หลวงตาเล่าเรื่องในบ้านใหญ่ (ตอนที่ ๗)
เมื่อสองวันก่อน... ก่อนเขียนต้นฉบับ "เรื่องในบ้านใหญ่" นี้ มีพระมาหา มาเยี่ยม ๓ องค์ องค์หนุ่มสุดนั้น รู้จักกันหลายปีแต่ไม่เคยถามชื่อ เรียกขานมาตลอดว่า "คุณมายังไงล่ะ" อีกองค์อ้วน ๆ เพิ่งเคยเห็นหน้า.. ส่วนองค์สุดท้ายนั้น.. พอท่านกราบครั้งแรก.. เห็นศีรษะด้านหลังก็จำได้! แม้เวลาจะผ่านไปไม่ได้พบกันนาน ๒๗ ปีก็ยังไม่เคยลืม.. ท่านชื่อ "หลวงพี่อรัญ" เห็นท่านแล้วก็เลยนึกถึงเรื่องราวในอดีตของวัดท่าซุง... บ้านใหญ่ของหลวงตาผู้เขียน เสมือนว่าเรื่องราวนั้นเพิ่งผ่านมาเมื่อไม่กี่วันมานี้
|
ลูกหลานเอย... หลวงตาบวชตอนอายุ ๔๐ ปี เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕ ก่อนบวชก็ได้หลวงพี่อรัญ ซึ่งตอนนั้นเรียกท่านสั้น ๆ ว่า "หลวงพี่รัญ" ตอนนี้ก็ขอเรียกชื่อที่คุ้นเคยนั้น ได้หลวงพี่รัญนี้แหละคอยแนะนำกำกับ.. ท่านเป็นพระที่ควบคุมบัญชี คุมการเงิน การก่อสร้าง และธุรการหลายอย่างของวัด โดยเฉพาะคุมศาลานวราชซึ่งเป็นศาลาที่หลวงพ่อของเรา (หลวงพ่อฤๅษีฯ) รับแขกและเป็นที่ติดต่อขอเข้าพักปฏิบัติกรรมฐาน หลวงพี่รัญจึงเป็นที่รู้จักกันดีของญาติโยมสานุศิษย์หลวงพระคุณพ่อ และพระภิกษุสามเณรผู้ไปมาหาสู่วัดท่าซุงในสมัยนั้น เรียกว่าเป็นมือขวาของพระคุณ "พ่อ" ก็ไม่ผิด แม้พระคุณ "อาจารย์อนันต์" ในตอนนั้นก็ยังไม่เป็นที่รู้จักดีเท่าหลวงพี่รัญ ก็ขอเล่าเรื่องในบ้านใหญ่ต่อไป พอหลวงตาบวชวันแรก..ย้ำว่าวันแรกของการบวช หลวงพี่รัญก็ทำเรื่องสนุกของท่าน แต่หลวงตาแทบขาดใจตาย..
|
...คือท่านให้หลวงตานั่งคุมเครื่องเสียงที่พระคุณ "พ่อ" ใช้สอนพระกรรมฐาน... คุมแทนท่าน.. ซึ่งจะต้องนั่งติดกับตั่งที่พระคุณพ่อนั่ง ส่วนคุณหลวงพี่สรงน้ำสบายแล้วนุ่งสบงทรงอังสะตัวเดียว เอาหลอดยาดมยัดจมูก เดินลงประตูหลังศาลาไปเดินสบายอยู่หน้าโบสถ์ ปล่อยให้หลวงตานั่งมือสั่น.. ตัวสั่น.. เสียงก็สั่น.. เมื่อพระคุณพ่อเดินมานั่งบนตั่ง ถามว่า
"ร้อนไหมคุณ.. วันนี้อากาศมันร้อนมากนะคุณ" เมื่อวานยังด่าว่าไอ้ขี้หมา วันรุ่งขึ้นมาเรียกว่า "คุณ" ทำเอาเหงื่อแตกท่วมตัว |
ยิ่งกว่านั้นนะ ลูกหลานเอ๋ย.. หลวงพี่รัญยังขนบัญชีการก่อสร้างมาสอน และมอบหมายให้ทำแทน ให้เป็นหัวหน้างานตั้งแต่วันที่สองที่บวชเป็นพระ.. ส่วนหลวงพี่ท่านจะสึกจ้ะ แล้วก็สึกจริง ๆ ด้วยเหตุผลที่ต้องไปดูแลโยมแม่ที่ชราภาพมากแล้ว
จากวันนั้นมาถึงวันนี้ ๒๗ ปี เท่าพรรษาของหลวงตา หลวงพี่รัญก็กลับมาบวชได้หนึ่งเดือน และจำพรรษาอยู่กับหลวงพี่วิรัชที่วัดธรรมยาน จ.เพชรบูรณ์ หลวงตาก็ยังคงนับถือเคารพท่าน.. และเรียกท่านว่าหลวงพี่รัญเหมือนเดิม.. |
ก่อนจะเล่าเรื่องต่อ.. ก็ขอบอกกันไว้ก่อนว่า.. คณะสงฆ์ท่านสงสาร กลัวหลวงตาจะตายก่อนครบพรรษา เลยลงมติให้หลวงพี่ชัยศรีขึ้นมาทำหน้าที่แทนหลวงพี่รัญ.. หลวงตาพระน้องเป็นผู้ช่วยงานบนศาลา
พระคุณ "อาจารย์อนันต์" ผู้ลงมติ ก็ยังซ่อนองค์มิดชิดต่อไป.. เรื่องของหลวงพี่รัญกับพระคุณพ่อฤๅษีฯ นั้นมีมาก แต่ที่อยากเล่าให้ลูกหลานฟังขอเลือกมาสักเรื่องหนึ่ง คือทุกคนในวัดท่าซุงจะเห็นภาพที่หลวงพี่รัญ อาจหาญสามารถยืนใส่อังสะยกมือไหว้รายงานพระคุณพ่ออย่างฉาดฉาน.. เห็นกันเป็นปกติ พระคุณพ่อไว้ใจมาก และท่านก็เคารพรักพระคุณพ่อมาก จึงยืนสนองงานสบาย ๆ น่ารัก (น่าอิจฉาหน่อย ๆ) มาตลอด จนวันหนึ่ง.. หลวงพี่รัญถูกเรียกเข้าไปหา ท่านก็ไปยืนอยู่ตรงหน้าพระคุณพ่อซึ่งกำลังเพ่งแว่นตาอ่านรายงานเรื่องหนึ่งอยู่อย่างใจจดใจจ่อ.. พอพระคุณพ่อเงยหน้ามองลอดแว่นขึ้นมา สายตาพ่อกับลูกกระทบกัน.. ลูกร่วงลงไปคุกเข่ากับพื้น ! เหมือนถูกไฟฟ้าช็อต พ่อต้องรีบคลายกระแสจิตกระแสตาให้อ่อนลง "อ้าวคุณรัญ.. เออ.. เออ.. คุณดูนี่หน่อย!..." นั่นแหละพี่จึงมีแรงยืนขึ้นอย่างเดิม แต่ขาอ่อน.. สั่นอีกด้วย |
ลูกหลานเอย.. พระคุณ "พ่อ" เป็นพระที่มีเมตตาบริสุทธิ์ไม่มีประมาณ.. และก็มีจิตตานุภาพมหาศาล เป็นธรรมชาติประจำองค์ท่าน.. ท่านรักหมาที่ท่านเลี้ยงและรักคนที่ท่านดูแลสั่งสอนเสมอกัน
แต่ทั้งหมาทั้งคนนั้น..ยามเมื่อท่านเพ่งตาดุ ทำเสียงดุ.. หมาก็หยุดเห่า ส่วนคนคือพระน่ะลูก.. เป็นอย่างนี้.. วันนั้นเป็นวันพระประชุมสงฆ์ ตรงกับงานใหญ่ของวัด มีญาติโยมมากมายเต็มศาลาสองไร่ พระคุณพ่อก็ทำเสียงนุ่มนวลชวนฟังว่า "เอ้อ..พระเอ๊ย!..มานั่งใกล้ ๆ สิลูก.." เหมือนฝนหลั่งจากฟ้าหน้าร้อน.. ลูกพระทั้งหลายขมีขมันแย่งกันนั่งยื่นหน้าให้พ่อเห็น พ่อหันไปกราบองค์พระประธาน พอกราบแรกพ้นผ่านจะเข้ากราบที่สอง.. ผิวกายของพ่อก็พลันดำเห็นถนัดชัดเจน |
คนที่รู้ทางลมว่าจะเกิดอะไรขึ้นในเร็วพลันนั้น ก็กราบตามไปเขยิบตัวหลบไปให้องค์หน้าบังตัวเองไว้โดยสัญชาตญาณลูกหลวงพ่อฤๅษีฯ พอกราบสามเสร็จสิ้น องค์พ่อก็หันหน้าหาลูก ๆ แถวลูกที่เคยเสนอหน้า ก็นั่งแถวเรียงต้นคอตรงกัน... หัวองค์หน้าบังหัวองค์หลังมิดชิดสนิทไม่เห็นแลบออกมา เหมือนเอาไม้บรรทัดยาวใหญ่ไปวัดจัดไว้ ยิ่งพอพระคุณพ่อบันลือสีหนาทว่า..
“ที่นิมนต์มาประชุมนี่ ก็เพราะมีพระเลวจะทำให้เสียหาย...” หน้าของทุกองค์ ก็ก้มต่ำมองพื้น.. สงบงามหนักหนา สงสารองค์แถวหน้า ที่เชื่อใจหลวมตัวออกไปนั่งเสียชิดพ่อ.. ไม่รู้จะช่วยอย่างไร ! พระคุณ “อาจารย์อนันต์” นั้นปลอดภัยเพราะมีปกติซ่อนตัวอยู่แล้ว |
เพราะหลวงพี่รัญมาบวชใหม่ และมาเยี่ยมถึงวัดเขาวง ทำให้นึกเรื่องราวย้อนหลังได้..
นึกไปถึงพระอีกองค์หนึ่งซึ่งขึ้นมาแทนหลวงพี่รัญบนศาลานวราช หลวงตาไม่เคยทำงานร่วมกับหลวงพี่รัญ จึงไม่รู้ว่าท่านเก่งกาจแค่ไหน? แต่กับ 'หลวงพี่ชัยศรี' ..เราทำงานร่วมกันมาจึงรู้ว่า ทำไมท่านถึงเป็นที่รักและไว้วางใจของพระคุณพ่อ ในเวลาที่รวดเร็วมาก ‘หลวงพี่ชัยศรี’ เป็นนายทหารยศร้อยโท เป็นนักบินทหารบก รูปร่างตอนนั้นหล่อ (..มีคนเขาว่าเหมือนหลวงตาเชียวละ!) โยมสาวมากสาวน้อยยิ้มแย้มทักทายถวายทานเป็นพิเศษ ท่านทำงานเป็นระเบียบมาก จดบันทึก วางแผน สรุปรายงาน เป็นที่ชื่นชมของพระคุณพ่อมาก หลวงพี่ท่านพยายามมอบ.. แบ่งงาน.. ฝึกฝน.. แนะนำ.. ให้หลวงตาทำช่วยท่านบ้าง หลวงตาก็อ้างว่า ต้องท่องพระปาติโมกข์ ต้องเตรียมตัวสอนมโนมยิทธิกรรมฐาน ก็มักจะหลบงานหนักเอาแต่งานสบาย ผลสุดท้ายหลวงพี่ชัยศรีก็ส่ายหน้าหล่อไปมา แต่แววตาท่านเอ็นดูหลวงตาอย่างปิดไม่มิด |
หลวงพี่ชัยศรีอายุสัก ๓๐ ส่วนหลวงตา ๔๐ คนเรามันจะหล่อเหมือนกันนี่ มันดูไม่ต่างกันนะลูกหลาน ความที่แม้เค้าหน้าก็เหมือนกันนี่แหละ วันหนึ่งก็มีเรื่องขำ ๆ เกิดขึ้น
สมัยนั้น พ.ศ. ๒๕๒๕ วัดท่าซุงยังมีบริเวณแคบ ๆ แค่ฝั่งโบสถ์ กับฝั่งตรงข้ามเท่านั้น ญาติโยมที่มาพักปฏิบัติธรรมบำเพ็ญกุศลก็จะชุมนุมกันอยู่ฝั่งโบสถ์ กับร้านอาหารและศาลานวราช.. มีอยู่เท่านั้นแหละ! กลางวันก็ยังพอจะข้ามไปฝั่งตรงกันข้ามถนน.. ไปด้อม ๆ มอง ๆ แถวตึกอินทราพงษ์ที่พระคุณ พ่อ อาศัยอยู่ แล้วก็ลงไปท่าน้ำ ซึ่งตอนนั้นปลาแรดปลาสวายก็ยังมีน้อยแทบจะนับตัวได้ ไม่มากมายเท่าในตอนปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะศาลาจตุรมุขหน้าโบสถ์.. จะมีญาติโยมไปกราบสักการะ จุดธูปบูชา อธิษฐานขอพรกันแน่นหนา พอจุดปักลงไปในกระถางมากมายจนแน่น.. ไฟก็ลุกไหม้ก้านธูปโชนโชติช่วงน่าหวาดเสียว ! |
หลวงตาพระใหม่... ไม่ทันได้ศึกษาคำพูดเจริญศรัทธาที่เหมาะสม ก็เข้าไปดุด้วยอารมณ์ที่คิดว่าดีแล้วนะลูก ! เขาก็ช่วยกันดับลงได้ ไฟธูปที่สว่างไสวในยามค่ำคืนก็มอดสงบลง หลวงตาก็ขึ้นบนศาลานวราช
สักครู่ โยมผู้หญิง ๓-๔ คนก็เปิดประตู มองซ้ายมองขวา พอเห็นหน้าหลวงพี่ชัยศรี ก็ตรงเข้ามาต่อว่าเสียงใสเชียว "หลวงพี่.. เมื่อครู่ทำไมต้องตะคอกดุขนาดนั้นด้วย พูดดี ๆ ก็ได้ โยมไม่ใช่คนโง่มาแต่ไหนนะ...ฮึ!" หลวงพี่ชัยศรีทำหน้างงอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ยิ้มหันมาจับไหล่หลวงตาให้หันหน้าหาโยม "โยม ใช่องค์นี้ไหม?" "ต๊าย ..ตาย :onion_no: โอย ! ทำไมเหมือนกันอย่างนี้ แต่ปากทำไม ไม่.. ไม่.." ก็เป็นอันเข้าใจกัน ! |
ลูกหลานเอย.. หลวงตาพร่ำรำพันแบบพระแก่หลงตัวเองมาพอแล้ว แต่ก็เพียงเพื่อจะให้ลูกหลานผู้อ่านรุ่นหลังได้เห็นภาพชีวิตตามที่เป็นจริงของพระทั้งสองด้าน คือด้านที่เป็นนักบวช ฝึกตนตามพระธรรมวินัย และด้านที่เป็นมนุษย์ผู้ชายผู้ยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาเหมือนมนุษย์ทั้งหลาย
สมัยก่อนโน้น.. งานวัดหนักมาก ! เป็นระยะที่เริ่มก่อร่างสร้างวัดท่าซุง พระต้องลงมือทำงานโยธาก่อสร้างเอง.. คนงานก็มีน้อย.. ญาติโยมก็ยังเข้ามาสนับสนุนไม่มากเหมือนสมัยปัจจุบัน ที่พระคุณ 'อาจารย์อนันต์' เป็นเจ้าอาวาส ต้องคอยอ่านต่อฉบับหน้าแล้วลูกเอ๋ย.. ไม่รู้หลวงตาจะเขียนเอง.. หรือเข้าทรงให้คนอื่นเขียนแทน.. คอยฟังข่าวก็แล้วกันนะลูก. .....จบตอนที่ ๗........ |
อ้างอิง:
อ้างอิง:
"อะหือ ๆ" คิดถึงหลวงตาจังเลย โอกาสหน้าถ้าได้ไปวัดธรรมยาน จะแวะไปกราบหลวงพี่วิรัชและหลวงพี่อรัญ ๒ |
เข้าตำราโบราณเขาว่า "รักแท้ แพ้ใกล้ชิด" ๕๕
|
เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 05:58 |
ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน
เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.