีสิทธิ์ในบุญส่วนนั้นโดยปริยาย เพราะเขาเกิดมาได้ก็เพราะพ่อกับแม่

ถาม : ถ้าลูกสาวละคะ ต้องทำถึงความเป็นพระโสดาบันพ่อแม่จึงจะได้หรือคะ ?
ตอบ : ไม่ต้องถึงพระโสดาบันหรอก แค่เป็นพระโยคาวจรพ่อแม่ก็รับไปเต็ม ๆ แล้ว ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเพื่อความเป็นพระโสดาบัน ไม่ต้องถึงกับเป็นพระโสดาบันหรอก แต่ถ้าถึงได้ก็ยิ่งดีใหญ่เลย

ถาม : แล้วท่านจะได้บุญนั้นอย่างไร ?
ตอบ : ก็บอกท่านสิว่า..วันนี้หนูรักษาศีล วันนี้หนูให้ทาน วันนี้หนูภาวนา

ถาม : มีลูกสาวพ่อแม่ไม่ได้บุญเป็นอัตโนมัติหรือคะ ?
ตอบ : ไม่มีระบุไว้ในตำรา ควรจะบอกท่านดีกว่า เพื่อความปลอดภัย แต่ถ้าท่านบอกว่า "เอ็งไม่ต้องบ้าเลย..!" ก็จบข่าว..! นอกจากจะไม่ยินดีด้วยแล้ว ยังโดนไปเต็ม ๆ อีกต่างหาก

เถรี 21-03-2011 15:44

ถาม : กรรมหนักจะแก้ให้เบาต้องทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ถ้าจะแก้ให้เบาจริง ๆ ต้องอยู่กับการภาวนาตลอด เพราะว่าอานิสงส์ของการภาวนานั้นแก้กรรมได้ดีที่สุด ไม่มีวิธีไหนที่จะแก้กรรมได้มากกว่านี้ ได้ง่ายกว่านี้อีกแล้ว

ถาม : รู้สึกขัด ๆ เหมือนมีอะไรมาจุกเส้น..?
ตอบ : สู้แค่ตาย ให้เราตั้งใจทำต่อไป โดยเฉพาะนึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์เล็ก ๆ อยู่ที่ศูนย์กลางกาย ก็คือ ที่สุดลมหายใจ ภาวนาแล้วก็นึกถึงภาพพระขยายใหญ่ขึ้น แล้วดันเอาสิ่งที่ไม่ดีออกจากร่างกาย ทำบ่อย ๆ ถ้าอารมณ์สมาธิทรงตัวเป็นฌานเมื่อไร พวกไสยศาสตร์ต่าง ๆ จะสลายตัวไปโดยอัตโนมัติ เท่ากับว่าเราขับออกไปได้

ถาม : เกี่ยวกับสถานที่หรือเปล่าคะ ?
ตอบ : ไม่ว่าที่ไหนก็ตาม ถ้าเราตั้งใจภาวนาจริงก็ทำจนได้แหละ เพียงแต่ว่าสถานที่บางแห่งที่มีความเหมาะสม กำลังความดีสูง ก็จะทำให้จิตเราสงบเป็นสมาธิได้ง่ายขึ้น

เถรี 21-03-2011 15:48

พระอาจารย์กล่าวว่า "ในเรื่องวัตถุมงคล ถ้าเรามีความมั่นใจพกแค่องค์เดียวก็พอแล้ว อย่างที่บอกกับสารวัตร (สามีคุณนงลักษณ์ ปานบุญทอง) ว่า อาตมาอยู่ชายแดนพกธงพิชัยสงครามอย่างเดียว อย่างอื่นไม่ต้องพกให้ลำบาก เพราะมั่นใจ โดนมาเท่าไรก็ไม่รู้สึกรู้สา โดยเฉพาะวัตถุมงคลของหลวงพ่อ อาตมาชอบจริง ๆ เพราะยิงออก วัตถุมงคลของหลวงพ่อจะไปในทางแคล้วคลาด

การที่ยิงถูกแล้วไม่เข้า บางทีก็เจ็บนะ ยิงไม่ถูกเสียเลยจะดีกว่า และที่อาตมาชอบคือได้ยินเสียงดัง ๆ แล้วฮึกเหิมมาก"

เถรี 21-03-2011 15:55

พระอาจารย์เล่าให้ฟังว่า "ผู้หญิงอินเดียนแดงคนหนึ่ง เขาเคยถูกหมาป่าเก็บไปเลี้ยงอยู่ ๔-๕ ปี ไม่รู้ว่ามีบุญมีกรรมเนื่องอะไรกับหมาป่า หมาป่าคาบเด็กไป ไม่ได้เอาไปกินนะ..แต่เอาไปเลี้ยง จนกระทั่งเขาโตขึ้นมาได้ประมาณ ๕ ขวบ หมาป่าฝูงนั้นคงหากินครบรอบ จึงกลับมาบริเวณที่พ่อแม่ของเด็กคนนั้นตั้งแคมป์ประจำพอดี

เขาบอกว่า ทันทีที่เขาได้กลิ่น เขารู้ว่านี่คือกลิ่นมนุษย์ เหม็นเสียจนบอกไม่ถูก เหม็นอย่างน่ารังเกียจมาก ตอนหลังหมอผีไปเจอเข้า เขาก็เลยชิงตัวกลับมา กว่าจะสอนให้พูดภาษาคนได้ก็เป็นปี ๆ เพราะเขาชินกับภาษากายและภาษาใจแบบหมาไปแล้ว ถึงเวลามักจะแสดงออกแบบหมา กว่าจะแก้ไขให้กลับเป็นคนได้ก็หลายปี

ตอนหลังมีนักข่าวไปสัมภาษณ์ เขาก็สัมภาษณ์ว่าระหว่างที่อยู่กับหมาเป็นอย่างไร ? กินอะไร ? ล่าอย่างไร ? เขาก็บอกว่าตามฝูงไปออกล่าเหมือนกัน หมาเขาจะมีการแบ่งหน้าที่ตามลำดับอาวุโส ตัวไหนอาวุโสที่สุดก็จะเป็นตัวนำ ต่อให้อายุเท่ากันแต่ถ้าสู้เขาไม่ได้ ก็จะถูกเรียงลำดับให้อาวุโสต่ำกว่าเขา

เพราะฉะนั้น..ใครที่เลี้ยงหมาแล้วหมากัดกัน อย่าไปห้าม.. ปล่อยให้กัดกันจนรู้แพ้รู้ชนะไปเลยทีเดียว แล้วเขาจะเลิกเอง เพราะว่าพอรู้แพ้รู้ชนะเขาก็จะจัดอาวุโสกันได้แล้ว ตัวแพ้ก็จะยอมรับตัวชนะ แต่ถ้าเราไปห้ามทุกครั้ง เขายังจัดลำดับกันไม่ได้ก็จะกัดกันไม่เลิก

เราคิดว่าเราเมตตา แต่ความจริงไปทำให้เขากัดกันไม่เลิก ฉะนั้น..อย่าไปยุ่งกับอนาคตของหมา ปล่อยให้กัดกันให้พอ พอแพ้ชนะกันไปแล้วเขาจะเลิกกันไปเอง

แต่เสียดาย..พวกสัตว์เขาคิดแบบคนไม่เป็น คือตอนเล็ก ๆ เราเคยตีเขา แล้วเหมือนกับว่าเขาแพ้ พอโตขึ้นเขาก็ยังรู้สึกว่าเราชนะมาตลอด เขาไม่ได้นึกว่าตัวเขาใหญ่ขึ้น สามารถที่จะสู้เราได้แล้ว"

เถรี 21-03-2011 16:20

"แบบเดียวกับลูกเสือที่เมืองกาญจน์ ตัวหนึ่งชื่อเยน ตัวหนึ่งชื่อดอลลาร์ ที่โดนเจ้าหน้าที่ยิงทิ้ง พอเจ้าของที่เคยตีเขาทำท่าเงื้อมือมา เสือตัวใหญ่เบ้อเริ่มกลับนอนหงายกางสี่ตีนยอมแพ้ เพราะเสือเคยโดนเจ้าของตีมาตั้งแต่เด็ก แต่ถ้าเป็นคนอื่นตีไม่ได้นะ ถ้าเป็นคนอื่นตีเสือเขาจะสู้ก่อน เพราะยังไม่รู้ว่าใครเก่งกว่า จึงไม่ยอมแพ้

ทีนี้พอคนเลี้ยงไปตีเขาบ้าง เขาก็เลยกัดคนเลี้ยง คนเลี้ยงบาดเจ็บก็เลยลืมปิดกรง เสือจึงแหกกรงออกไปได้ พวกเจ้าหน้าที่จึงจัดชุดตามล่า กว่าเจ้าของเสือจะรู้ข่าว กลับจากกรุงเทพฯ มา เจ้าหน้าที่ก็ยิงเขาตายไปแล้ว ซึ่งความจริงแค่เจ้าของเรียกคำเดียวเสือก็กลับเข้ากรงแล้ว อาตมารู้เรื่องนี้ดีเพราะเป็นเสือที่เมืองกาญจนบุรีเอง และเจ้าของเขาก็รู้จักกันด้วย

มีเสืออีกตัวหนึ่งชื่อ เมฆ อยู่ที่ซาฟารีปาร์ค อำเภอบ่อพลอย ถึงเวลาเขาจะนอนบนเตียงให้คนไปถ่ายรูปด้วย แต่ถ้าจะถ่ายรูปกับเขาต้องซื้อไอศกรีมให้เขากินก่อน อย่างนี้เขาเรียกว่าเสียหมาไปแล้ว เสือกินไอศกรีมนี่หมดสภาพจริง ๆ เขาจะเลียไอศกรีมอย่างมีความสุขมากเลย

คนอื่น ๆ เขาไปถ่ายรูปด้วย ลูกอ้อย ลูกเหมียวเขาไปถ่ายรูปแล้วเขาชวน "หลวงพ่อมาถ่ายด้วยสิคะ" อาตมาบอกว่า "ไม่..หลวงพ่อไม่ได้กลัวเสือหรอก หลวงพ่อกล้ากว่าพวกเอ็งเยอะ แต่ข้าไม่ได้บ้าว่ะ..!

ตูรู้ว่าตูสร้างกรรมไว้ทุกชาติ แล้วกรรมจะตามทันตอนนี้พอดีไหม ? แต่ละชาติตูฆ่ามาไม่ใช่น้อย ๆ นะ ถ้าเกิดกรรมตามทันตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้น ทุกคนถ่ายรูปกับเสือได้ แต่พอเราถ่ายรูปแล้วหัวแหว่งกลับมา..!"

เถรี 21-03-2011 16:46

"พอไปที่วัดป่าหลวงตาบัวตรงไทรโยค เสือที่วัดเลี้ยงมักจะตัวใหญ่กว่าปกติ เพราะเขาได้กินเต็มที่ เวลาพระท่านเข้าไปขัดกรง ล้างกรง ทำความสะอาด เสือก็แย่งแปรงจากพระ พอคาบแปรงได้ก็กระโดดหนี พระก็ไล่ตามไปแย่งจนกว่าเสือจะคืนแปรงให้ คิดดูก็แล้วกันว่าเขาสนิทกันขนาดนั้น

แต่เสือที่วัดป่าหลวงตาบัว เขาให้กินโปรตีนเกษตร ต้มแต่ละครั้งเป็นหม้อขนาดยักษ์เลย ถามว่าทำไมไม่ให้กินเนื้อสดบ้าง ? พระท่านบอกว่า ถ้าให้กินเนื้อสดเดี๋ยวสัญชาตญาณเดิมคืนมาหมด แล้วจะกัดคนเลี้ยง

ตอนแรกที่ไปถึง พอเห็นรั้ววัดแล้ว สูงประมาณ ๓ เมตร ก็ใจหายวาบ เพราะอาตมาเคยเห็นเสือกระโดดสูงประมาณ ๘ เมตร แล้ว ๓ เมตรจะกันได้ไหม ? แต่เสือพวกนี้สัญชาตญาณนักล่าไม่มีแล้ว เขาบอกว่าบ่ายวันจันทร์ห้ามนักท่องเที่ยวเข้าไป เพราะเป็นเวลาที่เขาปล่อยเสือออกมาข้างนอก ให้เขาเดินเล่นคลายเครียด ปกติที่วัดจะมีหมูป่าเป็นร้อย ๆ ตัวที่ลงมากินน้ำในบ่อแถวนั้น เพราะเป็นแหล่งน้ำแหล่งเดียวในบริเวณนั้น

แต่วันจันทร์หมูป่าจะไม่มา เขารู้จริง ๆ นะ วันอื่น ๆ พอ ๔-๕ โมงเย็น หมูป่าก็กรูกันออกมา ๒๐๐-๓๐๐ ตัว ลงมาถึงก็ลุยบ่อไปกินน้ำ แต่พอถึงวันจันทร์หมูสักตัวก็ไม่โผล่ให้เห็น มีอยู่เที่ยวหนึ่ง พระราชินีเสด็จที่บ้านห้วยเสือ อำเภอทองผาภูมิ บรรดาเจ้าหน้าที่ป่าไม้เขาก็ขออนุญาตเจ้าอาวาสจับหมูป่าใส่กรง เพื่อให้พระราชินีท่านปล่อยคืนป่า เป็นข้ออ้างทางวิชาการที่บอกว่า ย้ายสัตว์ป่าจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เพื่อให้เกิดความหลากหลายของสายพันธุ์

หมูป่าลงมากินน้ำได้สัก ๓๐๐ ตัว รู้ไหมว่าเขาจับได้แค่ ๒ ตัว ๒ ตัวที่จับได้ มีอยู่ตัวเดียวที่วิ่งไปติดตาข่ายที่เขาดักไว้ อีกตัวหนึ่งพุ่งข้ามรั้วไปแล้วขาหัก ก็เลยหนีไม่ทัน โดนเขาล้อมเอาตาข่ายตะครุบไว้ได้ ที่เหลือไม่มีสักตัวเดียวที่ติดข่าย จะว่าไปแล้วสัญชาตญาณของสัตว์นี่สุดยอดมากเลย"

ถาม : เหมือนมโนมยิทธิไหมคะ ?
ตอบ : คล้าย ๆ กัน สัญชาตญาณของสัตว์จะทำให้รู้ว่าตรงไหนอันตราย ควรจะหนีไปตรงไหนดี

ถาม : ถ้าฝึกมโนมยิทธิคล่อง ๆ ก็กลับเข้าสู่สัญชาตญาณเดิมของเราสิคะ ?
ตอบ : ก็จะเป็นแบบนั้น แต่ดีกว่าสัญชาตญาณตามธรรมชาติมาก

เถรี 21-03-2011 16:53

ถาม : การที่อยากได้ดี หรืออยากได้มรรคได้ผล จะถือว่าเป็นในส่วนของราคะกิเลสหรือเปล่า ?
ตอบ : ถ้าตามอภิธรรมเขาถือว่าเป็นโลภเจตนา คำว่าโลภเจตนา ก็คือเป็นส่วนของความโลภ เพียงแต่ว่าความโลภที่อยากได้ดี ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี ยังจัดเป็นสัมมาทิฏฐิอยู่

แต่ถ้าเราศึกษาต่อไปแล้ว ท้ายสุดแม้กระทั่งดีเราก็ต้องวาง ตอนแรกก็เกาะดีไปก่อน อย่างน้อย ๆ อยากดีก็ยังเป็นสัมมาทิฏฐิอยู่ พอทำดีถึงที่สุดแล้วค่อยปล่อยดี

เถรี 21-03-2011 17:07

2 Attachment(s)
พระอาจารย์กล่าวว่า "งานของหลวงตาบัว ทางสำนักพระราชวัง ส่งช่างแทงหยวกอันดับหนึ่งไปจัดทำเมรุให้ สมัยเด็ก ๆ อาตมาเห็นเขาแทงหยวกแล้วก็ทึ่ง ทึ่งตรงที่เขากินเหล้าแล้วแทงหยวกได้มือนิ่งมาก แต่ถ้าไม่กินเหล้าแล้วมือเขาจะสั่น

http://www.watthakhanun.com/webboard...1&d=1300702322
การแทงหยวกประดับเมรุ


เวลาแทงหยวกเขาจะเจาะออกมาเป็นลายกนก ลายเครือเถาต่าง ๆ ได้พริ้วมากเลย โดยเฉพาะเขาแกะฟักทองเป็นพญานาค ชูเศียรขึ้นมาได้ ดูแล้วน่าทึ่งมากว่า บรรพบุรุษของเรามีประณีตศิลป์ชั้นครูจริง ๆ

เห็นอาจารย์จากลำปางทำกระทงถวายในหลวงแล้ว สุดยอดฝีมืองานใบตองเลย นั่นท่านเรียนมาไม่กี่ปีนะ



แล้วลองนึกว่า คนที่ทำมาทั้งชีวิต ๓๐-๔๐ ปี ฝีมือจะระดับไหน ? คนที่จะทำงานอย่างนี้ได้ จิตใจจะต้องสงบเยือกเย็นอยู่ในระดับหนึ่ง ถ้าสมาธิไม่ดี ไม่มีทางหรอกที่จะมานั่งจับนั่งพับอะไรที่ชิ้นเล็ก ๆ อย่างนั้นได้เป็นวัน ๆ ถือว่าเป็นการฝึกสมาธิอย่างหนึ่ง"

เถรี 21-03-2011 17:12

พระอาจารย์กล่าวถึงคณะของป้านุชว่า "เวลาไปฉลองกัน จะเป็นการพิสูจน์ตัวเราเองที่ดีมากเลย ว่าขณะที่คนอื่นเขารื่นเริงบันเทิงใจกันอยู่ เราไหลตามเขาหรือไม่ ? จะตรวจสอบตัวเองได้ชัดมาก"

ถาม : ในขณะไปเที่ยวหรือคะ ?
ตอบ : ใช่..ถ้าไม่มีอารมณ์จะเที่ยวก็ไม่ได้อยากไปหรอกนะ อย่างที่คราวก่อนพูดถึงเรื่องไปภูเก็ต ที่บอกว่ายิ่งแวะหลายที่ก็เท่ากับคนที่เกิดนานหน่อย

ถาม : ถ้าเราไม่ไหลตามเขา ไปเที่ยวกับเขา เราก็เซ็งสิคะ ?
ตอบ : เขาจะเซ็งเรามากกว่า ถ้าเราทรงอารมณ์อยู่ เราเองจะไปสนใจอะไร ไม่รู้สึกรู้สาเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าหน้าตาย ไม่เฮฮากับใคร เพื่อนจะเบื่อเอามากกว่า

เถรี 22-03-2011 09:20

พระอาจารย์กล่าวว่า สุนทรภู่ท่านบอกว่า "อันตัณหาราคะนั้นสาหัส ถ้าใครตัดเสียได้ฉันให้ถอง อุตส่าห์เรียนวิชาหาเงินทอง ก็เพราะของสิ่งเดียวมันเกี่ยวกวน"

จะว่าไปแล้ว ราคะนั้นเป็นตัวสร้างโลกมาโดยตลอด ไม่อย่างนั้นพวกเราก็คงไม่ได้เกิดมาพบพระธรรมกันหรอก แต่เพียงแต่ว่าเราต้องแยกแยะให้ออกว่าเป็นกาเมสุมิจฉาจาร หรือเป็นกาเมสุสัมมาจาร ? ถ้าเป็นกาเมสุมิจฉาจาร คือ เราไปละเมิดสิ่งที่เป็นของ ๆ คนอื่น ถ้าเป็นกาเมสุสัมมาจาร อย่างน้อย ๆ ก็อยู่ในกรอบของศีล ไม่ได้ไปละเมิดของใคร ยินดีในเฉพาะคู่ครองของตนเอง

ถ้าเป็นภาษาบาลีเขาเรียกว่า สทารสันโดษ คือ ยินดีเฉพาะคู่ครองของตน พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ห้ามให้มีคู่ แต่ว่าพระอริยเจ้าตั้งแต่อนาคามีขึ้นไป ท่านหมดสภาพมีคู่ไม่ได้เอง ดังนั้น..เราจะเห็นว่านางวิสาขามหาอุบาสิกา หรือว่าอนาถปิณฑิกเศรษฐี ท่านเป็นพระโสดาบัน แต่ก็มีครอบครัวเป็นปกติ เพียงแต่ว่ายินดีเฉพาะในคู่ครองของตน

ดังนั้น..ถ้าขืนห้ามก็ไม่มีคนเกิดมากันพอดี แต่ไม่เป็นไรหรอก แม้ว่าอัตราการเกิดของพุทธของคริสต์จะอย่างไรก็ต่ำอยู่แล้ว แต่ของศาสนาอิสลามศาสนาเดียวเขาเกิดชดเชยได้หมด ศาสนาอิสลามเขาถือว่าการผลิตบุคลากร โดยเฉพาะผลิตศาสนิกด้วยวิธีการแต่งงานตั้งแต่อายุน้อย ๆ เป็นเรื่องปกติของเขาเลย"

เถรี 22-03-2011 09:31

พระอาจารย์กล่าวว่า "สัตว์ก็คือคน เพียงแต่ว่ากรรมที่เขาทำมาจำกัดให้เขาอยู่ในร่างของสัตว์ เขาก็รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกันกับเรา แต่ว่าสัตว์ที่อยู่ใกล้คน วาระกรรมของการเป็นสัตว์ของเขาใกล้ที่จะหมดอยู่แล้ว ถ้าใจเขาเกาะคน เขาจะได้เกิดเป็นคน ถ้าใจเขาเกาะพระ เขาจะได้เกิดเป็นเทวดา

สัตว์เดรัจฉานน้อยครั้งมากที่จะตกต่ำกว่าเดิม ส่วนใหญ่ก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเหมือนเดิม ส่วนมากจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่สูงกว่าเดิม สัตว์เดรัจฉานมีน้อยตัวที่ลงอบายภูมิ อย่างเช่น อหิเปรต กากเปรต หรือนกแสกที่บินผ่านตอนที่พระท่านเข้านิโรธสมาบัติอยู่ แล้วส่งเสียงร้องรบกวนพระท่านแบบไม่ได้เจตนา ตัวอย่างในพระไตรปิฎกมีอยู่ ๒-๓ ราย

ดังนั้น..จะว่าไปแล้วสัตว์เขาได้เปรียบ โอกาสที่จะลงต่ำมีน้อยมาก โอกาสที่จะเกิดในภูมิที่สูงขึ้นมีมากกว่า"

เถรี 22-03-2011 09:33

ถาม : กำลังขายบ้านอยู่ ติดขัดอะไรหรือเปล่าคะ ? หนูก็ปฏิบัติธรรมด้วยค่ะ
ตอบ : ถ้าเป็นนักปฏิบัติ ไปหาคาถาเงินล้านของหลวงพ่อวัดท่าซุงมา แล้วใช้เป็นคำภาวนาแทน

ถาม : ภาวนาทุกวันหรือคะ ?
ตอบ : ถ้าทำได้อย่างสม่ำเสมอทุกวัน จะมีความคล่องตัวทุกอย่าง

เถรี 22-03-2011 09:36

ถาม : ถ้าผมเอาทรายเสกของหลวงพ่อวัดท่าซุงมา แล้วเอาทรายใหม่ทับ ?
ตอบ : ท่านบอกให้เอาทรายใหม่มาจำนวนเท่าที่เราต้องการ เอาทรายเสกของท่านโรยทับข้างหน้า แล้วผสมให้เข้ากัน จากนั้นก็เอาไปใช้ตามที่เราต้องการได้

เถรี 22-03-2011 09:39

ถาม : วิธีที่จะระงับความโกรธได้เด็ดขาด ระงับราคะเด็ดขาด ทำอย่างไรครับ ?
ตอบ : ต้องทรงฌานสี่จ้ะ แล้วตัดเข้าหาความเป็นพระอนาคามีให้ได้ ถ้าทรงฌานสี่ไม่ได้ จะระงับไม่อยู่

ถาม : ต้องได้ฌานสี่ก่อน ?
ตอบ : ถ้าจะระงับให้เด็ดขาดต้องฌานสี่เลย ไม่อย่างนั้นกำลังไม่พอที่ห้ามราคะและโทสะ

ถาม : แล้วพวกสุกขวิปัสสโกที่ทำได้ ?
ตอบ : ท่านทำได้เพราะท่านพิจารณาวิปัสสนาไปเรื่อย ๆ แล้วเข้าถึงฌานสี่เอง

ถาม : เข้าถึงฌานสี่เอง ?
ตอบ : ไม่ใช่ว่าท่านไม่ได้ฌานสี่นะ ท่านได้ แต่ท่านแสดงฤทธิ์ไม่ได้

ถาม : ต้องผ่านฌานสี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นไม่มีทาง ?
ตอบ : ไม่อย่างนั้นเอาไม่อยู่ พระอนาคามีท่านถึงได้ทรงฌานสี่เป็นปกติ

ถาม : บางทีรู้สึกว่าใช่ แต่ทำไมไม่ละให้เด็ดขาด ?
ตอบ : กำลังสมาธิของเราต้องถึง แล้วใช้ปัญญาพิจารณาจนเห็นโทษของราคะและโทสะ เมื่อเห็นทุกข์เห็นโทษแล้ว จิตก็จะเบื่อหน่าย คลายกำหนัด จึงจะถอนออกมาจากตรงนั้นได้

เถรี 23-03-2011 00:51

ถาม : (ไม่ได้ยิน)
ตอบ : ซ้อมให้คล่อง

ถาม : วน ๆ อยู่ในลักษณะนี้
ตอบ : ซ้อมเข้าออกให้คล่อง เขาจะมีความชำนาญในการกำหนดรู้ว่าตอนนี้อยู่ในระดับฌานไหน ความชำนาญในการเข้า ความชำนาญในการอธิษฐานทรงเวลา ความชำนาญในการออก ความชำนาญในการเข้าสมาธิสลับไปสลับมา เพราะฉะนั้น..ต้องซ้อมให้คล่องจ้ะ

ถาม : อารมณ์พอใจ ไม่พอใจ ตรงนี้ก็เป็นกิเลสด้วย ?
ตอบ : เป็นเต็ม ๆ อยู่แล้ว พอใจเป็นราคะ ไม่พอใจเป็นโทสะ เพียงแต่ว่าให้ยินดีในการทำความดีไว้ก่อน หลังจากนั้นพอเราดีจริง ๆ แล้ว ก็จะเลิกพอใจในความดีไปเอง ตอนแรกต้องเกาะดีทิ้งชั่วไปก่อน หลังจากนั้นแม้กระทั่งดีก็ไม่เกาะ

ถาม : พอเราดี..เราก็ยินดี พอเราไม่ดี..ความไม่พอใจก็เกิดขึ้น กิเลสตรงนี้จะเกิดขึ้น ?
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ เราก็รู้ตามสภาวะนั้น ๆ ของคุณไม่ได้กำหนดรู้ทัน แต่ดันไปเสวยอารมณ์แทน..!

ถาม : ใช่ ๆ พออารมณ์สุขเข้า เราก็เสวยอารมณ์นั้นนิ่งไป
ตอบ : เขาให้รู้เท่าทันและปล่อยวาง เราไปยินดียินร้ายกับอารมณ์ต่าง ๆ ก็ปรุงแต่งกันไปใหญ่

ถาม : จิตที่ไปปรุงแต่งเกิดจากความคิดที่เป็นตัวอัตตาเกิดขึ้น ?
ตอบ : ที่จริงก็เป็นปกติอยู่แล้วที่จิตจะปรุงแต่ง เรามีหน้าที่พิจารณาให้เห็นว่า ถ้าปรุงแต่งแล้วจะเป็นโทษอย่างไร ในเมื่อเห็นโทษแล้วก็จะเลิกทำไปเอง ถ้ายังไม่เห็นโทษก็ยังไม่เลิกทำ ยังคิดว่าดีอยู่ ก็จะทำไปเรื่อย แล้วพาให้เราทุกข์ไปเรื่อย

เถรี 23-03-2011 00:55

ถาม : มีอะไรที่กันผีได้ ?
ตอบ : พุทโธ

ถาม : ถ้าโดนผีเข้าไปแล้ว พุทโธไล่เลยใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ต้องให้กำลังใจของเราเลื่อมใสในพุทธคุณจริง ๆ ยึดท่านเป็นที่พึ่ง เห็นว่าเป็นสิ่งประเสริฐที่สุด ไม่มีอะไรเหนือกว่านี้อีกแล้ว ถ้ากำลังใจเรายึดมั่นอย่างนี้ จะว่าอะไรก็ศักดิ์สิทธิ์ไปหมด ผีกลัวทั้งนั้นแหละ

ถาม : มิน่าล่ะ..ขนาดห้อยพระอยู่ยังโดนเข้าเลย
ตอบ : โดนแน่นอน เพราะเราห้อยพระอย่างเดียว แต่ไม่ได้นึกถึงท่านเลย

ถาม : อายจริง ๆ เลย
ตอบ : สมัยก่อนอาตมาใส่วัตถุมงคลไว้ที่กระเป๋าอังสะ ถูกผีนั่งทับอก ทับทั้งกระเป๋าเลย ผีเขาไม่กลัววัตถุมงคลหรอก ถ้าเราไม่ได้ยึดถือ ไม่ได้อาราธนา ใจเราไม่ได้เชื่อมั่น เราต้องมีศรัทธายึดท่านเป็นที่พึ่งจริง ๆ จึงจะช่วยได้

เถรี 23-03-2011 01:33

ถาม : จะแย่เพราะกิเลสอยู่แล้ว
ตอบ : ก็อย่าไปสู้กับกิเลสสิ..เรามีหน้าที่ดูอย่างเดียวก็พอ ไปสู้เท่ากับเราไปแบกภาระเอาไว้ ก็หนักจนแทบจะทนไม่ไหว ปล่อยให้กองไว้ตรงนั้นแหละ นั่งมองอย่างเดียว ไม่ต่อต้านแต่ไม่ให้ความร่วมมือด้วยก็หมดเรื่อง..!

เถรี 23-03-2011 10:39

ถาม : ความศรัทธากับความงมงาย เส้นแบ่งอยู่ตรงไหน ?
ตอบ : ความศรัทธาประกอบไปด้วยปัญญา ไม่ได้เชื่อในทีเดียว แต่ความงมงายนั้น เขาว่าอะไรมาเราเชื่อหมดในทันทีเลย

เถรี 23-03-2011 10:57

ถาม : ช่วงหลังผมพยายามจับภาพพระให้บ่อยขึ้น แล้วปวดท้อง เป็นเพราะตั้งใจเกินไปหรือเปล่าครับ?
ตอบ : ไม่ใช่..เขาแค่ต้องการให้เราลืมภาพพระแล้วไปสนใจกับการปวดท้องแค่นั้นเอง ภาษานักปฏิบัติเรียกว่า ขันธมาร ร่างกายนี้แกล้ง เราก็ฉลาดพอที่จะไปสนใจกับการปวดท้องเสียด้วย..!

ถาม : ก่อนนอนถ้ามีเวลา ยิ่งเราจับพระนานเท่าไร เราก็ยิ่งปวด ต้องไปกินยา
ตอบ : ความจริงเราต้องคิดว่าตายเป็นตาย ถ้าตัดใจอย่างนั้นได้ก็จะพ้นไป ในเมื่อกำลังใจเราไม่เข้มแข็งพอ เขาก็ขวางเราอยู่อย่างนั้น

เถรี 23-03-2011 11:00

ถาม : คุณแม่ของผมนอนป่วยอยู่ อยากจะทราบว่าตอนนี้จิตปัจจุบันท่าน..?
ตอบ : บอกไม่ได้..ถ้าบอกได้บอกไปนานแล้ว บอกได้อย่างเดียวว่า อย่าตัดสินใจให้หมอเอาเครื่องมือเครื่องไม้ออกเอง ถ้าตัดสินใจอย่างนั้นคุณมีสิทธิ์ทำอนันตริยกรรมโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่รักษาก็ไม่รักษาแต่แรกเลย ถ้ารักษาไปแล้วบอกให้หมอวินิจฉัยเอาเองว่าควรทำอย่างไร หมอจะทำอะไรให้หมอตัดสินใจ ไม่ใช่เรา

ถาม : ไม่ทราบว่าแม่ไปหรือยัง ?
ตอบ : บางคนเขาก็ไปนานแล้ว แต่ร่างกายยังทำงานอยู่ บางคนจนกระทั่งหมดลมแล้วก็ยังไม่ไปอีกตั้งพักใหญ่ เพราะฉะนั้น..ถ้าเราไม่รู้จริงจะกลายเป็นอนันตริยกรรม คือ ฆ่าแม่โดยไม่รู้ตัว

ถาม : ของอย่างนี้ก็คือ เราต้องทำบุญไปเรื่อย ๆ ไม่ทราบว่าท่านโมทนาได้หรือเปล่า?
ตอบ : ทำไปเถอะ..เพราะเวลาทำบุญตัวเราเองได้อยู่แล้ว ส่วนท่านจะโมทนาได้หรือไม่ได้ค่อยว่ากันทีหลัง แต่ให้เราทำไปเรื่อย ๆ

เถรี 23-03-2011 11:14

ถาม : ผมเคยอ่านหนังสือกระโถนฯ ที่ท่านบอกว่าอมเหรียญเพื่อเตือนสติตัวเอง ผมสร้างศัตรูไว้เยอะ ก็เลยอมเหรียญทำน้ำมนต์บ้าง เพื่อจะได้เตือนสติ แต่ด้วยความเลวของตัวเอง เวลาคนอื่นว่ามาก็จะโกรธ ผมจึงกัดเหรียญแรงหน่อย มีโทษมากน้อยขนาดไหนครับ ?
ตอบ : ระวังฟันบิ่น..!

ถาม : แต่ถ้าเป็นการปรามาส ผมขอขมาโทษก็จะเบาบางลง ?
ตอบ : ขอขมาพระทุกครั้งที่จะทำความดี ไม่ว่าจะสวดมนต์ ทำกรรมฐาน ไหว้พระ ก็ขอขมาไว้ก่อน
คราวหน้าก็เอาเหรียญใหญ่ ๆ หนา ๆ สิ จะได้กัดไม่เข้า ถ้าจะอมเหรียญก็อมเหรียญทำน้ำมนต์ของหลวงปู่ครูบาไชยวงศ์ ของท่านน่าจะกว้างถึง ๑๐ เซ็นติเมตร..!

เถรี 24-03-2011 15:10

ถาม : ฝึกทั้งมโนมยิทธิ ยุบหนอพองหนอ พุทโธ ฝึกทุกอย่างเลยค่ะ ไม่รู้จะเอาอย่างไหนดี ?
ตอบ : ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ชอบอย่างไหนต้องทำให้ได้ผลไปเลย ทำหลายอย่าง ๆ ไม่มีทางได้ผลหรอก เพราะเรามั่วไปหมด

ถาม : ฝึกมโนมยิทธิจะก้าวหน้าไหมคะ?
ตอบ : อยู่ที่เรา ถ้าขยันซ้อมก็ก้าวหน้า ถ้าขี้เกียจซ้อมก็ไม่ก้าวหน้า

ถาม : ถ้าขยันจะทำสำเร็จใช่ไหมคะ ?
ตอบ : ถ้าขยันแล้วไม่สำเร็จ แสดงว่าสติปัญญายังไม่พอ จึงทำผิดวิธี

เถรี 24-03-2011 15:19

ถาม : พี่ชายเขาฝึกสติ เขาจะเพ่งกสิณสีอะไรดี ผมไม่รู้ว่าเขาเคยทำมาหรือเปล่า ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ ถ้าอยากทำก็ทำเลย สำหรับการเพ่งกสิณ ให้ลืมตามองภาพแล้วจำภาพนั้นไว้ จากนั้นหลับตาลงแล้วนึกถึงภาพนั้น จะจำภาพได้พักหนึ่ง พอภาพหายไปก็ลืมตามอง หลับตานึกถึงใหม่ ทำอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่ไปนั่งจ้อง

จะใช้กสิณอะไรก็ใช้คำภาวนาตามกสิณกองนั้น ถ้าเป็นกสิณสีแดงก็ว่าโลหิตกสิณังไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งไม่ต้องมองภาพนั้น นึกเมื่อไรก็นึกได้ แล้วให้รักษาภาพนั้นเอาไว้ พอประคับประคองไปนาน ๆ สีของภาพจะค่อย ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งสว่างเต็มที่ ก็ลองอธิษฐานใช้ผลดู

ถาม : อย่างตัวหนูฝึกได้ไหมคะ ?
ตอบ : ก็บอกแล้วว่าให้เลือกเอาอย่างเดียว

ถาม : แล้วอย่างไหนดีครับ แนะนำหน่อยสิครับ จะได้ไปไว
ตอบ : ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีที่ไม่ดีไหม ?

ถาม : ไม่มีครับ
ตอบ : ถ้าไม่มี จะเอาอะไรก็ได้

ถาม : มีทางที่สั้น ๆ ไหมครับ ?
ตอบ : ทางตรงสั้นที่สุด

ถาม : ถ้าปีหน้าผมจะบวช ผมพอจะบวชได้ไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าถามอย่างนี้ยังบวชไม่ได้หรอก เพราะกำลังใจยังไม่พอ ถ้าจะบวชก็บวชไปเลย ตายเป็นตาย ถ้าจะตกนรกก็ให้ตกไปเลย..!

ถาม : บารมีที่จะต้องเสริมให้การปฏิบัติก้าวหน้า ?
ตอบ : ไม่ต้องไปใส่ใจ ให้เร่งปฏิบัติไป ถ้ากำลังใจทรงตัว ทุกอย่างจะดีหมด ถ้ากำลังใจห่วยแตกอย่างคุณนี่ก็แย่ไปหมด..!

เถรี 24-03-2011 15:28

ถาม : ทำอานาปานสติแล้วปวดหัวเรื่อย ๆ สมาธิก็ไม่ค่อยดี
ตอบ : ตัดใจได้ไหมว่า ต่อให้ตายลงไปเราก็จะทำความดีอย่างนี้ ถ้าตัดใจได้ก็จะผ่านไปได้ ภาษานักปฏิบัติเรียกว่า ขันธมาร เขาแค่มาแกล้งให้รู้สึกว่าเราเป็นอะไร จะได้เลิกการภาวนาเท่านั้นเอง

ใครก็ตามที่โดนแกล้งลักษณะนี้ ให้รู้ว่าถ้าเราทำความดีแล้วจะได้ผลเร็ว เขาจึงต้องรีบขวางเอาไว้ ถ้ามีความบ้าพอ ให้คิดว่า ถ้าจะหัวระเบิดตายไปตอนนี้เราก็จะทำต่อ ถ้าตัดใจได้แบบนี้ก็จบ

เถรี 24-03-2011 15:49

พระอาจารย์เล่าว่า "ตอนนี้ท่านกวางนำเสนอวิทยานิพนธ์สามบทแล้ว เครียดจนอาเจียนเลย ท่านเป็นคนเครียดง่ายมาก และยังมีกรณีทางบ้านด้วย คือ แม่ของท่านกวางอยากจะเจอพระลูกชาย พี่สาวก็เลยพามา แต่ไม่ให้พูดด้วย พี่สาวบอกว่าพระพูดกับผู้หญิงไม่ได้เพราะเป็นอาบัติ..!

พี่สาวของท่านกวางเขาเรียนอภิธรรมมา จึงนึกถึงที่หลวงพ่ออุตตมะท่านเคยบอกกับลุงสัจจะว่า "โยมลัย..เรียนพระอภิธรรมไป เดี๋ยวหาพระไหว้ไม่ได้นะ" เรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนคน แล้วเขาพยายามไปเรียนกัน อาตมาก็ว่าเหลวไหล

เราลองนึกดูซิว่า..ด้วยอัจฉริยภาพของพระพุทธเจ้า การประมวลผลของพระองค์ท่านน่าจะเร็วกว่าซุปเปอร์คอมพิวเตอร์สมัยนี้ พระองค์ท่านยังใช้เวลาตรึกตรองพระอภิธรรมอยู่ถึง ๗ วัน พระองค์ท่านขึ้นไปสอนบุคคลที่เป็นอุคฆติตัญญูอย่างเทวดานางฟ้าและพรหม ที่ฟังแค่หัวข้อก็เข้าใจว่าเนื้อหาเป็นอย่างไร ยังใช้เวลาสามเดือนของมนุษย์ แล้วอย่างนี้จะมีใครบ้างที่สามารถฟังพระองค์ท่านเทศน์อภิธรรมตั้งแต่ต้นจนจบได้ ?

เพราะฉะนั้น..พระอภิธรรมเป็นสิ่งที่พระองค์ท่านไม่ได้สอนมนุษย์ แต่คนสมัยนี้เขาพยายามเรียนกัน แล้วตรงเป็นสากกระเบือเลย พอแม่ท่านกวางควักเงินจะทำบุญ เขาก็บอกว่า "แม่จะทำให้ตัวเองตกนรก..! พระเขาห้ามรับเงินไม่รู้หรือ ?" ท่านกวางจึงเครียดเสียจนผมแทบหงอกเลย

ท่านกวางบอกว่า "แทนที่แม่ผมจะได้บุญบ้าง กลายเป็นพี่สาวผมขวางบุญแม่ทุกอย่างเลย พี่สาวผมว่า..ก็เพราะแม่ทำอย่างนี้แหละ ไปทำให้พระศีลขาด ก็เลยเหลือแต่พระเลว ๆ ไม่มีพระดี ๆ เหลืออยู่เลย..!" คราวนี้รู้หรือยัง ? ทำไมคนเรียนอภิธรรมถึงไม่มีพระให้ไหว้ เพราะรู้มากกว่าพระ เก่งกว่าพระ"

ถาม : แม่ชีเขาชอบเรียนอภิธรรมกัน เรียนแล้วก็มานั่งจับผิดพระ
ตอบ : แม้กระทั่งความยินดี คือ ฉันทะในการปฏิบัติธรรม ทางอภิธรรมเขายังถือว่าเป็นโลภะเจตนา เป็นจิตที่ประกอบด้วยความโลภ ถ้าคนเขาไม่เข้าใจคำอธิบายตรงนี้ก็ตายเลย แล้วอย่างนี้ใครเขาจะปฏิบัติธรรมกัน เพราะเห็นว่าเป็นความโลภเสียแล้ว

เถรี 24-03-2011 15:58

ถาม : เมื่อวานไปกราบหลวงพ่อสมเด็จวัดสระเกศมา เพิ่งทราบมาท่านต้องนั่งรถเข็น พอทำวัตรเสร็จ ท่านก็ยังเทศน์ เสียงท่านก็ไม่ค่อยจะมี ท่านก็ยังเทศน์
ตอบ : งานวันเกิดท่าน ทั้งคนและพระมากราบท่านมหาศาลเลย พออาตมาเข้าไปเห็นท่านนั่งอยู่ ก็รู้ว่าท่านไม่มีกำลัง แต่ท่านต้องนั่งอยู่เพื่อให้กำลังใจคนที่มาหา รู้เลยว่าท่านทุกข์ขนาดไหน ลำบากขนาดไหน เพราะอาตมาเคยเป็นอย่างนั้นมาก่อน

เวลาป่วยหนัก ๆ จนนั่งไม่ติด แต่ยังต้องทนนั่งยิ้มเพื่อให้กำลังใจโยมที่มา วันนั้นท่านก็นั่งไม่ติดแล้ว แต่ก็พยายามฝืนใจนั่ง อาตมาเข้าไปเป็นคนแรก ๆ ส่วนคนข้างหลังอีกกี่พันก็ไม่รู้ ท่านต้องทนนั่งอีกนานเท่าไร ?

พออาตมาเข้าไปถึงถวายเครื่องสักการะเสร็จ ก็เดินวนออกข้างหลังไปเลย ทำเป็นตัวอย่างให้คนอื่นเขาดู คงเป็นที่ถูกใจ เลยมีเสียงตามสายดังมาข้างหลังจากเจ้าหน้าที่ว่า ให้ทำตามอย่างนั้น และขอร้องว่าอย่าถวายแจกันดอกไม้สด ใครมีแจกันดอกไม้สดให้ถวายหน้าพระพุทธรูป เพราะตอนนี้ร่างกายของหลวงพ่อสมเด็จท่านอ่อนแอมาก แพ้ทุกอย่าง ถ้าโดนเกสรดอกไม้ไปก็จะแย่อีก

ถาม : เห็นแล้วก็สลด เอาชีวิตเราไปแทนท่านดีกว่าไหม ?
ตอบ : แลกกันไม่ได้..ไม่มีใครเขาเอาโคตรเพชรขนาดนั้นไปแลกกับก้อนกรวดหรอก..!

เถรี 24-03-2011 16:06

ถาม : โยมไม่แน่ใจว่า นี่เป็นพระพุทธสารีริกธาตุจริงหรือไม่ ?
ตอบ : ตรงนั้นไม่สำคัญจ้ะ สำคัญอยู่ที่เรานึกถึงพระได้ไหม ? ถ้าเรานึกถึงพระได้ก็เป็นของจริง สำคัญที่อนุสติ คือการระลึกถึง ถ้าไม่ได้นึกถึงต่อให้ได้ของจริงมาก็เท่านั้นแหละ

เถรี 24-03-2011 16:09

พระอาจารย์บอกว่า "วิธีฝากบ้านกับเทวดา ท่านให้ทำกระบะทรายแล้วจุดธูป ๕ ดอก ขอบารมีพระ พรหม เทวดา และเจ้าที่เจ้าทางทั้งหลายได้โปรดสงเคราะห์ ช่วยรักษาบ้านของเราให้ปลอดภัยจากอันตรายต่าง ๆ เสร็จแล้วก็ปักธูปที่มุมทางทิศเหนือก่อนว่า เวสสุวัณโณ

ไปทางใต้-วิรุฬปักษี ตะวันตก-วิรูปักษา ตะวันออก-ธะตะระโฐ แล้วมาตรงกลางว่า นะโมพุทธายะ เพราะฉะนั้น..จึงต้องปักธูป ๕ ดอก"

เถรี 24-03-2011 16:19

ถาม : อย่างรูปท่านท้าวมหาราช ผมพิมพ์เยอะ ๆ แล้วไปเข้าพุทธาภิเษกได้ไหมครับ ?
ตอบ : ได้..แต่อย่าเสือกมาให้ตูแจก..! เอาไปแจกเอง อะไรที่ท่านไม่ได้สั่งให้ทำจะกลายเป็นส่วนเกิน เพราะจัดการยาก..!

ถาม : ถ้าเราพิมพ์รูปภาพของท่านท้าวมหาราชมาติด แล้วหันหน้าไปทางทิศไหนก็ได้ใช่ไหมครับ ? จำเป็นต้องหันหน้าไปทางทิศตะวันออกไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าคิดอย่างคุณก็ลองทดสอบดูได้ มีอยู่วันหนึ่ง หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านรับสังฆทานอยู่ที่ศาลานวราชบพิตร พอญาติโยมน้อยลง ท่านก็ขอไปเข้าห้องน้ำหน่อย พอท่านเดินไปข้างหลัง ปรากฏว่าเจอพระสังฆทานหน้าตัก ๕ นิ้วอยู่องค์หนึ่ง ที่เขารับแล้วยกไปไว้ข้างหลัง แต่หันหน้าผิดทิศ


ท่านถามหลวงพี่วิรัชที่เดินตามไปว่า "ใครเป็นคนวางวะ ? รีบหันเสียให้ถูกเดี๋ยวนี้เลย..!" นั่นแค่ชั่วคราวนะ..ท่านยังไม่ยอมเลย อะไรที่ท่านเตือน แสดงว่าท่านโดนจนเข็ดแล้ว แต่ถ้าคุณจะทดสอบดูก็ได้

ถาม : แบบนี้พระพุทธรูปที่ตั้งอยู่ในรถ เราก็ต้องหันหน้ารถให้ถูกทุกครั้งสิครับ ?
ตอบ : ต้องลอง ของอย่างนี้ลองกันได้ เอาอย่างนี้นะ รถของวัดท่าขนุนเวลาจอด พระจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกตลอด


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 03:19


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว