กระดานสนทนาวัดท่าขนุน

กระดานสนทนาวัดท่าขนุน (https://www.watthakhanun.com/webboard/index.php)
-   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน (https://www.watthakhanun.com/webboard/forumdisplay.php?f=39)
-   -   เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ (https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=3150)

เถรี 18-01-2012 21:06

เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕
 
ให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของเรา ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจออกมา

หายใจเข้า..ลมหายใจผ่านปลายจมูก ผ่านกึ่งกลางอก ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออก..ลมหายใจออกจากท้อง ผ่านกึ่งกลางอก มาสุดที่ปลายจมูก จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามอัธยาศัย ตามความเคยชินของเราที่เคยปฏิบัติมา

วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ เป็นวันพระ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเส็ง เมื่อครู่นี้ได้กล่าวถึงเรื่องของอาการเจ็บไข้ได้ป่วยและความรู้สึกที่ว่า ความตายอยู่กับเราแค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ เราทั้งหลายที่เป็นนักปฏิบัติ จำเป็นต้องสังวรระวังและสำนึกเอาไว้อยู่เสมอว่า ความตายอยู่กับเราแค่ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น หายใจเข้า..ถ้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออก..ถ้าไม่หายใจเข้าก็ตายอีกเช่นกัน เมื่อความตายอยู่ใกล้ชิดติดตัวเราขนาดนี้ เราจึงจำเป็นที่จะต้องเร่งสั่งสมบุญกุศลใน ทาน ศีล ภาวนา ของเราให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อที่จะอาศัยบุญกุศลทั้งหลายเหล่านี้ เป็นบันไดพาเราก้าวไปสู่ความหลุดพ้น ก็คือเข้าสู่พระนิพพาน

การสั่งสมบุญกุศลนั้น ไม่ว่าจะเป็นบุญเล็กบุญใหญ่อย่างไรก็ตาม เราควรที่จะทำทั้งหมด โดยที่ตั้งเป้าเอาไว้ว่า ผลบุญทั้งหมดที่เราทำนี้ จงเป็นปัจจัยให้เราเข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด ถ้าอย่างนั้นการสั่งสมบุญของท่านก็จะมีเป้าหมายที่ชัดเจน และไม่หลงผิดไปจากหนทางที่เหมาะที่สม

ถ้าหากว่าจะยกตัวอย่างบุคคลที่ใคร่ในการสั่งสมบุญ อาตมภาพขอยกตัวอย่างของครูบาอาจารย์ท่านหนึ่ง ก็คือ พระเดชพระคุณหลวงปู่ท่านเจ้าคุณพระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ หรือที่รู้จักกันในนามของหลวงปู่มหาอำพัน แห่งวัดเทพศิรินทราวาส

หลวงปู่ท่านจะใส่บาตรทุกเช้า ถึงเวลาก็จะนิมนต์พระภิกษุสามเณรว่า "ท่านใดที่ออกบิณบาต ไม่ว่าจะขาไปหรือขากลับ กรุณาผ่านกุฏิของกระผมด้วย ขอให้กระผมได้มีโอกาสทำบุญกับเนื้อนาบุญอย่างท่านทั้งหลายด้วยเถิดขอรับ"

อาตมาเองเวลาที่ไปพักอยู่หลวงปู่ท่าน ก็ต้องช่วยเตรียมข้าวปลาอาหาร ทั้งของสดของแห้งเพื่อให้หลวงปู่มีไว้ใส่บาตร จึงเกิดความกังขาขึ้นมาว่า บุคคลที่เข้าถึงความบริสุทธิ์อย่างแท้จริงแล้วอย่างหลวงปู่ ยังต้องทำบุญอยู่ทุกวันอีกหรือ ? เพราะใจของท่านพ้นไปแล้วจากการส่งผลของบุญบาปทั้งปวง

เถรี 19-01-2012 18:31

วันหนึ่งจึงได้ปรารภกราบเรียนกับหลวงปู่ว่า “หลวงปู่ขอรับ บุญของหลวงปู่ก็กินไม่ไหวใช้ไม่หมดอยู่แล้ว ทำไมยังต้องลำบากลำบนตื่นแต่มืดแต่ดึกขึ้นมาเพื่อใส่บาตรทุกเช้าด้วย ?”

หลวงปู่ท่านว่า “ไฮ้...คุณก็...คนเราถ้าปีนพ้นเหวขึ้นมาได้ก็มีแต่ต้องตะเกียกตะกายไปให้พ้นจากขอบเหวให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ มัวแต่ไปนั่งเพลินอยู่ตรงนั้น ถ้าหากว่ากลิ้งตุ้บไปอีกแล้วจะว่าอย่างไร ?” นี่คือความไม่ประมาท

แม้ว่าหลวงปู่ท่านจะชำระจิตใจให้ผ่องใสจากกิเลสได้อย่างวิเศษยิ่งแล้ว แต่ยังคงสั่งสมบุญเป็นปกติ เป็นปุญฺญกาโม บุคคลผู้ใคร่ในบุญจริง ๆ นี่คือตัวอย่างที่อยากจะบอกว่า ในเมื่อความตายมาจ่ออยู่กับเราแค่ลมหายใจเข้าออกแล้ว เราควรที่จะเร่งสั่งสมบุญใน ทาน ศีล ภาวนา ให้มากเข้าไว้

ในเรื่องของทาน เราจะเห็นแล้วว่าหลวงปู่ท่านทำทานเป็นปกติ โดยเฉพาะทุกวันศุกร์จะมีการนิมนต์พระมารับสังฆทาน เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ หลวงปู่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ธมฺมวิตกฺโก ที่เป็นทั้งสหธรรมิกและเป็นทั้งครูบาอาจารย์ของท่าน ทำต่อเนื่องมาตั้งแต่หลวงปู่ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ธมฺมวิตกฺโกมรณภาพ จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตของหลวงปู่ท่าน โดยไม่ได้เว้นแม้แต่วันศุกร์เดียว

ในส่วนของศีลนั้น แม้ว่าหลวงปู่จะเป็นพระภิกษุ รักษาศีล ๒๒๗ ข้อพร้อมกับอภิสมาจารต่าง ๆ ก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลาไปเจริญกรรมฐานที่บ้านสายลม ซึ่งพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือที่เรารู้จักกันในนามหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุง นำญาติโยมทั้งหลายสมาทานจะเป็นศีล ๕ หรือศีล ๘ ก็ตาม หลวงปู่ท่านจะพนมมือสมาทานศีลตามไปด้วย สมาทานเสียงดังเป็นตัวอย่างให้แก่ทุกคน

พอถึงเวลาจบการสมาทานศีล พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดท่าซุงสรุปว่า สีเลน สุคตึ ยนฺติ สีเลน โภคสมฺปทา เป็นต้น ท่านก็กอบรับเอาพรนั้นใส่เศียรเกล้าของตนเป็นตัวอย่าง

เถรี 21-01-2012 10:11

อาตมาเห็นญาติโยมหลายท่านที่ถือศีล ๘ เมื่อได้ยินพระให้ศีล ๕ ก็ไม่รับ แต่หลวงปู่ถือศีล ๒๒๗ และอภิสมาจารอีก ไม่ว่าจะศีล ๕ ศีล ๘ หลวงปู่รับทั้งหมด อาตมาเคยเปรียบเทียบว่า เหมือนคุณมีเงินอยู่ ๒๒๗ บาท ถึงเวลาเขาให้มา ๕ บาท ถ้าเรารับไว้เราก็ได้เพิ่ม ๕ บาท ให้มา ๘ บาทเรารับไว้ก็ได้เพิ่มมา ๘ บาท ถ้าหากว่าไม่รับก็ถือว่าขาดปัญญา

หลวงปู่รับศีลโดยที่ไม่ได้ใส่ใจว่าจะเป็นศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ หรือศีล ๒๒๗ ก็เพราะว่ามีความเคารพในศีลจริง ๆ เห็นคุณของศีลจริง ๆ ว่าศีลรักษาผู้ที่ปฏิบัติไม่ให้ตกลงสู่ที่ต่ำ ศีลเป็นปัจจัยพื้นฐานของความดีทั้งปวง ศีลเป็นบันไดนำเราทั้งหลายก้าวไปสู่พระนิพพาน

ดังนั้น..ถ้าหากว่าความตายจ่อชิดติดตัวเรามาจนขนาดนี้แล้ว เราก็ควรจะเร่งรัดในศีลของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นทำ และไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นกระทำการละเมิดศีลนั้น ๆ

สำหรับในส่วนของการภาวนานั้น ไม่ว่าจะมีงานข้างนอกข้างในดึกดื่นขนาดไหนก็ตาม บางทีถึงขนาดตี ๑ ตี ๒ หลวงปู่ท่านก็ต้องทำการสวดมนต์ไหว้พระก่อน จุดธูปจุดเทียนไหว้พระ หลังจากนั้นกราบพระ แล้วก็สวดมนต์ทำวัตร เมื่อสวดมนต์ทำวัตรเสร็จก็สมาทานพระกรรมฐาน นั่งภาวนาประมาณ ๕ นาที ๑๐ นาทีทุกครั้งไป หลวงปู่ตอนนั้นอายุได้ ๘๐ เศษแล้ว แต่ว่ายังคงทำแบบนั้นอยู่ทุกวัน ไม่เบื่อไม่หน่าย

อาตมาเองช่วงนั้นอายุเพิ่งจะ ๓๐ ต้น ๆ บางวันเหนื่อยมาจากการตะลอน ๆ ไปกับหลวงปู่ข้ามหลายจังหวัด กลับมาก็คอพับคออ่อนไปไหนไม่รอดแล้ว แต่หลวงปู่ท่านอายุมากกว่าเป็นเท่า ๆ ตัว ถึงเวลายังสวดมนต์ทำวัตร ยังปฏิบัติกรรมฐานเป็นปกติ ก็เพราะว่าความที่จิตของหลวงปู่ท่านปักมั่น จดจ่อแน่วแน่อยู่กับความดีใน ทาน ศีล ภาวนา นั่นเอง

เถรี 22-01-2012 14:18

เมื่อเห็นอยู่ว่าความตายมาจ่ออยู่ในทุกลมหายใจเข้าออกแล้ว ถ้าไม่เร่งสั่งสมความดีเอาไว้ เกิดความดีไม่พอทำให้ตายไปแล้วต้องเกิดใหม่ ก็ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดทนทุกข์ไม่รู้จบเช่นนี้อีก ดังนั้นไม่ว่าจะกลับมาดึกดื่นเที่ยงคืนขนาดไหนก็ตาม จะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าขนาดไหนก็ตาม หลวงปู่ต้องสร้างสมความดีที่เคยทำเป็นปกติให้ครบถ้วนสมบูรณ์เสียก่อน แล้วถึงจะยอมเข้าจำวัดหลับนอนเช่นคนปกติทั่วไป

จากที่ได้กล่าวมาแล้วว่า หลวงปู่ท่านสั่งสมบุญกุศลให้ ทาน ศีล ภาวนา มาวันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า โดยไม่มีการเบื่อหน่าย เราทั้งหลายซึ่งมีความดีไม่เท่ากับหลวงปู่ ก็ควรจะเลียนแบบปฏิปทานี้ ในการไขว่คว้าหาความดีทุกอย่างใส่ตัวของเรา เพราะไม่แน่ว่าความตายนั้นจะมาถึงเราเมื่อไร

ถ้าท่านทั้งหลายทำตามปฏิปทา ที่พระเดชพระคุณหลวงปู่มหาอำพันได้กระทำให้ดูเป็นตัวอย่าง ก็แปลว่าท่านทั้งหลายได้เดินตามรอยของพระสุปฏิปันโน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ชำระจิตใจของตนให้ผ่องใสจากกิเลสได้ เราเองเมื่อเดินตามรอยของท่าน ในที่สุดเราก็สามารถที่จะชำระจิตใจของเราจากกิเลสได้เช่นเดียวกับท่าน

สำหรับตอนนี้ก็ขอให้ท่านทั้งหลาย กำหนดดู กำหนดรู้ ลมหายใจเข้าออกของตนพร้อมกับคำภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา


พระครูวิลาศกาญจนธรรม
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านวิริยบารมี
วันอาทิตย์ที่ ๘ มกราคม ๒๕๕๕

ชินเชาวน์ 04-02-2012 14:51

สามารถรับชมได้ที่

http://www.sapanboon.com/vdo/demo.ph...ame=2555-01-08

ป.ล.
- สามารถชมบนไอโฟนและแอนดรอยด์ได้
- ห้ามคัดลอกไฟล์ไปเผยแพร่ที่อื่นเด็ดขาด !


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 11:32


ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว