กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   ปกิณกธรรมจากเกาะพระฤๅษี (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=44)
-   -   วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๐ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3124)

เถรี 04-01-2012 08:29

วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๐
 
อบรมพระที่เกาะพระฤๅษี ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๐


พระอาจารย์ : คุณมาได้อย่างไร ?

ท่านเบิร์ธ : ออกมากับแม่ชีปุ๊กเมื่อวานครับ หลวงตาน้อยไปรับ

พระอาจารย์ : แล้วคุณก็มาด้วย
ท่านเบิร์ธ : ครับ

พระอาจารย์ : ขาดพรรษาตายห่.. คุณรู้หรือเปล่าว่า การออกจากวัดในพรรษาต้องมีเหตุอะไรบ้าง ?
ท่านเบิร์ธ : มีพ่อ – แม่ป่วยกับพระอุปัชฌาย์...

แล้วที่คุณมามีเหตุนั้นไหม ? ไม่ใช่ข้ออ้างว่าเราจะขอสัตตาหะ*ได้เพราะอยู่คนเดียว คุณจำไว้ว่า เรื่องของพระธรรมวินัย ถึงตัวตายก็ต้องรักษาไว้

วันก่อนที่พวกคุณโทรไปปรึกษาเรื่องของอาบัติปาราชิก**สังฆาทิเสส***แล้วมาวันนี้ก็เป็นอย่างนี้อีก แสดงว่ากำลังใจของคุณแย่มาก ไม่ได้มีศีลไว้ในใจเลย ถ้าหากว่ามีศีลไว้ในใจ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้คุณก็จะไม่พยายามล่วงละเมิดแบบนี้

อย่าลืมว่าอาบัติพระนี่เราต้องตั้งแต่คิดแล้ว อย่าลืมว่าสมุฏฐานอาบัติมีอะไร ? กายกับจิต วาจากับจิต แค่คิดก็โดนแล้ว เพียงแต่ว่าท่านยังไม่ปรับหนักเท่านั้นเอง

อย่างเช่นว่าอาบัติปาราชิก มีไถยจิตคิดจะขโมย เอื้อมมือแตะถูกวัตถุนั้น โดนอาบัติทุกกฎ****แล้ว ทำให้วัตถุนั้นสั่นไหวต้องอาบัติถุลลัจจัย***** ย้ายออกจากฐานแค่เส้นผมผ่า ๑๖ ต้องอาบัติปาราชิกเลย ขาดความเป็นพระไปแล้ว..!

อย่างที่คุณโทรมาปรึกษานั่นสำเร็จเรียบร้อยไปแล้วในการกระทำทั้งหมด ถ้าเป็นปาราชิก ก็ขาดไปตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว


หมายเหตุ :
*ธุระเป็นเหตุให้ภิกษุออกจากวัดในระหว่างพรรษาได้ ๗ วัน ได้แก่ ๑).ไปเพื่อพยาบาลสหธรรมิก หรือ มารดาบิดาผู้เจ็บไข้ ๒).ไปเพื่อระงับสหธรรมิกที่กระสันจะสึก ๓).ไปเพื่อกิจของสงฆ์ เช่น ไปหาทัพพสัมภาระมาซ่อมวิหารที่ชำรุดลงในเวลานั้น ๔).ไปเพื่อบำรุงศรัทธาของทายกซึ่งมานิมนต์เพื่อการบำเพ็ญกุศลของเขา ธุระอื่นที่เป็นกิจจะลักษณะ อนุโลมตามนี้ได้ จากพระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ : พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ : มหาวรรค ภาค ๑

**พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ : พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ : มหาวิภังค์ ภาค ๑ : ปาราชิกกัณฑ์

***พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ : พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ : มหาวิภังค์ ภาค ๑ : สังฆาทิเสสกัณฑ์

****พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ : พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ : มหาวิภังค์ ภาค ๑ : บทภาชนีย์

*****พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ : พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ : มหาวิภังค์ ภาค ๑ : บทภาชนีย์

เถรี 04-01-2012 08:33

เพราะฉะนั้น...สติเกี่ยวกับเรื่องศีลของพระนี่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะในเรื่องของอาบัติปาราชิกและสังฆาทิเสส ต้องระมัดระวังให้ถึงที่สุด อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าท่านปรับแม้แต่ชั่วขณะจิตหนึ่งตอนนั้น

เราอาจจะอ้างว่าไม่มีเจตนา แต่ในระหว่างนั้นถ้าหากว่าเจตนาเกิดขึ้น เราก็โดนอาบัติแล้ว พระองค์ท่านสอนให้เรารักศีล เพราะว่าศีลเป็นสมบัติที่พระองค์ท่านให้ไว้ เราจะเป็นพระหรือไม่เป็นพระก็อยู่ตรงศีล ไม่ใช่ถึงเวลาแล้วทำอะไรส่งเดช ถ้าขาดความเป็นพระไปจะซวยไม่รู้จบ..!

การโดนอาบัติสังฆาทิเสส ต้องไปประจานตนเองท่ามกลางหมู่สงฆ์ ว่าเราทำอะไรผิดไป ต้องให้เขาจำกัดเขตเหมือนกับติดคุก ถึงเวลาใครเข้าไป ต้องไปรายงานตัวกับเขาทุกคนว่า เราทำอะไรผิดมา จนกว่าจะครบกำหนดเวลา แล้วให้สงฆ์อีก ๒๐ รูป สวดคืนความเป็นสงฆ์ให้ ถึงกลับมาเป็นพระได้อีกทีหนึ่ง

อาบัติอื่นก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ อาบัติทุกข้อล้วนแล้วแต่ทำให้เราลงนรกทั้งนั้น การฝืนคำสั่งพระพุทธเจ้าแล้วจะรอดจากนรกนั้นไม่มี การแสดงคืนอาบัติในสิ่งที่สามารถแสดงคืนได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะพ้นจากความชั่วอันนั้น

การแสดงคืนอาบัติ ถ้าหากว่าเป็นแผลก็คือหยุดการลุกลาม แต่แผลก็ยังเน่าเปื่อยอยู่ ถ้าหากว่าเรามีแต่แผลเน่าเต็มตัว แล้วใครอยากจะคบหาด้วย เราจะไปประมาทว่าอาบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้ ต้องศึกษาให้ดีเสียก่อน

ถึงได้บอกว่า ตั้งแต่พรรษาแรกถึงพรรษาที่ ๕ เราจะห่างพระอุปัชฌาย์อาจารย์ไม่ได้ เพราะว่าเราอาจจะทำผิดทำพลาดได้ เรื่องของสิ่งที่เป็นความหยาบภายนอก อย่างเรื่องของศีลนี่ ผมถึงว่าเป็นสิ่งที่หยาบ

เพราะว่าศีลส่วนใหญ่เป็นเรื่องของกายกับวาจา แม้ว่าสมุฏฐานจะเกิดจากใจ แต่กายกระทำ วาจาพูด ถือว่าเป็นเรื่องหยาบ ถ้าเราทำไม่ได้ ในเรื่องของสมาธิ เรื่องของปัญญาก็ไม่ต้องไปหวัง

ตอนนี้พวกท่านก็คงจะรู้แล้วว่า ที่บวชเข้ามานั้นนรกมีจริง..! ตอนบวชทุกคนตั้งใจมาดี แต่คุณลืมไปว่าการบวชนั้นง่าย แต่จะรักษาความดีให้สมกับที่บวชมานั้นยากที่สุด ผมเคยรู้สึกเหมือนกับตกนรกมาก่อน ผมถึงไม่ชวนใครบวชเลย

๒ พรรษาแรกนี่ประสาทจะกิน ขยับตัวไปทางไหนกลัวผิดกลัวพลาดไปหมด ถึงขนาดต้องเปิดหนังสือนวโกวาททวนอยู่ทุกวัน เพื่อจะได้ไม่ให้เผลอสติ แล้วพวกท่านได้ทำกันบ้างไหม ? ผมเชื่อว่าถ้าหากทำ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น แปลว่าสิ่งที่ผมบอกไป ก็คือคำสั่งที่เป็นลมผ่านหูไปเฉย ๆ

เถรี 05-01-2012 08:56

อีกอย่างหนึ่งก็เรื่องของสัตว์เลี้ยง จำไว้ให้แม่น ๆ ว่า ไม่มีสัตว์ตัวใดอยากจะโดนขัง ถ้าเราเลี้ยงแล้วต้องจับต้องขัง ถ้าไม่มีความดีอื่นช่วยเลย ตายเมื่อไรจะไปเกิดเป็นเวมานิกเปรต* ออกจากวิมานไม่ได้ ออกมาเมื่อไรกงจักรพัดหัวขาดเมื่อนั้น..!

ฉะนั้น..ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สถานที่นี้อย่าไปแสวงหาสัตว์เลี้ยงมาเพิ่มอีก ใครเป็นคนเอามาคนนั้นรับผิดชอบ เพราะว่าพวกเราไม่ใช่คนช่างสังเกต ไม่รู้หรอกว่าพวกสัตว์นั้นลำบากขนาดไหน

สัตว์จะมีภาษากายบอกด้วยอาการ ภาษาเสียงบอกด้วยเสียง ภาษาใจบอกด้วยความคิด แต่เราเองดูไม่ออกสักอย่างหนึ่งแล้วไปเอามาเลี้ยง โดยเฉพาะไม่รู้ว่าเขากินอะไร เขาอยู่อย่างไร

ชะนีกินอะไรมากหน่อยก็ท้องเสีย ท้องร่วงตายเอาง่าย ๆ โดนความเย็นโดนความชื้นหน่อยก็ปอดบวมตายเอาง่าย ๆ กลายเป็นการทรมานสัตว์ ไม่ใช่ว่ารักสัตว์แล้วดูแลไม่เป็น

เหมือนอย่างกับบางวัด เต่าเต็มสระไปหมด โยนให้กินแต่ผักบุ้ง เขาสร้างเวรสร้างกรรมให้เต่าขนาดไหน เพราะเต่าเป็นสัตว์กินเนื้อ ดันไปเชื่อเพลงบ้า ๆ สมัยโบราณ ชื่อเพลงเต่ากินผักบุ้ง **แล้วก็เอาผักบุ้งให้กินอยู่ตลอด ที่เต่ายอมกินเพราะไม่มีอะไรจะกิน..!

อย่างพวกลิง ค่าง ชะนี จะต้องกินพวกเนื้อเป็นระยะ เขาต้องหาแมลง หาสัตว์เล็ก ๆ กิน แล้วอาหารการกินก็ไม่ใช่ว่าซ้ำซากจำเจอยู่ทุกวัน ต้องเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ


หมายเหตุ :
*พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖ พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๑๘ ขุททกนิกาย เปตวัตถุ

**เพลงเต่ากินผักบุ้ง เป็นเพลงอัตราสองชั้น ประเภทหน้าทับปรบไก่ ทำนองเก่าสมัยอยุธยา ใช้เป็นเพลงลา โบราณาจารย์ทางดนตรีไทยนำเพลงนี้เรียบเรียงไว้ในเพลงช้าเรื่องเต่ากินผักบุ้ง ประกอบด้วยเพลงเต่ากินผักบุ้ง เต่าเห่ เต่าทอง เพลงเร็วเต่ากินผักบุ้งและเพลงลา เฉพาะทำนองเพลงเต่ากินผักบุ้ง มี ๓ ท่อน ท่อนที่ ๑ มี ๔ จังหวะ ท่อนที่ ๒ และ ๓ มี ๒ จังหวะ ในการนำเพลงเต่ากินผักบุ้งสองชั้นมาร้องเป็นเพลงลานั้น นักดนตรีได้สร้างทำนองการร้องว่า “ดอก” ไว้ในทำนองท่อนที่ ๒ เพื่อเปิดโอกาสให้เครื่องดนตรีเช่น ปี่ ซอ ฯลฯ ได้เป่าหรือสี แสดงความสามารถในการเลียนเสียงร้อง และอวดความสามารถทางดนตรีของตน

เพลงเต่ากินผักบุ้งสองชั้นนี้ มีนักดนตรีนำทำนองไปแต่งขยายเป็นอัตราสามชั้น โดยคงการว่า“ดอก”ไว้ตามลักษณะทำนองของอัตราสองชั้น มีประวัติอธิบายสองนัย คือ ครูเพ็ง นักดนตรีไทยมีชื่อท่านหนึ่งในสมัยรัชกาลที่ ๓ แต่งขยายเป็นอัตราสามชั้นทางหนึ่งเรียกชื่อเพลงใหม่ว่าเพลงปลาทอง อีกท่านคือสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัตติวงศ์ ทรงนิพนธ์ขยายเป็นอัตราสามชั้นไว้เพื่อให้แตรวงมหาดเล็กบรรเลงถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำนองที่ทรงนิพนธ์ขยายนี้ ได้เรียกชื่อใหม่ว่าเพลงปลาทอง ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๗๕ นายมนตรี ตราโมท นำทำนองสองชั้นมาแต่งตัดเป็นอัตราชั้นเดียว และนำทำนองทั้งสามอัตราชั้นมาบรรเลงติดต่อกันเป็นเพลงเถา ส่วนชื่อของเพลงยังคงเรียกเหมือนเดิมว่า เพลงปลาทอง

เถรี 05-01-2012 09:00

ถ้าเราให้กินเหมือนกันอยู่ทุกวัน ก็เหมือนกับให้เรากินอาหารอย่างเดียวอยู่ทุกวัน จะไหวไหม ? การรักสัตว์ เลี้ยงสัตว์ ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องรักจริง ๆ เลี้ยงจริง ๆ ไม่ใช่เห็นแล้วเห่อ อยากได้ อยากเท่

ลูกสัตว์เล็ก ๆ น่ารักทุกตัว แต่พอเริ่มโตขึ้น สัญชาตญาณบางอย่างกลับมา เขาจะไม่ยอมให้เราควบคุมอีก เพราะว่าสัตว์ป่าทุกชนิด โดยธรรมชาติของเขาเลยจะไม่ยอมอยู่ใกล้มนุษย์

เราก็หมดความรักทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ แม้กระทั่งเม่นแคระสองตัวนี้ก็อยู่ลักษณะอย่างนี้ พอเจ้าของเล่นกับเขาไม่ได้ ก็เอามาทิ้งให้พระเลี้ยง ผมกลับมาเมื่อคืนก็สงสัยว่า ทำไม“มังคุด”*ถึงได้ผอมจนเหลือขนาดแค่นั้น ?

พอตอนเช้ามาผมสังเกตดู เห็นขาหลังของมังคุดบวมฉึ่งเลย ใหญ่กว่าปกติสักสองเท่าครึ่งได้ ผมก็ไปจับขึ้นมาดู ปรากฏว่ามีผ้าพันอยู่ ผมก็นึกว่าขาเจ็บแล้วพวกคุณพันผ้าให้ พอเข้ามาถามถึงได้รู้ว่า ไม่มีใครรู้เรื่องเลย

ปรากฏว่ามังคุดไปโดนด้ายของผ้าขนหนูรองรังพันเอา บาดลึกเข้าไปจนกระทั่งถึงกระดูก เลือดไม่ไปเลี้ยง ขาเน่าจะขาดอยู่แล้ว เขาพยายามที่จะดิ้นรน เดินพล่านไปหมดเพื่อหาคนช่วย แต่ไม่มีใครสังเกตสักคนหนึ่ง

เพราะฉะนั้น..ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สัตว์ของใครคนนั้นต้องรับผิดชอบดูแลให้ดี ถ้าหากว่าไม่มีเวลาว่างดูแล ต้องหาคนดูแลแทนให้ได้ ความที่เป็นคนไม่ช่างสังเกต จะทำให้เราทรมานสัตว์โดยไม่รู้ตัว แล้วความมักง่ายของเรา บางทีก็เลี้ยงสักแต่ว่าเลี้ยง

ผมสงสัยว่าทำไม “เจ้าฟ้า”**ถึงได้ผอมโกงโก้จนมีแต่หนังหุ้มกระดูก สังเกตดูจึงพบว่าเจ้าฟ้ากินข้าวอย่างพวกเราไม่เป็น เจ้าของเดิมคงเลี้ยงด้วยอาหารสุนัข ต้องให้ป้ามุกดาไปหาซื้ออาหารกระป๋องแพง ๆ มาให้กิน คุณเคยสังเกตกันบ้างไหม ?


หมายเหตุ :
*เม่นแคระ(African pygmy hedgehog) พันธุ์นอร์มอล ปินโต

**สุนัขพันธุ์ไซบีเรียน ฮัสกี้ (Siberian Husky)

เถรี 06-01-2012 08:54

ผมผลักหน้าต่างหอฉันปิดเข้าไปทีไร พวกคุณก็ง้างออกมาทุกที ถ้าวันไหนคุณเดินชนแล้วเย็บหน้าตัวเองสักเจ็ดแปดเข็ม แล้วจะรู้ว่าทำไมผมถึงได้ผลักปิดเข้าไป ถ้าคุณสังเกตจะเห็นว่า ผมเปิดไว้ประมาณไม่เกินสามสี่นิ้วเท่านั้น ประเภทลากออกมาทีเป็นศอกให้ระวังเอาไว้ ถ้าวันไหนคุณเดินแล้วลื่นละก็..ได้เย็บแน่นอน..!

แบบเดียวกับไฟด้านข้างนี่ก็เหมือนกัน อย่าลืมว่าที่นี่เป็นป่า เปิดไฟทิ้งไว้เมื่อไรแมลงจะมา โดยเฉพาะตัวริ้น แล้วพอเราเปิดไฟข้างใน ตัวริ้นเห็นไฟก็มุดเข้ามา แล้วก็มากัดเรา แต่เชื่อเถอะ พวกคุณโดนกัดอยู่ทุกวันก็ไม่รู้หรอกว่าเกิดจากสาเหตุอะไร เพราะไม่ใช่คนช่างสังเกต แล้วลองดูพรุ่งนี้ว่า ถ้าเราไม่เปิดไฟ ลองไปเปิดทางด้านอื่นดูซิ ว่าริ้นยังจะกัดเราไหม ?

เรื่องหยาบ ๆ เหล่านี้ ถ้าเราไม่สามารถที่จะสังเกตได้ ไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ เรื่องความละเอียดทางใจไม่ต้องไปพึงหวัง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ จริง ๆ แล้วทุกคนก็เห็นอยู่ แต่ว่าความหยาบของจิตทำให้พวกคุณมองข้ามไป

บางอย่างก็เสียหาย กว่าจะรู้ตัวก็ลุกลามไปจนเกินกว่าจะแก้ไขได้ สมัยก่อนผมเลี้ยงพวกสัตว์ ไก่ตกน้ำตายไม่มีใครรู้สักคน เขาขึ้นไปวางไข่อยู่ข้างบนถังเก็บน้ำนั่น

ปรากฏว่ามุ้งที่กรองน้ำผลุบลงไป ไก่บินขึ้นไม่ทันจึงตกน้ำตาย ไม่มีใครรู้หรอก จนกระทั่งผมสงสัยว่า ทำไมมุ้งถึงผลุบลงไป ปีนขึ้นไปดูถึงได้เห็นว่าไก่ลอยอืดอยู่

นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้ว และเชื่อว่าถ้าพวกเรายังไม่มีความละเอียดก็จะเกิดขึ้นอีก การแสดงออก ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ของพวกเรา ถ้าหากว่าภายนอกหยาบ ภายในก็หยาบไปด้วย

ในเมื่อภายนอกหยาบ ภายในหยาบไปด้วย การจะเข้าถึงธรรมในส่วนที่ละเอียดก็แปลว่ายังห่างไกลเหลือเกิน ผมเคยบอกว่าให้ทุกคนพยายามศึกษา ทำหน้าที่ทดแทนกันให้ได้ อย่าไปทิ้งภาระไว้เป็นของคนใดคนหนึ่ง

แต่ว่าขณะเดียวกัน ก็อย่าหาภาระมาเพิ่มให้เขา โดยเฉพาะชะนีเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ถ้าไม่ได้จดทะเบียนกับกรมป่าไม้ มีหวังติดคุก..! มีใครเคยรู้บ้างว่ากฎหมายเขาเป็นอย่างนี้ เดี๋ยวนี้แม้กระทั่งจิ้งจกตุ๊กแกบางชนิด ก็เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองหมด เพราะจะสูญพันธุ์อยู่แล้ว

เราอยู่กับป่าไม้ ถึงเวลาเราเลี้ยงสัตว์คุ้มครองไว้โดยไม่ได้จดทะเบียน คุณว่าเขาจะสบายใจไหม ? แล้วใครเคยได้ยินชะนีร้องบ้าง ? ถ้าร้องขึ้นมา รับรองได้ว่าคุณอยู่ไม่สุขกันทั้งวัด เสียงชะนีดัง..ดังมาก ๆ ดังไปไกลสามสี่กิโลเลย..!

เราจะทำอะไรต้องมีความรอบคอบ โดยเฉพาะในความเป็นนักบวชของเรา ถ้าหากว่าขาดความรอบคอบ ล่วงศีลเข้าก็จะไม่ใช่นักบวชอีก เรื่องทั้งหลายเหล่านี้อย่าคิดว่าอย่างไรก็ได้ ตราบใดที่เราคิดว่าอย่างไรก็ได้ ก็แปลว่าเรายังปรามาสในพระรัตนตรัยอยู่

ถ้าเราไม่มีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อย่างแท้จริง ทำตัวเป็นกันเองกับศีล ไม่ได้ตั้งใจรักษาศีลให้บริสุทธิ์ แล้วความเป็นพระอริยเจ้าจะเข้ามาทางด้านใดได้ เพราะเราเล่นไปปิดประตูตายทั้งหมดแล้ว

เถรี 07-01-2012 07:49

ดังนั้นว่า บรรดาเรื่องต่าง ๆ ภายในวัด พวกคุณต้องหมั่นสังเกต หมั่นดู หมั่นแก้ไข ผมยังไม่ทราบว่าเจ้ามังคุดจะรอดหรือเปล่า ? ขาโดนรัดถึงกระดูกทั้งสองข้าง เลือดไม่เดิน เน่าอยู่อย่างนั้น บวมกว่าปกติสักสองเท่าครึ่งเห็นจะได้

ของบางอย่างเราเองก็คิดไม่ถึง แต่ว่าเมื่อรู้แล้ว ต่อไปก็ต้องระมัดระวังให้มากขึ้น เราปฏิบัติความดี ต้องปฏิบัติด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ ไม่ใช่ทำอย่างใดอย่างหนึ่งก็ใช้ได้ ไม่ใช่ระวังใจอย่างเดียวก็พอแล้ว

ถ้าถือว่าใจของเราดี ใจเราบริสุทธิ์ เรื่องของกาย วาจา เป็นอย่างไรช่างหัวมัน ถ้าอย่างนั้นจะไปช่างใส่หัวคนอื่นเขา

สิ่งที่ผมแปะอยู่ที่ข้างฝาเหนือกาน้ำร้อนนะดูไว้บ้าง กาย วาจา ใจ ที่ดีกว่านี้ยังมีอยู่ เราต้องทำกาย วาจา ใจ เหล่านั้นให้ได้ ตัวเราติตัวเราเองโดยศีลได้หรือไม่ ? ผู้รู้พิจารณาแล้ว ติเราโดยศีลได้หรือไม่ ?*

อย่าให้ทิ่มลูกตาอยู่เปล่า ๆ ทุกวัน ถ้าไม่มีประโยชน์ ผมไม่เอาไปแปะไว้ให้เสียเวลาหรอก ในวันนี้ขอให้ทุกคนระมัดระวังเรื่องของศีลเอาไว้ ในสถานภาพของนักบวช เรามีศีลกี่ข้อต้องรักษาให้ดี ไม่ล่วงศีลด้วยตัวเอง ไม่ยุให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นกระทำ

สิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นภายในวัด หมั่นดู หมั่นสังเกต หมั่นช่วยกันแก้ไข โดยเฉพาะบรรดาสัตว์เลี้ยงต่าง ๆ เลี้ยงเขาให้ดี อย่าให้เขาต้องมาทุกข์ทรมานเพราะเรา ไม่อย่างนั้นแล้ว ถ้าพลาดไปนิพพานไม่ได้ หล่นลงมาเกิดเมื่อไร เราจะเจออย่างนั้นบ้าง..!

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าเราเห็นต้นเห็นปลายแล้ว จะรู้ว่าน่ากลัวขนาดไหน อย่าไปประมาท พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้พวกเราประมาท ถ้าเราประมาท แปลว่านั่นเรากำลังทำตัวของเราเอง ไม่ใช่ครูบาอาจารย์สอน ไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง

มีใครที่จะไปช่วยงานที่วัดท่าขนุน**ในวันนี้บ้าง ? ถ้าจะไปช่วยงานมีค้างคืนไหม ? ถ้าหากว่าพระจะไปค้างคืนก็ให้ขอสัตตาหะไป ในเรื่องของการสัตตาหะออกจากวัด ขอให้ทราบว่าพระพุทธเจ้าท่านอนุญาตไว้แค่ว่า

ถ้าพ่อป่วย แม่ป่วย อุปัชฌาย์อาจารย์ป่วย ลาไปเพื่อรักษาพยาบาลได้ เพื่อนสหธรรมิกที่อยู่ต่างวัดจะสึก ลาไปเพื่อห้ามปรามได้ วัดพัง เสนาสนะพัง ลาไปเพื่อหาทัพพสัมภาระมาซ่อมสร้างเสนาสนะได้ ได้รับกิจนิมนต์ ไปเพื่อเจริญศรัทธาได้


หมายเหตุ :
*องฺ.ทสก. ๒๔/๔๘/๙๗ : องฺ. อ. ๓/๓๙๕

**วัดท่าขนุน เลขที่ ๒๓๕ หมู่ที่ ๑ ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ๗๑๑๘๐

เถรี 07-01-2012 07:51

แล้วพวกคุณจะไปโดยเหตุใด ? ให้ดูจากมหาปเทส ๔* ท่านบอกว่า สิ่งใดไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควร

ทีนี้เรามาพิจารณาว่า เราไปวัดท่าขนุนเพื่ออะไร ? ถ้าจะสัตตาหะไป จะไปในสถานภาพไหน ? การไปช่วยงาน ไปแบ่งเบาภาระของครูบาอาจารย์ แม้ว่าจะไม่ค่อยสมควร เพราะไม่ได้อยู่ในสถานะที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาต แต่พิจารณาดูแล้วว่าสมควรก็ไปได้

แต่ว่าหมดธุระแล้วให้รีบกลับ ไม่ใช่ว่าธุระมีวันหนึ่ง สัตตาหะแล้ว ไปจนครบ ๗ วัน ของพระมีใครจะสัตตาหะไหม ? ถ้ามีก็ว่าเสียตอนนี้เลย ผมเองไปเช้าเย็นกลับ ส่วนแม่ชีไม่ต้องสัตตาหะ ถ้าไม่มีก็กราบพระกันก่อน แล้วแยกย้ายกันไปทำงานประจำของตัวเอง


หมายเหตุ :
*วินย. ๕/๙๒/๑๓๑


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 18:05


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว