กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=47)
-   -   เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3692)

เถรี 09-03-2013 21:12

เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมีนาคม ๒๕๕๖
 
ถาม : การที่คนเราป่วยด้วยโรคผิวหนังต่าง ๆ เช่น โรคท้าวแสนปม สะเก็ดเงิน เด็กดักแด้ กรรมเก่าในอดีตมีผลมากน้อยเพียงไรต่อการป่วยครับ ?
ตอบ : มีผลเต็มร้อยส่วน เรื่องของการเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นเพียงเศษกรรมจากอดีตเท่านั้น ต้นทุนเราต้องไปใช้ในนรก เปรต อสุรกาย หรือสัตว์เดรัจฉานก่อน เศษกรรมที่เหลือถึงทำให้เจ็บไข้ได้ป่วยในชาตินี้

บางท่านที่ไปด่าพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า "ไอ้ขี้เรื้อน" ตัวเองก็เลยป่วยเป็นโรคเรื้อนอยู่ ๕๐๐ ชาติ อย่างสุปพุทธกุฏฐิ เป็นต้น กรรมที่ล่วงเกินผู้บริสุทธิ์ขนาดนั้น ด่าทีเดียวตัวเองเป็นไป ๕๐๐ ชาติ ฉะนั้น..กรรมเก่ามีผลร้อยส่วนเต็ม ๆ หมายความว่า อาการเจ็บไข้ได้ป่วยต่าง ๆ เป็นผลมาจากกรรมเก่าอย่างแน่นอน

เถรี 09-03-2013 21:16

ถาม : ตอนนี้หนูกำลังฝึกอานาปานสติกรรมฐาน เมื่อเข้าสมาธิไล่ฌานตั้งแต่ปฐมฌานถึงฌานสี่ ในระหว่างนั้นไม่แน่ใจนักค่ะว่าอยู่ในฌานลำดับใด เกิดความรู้สึกว่า ตนเองนั่งอยู่ท่ามกลางที่โล่งแจ้ง ที่กว้างนั้นมืดมิด ความรู้สึกคล้ายกับเรานั่งอยู่เดียวดายภายใต้ท้องฟ้ายามรัตติกาล ในสมาธินั้นมองเห็นดวงดาวนับร้อยนับพันดวงส่องประกายระยิบระยับ ดับวูบแล้วก็หายไป แล้วเกิดใหม่เรื่อย ๆ สีของดวงดาวนั้นเป็นสีขาวประกายพรึกบ้าง สีฟ้าบ้าง และมีสีม่วงบ้างค่ะ หนูนั่งมองอยู่เพียงชั่วครู่ก็ถอนสมาธิออกมา เพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งนั้นคืออะไร ครั้งแรกก็ไม่ติดใจอะไรค่ะ แต่ระยะหลังมานี้ ได้เข้าสมาธิและเห็นบ่อยขึ้น หนูขอกราบเรียนถามว่า สิ่งที่เห็นนี้เป็นอุปาทานหรือไม่คะ? แล้วสภาวธรรมที่เกิดขึ้นนี้คืออะไร?
ตอบ : สิ่งที่เกิดขึ้นแปลว่าเข้าถึงอุปจารสมาธิแล้ว แสงสีต่าง ๆ จึงได้ปรากฏ กำลังของอุปจารสมาธินั้นเกือบจะทรงฌานได้ ด้วยความที่สภาพจิตเริ่มปลอดจากรัก โลภ โกรธ หลงชั่วขณะ เพราะกำลังของฌานสูงขึ้น ก็เลยทำให้รู้สึกโล่ง ว่าง เบาสบาย ขณะเดียวกันความเป็นทิพย์ก็เริ่มปรากฏ สิ่งที่อยากจะเตือนก็คือ อย่าเพิ่งทึกทักว่าตนเองได้ฌานนั้นฌานนี้ เพราะเพิ่งจะเริ่มขึ้นอนุบาลหนึ่งเท่านั้น

ถาม : ควรจะทำอย่างไรต่อไป ?
ตอบ : ตั้งหน้าตั้งตาซักซ้อมการภาวนาให้มากกว่านี้ ถ้ารักษาอารมณ์ต่อเนื่องได้นานขึ้น จะได้สมาธิที่สูงขึ้นไปเอง

เถรี 09-03-2013 21:29

ถาม : การสะเดาะเคราะห์ทำได้โดยวิธีใดบ้างคะ? โดยปกติเห็นหลายท่านนิยมไปที่วัด เขียนชื่อใส่ในโลง และให้พระท่านทำพิธีให้ หากเราปฏิบัติในทาน ศีล ภาวนา ในคุณความดี ก็จัดเป็นบุญที่ช่วยให้เคราะห์ต่าง ๆ เบาบางลงได้หรือไม่คะ ?
ตอบ : ถ้าปฏิบัติในศีล สมาธิ ปัญญาจริง ๆ จะตัดเคราะห์กรรมได้ดีที่สุด แต่วิธีตัดเคราะห์ทั่ว ๆ ไป เท่าที่บุคคลเขาทำกัน อันดับแรกให้ถวายสังฆทาน เพราะการตัดเคราะห์คือกรรมเก่าที่ตามมา ถ้าเราสร้างบุญให้มีกำลังสูงไว้ ก็จะหนีห่างกรรมนั้นไปได้

อันดับที่สองให้ปล่อยชีวิตสัตว์ที่เขาขายไว้เพื่อฆ่า ถ้าตนเองเคราะห์หนักก็ปล่อยชีวิตสัตว์ใหญ่ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย อันดับที่สามให้ทำบังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น เป็นการปฏิบัติในมรณานุสติกรรมฐานซึ่งถือว่าเป็นบุญใหญ่ ทำให้หนีห่างกรรมนั้นไปได้ อันดับที่สี่ ถ้าอาการหนัก เห็นว่าแย่แน่ ๆ ให้จัดงานศพตัวเอง นิมนต์พระมา ๔ รูป สวดศพของเราแล้วถวายสังฆทาน และการไปเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรก็ถือว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่ง

แต่ขอให้เข้าใจว่า คำว่าสะเดาะเคราะห์ในความหมายของเรา กับในความเป็นจริงนั้นคนละอย่างกัน คำว่าสะเดาะก็คือทำให้หลุดหรือให้พ้นไป ซึ่งความจริงเคราะห์กรรมนั้นไม่ได้พ้นไป เราแค่ทำความดีแล้วหนีห่างกรรมออกไป ถ้าความดีขาดช่วง เคราะห์กรรมนั้นก็จะตามทันอีก ดังนั้น..ควรที่จะสร้างความดีในศีล สมาธิ ปัญญาไว้บ่อย ๆ จะได้หนีห่างกรรมไปได้เรื่อย ๆ ท้ายสุดถ้าเข้าถึงความบริสุทธิ์ หลุดพ้นไปพระนิพพานได้ถึงจะพ้นกรรมจริง ๆ


ถาม : การสร้างพระ จัดว่าเป็นบุญที่ช่วยให้เคราะห์เบาบางลงหรืออีกนัยหนึ่งคือสะเดาะเคราะห์ได้ไหมเจ้าคะ ?
ตอบ : ได้...การสร้างพระอานิสงส์ใหญ่มาก พุทโธ อัปปมาโณ คุณของพระพุทธเจ้านั้นประมาณไม่ได้ ดังนั้นการสร้างพระจึงถือว่าเป็นการตัดเคราะห์กรรมได้อย่างหนึ่ง

เถรี 11-03-2013 20:54

ถาม : บ้านผมโทรมมากแล้ว เกรงว่าจะหาปัจจัยมาบำรุงซ่อมไม่ทันการ ผมจึงคิดจะทำพิธีฝากบ้านกับท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ แล้วผมจะทำบุญสังฆทานให้ท่านด้วย แต่ไม่ได้มากมายอะไร ว่าจะใส่ตู้บริจาคของใกล้บ้านแทนเพราะปัจจัยมีจำกัด ?
ตอบ : คุณเข้าใจได้อย่างไรว่าฝากบ้านกับเทวดาแล้วบ้านจะไม่เก่า ? การฝากบ้านกับเทวดาท่านหมายเอาว่า ถ้ามีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นท่านจะช่วยป้องกันให้ นี่บ้านเก่าจะพังแล้วไปฝากบ้านกับเทวดา บ้านจะได้ไม่พัง ท่านน่าจะช่วยให้พังเร็วขึ้นมากกว่า..!

ถาม : ผมจะบูชาผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามมาอาราธนาไว้กับท่านเจ้าที่ แต่ศาลเจ้าที่บ้านผมเป็นศาลเจ้าที่จีนอยู่ในบ้าน ไม่ทราบว่าจะเหมาะสมหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เรื่องของมหาพิชัยสงครามนั้น ขอแนะนำว่าติดให้สูงหน่อย ถ้าเป็นศาลเจ้าที่ที่วางติดพื้นแบบศาลจีนก็ติดธงเหนือท่านให้อยู่สูง ๆ ไปเลย

เถรี 11-03-2013 20:57

ถาม : ผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามที่เย็บติดกับธงชาติแล้วอาราธนาแขวนที่หน้าบ้าน ปัจจุบันเก่าขาดแล้ว ถ้าจะเปลี่ยนธงผืนใหม่โดยเลาะผ้ายันต์ฯ จากธงเดิมออกมาเย็บติดกับธงใหม่ ส่วนธงเดิมจัดเก็บพับใส่ซองวางที่หิ้งพระ จะเป็นการถูกต้องเหมาะสมหรือไม่คะ ?
ตอบ : ทำได้..แต่ถ้าจะให้ดีเอาธงใหม่สองผืนมาประกบธงเก่าตรงกลางแล้วเย็บติดไปเลย

เถรี 11-03-2013 20:59

ถาม : ดิฉันหยิบน้ำในตู้เย็นมาดื่ม นึกว่าเป็นน้ำอัดลม พอดื่มถึงทราบว่าเป็นเหล้าหมักจึงบ้วนทิ้ง ล้างปากแล้วหาน้ำเปล่ามาดื่ม อย่างนี้ที่ไปเข้าพิธีเป่ายันต์เกราะเพชรมาไม่ทราบว่า ยันต์เกราะเพชรจะยังอยู่กับเราหรือเปล่าคะ ? เป็นกังวลค่ะ
ตอบ : ถ้ายังไม่กลืนก็ไม่เป็นไร

เถรี 11-03-2013 21:04

ถาม : ผมมีความรู้สึกเลื่อมใสในตัวหลวงพ่อฤๅษีลิงดำเป็นปกติ ผมจึงใคร่อยากให้พระคุณเจ้าแนะวิธีทำให้ศรัทธาเต็มด้วยเถอะครับ ?
ตอบ : หล่อรูปหลวงพ่อฤๅษีขนาด ๒ เมตรขึ้นด้วยทองคำแท้ รับรองศรัทธาเต็มแน่นอน..!

ถาม : ผมว่าชาติหน้ายังไม่เต็มเลย ?
ตอบ : หลวงพ่อท่านสอนอะไรมา คุณก็ประพฤติปฏิบัติให้ได้ตามนั้น ยิ่งทำได้มากเท่าไร ศรัทธาจะแน่นแฟ้นมากขึ้นเท่านั้น เพราะเห็นคุณประโยชน์ความดีที่ท่านสอนไว้จริง ๆ

เถรี 11-03-2013 21:08

ถาม : คนที่เป็นกระเทยผ่าตัดแปลงเพศเป็นผู้หญิงแล้วเรียบร้อย แต่มีความสงสัยว่าถ้าแต่งงานกับผู้ชาย จะผิดศีลข้อสามไหม ?
ตอบ : ผิดตรงไหน ?

ถาม : ก็เขาเป็นผู้ชายด้วยกัน
ตอบ : อย่าลืมว่าการล่วงละเมิดบุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตถึงจะมีโทษศีลข้อสาม ถ้าแต่งงานแสดงว่าได้รับการยินยอมจากผู้ปกครองทั้งสองฝ่าย

ถาม : ไม่เกี่ยวกับว่าจะเป็นผู้ชายกับผู้ชาย ?
ตอบ : ผู้ชายกับผู้ชายเขามีมาแต่โบราณแล้ว

เถรี 11-03-2013 21:22

ถาม : การฝึกกสิณเป็นสมาธิอย่างหยาบ สามารถทำให้มีสมาธิเป็นฌานได้ง่ายกว่าอานาปานสติ จริงหรือไม่อย่างไรครับ ?
ตอบ : เขาบอกว่ากสิณต้องอาศัยของหยาบเป็นเครื่องจูงจิตให้ทรงตัวได้ง่าย เพราะมีวัตถุข้างนอก ไม่ใช่ประเภทไปนึกเอา แต่กสิณไม่ใช่สมาธิอย่างหยาบ เพราะถ้าทำกสิณได้จริง ๆ ต้องเข้าถึงฌานสี่ละเอียดจึงจะใช้งานได้ ต่อไปใช้คำพูดให้ถูก ๆ หน่อย

กรรมฐานทุกกองถ้าทำเป็น ท้ายสุดเข้าถึงพระนิพพานได้ทั้งหมด แม้กระทั่งภาพกสิณระหว่างที่เราฝึกก็มีการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ ๆ ไป ตามลำดับของสมาธิที่เราเข้าถึง การที่เราฝึกปรืออยู่ก็ต้องประกอบไปด้วยความทุกข์ ต้องใช้ความเพียรพยายามสูง ท้ายที่สุดแม้กระทั่งคนฝึกคือเราก็ต้องตายเหมือนกัน ถ้าสามารถมองเห็นสภาพความเป็นจริงอย่างนี้ได้ หมดความอยากที่จะเกิดอีก ก็ไปพระนิพพานได้เหมือนกัน

เถรี 11-03-2013 21:29

ถาม : ถ้าเราใช้เส้นเพื่อฝากลูกเข้าเรียน ทำให้คนอื่นเสียประโยชน์หรือไม่คะ ? จะมีวิบากกรรมอะไรหรือไม่คะ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าฟุ้งซ่านเกินเหตุ ถ้าเราไม่ได้ใช้เส้นแล้วคนอื่นใช้ ตัวเราเองนั่นแหละจะเสียประโยชน์ อะไรก็ตามถ้าสามารถทำได้โดยไม่ได้ผิดศีลผิดธรรม ก็ทำไปเถอะ เขาเรียกว่าเป็นการมีปัญญาด้วยซ้ำไป แต่ถ้าเป็นประเภทพอตนเองไม่ได้เอาปืนไปจี้หัว ผอ. ขอให้รับลูกเราเข้าเรียน..นั่นก็เกินไป

ถาม : การใช้เส้นเป็นความสามารถพิเศษอย่างหนึ่งหรือครับ ?
ตอบ : เป็นวิธีอย่างหนึ่ง บ้านเราแก้ไขไม่ได้แล้ว ฝังรากลึกไปจนถึงดีเอ็นเอแล้ว

เถรี 11-03-2013 21:34

ถาม : การสร้างพระพุทธรูปสีดำทั้งองค์ มีความหมายบอกถึงอะไรครับ เพราะปกติคนไทยไม่ค่อยนิยมใช้สีดำในสิ่งที่เป็นมงคล ทำไมถึงมีการสร้างพระพุทธรูปสีดำขึ้นมาบูชาครับ ?
ตอบ : แสดงว่าเกิดช้า..ไม่เคยเห็นพระพุทธรูปโบราณ เขารมดำทั้งนั้นแหละ ไม่ได้สำคัญที่สี แต่อยู่ที่เราชอบ ถ้าสร้างพระมาแล้วได้รูปแบบและสีที่เราชอบ จิตใจของเราจะสบาย เกาะภาพพระได้ง่าย จะสีอะไรก็ทำไปเถอะ สำคัญตรงที่ได้ทำหรือเปล่า ? มัวแต่ไปคิดว่าสีนี้ไม่เหมาะแล้วไม่ได้ทำสักที ก็ตายเปล่าไม่ได้อะไรเลย..!

เถรี 12-03-2013 20:38

ถาม : อยากทราบที่มาของตำรับยาวัดท่าซุง เช่นยาเก้าร้อย ยาหนอนตายอยาก ว่าหลวงพ่อท่านเป็นผู้ค้นพบ หรือเป็นผู้ปรุงเอง หรือเป็นตำราโบราณสืบต่อกันมาจากอาจารย์ท่านอื่น ๆ ครับ ? และพระอาจารย์ได้ฉันตำรับยาหลวงพ่อวัดท่าซุงเพื่อการบำรุงและการรักษาบ้างหรือไม่ครับ ?
ตอบ : เคยฉันมาหลายเกวียนแล้ว...!

ถาม : ว่ากันเป็นเกวียนเลยหรือครับ ?
ตอบ : ตำรายาส่วนใหญ่เป็นของโบราณ แต่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านเห็นว่าเหมาะสมที่จะใช้งาน ก็นำมาบอกกล่าวกัน บางอย่างเป็นของเก่า พระหรือเทวดาท่านมาเตือนว่าสามารถรักษาโรคนี้ได้ ท่านก็นำมาแนะนำ ท้ายสุดอาจารย์บุปผชาติ พงษ์ประดิษฐ์เห็นว่าควรจะทำขึ้นมาสงเคราะห์คนอื่น เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนสามารถจะเข้าถึงสมุนไพรต่าง ๆ ได้ครบถ้วน ท่านก็เลยทำเป็นยาขึ้นมา แต่ระยะหลังเห็นว่า อย. เล่นงานเสียย่ำแย่เลย

เถรี 12-03-2013 20:41

ถาม : ทำไมการเอาพระพุทธรูปไปบรรจุใต้ฐานหรือบรรจุในองค์พระ ซึ่งจะถูกโบกปูนปิดทับไว้ไม่มีใครเห็น หลาย ๆ ท่านทำกันครับ ? เพราะเทียบกับการเอาพระพุทธรูปเหล่านั้นเก็บเอาไว้ด้านนอกเพื่อให้ประชาชนได้กราบไหว้บูชาแบบเห็นองค์จริง น่าจะได้อานิสงส์มากกว่าหรือไม่ครับ ?
ตอบ : อันดับแรก...เขาต้องการอานิสงส์พุทธบูชาแบบเฉพาะของตน ก็เลยเอาไปบรรจุไว้ อันดับที่สอง..พระที่บรรจุไว้ไม่ว่าจะชำรุดทรุดโทรมอย่างไรเสีย เราไม่เห็น กำลังใจไม่เสีย แต่ถ้าเราเอาไว้ข้างนอก บางทีปล่อยให้ฝุ่นจับเขรอะอยู่หรือผุพังเลยก็มี

ดังนั้น..ก็ต้องดูเจตนาว่าเขาตั้งใจสร้างเพื่อให้บูชาเป็นส่วนรวมหรือไม่ ถ้าเป็นส่วนรวมก็ต้องเอาไปแสดงให้คนอื่นเขาเห็น แต่ถ้าอยากได้อานิสงส์เป็นการส่วนตัวก็มักจะบรรจุ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสมัยก่อนเขาตั้งใจเอาไว้ว่า นานไปข้างหน้าถ้ามีผู้ใดมาสืบเสาะพบเห็นเข้า เขาถือว่าเป็นการสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาด้วย พูดง่าย ๆ ว่าถึงข้างนอกพังหมดแล้ว ข้างในก็ยังมีเหลืออยู่

เถรี 12-03-2013 20:45

ถาม : การนำเอาเงินเหรียญและของมีค่าไปใส่ไว้ใต้ฐานหรือองค์พระ ผมไม่เข้าใจเลยครับว่าจะเป็นบุญกุศลอย่างใด ถ้าเทียบกับเอาของเหล่านั้นไปขายและนำไปซื้อทอง ซื้อปัจจัยในการหล่อองค์พระแทน หรือนำเครื่องประดับเหล่านั้นมาประดับที่องค์พระ น่าจะได้บุญมากกว่าเก็บเอาไว้ใต้ฐานเฉย ๆ หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เจตนาเขาตั้งใจถวายเป็นพุทธบูชา แต่เจตนาคุณดันไปดูที่มูลค่าสิ่งของ แสดงว่ากำลังใจต่ำกว่าเขาหลายเท่า เขาถวายแล้วถวายเลย แปลว่าเขามีอุเบกขาในทานบารมี ส่วนคุณนี้ไม่ได้ถวายเองแท้ ๆ ยังหาอุเบกขาไม่ได้ กำลังใจห่างจากเขาลิบโลกเลย..!

เถรี 12-03-2013 21:02

ถาม : นอกจากมนุษย์แล้วจะมีผู้ใดชื่นชอบทองคำและเพชรอีกบ้างไหมครับ ? คุณค่าในทองคำและเพชรเกิดจากที่มนุษย์เห็นได้ด้วยตาและมีอุปาทานว่าสิ่งนี้มีค่ามาก จากการสะท้อนแสงและความคงทนเท่านั้นหรือไม่ ? เพราะถ้าไม่มีแสงก็จะไม่เห็นว่าสวย หรือจริง ๆ แล้วเป็นสัญญาเก่าที่เคยเกิดในสวรรค์ ?
ตอบ : ของจะมีค่ามีราคาก็ต่อเมื่อของนั้นมีน้อย และมีคนต้องการมากจึงตีค่าไว้สูง ถ้าไปดวงดาวบางดวง อาตมาเชื่อว่าเอาก้อนกรวดไปแลกเพชรของเขาได้ เพราะบ้านเขามีแต่เพชรแต่พลอยเต็มไปหมด ไม่มีก้อนกรวดเลย เพราะฉะนั้น..เก็บกรวดไว้เยอะ ๆ นะ เผื่อมีโอกาสเจอเขาจะได้เอาไปแลก..!

สมัยอาตมาเด็ก ๆ เขายังใช้หอยเบี้ยแลกเปลี่ยนอยู่เลย สมัยนี้ไม่เห็นใช้ สมมติเปลี่ยนไป ถ้าเขาตั้งสมมติขึ้นมาใหม่ ให้ก้อนกรวดข้างถนนมีราคา เขาก็จะไปแย่งก้อนกรวดกันต่อ

เถรี 13-03-2013 20:42

ถาม : การถวายปัจจัยต่าง ๆ ให้กับดวงวิญญาณผู้เสียชีวิต โดยวิธีโบราณสืบมา คือการนำของดังกล่าวตั้งไว้กลางแจ้งและจุดธูปบอก แล้วนำไปลอยหรือวางไว้โคนไม้ เทียบกับการนำของดังกล่าวเอาไปถวายพระให้ท่านสวดยะถาฯ ให้ จะได้ผลหรือต่างกันอย่างไรครับ ? และถ้าของนั้นอาจไม่เหมาะกับพระสงฆ์ เช่น ผ้าสไบของผู้หญิง หรือของเล่นเด็ก จะยังสามารถถวายพระสงฆ์เพื่อนำส่งบุญและปัจจัยเหล่านั้นต่อดวงวิญญาณผู้เสียชีวิตได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าเอาของไปวางแล้วจุดธูปบอก ผีก็จะยืนตาปริบ ๆ เพราะสิ่งที่เขาจะได้เป็นเรื่องของบุญกุศล ไม่ใช่เรื่องของวัตถุ ส่วนเรื่องเอาของไปถวายนั่นทำถูก แต่ของที่ไม่เหมาะสมกับพระ เขาไม่ได้บังคับว่าต้องถวายพระ ก็คือมอบให้กับผู้ใดผู้หนึ่งก็ได้ ถ้าเขารับไปถือเป็นส่วนของทาน อานิสงส์เกิดขึ้นแล้ว สามารถอุทิศให้กับผู้อื่นได้

ฉะนั้น..ถ้ามีสไบก็เอาไปมอบให้กับแม่ชีที่เขาอยู่ปฏิบัติธรรมก็ได้ หรือถ้าเป็นสไบสารพัดสีก็บริจาคให้คนที่ไหนก็ได้


ถาม : จัดว่าเป็นทานเหมือนกัน ?
ตอบ : จัดว่าเป็นทาน มีอานิสงส์ก็ถึงผู้ตายได้เหมือนกัน

เถรี 13-03-2013 20:47

ถาม : ขณะป่วยภาวนาแยกกายกับจิต แล้วเห็นอนิจจังของโลก การดำเนินชีวิตที่เหลืออยู่กับมรรคมีองค์ ๘ ถือว่าถูกต้องไหมคะ ?
ตอบ : แปลกมาก..เห็นอนิจจังของโลกแทนที่จะเห็นอนิจจังของตนเอง ? เรื่องของธรรมะต้องดูจากข้างในก่อน พอดูจากข้างในจนมั่นใจแล้วค่อยไปดูข้างนอก ถ้าไปดูข้างนอกแต่ลืมข้างใน ก็ไม่ไปถึงไหนหรอก ถ้าสามารถเห็นอนิจจังแสดงว่าก้าวแรกเริ่มไปตรงแล้ว ต่อไปก็ให้ดูความเป็นทุกข์ ความไม่ใช่ตัวตนเราเขา

ถาม : เห็นความไม่เที่ยงอย่างเดียวยังไม่พอใช่ไหมครับ ?
ตอบ : อันดับแรกเอาที่ตัวก่อน ถ้าเห็นตัวเองชัดเจนก็จะเห็นคนอื่น สัตว์อื่น ข้าวของอื่นในลักษณะเดียวกัน

ถาม : เห็นข้างนอกจะเห็นง่ายกว่าครับ ?
ตอบ : เห็นข้างนอกนั่นของเขา เห็นข้างในนั้นของเรา

เถรี 13-03-2013 20:54

ถาม : หนูปลูกมะเขือเทศไว้ ๑ ต้น รดน้ำแล้วสวดคาถาเงินล้าน ๑ จบ ลูกมะเขือดกมากค่ะ เต็มต้นเลย
ตอบ : ทำไมไม่เอามาถวายพระบ้างล่ะ..?

เถรี 13-03-2013 20:58

ถาม : ขอคาถาย่นระยะทางครับ เวลาเดินทางจะได้สะดวกรวดเร็วทันใจ ?
ตอบ : หลับซะ ตื่นขึ้นมาก็ถึงแล้ว..!

ถาม : เป็นคนขับหลับไม่ได้ครับ ?
ตอบ : จริง ๆ คาถาบทไหนก็ได้ ให้ใจมุ่งมั่นเท่านั้น ในตอนต้นนึกว่าต้องการอะไร หลังจากนั้นให้ลืมเสีย แล้วภาวนาอย่างเดียว เพราะคาถาเป็นเครื่องโยงใจให้เกิดสมาธิ เมื่อสมาธิเกิดขึ้นก็จะมีพลานุภาพบันดาลให้เป็นไปตามที่ต้องการ

ถาม : เป็นอธิษฐานบารมีหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : เขาเรียกว่าฌานฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดจากฌานสมาบัติ

เถรี 13-03-2013 21:30

ถาม : ผมพิจารณาว่าตัวรูปในร่างกายก็ไม่มีแล้ว ตัวอารมณ์ก็ไม่มีแล้ว เพราะอารมณ์อาศัยร่างกาย เมื่ออารมณ์ไม่มี รูปไม่มี โลกก็ย่อมไม่มี ไม่มีอะไรเหลือเลย ก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปผิดศีล ตัวที่ไปผิดศีลเพราะมาจากสาเหตุตัวนี้ เพราะไม่เหลืออะไรแล้ว ?
ตอบ : ศีลเป็นการกระทำ ถึงแม้เป็นสมมติทางโลก แต่ถ้าเราทำผิดสมมติทางโลกก็ยังเป็นความผิดอยู่ ขณะเดียวกันสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ใช่อารมณ์ภาวนา แต่ต้องเป็นความเป็นจริงที่มีอยู่ ตราบใดที่เราต้องเสียเวลาพิจารณาก็ยังอีกไกล ต้องเห็นได้ทุกเวลาถึงจะใช้ได้

เถรี 13-03-2013 21:35

ถาม : ผมไปเจอที่หลวงปู่ดาบสบอกว่า 'คุณต้องทิ้งอดีต ๕ กิโล ทิ้งอนาคต ๕ กิโล' ซึ่งจะตรงกับคำสอนพระอาจารย์ที่ว่าไม่ต้องไปคำนึงถึงอดีต อนาคต แต่ผมไม่เข้าใจที่หลวงปู่ดาบสบอกว่า 'คุณต้องทิ้งปัจจุบันอีก ๕ กิโล' ถ้าทิ้งกับปัจจุบันแล้วจะไปอยู่กับอะไรครับ ?
ตอบ : หมายความว่า ใจเราไม่ยึดเกาะขันธ์ ๕ แม้ในปัจจุบันนี้ สักแต่ว่าใช้งานไปก็พอ

ถาม : ท่านพูดยิ่งกว่านั้นครับ แม้กระทั่งตัวพุทโธก็ยังเป็นตัวยึดในปัจจุบันอยู่ ?
ตอบ :ใช่

ถาม : ทำไมพระอาจารย์จึงสอนให้ยึดล่ะ ?
ตอบ : ยึดดีไว้ก่อน พอถึงเวลาแล้วค่อยวางดี ใจของคนเราถ้าไม่เกาะดีก็ต้องเกาะชั่ว ที่จะปล่อยวางได้จริง ๆ เลยนั้นมีน้อย ครูบาอาจารย์ท่านถึงสอนให้เรายึดดีก่อนเพื่อความปลอดภัย ถ้าเราทำดีไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกำลังใจเต็มจริง ๆ แล้วจะวางดีไปเอง ไม่ใช่ว่าบางทีไปได้เคล็ดลับจากพระที่ท่านทำได้แล้ว บอกว่าปล่อยดีแล้วเราก็ไม่ทำความดีเลย ถ้าอย่างนั้นเตรียมตัวเจ๊งได้..!

เถรี 13-03-2013 21:37

พระอาจารย์กล่าวว่า "วันก่อนเปิดให้ผู้ปฏิบัติธรรมบูชาพระนาคปรกลอยองค์ที่วัด ปรากฏว่ามีส่วนหนึ่งต้องการสีทองมากกว่า อาตมาก็นึกว่า ส่วนใหญ่เวลาเห็นพระท่านจะเป็นแก้ว ดูแล้วคล้ายเงินมากกว่า แต่คนกลับไปติดสีทอง"

เถรี 14-03-2013 21:16

ถาม : แสดงว่าอารมณ์ในปัจจุบันเรายังทิ้งไม่ได้ เพราะปัจจุบันเป็นที่พักของใจชั่วคราว ?
ตอบ : เป็นที่อาศัย ในเมื่อใจอาศัยร่างกาย เราอยู่กับร่างกายได้ แต่อย่าไปเกาะร่างกาย สักแต่ว่าอยู่เท่านั้น ในเมื่อเราสักแต่ว่าอยู่ ถ้าเรารู้เท่าทันปัจจุบันจริง ๆ จะเห็นทุกข์เห็นโทษของการปรุงแต่ง ซึ่งจะไปในอดีตหรืออนาคต ในเมื่อเห็นทุกข์เห็นโทษตรงจุดนี้ ตัวปัญญาที่เห็นโทษจะเกิดความเข็ด ในเมื่อเข็ด สติก็จะรั้งให้หยุด ไม่ไปปรุงทั้ง ๒ ทาง ในเมื่อหยุดอยู่กับปัจจุบันได้จริง ๆ ก็จะจบ แต่ถ้ายังหยุดไม่ได้จริง ๆ ก็ยังต้องอาศัยร่างกายไปก่อน

ถาม : แสดงว่าตัวหยุดได้จริง ๆ ก็คือตัวนี้แหละ ตัวยึดในปัจจุบันอยู่ ?
ตอบ : นั่นแหละ ๕ กิโลนี่วางไม่ได้ ยังยึดแล้วจะไปวางอย่างไร ?

ถาม : ตอนที่ผมพิจารณาทุกข์ก็เห็นนะครับ แต่ก็ไม่ทุกข์เพราะจิตอยู่กับสมาธิ โดยที่เราไม่ไปปรุงแต่งเพิ่มและอยู่กับปัจจุบัน แต่ทันทีที่เราออกจากปัจจุบันก็ทุกข์ทันทีครับ ?
ตอบ : สภาพจิตยังไม่ยอมรับ ถ้าสภาพจิตยอมรับจะตัดเหตุคือการปรุงแต่งนั้นเสีย ก็จะไม่ทุกข์ เพราะเห็นอยู่ว่าสภาพร่างกายมีสภาวทุกข์เป็นปกติอยู่แล้ว สภาพจิตก็จะยอมรับว่าธรรมดาของร่างกายนี้เป็นอย่างนั้น ในเมื่อเห็นเป็นอย่างนั้น อยากจะเป็นก็เป็นไป คบกันแค่ชาตินี้ เท่ากับเรากองภาระทั้งหมดไว้ตรงนั้น มีหน้าที่ดูก็นั่งดู หมดเวลาเมื่อไรก็ลาก่อน ไม่ต้องดูอีกแล้ว ก็เลยไม่หนักใจ ไม่ทุกข์ เอ็งอยากจะเจ็บก็เจ็บไป อยากจะหิวก็หิวไป อยากจะป่วยก็ป่วยไป ข้าก็นั่งดูของข้าอยู่อย่างนี้

ถาม : อันนี้คือนิพัทธทุกข์หรือครับ ?
ตอบ : ความทุกข์ทุกอย่างเลย ความทุกข์ทุกประเภทเหมือนกัน เพราะความทุกข์อยู่กับร่างกาย

เถรี 14-03-2013 21:19

ถาม : แล้วทุกข์ที่เกิดจากความคิดที่ว่า คนนั้นต้องเป็นอย่างนั้น คนนี้ต้องเป็นอย่างนี้ ทุกข์เพราะอะไรครับ ?
ตอบ : ทุกข์เพราะยึด..ก็ยึดไอ้ตัวนี้แหละ เพราะเรายึดตัวเรา เราก็เลยยึดตัวเขา ถ้าวางตัวนี้ได้ อย่างอื่นก็ไม่ยึดหรอก หลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านสรุปแล้วเหลือไอ้ตัวนี้ตัวเดียว เหลือไอ้ ๕ กิโลนี่แหละ ไม่ได้หนักอะไรมากมายหรอก ค่อย ๆ วางไป

ถาม : แต่ที่สังเกตได้ พอเราหลุดจากสมาธิเมื่อไร เราทุกข์ทันทีครับ ?
ตอบ : แน่นอน...เพราะเรายังต้องอาศัยสมาธิช่วยหนีทุกข์ ทันทีที่เราหลุดออกมา ก็คือเราหลุดจากปัจจุบัน พอหลุดจากปัจจุบันก็เสวยอารมณ์เต็มที่

ถาม : แต่พอเราจับอารมณ์สมาธิ ก็ลืมไปเลย
ตอบ : อันนั้นเขาเรียกว่ากินยาแก้ปวดไปก่อน แก้ปวดลดไข้ไปเรื่อย ๆ ถ้าวางได้ไข้ก็หายไปเอง

เถรี 14-03-2013 21:26

พระอาจารย์กล่าวว่า "มีคนมาคร่ำครวญว่ามาช้าไป เลยไม่ได้ไปไหนกับหลวงพ่อ เขาอยากจะเดินทางไปกับหลวงพ่ออย่างในหนังสือกระโถนฯ บ้าง เห็นว่าสนุกดี แต่ขณะเดียวกันบางคนก็บ่นว่าไปด้วยกันแท้ ๆ แต่ทำไมพอมาอ่านแล้วเหมือนกับคนละเหตุการณ์เลย

ตรงนี้ขึ้นอยู่กับมุมมอง มุมมองและประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกัน จะทำให้มองเหตุการณ์ต่างกัน บางทีถ้าเราไปเองแล้วเจออย่างนี้ เราอาจจะเครียดเกือบตาย แต่คนที่ไปกำลังใจก้าวข้ามตรงนั้นแล้ว จึงกลายเป็นของสนุก พอถึงเวลาเขาแสดงมุมมองของเขาออกมา ก็คือมุมมองที่สนุก แต่ถ้าเราไปเองนี่แทบตายเลย จึงกลายเป็นคนละงานกัน"

เถรี 19-03-2013 09:41

ถาม : ผมได้สนทนากับพระสายป่า ท่านบอกว่าการถวายอาหารกระป๋องไม่เหมาะสมอย่างยิ่งเลย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้นครับ ?
ตอบ : เพราะพระเขาถือว่าถ้ารับประเคนแล้วค้างคืน ก็โดนอาบัติที่ฉันอาหารขาดประเคน

ถาม : ท่านบอกว่าบางทีจะไม่เก็บอาหารไว้ในกุฏิด้วย ถ้าถวายวัดบ้านก็ว่าไปอย่าง ?
ตอบ : ตรงนี้เป็นศีลของพระอยู่แล้ว พระห้ามเก็บอาหารไว้เอง ห้ามหุงต้มอาหารเอง ห้ามเก็บอาหารไว้ภายในที่อยู่ของตนเอง ก็คือป้องกันการแอบกิน เป็นเรื่องปกติ วัดไหนที่มีโรงครัวเขาก็เก็บไว้ในโรงครัว

คราวนี้อาหารที่บอกว่าประเคนหลังเพลไปแล้ว ถ้ารับแล้วหากไม่ได้ใช้งาน ก็จะขาดประเคน เพราะพระเขาห้ามเก็บของข้ามคืน แต่คราวนี้เราประเคนไปแล้ว เสร็จแล้วลูกศิษย์ยกไปก็ถือว่าขาดไปแล้ว ก็ไม่ต้องอาบัติข้อนี้

ความเคร่งครัดในศีลเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเคร่งเกินพอดีจะกลายเป็น สีลัพพตุปาทาน คือยึดมั่นในศีลพรตของตนเอง


ถาม : ถ้าผมมาที่นี่หลังเพล แล้วเตรียมอาหารแห้งกับผ้าไตร ยังพออนุโลมได้หรือเปล่าครับ ?
ตอบ : ถ้าที่อื่นไม่เป็นไร แต่ถ้าวัดป่าอย่าไปถวายท่าน บอกให้ลูกศิษย์ท่านรับไปแทน บอกให้ลูกศิษย์ท่านเอาไปประเคนวันอื่น การระมัดระวังศีลเป็นเรื่องดี ยิ่งระมัดระวังมากสมาธิยิ่งเกิดได้ง่าย แต่ระวังจะไปยึดถือว่าศีลเราดีกว่า เราบริสุทธิ์กว่า กลายเป็นอุปาทานไป

เถรี 19-03-2013 10:25

พระอาจารย์กล่าวว่า "คนที่ชวนทำบุญแล้วไปทันที นั่นบารมีเขาเต็มแล้ว จะสังเกตว่าหลายวัดโฆษกต้องป่าวประกาศ ชักชวนคนตั้งแต่เช้ายันค่ำ ค่ำยันเช้า พวกนี้หากินที่วัดท่าขนุนไม่ได้หรอก วัดท่าขนุนไม่ต้องเสียเวลาประกาศ ถึงเวลาโยมเขาวิ่งมาทำเอง แต่นั่นเขาพูดอานิสงส์จนน้ำลายแห้ง กว่าโยมจะยอมควักกระเป๋าทำบุญ

เพราะฉะนั้นเรื่องของทาน ถ้าเป็นบารมีต้นอย่างหยาบตัดใจทำทานไม่ได้ บารมีต้นอย่างกลางนี่เป็นประเภทคิดแล้วคิดอีก นับแล้วนับอีก บางทีล้วงออกมาแล้วยังยัดกลับเข้าไป ต้องเป็นสามัญบารมีอย่างละเอียดถึงจะทำทานได้ แต่รักษาศีลไม่ได้ เพราะฉะนั้น..เรื่องของทานนี่เป็นบารมีต้น

บารมีต้นอย่างหยาบตัดใจทำทานไม่ได้หรอก ใจจะขาด แบบเดียวกับพิราฬกเศรษฐี พิราฬกเศรษฐีจะทำบุญใช้ ๓ นิ้วหยิบ เขาเลยเรียกเศรษฐีตีนแมว เพราะถ้าหยิบเยอะกว่านี้จะขาดใจตาย ถ้าสามัญบารมีอย่างกลาง ก็ประเภททำบุญไปแล้วชักกลับครึ่งหนึ่ง ต้องสามัญบารมีอย่างละเอียดจึงสามารถทำทานได้เต็มกำลังใจตนเอง"

เถรี 20-03-2013 21:02

ถาม : ได้บ้านหลังหนึ่ง มีเจ้าที่เก่าอยู่ ?
ตอบ : จะตั้งศาลเจ้าที่ใหม่หรือ ?

ถาม : ยังไม่ตั้งค่ะ
ตอบ : ถ้ายังไม่ตั้งก็ปล่อยไว้ก่อน จนกว่าเราจะมีโอกาสตั้งใหม่ แล้วก็เชิญเจ้าที่เก่าขึ้นของใหม่ ค่อยรื้อของเก่า ไม่อย่างนั้นแล้วเหมือนไปรื้อบ้านเขา แต่ไม่มีที่อยู่ใหม่ให้เขา เดี๋ยวเป็นเรื่องอีก

ถาม : ปล่อยไว้ก่อน ?
ตอบ : จ้ะ..ปล่อยไว้ก่อน ยกเว้นว่าเราจะตั้งใหม่ ตอนนี้ก็บูชาที่เดิมไปก่อน

เถรี 20-03-2013 21:07

พระอาจารย์เล่าว่า "คุณจิอูลิโอ เป็นอุปทูตของสถานทูตอิตาลีประจำกรุงเทพฯ เขาไม่เคยฝึกกรรมฐาน คุณลุคก็พาไปฝึกปฏิบัติธรรม ๓ วัน เขาบอกว่าปฏิบัติไปวันแรก นอนหลับสนิทไม่ตาค้างเหมือนอย่างสมัยก่อนเลย มีความสุขที่สุดในชีวิต ไม่เคยนอนหลับสบายอย่างนี้มาก่อน แบบนี้ต่อไปเขาคงเดินจงกรมทั้งวัน"

ถาม : หนูก็เหมือนกันค่ะ เหนื่อยแบบไม่รู้ตัวเลย นอนได้ก็หลับไปเลย
ตอบ : เราจะได้รู้ว่าร่างกายก็ดี จิตใจก็ดี ก็ต้องการการพักผ่อนเหมือนกัน ส่วนใหญ่แล้วเราพักแต่ร่างกาย แต่ใจไม่ได้พัก สภาพจิตของเรารับนั่นรับนี่มาตั้งแต่เกิดจนตาย เหนื่อยเต็มทีแล้ว เพราะฉะนั้น..ต้องหยุดให้เป็น วิธีการต้องหยุดจิตอยู่กับปัจจุบัน ถ้าไม่ไปปรุงไปแต่งก็เบาสบาย ถ้าปรุงเมื่อไรก็หนักเมื่อนั้น

เถรี 20-03-2013 21:13

ถาม : หนูกินข้าวก็ไม่อร่อย ขับรถมาฟังเพลงก็ไม่เห็นจะรู้สึกไพเราะ ?
ตอบ : แสดงว่าเริ่มเป็นคนไร้รสชาติแล้ว ท่านอักโกสกภารทวาชพราหมณ์ด่าพระพุทธเจ้าว่า “สมณโคดมเป็นผู้ไร้รสชาติ” พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ใช่..ท่านด่าได้ถูก” เพราะจิตใจของพระองค์ท่านไม่ปรุงแต่งแล้ว ตกลงอักโกสกภารทวาชพราหมณ์ด่า พระพุทธเจ้ารับว่าใช่ คนด่าเลยเซ็งไปเอง

มีบางคนบอกว่าดูหนังไปแล้วพิจารณาไปดีไหม ? อาตมาบอกไปว่าถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปดู เพราะดูแบบนั้นก็หมดอารมณ์ไปเอง

เถรี 21-03-2013 10:05

ถาม : เวทนาภายนอกคือ ?
ตอบ : จริง ๆ เวทนาก็คือสภาพที่เกิดขึ้นกับร่างกาย เวทนาภายในก็คือดูว่าใจของเราเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า

ถาม : ถ้าดูเวทนาภายนอก ?
ตอบ : จะเสียเวลาไปดูทำไมเล่า ภายในคือที่เกิดกับจิตใจ ภายนอกคือที่เกิดกับร่างกาย

ถาม : แล้วดูกายภายนอก คือ ?
ตอบ : ดูกายภายนอกหรือกายภายในก็ลักษณะเดียวกัน แต่กายภายนอกสามารถดูกายของคนอื่นได้ ก็คือ ดูลักษณะของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

ถาม : ที่เขาบอกว่า กายภายนอกคือใจของคนอื่น กายภายในคือใจของตนเอง ?
ตอบ : จริง ๆ ท่านบอกว่ากายภายนอกคือร่างกายนี้ กายภายในถ้าหาไม่เจอจริง ๆ ท่านให้ดูลมหายใจเข้าออก ท่านถือว่าเป็นตัวที่ซ้อนกันอยู่ข้างใน คือไม่สามารถที่จะใช้ทิพจักขุญาณดูทะลุไปถึงกายภายใน ก็ดูแค่ลมหายใจก็ได้

ถาม : แล้วจิตภายนอก ?
ตอบ : ในสภาพของจิตแบ่งเป็น จิตที่ออกไปรับอารมณ์กับจิตที่อยู่ข้างใน ออกไปเมื่อไรยุ่งเมื่อนั้นแหละ เพราะออกไปรับอารมณ์

เถรี 21-03-2013 10:12

ถาม : สงสัยเรื่องการทำเสน่ห์ สามารถทำให้คนติดอยู่กับผู้ชายคนนั้น แล้วเขาจะทำกิจกรรมได้ตามปกติหรือเปล่าครับ ?
ตอบ : จะผิดปกติเลย

ถาม : แข็งทื่อ ๆ หรือครับ ?
ตอบ : อยู่ในลักษณะอะไร ๆ ก็ทำเพื่อคนนั้นคนเดียว แต่ถ้าเป็นอย่างที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเจอมา ท่านบอกว่าเด็กสาววัยรุ่นอายุประมาณ ๑๗ - ๑๘ ปี อยู่ ๆ นั่งเหม่อไปเฉย ๆ เป็นวัน ๆ นั่งอยู่อย่างนั้น เป็นอยู่ตั้ง ๓ - ๔ วัน พอดีหลวงพ่อท่านไปถึง พวกบรรดาลูกศิษย์ก็วิ่งมาบอก ว่าลูกหลานมีอาการอย่างนี้ ๆ หลวงพ่อท่านก็เลยถามพระ พระท่านแนะนำให้ทำตะกรุดมหาสะท้อน แต่ตะกรุดมหาสะท้อนบังคับว่าต้องเป็นวัตถุมีค่า เช่น เงิน นาก หรือทองคำ น้ำหนักอย่างน้อย ๑ บาท

ท่านก็ถามพ่อแม่ของเด็กว่าหาได้ไหม ? เขาบอกว่าได้ ปรากฏว่าเขาหาทองคำมาเลย หลวงพ่อวัดท่าซุงจึงทำแล้วก็ให้เด็กแขวน พอแขวนก็ได้สติขึ้นมาทันที ส่วนคนทำไปนั่งเหม่อแทน..!

มีข้อสงสัยว่า ตอนที่นั่งเหม่อนั่นเป็นอะไร ถามเด็กแล้วเขาบอกว่า นึกถึงแต่หน้าคน ๆ นั้น นึกแล้วจะมีความสุขมาก ก็เลยนั่งนึกไปเรื่อย ๆ ถ้าลักษณะอย่างนี้ผิดปกติ แต่ก็ยังอยู่ในทางที่ดี ถ้าเป็นไสยศาสตร์ในลักษณะใช้อำนาจผีบังคับ อาจจะต้องออกจากบ้านไปหาเขาเลย แต่สงสารหนุ่มคนนั้นแหละ คงรู้รสชาติชีวิตว่าการนั่งคิดถึงเขา ข้าวปลาไม่ยอมกินนั้นเป็นอย่างไร ดันไปทำเขาก่อน

ถาม : แล้วเป็นไปได้ไหมที่มีมากกว่านั้น คือผู้หญิงยังดำรงชีวิตตามปกติ ?
ตอบ : ลักษณะนั้นเป็นไปได้ทั้งโดนทำเสน่ห์ ขณะเดียวกันก็มีเรื่องของกรรมเก่าที่เนื่องกันมา เพราะฉะนั้น..เราจะไปคิดว่าเป็นการทำเสน่ห์อย่างเดียวไม่ได้ เสน่ห์ยาแฝดอย่างเดียวส่วนใหญ่จะลุ่มหลงขาดสติ ถ้าเป็นปกติทุกอย่าง แต่ทุ่มเทให้คน ๆ นั้นคนเดียว อาจจะเกี่ยวกับกรรมเก่าที่เนื่องกันมาในอดีต

ถาม : ทำอย่างไรเขาถึงจะตัดกรรมเก่านั้นได้ ?
ตอบ : ผู้ที่จะสามารถตัดกรรมได้ จะต้องถึงที่สุดแล้วเท่านั้น ลองแนะนำเขาเรื่องของการทำบุญใหญ่

เถรี 21-03-2013 10:19

ถาม : ทำบุญใหญ่ เช่น สมาธิ ภาวนาหรือครับ ?
ตอบ : สมาธิภาวนาได้ แต่ถ้าใครสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ๆ ก็ให้ไปร่วมเป็นเจ้าภาพกับเขาด้วย เรื่องพวกนี้น่าจะระแวงว่าเป็นกรรมเก่ามากกว่า โดยเฉพาะการโดนทำเสน่ห์ก็ต้องมีกรรมเนื่องกันมา ไม่อย่างนั้นเขาทำเราไม่ได้หรอก

ถาม : กรรมที่เคยทำเสน่ห์ให้เขาหรือครับ ?
ตอบ : อาจจะในอดีตเคยสร้างความลุ่มหลงให้แก่ผู้อื่น ชาตินี้ก็เลยโดนผู้อื่นเขาทำบ้าง

ถาม : ที่สงสัยเพราะว่าพี่สาวของตนเอง มีชีวิตลักษณะแบบนี้ โดนเขาโขกสับขนาดนี้ ยังไม่รู้หนาวรู้ร้อน
ตอบ : ลักษณะนั้นเป็น ๑ ในภรรยา ๗ ประเภท ประเภทที่เรียกว่าทาสี เขาโขกเขาสับอย่างไรก็ยอม จะมีวธกาภริยา มีเมียเหมือนเพชฌฆาต ทุบตีทำร้ายสามีเป็นปกติ โจรีภริยา เมียเหมือนโจร ยักยอกสมบัติทั้งหลายในเรือนเป็นว่าเล่น อัยยาภริยา มีเมียเหมือนนาย ชี้นิ้วสั่งอย่างเดียว สขีภริยา มีเมียเหมือนเพื่อน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกอดคอกันไป ภคินีภริยา มีเมียเหมือนน้องสาว ช่างออดช่างอ้อนสารพัด ทาสีภริยา มีเมียเหมือนทาส จะโขกสับด่าว่าอย่างไรก็รับไว้อย่างเดียว

แบบสุดท้ายในความรู้สึกของอาตมาว่าดีที่สุดก็คือ มาตาภริยา เมียดีเหมือนแม่ แทบจะอุ้มชูเลี้ยงดู ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม หายากสุด ๆ ถ้าหาไม่ได้ก็เอาแค่สขีภริยา ส่วนน้องกับลูกก็คล้าย ๆ กัน อยากได้อะไรต้องให้เขา

ที่ว่ามานี้รวมถึงสามีด้วยนะ แต่ว่าคนถามเป็นผู้ชาย พระพุทธเจ้าท่านเลยกล่าวถึงแต่ภรรยา

เถรี 21-03-2013 10:26

เรื่องพวกนี้พอถามแล้วพระพุทธเจ้าตอบเสร็จ ท่านจะดึงหลักธรรมขึ้นมา ให้คนเบื่อหน่ายคลายกำหนัด หมดความอยากที่จะเกิดอีก ถึงได้สรุปธรรมะของพระองค์ท่านว่า สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ธรรมทั้งหลายในโลกนี้ไม่มีอะไรควรยึดมั่นถือมั่น

ถ้าขืนไปถามศาสนาพราหมณ์ หรือพวกศาสดาลัทธิอื่น ๆ คงได้ด่าพระพุทธเจ้าว่าทำให้ผู้อื่นฉิบหายเสียแล้ว พอถึงเวลาก็ไปบวช ไม่เอาครอบครัว ไม่เอาอะไร ลูกหลานก็ไม่มี เพราะคนเรามองคนละมุมกัน รู้ไหมที่อินเดียทุกวันนี้ประชากรเป็น ๑,๐๐๐ ล้าน ก็เพราะไปยึดหลักธรรมของทางศาสนาฮินดูว่า บุคคลที่ไม่มีลูกไม่มีหลาน ต้องไปตกขุมนรกที่มีชื่อว่าปุตตะ บ้านใครไม่แต่งงานนี่มีสิทธิ์ลงนรกเลย ส่วนบ้านเรานี่ถ้าแต่งงานก็ลงนรกเลย ...(หัวเราะ)...

ความเชื่อในศาสนาเขาเป็นอย่างนั้นเสียแล้ว เขาเชื่อว่าไม่มีลูกหลานสืบตระกูลต้องตกนรก เขาจึงแย่งกันผลิตลูกผลิตหลานกันใหญ่ ประชากรก็เลยเยอะแยะอย่างที่เห็น พระพุทธเจ้าท่านลงไปตรัสรู้ที่ประเทศอินเดีย ก็เพราะว่าความสุขความทุกข์ที่นั่นสุดขั้ว ความเชื่อทางศาสนาเขาก็เป็นแบบสุดขั้ว คือเป็นอัตตกิลมถานุโยค ทรมานตนจนถึงที่สุด กับกามสุขัลลิกานุโยค ปรนเปรอความสุขให้ตนเองจนถึงที่สุด

โดยที่เขาเชื่อว่าทำให้หลุดพ้น คิดว่าทรมานตนเต็มที่แล้วหลุดพ้นได้ เพราะเป็นที่พอใจของพระเจ้า ส่วนอีกด้านคิดว่า ในเมื่อปรนเปรอตนเองจนเต็มที่ เดี๋ยวเบื่อก็เลิกไปเอง ก็จะหลุดพ้นได้

เรื่องของความเป็นอยู่ประชากรก็สุดขั้ว คนที่รวยก็รวยล้นฟ้าไปเลย คนที่จนก็ขนาดอดตายข้างถนนไปเลย แม้กระทั่งปัจจุบันนี้ก็เป็นอย่างนั้น ถ้าอยากดูสภาพอินเดียแล้วไม่มีโอกาสไปดูที่ประเทศเขา ให้ไปดูหนังเรื่อง Slumdog Millionaire เด็กที่อาศัยในสลัม เราจะเห็นชัดมากเลยว่ากว่าจะหลุดออกมาได้แต่ละคน ต้องปากกัดตีนถีบขนาดไหน

เถรี 21-03-2013 11:13

ถาม : ในแต่ละฌานมีประโยชน์อยู่หรือไม่ครับ นอกจากได้ความเงียบสงบ ?
ตอบ : อย่างต่ำที่สุดก็คือสามารถกดกิเลสหยาบ ได้แก่ นิวรณ์ ๕ ลงได้ ส่วนที่มากกว่านั้นก็คือ กำลังที่ได้มาสามารถใช้ตัดกิเลสไปตามลำดับได้ แต่ถ้าจะตัดระดับพระอนาคามี พระอรหันต์ ต้องได้ฌาน ๔ คล่องตัว ดังนั้น..ฌานแต่ละขั้นล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ทั้งนั้น เพียงแต่เราเข้าถึงประโยชน์ได้แค่ไหน

ประโยชน์ใหญ่อย่างหนึ่งที่คนทั่ว ๆ ไปมักจะไม่เข้าใจก็คือ ถ้าเราตั้งกำลังใจไว้ก่อนว่าจะตัดกิเลสอะไร แล้วเข้าฌานไป จิตจะตัดให้โดยอัตโนมัติ ตัดรัก ตัดโลภ ตัดโกรธ ตัดหลง ตัดอยู่ตลอดเวลา แต่เป็นการตัดเฉพาะช่วงที่เข้าฌาน หลังจากออกจากฌานมา ถ้าสามารถประคับประคองกำลังนั้นเอาไว้ได้ ก็ยังตัดกิเลสได้อีกชั่วคราว ไม่ใช่การตัดโดยขาดเลย แต่ว่าเป็นการตัดด้วยองค์ฌานนั้น ๆ

เป็นลักษณะของวิขัมภนวิมุตติหรือตทังควิมุตติ แล้วแต่ว่าเราเข้าถึงมากน้อยแค่ไหน อย่างน้อยก็สบายชั่วคราว ไฟไม่เผาเรามาก

แต่คนเราพอไปถึงระดับนั้น บางทีก็เพลิดเพลินกับความสุขที่ปราศจากกิเลสชั่วคราว ก็เลยติดอยู่ในฌาน กลายเป็นติดในรูปราคะกับอรูปราคะไป

เถรี 21-03-2013 11:30

ถาม : กายวิภาค ?
ตอบ : กายวิภาคจะอยู่ลักษณะการแยกแยะสภาพร่างกาย อาจจะเป็นอาการ ๓๒ หรืออะไรก็ได้ ถ้าเราสักแต่ว่าท่องเฉย ๆ ก็จะเป็นสมถกรรมฐาน แต่ถ้าเรามองเห็นสภาพความเป็นจริงแล้วจะเป็นวิปัสสนากรรมฐาน

ดังนั้น..เวลาพระอุปัชฌาย์ให้มูลกรรมฐาน เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา ก็มีคนไปถามว่าทำไมพระอุปัชฌาย์ให้แต่สมถกรรมฐาน แสดงว่าทำไม่เป็น ถ้าทำไม่เป็น เอาไปทำเป็นคำภาวนาอย่างเดียวก็ได้แค่สมถะเท่านั้น

เถรี 23-03-2013 18:57

พระอาจารย์กล่าวว่า "บางคนก็แปลกใจว่าทำบุญแล้วทำไมคนป่วยที่อาการร่อแร่กลับอยู่ต่อ นั่นแสดงว่าเขาจะหมดบุญแล้วเขาก็ได้ต่อบุญ เพราะในเรื่องของอายุขัยมี..หมดอายุเพราะหมดบุญ หมดอายุเพราะหมดกรรม บุญหมดก็ตายได้นะ กรรมหมดก็ตายได้ ถ้าดูตัวอย่างก็คือพระลูกศิษย์พระสารีบุตร แต่ละวันท่านกินข้าวได้ไม่เกิน ๗ เม็ด นั่นกรรมเลี้ยงไว้ ๒๐ กว่าปี วันนั้นสำเร็จอรหันต์หมดกรรมแล้ว มรณภาพไปพระนิพพานเลย เขาเรียกว่าหมดกรรม

นอกจากนี้แล้วยังมีหมดอายุเพราะหมดอาหาร หมดอาหารนี่พวกเราเข้าใจ เพราะเห็นชัด"

เถรี 23-03-2013 19:02

พระอาจารย์กล่าวว่า "จริง ๆ แล้วเราจะหัดงานให้เด็ก ๆ ไม่ยากหรอก ประเภทถูบ้าน ล้างจาน ซักผ้า ได้ทั้งนั้นแหละ แต่ให้ทำเหมือนเล่น พอเด็กคิดว่าได้เล่นแล้วเขาจะสนุก ทำไปเรื่อย สมัยเด็ก ๆ พี่สาวคนที่สองของอาตมามีจิตวิทยาแบบนี้ ชวนน้อง ๆ เล่น แต่ความจริงก็คือใช้งานพวกเรานั่นแหละ พอเด็ก ๆ เห็นว่าได้เล่นก็เล่นสนุกอย่าบอกใคร เพราะฉะนั้น..จะหัดงานเด็กให้ทำเหมือนเล่น ถ้าเด็กเห็นว่าเล่นจะให้ความร่วมมือเอง"

เถรี 23-03-2013 19:22

ถาม : ......เป็นธรรมภายนอก ?
ตอบ : เหมือนเดิม...ถือว่าร่างกายนี้เป็นภายนอก อารมณ์ใจต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเป็นภายใน เพราะฉะนั้น..ในเรื่องของกามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในใจของเรา สิ่งเหล่านี้จะยึดหน่วงร่างกายของเราให้กระทำคล้อยตามไปหรือเปล่า ถ้าร่างกายคล้อยตามก็เป็นภายนอก แต่ถ้าสภาพจิตใจก็เป็นภายใน

จริง ๆ แล้วในเรื่องของมหาสติปัฏฐานสูตรเป็นหลักธรรมสำหรับมนุษย์ต่างดาว เขาว่าแคว้นกุรุปัจจุบันคือกรุงบอมเบย์ แสดงว่าคนมีบุญเขาได้อยู่สถานที่สำคัญตั้งแต่โบราณเลย

สมัยที่พระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลก ก็จะเอาบรรดาคนจากทวีปอื่น ๆ มาอยู่ที่โลกนี้ เป็นการแสดงพระราชอำนาจ พวกชาวอุตรกุรุทวีปก็เอามาไว้ที่แคว้นกุรุ ก็เลยทำให้ความฉลาดของเขามีมากกว่า ถึงได้บอกว่าแขกจะมีความฉลาดมาก แต่ความฉลาดในความรู้สึกของพวกเราเกี่ยวกับแขกอินเดียก็คือ มักจะออกไปทางเจ้าเล่ห์ จนกระทั่งเขาบอกว่า ถ้าเจองูกับแขกให้ตีแขกก่อน แล้วก็จะมีเสียงประท้วงว่า “อีนี่ตีฉานทำไมนะ ? แขกน่ารักนะนาย”

เถรี 23-03-2013 19:28

ถาม : เขาบอกว่าแคว้นกุรุพูดถึงสติปัฏฐาน ?
ตอบ : เหลือเชื่อนะ...เขาบอกว่านกแขกเต้าโดนเหยี่ยวโฉบไป สามเณรีกระโดดตบมือร้องเสียงดัง เหยี่ยวตกใจปล่อยนกแขกเต้า พอนกแขกเต้ากลับคืนมา ภิกษุณีถามว่า “ตอนที่โดนเหยี่ยวโฉบไปรู้สึกอย่างไร ตกใจอกสั่นขวัญแขวนหรือเปล่า ?” นกแขกเต้าบอกว่า “รู้สึกเหมือนกับร่างกระดูกกำลังจะเอาร่างกระดูกไปกิน” อะไรจะสุดยอดปานนั้น เขาเห็นตลอดเวลาจริง ๆ นั่นขนาดเป็นนกนะ ชาติต่อไปไม่ได้เกิดเป็นนกแน่นอน

ถ้าไม่ได้อยู่ในสภาพสัตว์เดรัจฉาน นกแขกเต้าตัวนั้นน่าจะเข้าถึงธรรม คราวนี้พออยู่ในสภาพสัตว์เดรัจฉาน ความหนักของภพภูมิไปกั้นอยู่ กรรมไปกั้นอยู่ แต่ชาติต่อไปถ้าไม่ได้เป็นเทวดาก็คงเป็นพรหมไปเลย


ถาม : ถ้าอย่างนั้นสภาพจิตเขายอมรับแล้วหรือครับ ?
ตอบ : ลองคิดดูว่ากำลังจะถึงแก่ชีวิต แต่ไม่ได้คิดถึงความตายเลย คิดถึงแต่กรรมฐานที่ตัวเองยึดอยู่ เหยี่ยวจะเอาไปฉีกกินเป็นชิ้น ๆ อยู่แล้ว ยังนึกว่าร่างกระดูกกำลังจะเอาร่างกระดูกไปกิน เพราะนกแขกเต้าฝึกอัฏฐิกอสุภ ก็คือการพิจารณากระดูกเป็นปกติ สงสัยเห็นเจ้านายกินนกทอดกรอบบ่อย คิดว่าต้องพิจารณาเอาไว้ เดี๋ยวเราจะโดนบ้าง..!


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 01:46


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว